สาระน่ารู้ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567

ออริจิ้น กำไร 9 เดือน 1,317 ล้าน ตั้ง “ปิติ จารุกำจร”  “Co-CEO” หนุนทัพคอนโด

ออริจิ้น กำไร 9 เดือน 1,317 ล้าน ตั้ง “ปิติ จารุกำจร”  “Co-CEO” หนุนทัพคอนโด

ออริจิ้นกวาดยอดโอน 9 เดือน 10,500 ล้าน กำไร 1,317 ล้าน บอร์ดออริจิ้น ORI ตั้ง “ปิติ จารุกำจร” นั่ง Co-CEO, Chief Design Officer ควบ CEO บริษัทย่อย “ออริจิ้น เวอร์ติเคิล” ไตรมาส 4/67 โอนโครงการใหม่เพิ่ม3 โครงการ 7,430 ล้าน มีแบ็คล็อก 80%

ช่วงโค้งสุดท้ายตลาดอสังหาริมทรัพย2567ชะลอตัวสถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้มีจำนวนที่อยู่อาศัยหมุนเวียนกลับมาขายใหม่จำนวนมาก ผู้ประกอบการต่างจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายรับกับมาตรการต่างๆของรัฐ หลายค่ายแสดงผลประกอบการ กำไร กันอย่างคึกคัก  และเห็นการเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้าย

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 9,638 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,317 ล้านบาท ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงมีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผล

สำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 มกราคม – 30 กันยายน 2567 ในอัตรา 0.021 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 51.54 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2567

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้ง นายปิติ จารุกำจร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO), ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Chief Design Officer) บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ORIGIN VERTICAL) เพื่อเข้ามาช่วยดูแลการเติบโตและขับเคลื่อนธุรกิจคอนโดมิเนียมของบริษัทให้เดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่ง

 สำหรับนายปิติ จารุกำจร จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และระดับปริญญาโท จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมก่อสร้างและการจัดการ มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาสเตต มีประสบการณ์คร่ำหวอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี เชี่ยวชาญทั้งงานด้านวิศวกรรม และงานบริหารโครงการ โดยเฉพาะกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม เข้ามาร่วมงานกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2564 และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทเดินหน้าไปได้ตามเป้าหมาย

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงไตรมาส 4/2567 นั้น บริษัทจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมอีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,430 ล้านบาท ได้แก่ 1.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) คอนโดมิเนียมเจาะตลาด Gen Y-Gen Z แห่งแรกของบริษัทในฝั่งธนบุรี ใกล้ MRT สิรินธร 2.โซ ออริจิ้น พหล 69 สเตชั่น (So Origin Phahol 69 Station) คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว เพียง 50 เมตร และใกล้สนามบินดอนเมือง และ 3.ไนท์บริดจ์ สเปซ สุขุมวิท-พระราม 4 (Knightsbridge Space Sukhumvit-Rama 4) คอนโดมิเนียมใกล้ BTS พระโขนง โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้ เฉลี่ยกว่า 80% ของมูลค่าโครงการรวม

“เราเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของกำลังซื้อ จากยอดขายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งล่าสุด เมื่อช่วงปลาย ต.ค.-ต้น พ.ย.ที่ผ่านมา ลูกค้ากลับมามีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก จนส่งผลให้เรามียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1,088 ล้านบาท เราประเมินด้วยว่ามาตรการของภาครัฐบางส่วนที่กำลังจะหมดลงช่วงสิ้นปีนี้ เช่น การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง น่าจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์ได้เร็วขึ้น และส่งผลดีต่อภาพรวมทั้งตลาดในไตรมาสสุดท้าย” นายพีระพงศ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ยอดปล่อยกู้สินเชื่อบ้าน ติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาส “อสังหาฯ” ค้างสต๊อค

ยอดปล่อยกู้สินเชื่อบ้าน ติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาส “อสังหาฯ” ค้างสต๊อค

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยไตรมาส 3 ยอดปล่อยกู้สินเชื่อบ้านลดลง 17.9% ติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาส ระบุอสังหาฯ ค้างสต๊อก 23.1% มูลค่า 1.39 ล้านล้านบาท

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ ไตรมาส 3ปี 67 เป็นไปในทิศทางเดียวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย โดยมีมูลค่า 154,168 ล้านบาท ลดลง 17.9%จากปีก่อน  และลดลงติดต่อกัน 4 ไตรมาส นับตั้งแต่ ปี 66 

ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี 67 สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ จะมีมูลค่า 600,812 ล้านบาท ลดลง 11.4% และคาดการณ์ปี 2568 จะมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ ทั่วประเทศ 614,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  2.3%

ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศทั้งปี 67 คาดว่ามีจำนวน 350,545 หน่วย ลดลง  4.4% มูลค่าการโอนอยู่ที่  1.01 ล้านล้านบาท ลดลง 3.3% แบ่งเป็น

  • บ้านจัดสรร  243,088 หน่วย ลดลง 6% มูลค่า 717,052 ล้านบาท ลดลง 3.4%
  • คอนโดมิเนียม 107,456 หน่วย ลดลง 0.6% มีมูลค่า 295,707 ล้านบาท ลดลง  2.9%

ทั้งนี้ ส่งผลให้โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ไม่รวมบ้านมือสองมีจำนวนสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล ณ ไตรมาส 3 ปี 67 มีสต๊อกเหลือ 229,182 หน่วย เพิ่มขึ้น 7% มูลค่า 1.39 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1%

สำหรับประเภทระดับราคาที่อยู่อาศัยเหลือค้างสต๊อก ที่ควรระวังในการสร้างใหม่เข้ามาในตลาด ได้แก่ อาคารชุด ควรระมัดระวัง ในกลุ่มราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ซึ่งมีเหลือ 9,265 หน่วย ละกลุ่มราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท เหลือ 4,277 หน่วย

ส่วนทาวน์เฮ้าส์ ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ซึ่งมีเหลือ 7,942 หน่วย  และกลุ่ม 3.01 – 5.00 ล้านบาท ซึ่งเหลือ 5,338 หน่วย 

บ้านเดี่ยว ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท เหลือจำนวน 2,559 หน่วย และระดับราคา 10.01 – 20 ล้านบาท เหลือจำนวน 1,620 หน่วย 

บ้านแฝด ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา  3.01 – 5.00 ล้านบาท เหลือจำนวน 2,418 หน่วย และกลุ่มระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท เหลือ 1,472 หน่วย

“ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 2 – 3 ปี 67 ปรับตัวดีขึ้น โดยติดลบน้อยกว่าไตรมาส 1 ปี 67 หลังจากได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ให้กับที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท  ทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ขยายตัว”

ขณะที่แนวโน้มปี 68 คาดจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 363,600 หน่วย เพิ่มขึ้น  3.7% มูลค่า 1.04 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% ประกอบด้วยบ้านจัดสรร 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% มูลค่า 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% และคอนโดฯ 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.5% มูลค่า 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้19พ.ย. “แข็งค่าขึ้นมาก” ที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากราคาทองคำสามารถปรับตัวสูงขึ้นจากแรงหนุนจากสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เริ่มชะลอลง วันนี้ ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงทั้ง ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางยุโรป และเฟด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้19พ.ย. 2567 ที่ระดับ  34.60 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.85 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มอ่อนกำลังลงมากขึ้น

สอดคล้องกับ Call Short-term USDTHB peak ของเราเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากราคาทองคำสามารถปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในช่วงนี้

เรามองว่า ราคาทองคำอาจได้แรงหนุนจากสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ทว่า ราคาทองคำก็อาจเผชิญแรงกดดันได้ หากผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า

เฟดจะลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot พอสมควร ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ที่จะทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้

อนึ่ง แม้ว่าเงินบาทจะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ทว่าการแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่บรรดานักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าทยอยขายสินทรัพย์ไทย นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจยังพอได้แรงหนุน ในกรณีที่บรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ โดยเฉพาะ BOE ยังส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยต่อได้ ซึ่งอาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลง

ทั้งนี้ หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสสูงที่จะกลับตัวเข้าสู่แนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ หากประเมินจากกลยุทธ์ Trend Following

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (กรอบการเคลื่อนไหว 34.53-34.87 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ราว +30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซน 2,610-2,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กลับมาทวีความร้อนแรงมากขึ้น

โดยเฉพาะหลังล่าสุด ทางการสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ยูเครนสามารถใช้ระบบอาวุธ ATACMS (MGM-140 Army Tactical Missile System) โจมตีเป้าหมายในดินแดนรัสเซีย เฉพาะในพื้นที่ Kursk Oblast เท่านั้น (ติดชายแดนทางเหนือของยูเครน ไม่ห่างจากเมืองหลวง Kyiv และเมืองสำคัญอย่าง Kharkiv) ซึ่งการอนุมัติดังกล่าวของทางการสหรัฐฯ

ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า สถานการณ์สงครามเสี่ยงบานปลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียได้ นอกจากนี้ ความกังวลดังกล่าวยังได้สะท้อนผ่าน การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานเช่นกัน

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงแถวโซนแนวรับ 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น

รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง น้ำมันดิบด้วยเช่นกัน หลังราคาน้ำมันดิบเริ่มกลับมาปรับตัวขึ้น และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงอยู่

แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินอาจถูกกดดันบ้างจากความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่

โดยเฉพาะ Tesla +5.6% ท่ามกลางความหวังว่ารัฐบาล Trump 2.0 อาจผ่อนคลายกฎระเบียบควบคุมรถยนต์ไร้คนขับ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.60% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.39%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.06% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มบริษัทยา อาทิ Novo Nordisk -0.7% สอดคล้องกับแรงขายหุ้นกลุ่ม Healthcare สหรัฐฯ ในช่วงนี้

ทว่าตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.1% ยกเว้น Equinor -3.4% หลังทาง Equinor ได้ระงับการผลิตน้ำมันที่บ่อน้ำมัน Johan Sverdrup ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา

ในส่วนของตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.50% ได้ ท่ามกลางความต้องการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวของผู้เล่นในตลาด ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงสู่โซน 4.40% โดยเรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways แถวโซนปัจจุบัน

จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างก็ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดตาม Dot Plot เดือนกันยายน ไปพอสมควรแล้ว โดยผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาส 58% ที่จะลดดอกเบี้ย ในการประชุมเดือนธันวาคม

ส่วนในปีหน้า เฟดอาจลดดอกเบี้ยต่อราว 2 ครั้ง ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว (เน้น Buy on Dip)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) กลับมาแข็งค่าขึ้นสู่โซน 154.40 เยนต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เริ่มชะลอลง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจต้องการถือเงินดอลลาร์เพื่อรับมือความไม่แน่นอนของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ดูจะร้อนแรงขึ้นในช่วงนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 106.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.1-106.8 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความร้อนแรงขึ้น รวมถึงจังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นกลับสู่โซน 2,615 ดอลลาร์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว

โดยเรามองว่า ควรจับตาถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOE ในช่วง 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า BOE จะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งหาก BOE ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็อาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) มีโอกาสอ่อนค่าลงได้ 

นอกเหนือจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กลับมาเป็นประเด็นความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงอีกครั้ง รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.64-34.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ  

โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น โดยน่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวกลับขึ้นมายืนเหนือแนว 2,600 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังเผชิญแรงขายทำกำไรและปรับโพสิชั่นต่อเนื่อง หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.45-34.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของยูโรโซน  และข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“เคซี” เพชรดา เคซี ตัน ปลื้มผลงานปี 2024 คว้าแชมป์​โลกยูยิตสู 3 รุ่น

“เคซี” เพชรดา เคซี ตัน อดีตนักสถาปนิกสาว ที่ผันตัวมาเป็นนักกีฬายูยิตสู สร้างชื่อให้ประเทศไทย อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์โลกยูยิตสู สายดำ รุ่น 49 กก.หญิง ในศึก อาบู ดาบี เวิลด์ มาสเตอร์ ยูยิตสู แชมเปี้ยนชิพ 2024 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ทำให้ในปีนี้เจ้าตัวคว้าแชมป์โลกได้รายการใหญ่ได้ถึง 3 แมตช์

การแข่งขันยูยิตสูชิงแชมป์โลก “อาบู ดาบี เวิลด์ มาสเตอร์ ยูยิตสู แชมเปี้ยนชิพ 2024” ที่อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปิดฉากลงไปแล้ว โดยรายการนี้ ผลปรากฎว่า “เคซี” เพชรดา เคซี ตัน อดีตสถาปนิกสาวที่ผันตัวมาเป็นนักกีฬายูยิตสู สร้างชื่อให้ประเทศไทย อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์สายดำ รุ่น 49 กก.หญิงมาครองได้สำเร็จ ซึ่งในรอบชิงชนะเลิศ เพชรดา เอาชนะ อนาสตาเซีย ลีโอโนวิช จากรัสเซีย ไปได้ 10-0 ทำให้ในปีนี้เจ้าตัวคว้าแชมป์โลกไปได้ถึง 3 รายการใหญ่ นอกจากศึกล่าสุดที่ทำสำเร็จ ยังได้แชมป์จากรายการ “ไอบีเจเจเอฟ เวิลด์ มาสเตอร์ส 2024” ที่ลาสเวกัสสหรัฐฯ และ “เจเจไอเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2024” ที่ประเทศกรีซ

“เคซี” เพชรดา ออกมาเปิดเผยว่า ตนเองมีความสุขกับผลการแข่งขันในครั้งนี้มาก ยอมรับว่าในปีนี้ทุกการแข่งขันมีความกดดันมาก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวน ซึ่งทำให้ครึ่งปีแรกแทบไม่ได้แข่งและแทบจะซ้อมหนักอย่างที่เคยไม่ได้ โดยเฉพาะรายการนี้ 1 อาทิตย์ก่อนแข่ง ได้รับบาดเจ็บหนักอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ และการได้แชมป์โลกรายการใหญ่ในปีนี้ถึง 3 รายการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรายการที่สหพันธ์ฯ รับรอง ก็คือความภูมิใจเป็นที่สุด เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้ 

เพชรดา เผยอีกว่า จากนี้จะกลับไปฟื้นฟูร่างกายให้ดีขึ้น หลังกรำศึกหนักมาตลอดทั้งปี และค่อยเตรียมแข่งขันในปีหน้าต่อไป ทั้งนี้เป้าหมายใหญ่ในอนาคตที่อยากจะทำให้ได้ คือการเก็บประสบการณ์ ทำชื่อเสียงระดับนานาชาติเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬาไทย แล้วไปล่าเหรียญรางวัลในมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ 2026 ที่เมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ให้กับประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจากsiamsport.co.th


“เบาหวานชนิดที่ 1” กับ “เบาหวานชนิดที่ 2” ต่างกันอย่างไร แบบไหนอันตรายกว่า

โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุดคือ เบาหวานชนิดที่ 1 และ เบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งแม้จะเรียกว่าเบาหวานเหมือนกัน แต่ทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในแง่ของสาเหตุ การเกิดโรค อาการ และวิธีการรักษา

“เบาหวานชนิดที่ 1” กับ “เบาหวานชนิดที่ 2” ต่างกันอย่างไร

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เชื่อกันว่าเกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง และมักเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น ในขณะที่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 พัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายปี และเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การขาดการออกกำลังกายและน้ำหนักเกิน โดยมักพบในผู้ใหญ่

สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 1

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม เช่น ไวรัสและแบคทีเรียที่เป็นอันตราย

เชื่อกันว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันผิดปกติ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าใจผิดและโจมตีเซลล์ปกติของร่างกายเอง ระบบภูมิคุ้มกันจะโจมตีและทำลายเซลล์เบต้าที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อน เมื่อเซลล์เบต้าเหล่านี้ถูกทำลาย ร่างกายจะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้

นักวิจัยยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเซลล์ของร่างกายเอง อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสกับไวรัส การวิจัยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ยังคงดำเนินอยู่ อาหารการกินและวิถีชีวิตไม่มีผลทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1

สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่างกายยังคงผลิตอินซูลิน แต่ไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นักวิจัยยังไม่แน่ใจว่าทำไมบางคนจึงดื้อต่ออินซูลิน ในขณะที่บางคนไม่ดื้อ แต่ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์หลายอย่างอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น การขาดการออกกำลังกายและน้ำหนักเกิน ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อาจมีบทบาทเช่นกัน เมื่อคุณเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตับอ่อนของคุณจะพยายามชดเชยโดยการผลิตอินซูลินมากขึ้น เนื่องจากร่างกายของคุณไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลูโคสจึงสะสมอยู่ในกระแสเลือด

โรคเบาหวานส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร

ทั้งสองประเภทของโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อวิธีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือกลูโคสของร่างกาย กลูโคสเป็นเชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย แต่เพื่อเข้าสู่เซลล์ของคุณ มันต้องมีกุญแจ อินซูลินคือกุญแจนั้น

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ไม่ผลิตอินซูลิน คุณสามารถคิดว่ามันเหมือนกับไม่มีกุญแจ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีเท่าที่ควร และในภายหลังของโรคมักจะผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ คุณสามารถคิดว่ามันเหมือนกับมีกุญแจหัก

ทั้งสองประเภทของโรคเบาหวานสามารถนำไปสู่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ยังไม่ชัดเจนเท่ากับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ทราบกันดี ได้แก่

  • ประวัติครอบครัว: ผู้ที่มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สูงขึ้น
  • อายุ: โรคเบาหวานชนิดที่ 1 สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ แต่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กและวัยรุ่น

คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หากคุณ

  • มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเล็กน้อย (Prediabetes)
  • มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
  • มีไขมันสะสมมากที่บริเวณหน้าท้อง
  • ออกกำลังกายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • อายุมากกว่า 45 ปี
  • เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)
  • เคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 9 ปอนด์
  • เป็นชาวแอฟริกันอเมริกัน ฮิสแปนิกหรือลาติน อเมริกันอินเดียน หรืออะแลสกันเนทีฟ เนื่องจากความไม่เท่าเทียมทางโครงสร้างที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ
  • มีสมาชิกในครอบครัวใกล้ชิดเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • เป็นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome – PCOS)

อาการของโรคเบาหวาน

หากไม่ได้รับการจัดการ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 สามารถนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น

  • ปัสสาวะบ่อย: เนื่องจากร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
  • กระหายน้ำมาก: ร่างกายขาดน้ำจากการขับปัสสาวะบ่อย
  • หิวบ่อย: ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รู้สึกหิวบ่อย
  • อ่อนเพลีย: เนื่องจากเซลล์ในร่างกายไม่ได้รับพลังงานเพียงพอ
  • สายตามัว: น้ำตาลในเลือดสูงอาจทำให้น้ำเลนส์ตาเปลี่ยนแปลง
  • แผลหายช้า: ระบบภูมิคุ้มกันทำงานไม่ดี ทำให้แผลหายช้า
  • ผิวแห้ง: การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดอาจส่งผลต่อความชุ่มชื้นของผิวหนัง
  • ติดเชื้อบ่อย: ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
  • อารมณ์แปรปรวน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่ผันผวนอาจส่งผลต่ออารมณ์
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ: ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงนำไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้แทน

หมายเหตุ: อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏในทุกคน หรืออาจปรากฏในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน

การรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ไม่สามารถผลิตอินซูลิน ดังนั้นจึงต้องได้รับอินซูลินอย่างสม่ำเสมอ และต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ

บางคนฉีดอินซูลินเข้าใต้ผิวหนัง เช่น ท้อง แขน หรือสะโพก วันละหลายครั้ง คนอื่นๆ ใช้ปั๊มอินซูลิน ปั๊มอินซูลินจ่ายอินซูลินปริมาณคงที่เข้าสู่ร่างกายผ่านท่อเล็กๆ

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นส่วนสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสามารถขึ้นลงได้อย่างรวดเร็ว

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถควบคุมและป้องกันได้ด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย แต่หลายคนอาจต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติม หากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่เพียงพอ แพทย์อาจสั่งยาที่ช่วยให้ร่างกายใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นส่วนสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยเช่นกัน เป็นวิธีเดียวที่จะรู้ว่าคุณบรรลุเป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดของคุณหรือไม่ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นครั้งคราวหรือบ่อยครั้งขึ้น หากระดับน้ำตาลในเลือดของคุณสูง แพทย์อาจแนะนำการฉีดอินซูลิน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลง ใช้ในชีวิตประจำวัน

30 สำนวนภาษาอังกฤษ ใช้ในชีวิตประจำวัน

“สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลง วลีภาษาอังกฤษที่วัยรุ่นมักชอบใช้กัน พร้อมความหมายและคำแปลภาษาไทย”

สำนวนภาษาอังกฤษ (Idioms)

สำนวนภาษาอังกฤษ (Idioms) คือ ประโยคหรือคำศัพท์ ที่มีความหมายไม่ตรงตัว หรือแปลตรงตัวไม่ได้ เปรียบเทียบคล้ายๆ กับสำนวนสุภาษิตของไทย ในการใช้สำนวนภาษาอังกฤษนี้ ทำให้เราพูดเหมือนเจ้าของภาษา และสามารถนำไปใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้

สำนวนภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวัน (English Phrases for Everyday Use)

สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลง ใช้ในชีวิตประจำวัน มีอะไรบ้างมาดูกันเลย

1. Twenty-four Seven “ตลอดเวลา หรือ ไม่มีวันหยุด”

“Twenty-four Seven” เนื่องจากหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์ก็มี 7 วัน สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า “ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกๆวัน”

2. Get the ball rolling. “เริ่มต้น เริ่มดำเนินการ”

“Get the ball rolling” ความหมายของสำนวนภาษาอังกฤษนี้ ก็คือ เริ่มทำอะไรสักอย่าง แค่จำไว้ว่า “Let’s get the ball rolling” ความหมายเหมือนกับ Let’s start now เราเริ่มกันเถอะ

3. Take it easy. “ทำตัวสบาย ๆ”

“Take it easy” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I don’t have any plans this weekend. I think I’ll take it easy.” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ ทำตัวสบาย ๆ “ผ่อนคลาย” หรือ “พักผ่อน” ค่ะ สำนวนนี้ก็เข้าใจง่ายเหมือนกันค่ะ “I’m going to take it easy.” ความหมายก็คือ “I’m going to relax. ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย”

4. Sleep on it. “คิดทบทวน พิจารณาอย่างหนัก”

“Sleep on it” ถ้ามีคนๆหนึ่งพูดว่า “I’ll sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย” เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I’ll get back to you tomorrow. I have to sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอเวลาตัดสินใจสักหน่อย แล้วจะบอกคำตอบพรุ่งนี้” เพราะฉะนั้น “Sleep on it คือ ขอเวลาตัดสินใจ แล้วจะบอกคำตอบทีหลัง”

5. I’m broke. “ฉันไม่มีเงินเลย ถังแตก”

“I’m broke.” อันนี้ได้ยินบ่อยมากๆเลยค่ะ สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่า ในร่างกายไม่ได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดเสียหรือใช้การไม่ได้ แต่ความหมายจริงๆ ของสำนวนนี้ ก็คือ “ฉันไม่มีเงินเลย” หรือ “ถังแตก” นั่นเองค่ะ

“I’m broke.” เท่ากับ “I have no money ฉันไม่มีเงินเลย” สำนวนนี้ใช้กันมาก และได้ยินกันบ่อยๆค่ะ

6. Sharp. “ตรง (เวลา)”

“Sharp” ใช้กับเวลา ยกตัวอย่างเช่น “The meeting is at 7 o’clock sharp!” ความหมายก็คือ “การประชุมจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเป๊ะ” เวลามีคนใช้คำว่า “Sharp” ตามหลังเวลาพูดกับคุณ ความหมายก็คือเขาต้องการย้ำเวลานั้นๆ และบอกคุณว่า “อย่ามาสายนะ”

7. Like the back of my hand “รู้เรื่องดี คุ้นเคยดี ราวกับหลังมือของเราเอง”

“Like the back of my hand” ความหมายคือ “the back of my hand หรือ หลังมือของตัวเอง” เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลังมือคุณ คุณเห็นอยู่ทุกวัน

เพราะฉะนั้นถ้าฉันพูดว่า “I know this city like the back of my hand.” ความหมายก็คือ “ฉันรู้จักเมืองนี้ดีมากๆ ฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้” สำนวนนี้ก็ใช้กันบ่อยมาก

เราอาจปรับเปลี่ยนใช้สำนวนนี้ได้ว่า “He knows this city like the back of ‘his’ hand” ก็ได้นะคะ ความหมายก็จะยังเหมือนกัน ก็คือ “รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดี หรือ คุ้นเคยเป็นอย่างดี” ค่ะ

8. Give me a hand. “ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”

“Give me a hand.” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “Do you want to give me a hand?” เขาหมายความว่า “Do you want to help me?” สมมุติว่ามีคนๆ หนึ่งถือของมา แล้วเขาพูดว่า “Would you give me a hand?” เขาไม่ได้ขอมือคุณเฉยๆ นะ เขากำลังขอให้คุณช่วยเขาหน่อยค่ะ “Would you give me a hand?” คือ “Would you help me? คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”

9. In ages. “เป็นเวลานาน”

“In ages” ยกตัวอย่างเช่นใช้ในประโยคว่า “I haven’t seen him in ages” ความหมายของ “in ages” ก็คือ “for a long time “เป็นเวลานานมาก” นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น “I haven’t seen him in ages” ก็เท่ากับ “I haven’t seen him for a long time ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว” จำไว้นะคะ “in ages” แปลว่า “เป็นเวลานานมาก”

10. Sick and tired. “ไม่ชอบ”

“Sick and tired” สำนวนนี้แปลได้ว่า “ไม่ชอบ หรือ เกลียด” ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่า “I’m sick and tired of doing homework.” ความหมายก็คือ “ฉันไม่อยากทำการบ้านแล้ว ฉันไม่ชอบทำการบ้านเลย”

11. Behind one’s back. “พูดลับหลัง”

“behind one’s back” แปลว่า พูดหรือกระทำโดยอีกคนหนึ่งไม่รู้ตัว หรือ พูดลับหลัง ตัวอย่างเช่น Pete loves to gossip Jay behind his back. (พีทชอบที่จะนินทาเจลับหลัง โดยเขาไม่รู้ตัว)

12. Turn one’s back on. “ไม่สนใจ, ทอดทิ้ง”

“turn one’s back on” แปลว่า ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ ทอดทิ้ง ตัวอย่างเช่น John never turn his back on his girlfriend when she needs help. (จอห์นไม่เคยไม่เคยทอดทิ้งเฉยเมยต่อแฟนสาวของเขา เมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ)

13. Get back at. “แก้แค้น”

“get back at” แปลว่า แก้แค้น แก้เผ็ด เอาคืน ตัวอย่างเช่น If it takes me 10 years I will get back at him. (ถึงแม้จะต้องเสียเวลาสัก 10 ปี ผมก็จะต้องแก้แค้นมัน)

14. Hold something back “ซ่อน, ไม่เปิดเผย”

“hold something back” แปลว่า ซ่อน ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย ตัวอย่างเช่น I could tell from his nervousness that he was holding back something. (ฉันสามารถจะบอกจากอาการตื่นเต้นของเขาได้ว่า เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง)

15. Be my guest. “ตามสบายเลย”

“be my guest” แปลว่า พูดหรือทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกัน

16. Be oneself. “เป็นปกติธรรมดา”

“You haven’t been yourself lately. Is anything wrong?” (เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรรึเปล่า)

17. Be tired of. “รำคาญ, เบื่อ”

เช่น I was tired of working for other people, so now I’m self-employed. (ผมเบื่อที่เป็นลูกจ้าง ขณะนี้ได้ออกมาทำกิจการของตนเองแล้ว)

18. Beyond hope “ไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น”

ตัวอย่างเช่น Everyone has tired to help him with his drink problem, but I think he is beyond hope. (ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาดื่มเหล้า แต่ฉันว่าไร้ประโยชน์)

19. Big-headed “หยิ่งยะโส”

ตัวอย่างเช่น “Here she comes! she always boasts about her success. I don’t know why she’s so big-headed.” (นี่ไงล่ะ คนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบอวดตัวเองนัก)

20. A great deal. “จำนวนมาก”

ตัวอย่างเช่น We’ve heard a great deal about you. (พวกเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมากมาย)

21. After all. “อย่างไรก็ตาม”

ตัวอย่างเช่น But after all, they are our children. (แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกๆ ของเรานะ)

22. After one’s own heart “ได้ดังใจ, สมใจ, ถูกใจจริงๆ”

ตัวอย่างเช่น I love you, boy. You are always a child after my own heart. (พ่อรักลูกนะ ลูกเป็นลูกที่สมใจพ่อเสมอ)

23. All over the place. “ทั่วทุกที่”

“All over the place” แปลว่า ทั่วทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง กระจัดกระจาย เกลื่อน ตัวอย่างเช่น Your books are all over the place. (หนังสือของคุณวางอยู่ทั่วไปหมด)

24. Around the corner “อยู่ใกล้ๆ”

“Around the corner” แปลว่า อยู่ใกล้ๆ อยู่ไม่ไกล ใกล้เข้ามาแล้ว ตัวอย่างเช่น The examination is right around the corner. (การสอบใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว)

25. As a matter of fact. “อันที่จริง”

“As a matter of fact” แปลว่า อันที่จริง ตามที่จริง จริงๆ แล้วตัวอย่างเช่น As a matter of fact, l don’t like them either. (อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน)

26. As far as I am concerned. “ตามความเห็นของฉัน”

“As far as I am concerned” แปลว่า ตามความเห็นของฉัน ตามความคิดฉัน เท่าที่ทราบ ตัวอย่างเช่น As far as I am concerned, he should get fired. (ตามความเห็นฉันนะ เขาควรจะถูกไล่ออก)

27. Watch your mouth. “ระวังคำพูด”

“Watch your mouth” แปลว่า ระวังปาก ระวังคำพูด มีความหมายเดียวกับ Watch your tongue

28. Let the cat out of the bag. “หลุดปากเผยความลับออกมา”

ตัวอย่างเช่น “I let the cat out of the bag about their wedding plans.”

29. To feel under the weather. “ไม่สบาย ป่วย”

ตัวอย่างประโยค “I’m really feeling under the weather today; I have a terrible cold.”

30. Jack of all trades. “รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งจริงสักอย่าง”

ตัวอย่างประโยค “A jack of all trades,master of none.” แปลว่า รู้ไปหมด แต่ไม่เก่งสักอย่าง

31. Bear with me. “ การบอกให้ใครสักคน อดทนกับคุณ”

ตัวอย่างประโยค “Please bear with me, our computer system is running very slowly today.” แปลว่า อดทนหน่อยนะ วันนี้ระบบคอมพิวเตอร์ของเราทำงานช้ามาก

สำนวนภาษาอังกฤษ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

(Daily Routines Idioms and Phrases)

Crash a Party “แขกไม่ได้รับเชิญ”

“Let’s go out and crash a party. There are dozens of parties tonight, and nobody will be keeping track of guest lists.”

Hit the Books “อ่านหนังสือสอบ”

“OK, I’ll come to the party Friday. But Saturday it’ll be time to hit the books.”

In Touch “ติดต่อ, ไปมาหาสู่”

“I’ll be out of town this weekend, but I’ll be in touch when I get back Sunday night.”

On a Roll “ทำสำเร็จ อย่างต่อเนื่อง”

“I’m on a roll! I got a top score on my exam, I got a new job, and I have a date with a great guy on Saturday.”

Play With Fire “ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย”

“You’re playing with fire if you keep driving that car-the floor under the seat is almost completely rusted out.”

Ring a Bell “เหมือนเคยได้ยิน”

“The name Susan Thompson rings a bell. I think she worked here-let me look it up.”

Spin A Yarn “พูดพล่าม”

“Sophia spun a long yarn about missing the bus, getting caught in traffic, and having to visit a sick friend, but I think she just overslept.”

Trip the Light Fantastic “การเต้นรำ”

“ She’s our flat mate. We take the mickey out of her all the time, but we love her.”

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


องค์กร 23% ระบุนำ AI ทรานฟอร์มธุรกิจ-สินค้าบริการ

งานวิจัยเผยมีเพียง 23% บริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใช้ AI เปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างแท้จริง ขณะที่ระดับความก้าวหน้าของการนำ AI มาใช้มีความแตกต่างชัดเจน โดยสิงคโปร์มีการพัฒนาและมีผู้นำด้าน AI เพิ่มขึ้น ขณะที่มาเลเซียและไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และระดับกลางการพัฒนา

ในขณะที่กระแสการนำ AI มาปฏิวัติธุรกิจจะมีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก แต่จากการข้อมูลของ IDC Data and AI Pulse: Asia Pacific 2024 ที่ร่วมกับ SAS ทำการศึกษาพบว่า มีเพียง 23% ขององค์กรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นที่สามารถนำ AI มาใช้ในลักษณะที่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ซึ่งนี่หมายถึงองค์กรที่มีแผนการลงทุนระยะยาวและนำเอา AI มาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนตลาดและลูกค้าด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ รวมถึงประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ

นายคริส มาร์แชลล์ รองประธานฝ่ายข้อมูล การวิเคราะห์ AI ความยั่งยืน และการวิจัยอุตสาหกรรม บริษัทไอดีซี แปซิฟิค จำกัด ( IDC Asia/Pacific) เปิดเผยว่าการศึกษาของ IDC Data and AI Pulse: Asia Pacific 2024 คือภาพรวมที่สำคัญซึ่งแสดงให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่นับหลายร้อยแห่งมีการมุ่งเน้นการนำ AI มาใช้ รวมถึงปรับใช้ในองค์กรอย่างไร โดยชี้ให้เห็นถึงผู้นำและผู้ตามในทั่วทุกอุตสาหกรรม

“ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงอุปสรรคที่ขัดขวางความสำเร็จในการใช้ AI เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเติบโตเหล่านี้ได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่ต้องเสี่ยงไปกับกระแสความตื่นตัวเหมือนยุคขุดทองในการใช้เทคโนโลยี”

การศึกษานี้ครอบคลุม 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย การสำรวจพบว่าเหตุผลหลักที่นำไปสู่ล้มเหลวด้าน AI ในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามเหล่านี้ ได้แก่ ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือหรือคุณภาพของข้อมูลที่ไม่ดี (40%) รองลงมาคือปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว (Privacy) หรือข้อจำกัดด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (38%) รวมถึงการไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเนื่องจากข้อจำกัดทางธุรกิจ (36%) นอกจากนี้ รายงานยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้ใช้เทคโนโลยีในระยะเริ่มต้นเผชิญ เช่น การขาดบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะ (41%) การจัดการต้นทุนในการพัฒนาและนำ AI มาใช้ (30%) และการขาดเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนสำหรับโซลูชัน AI (29%)

จากรายงานดังกล่าว สิงคโปร์มีความโดดเด่นในฐานะผู้นำของภูมิภาคด้านการนำ AI เข้ามาใช้งาน ขณะที่ประเทศไทยและมาเลเซียกำลังกลายเป็นตลาด AI ที่มีศักยภาพ โดยมีเป้าหมายในการใช้ AI เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพิ่มพูนผลกำไร และเน้นหนักในด้านการประหยัดต้นทุน ดังนั้น ทั้งประเทศไทยและมาเลเซียจึงเลือกที่จะใช้แนวทางในการเฝ้าดูการพัฒนาเทคโนโลยี AI และกรณีการใช้งานต่างๆ ก่อนที่จะนำเสนอนโยบาย AI โดยเฉพาะ

นายอามีร์ โซห์ราบี รองประธานฝ่ายภูมิภาค และหัวหน้าฝ่ายดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันประเทศเกาหลีและภูมิภาคอาเซียน บริษัท แซส ซอฟต์แวร์ จำกัด  (SAS) กล่าวว่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราพบว่าระดับความพร้อมด้าน AI มีความแตกต่างกัน ในขณะที่สิงคโปร์กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านนี้ ธุรกิจในประเทศไทยและมาเลเซียยังอยู่ในระยะเริ่มต้นถึงระยะกลางของการนำ AI มาใช้ ในขณะที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเครื่องมือ AI ที่สร้างเนื้อหาได้และรู้สึกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์

แต่การนำ AI ไปประยุกต์ใช้จริงในองค์กรนั้น จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านข้อมูลที่แข็งแกร่งและกระบวนการที่มีโครงสร้างชัดเจน เพื่อให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ ข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญของ AI หากข้อมูลมีความผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ก็จะผิดเพี้ยนไปด้วย นี่คือเหตุผลที่เราช่วยให้องค์กรสามารถสร้างข้อมูลที่สะอาดและเชื่อถือได้สำหรับ AI ผ่านความสามารถในการนำเข้าและเตรียมข้อมูลของเรา”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค “ความดันโลหิตสูง”

อาหารเพื่อสุขภาพให้คุณประโยชน์มากมาย สำหรับการจัดการกับความดันโลหิต นอกจากนี้ การดูดซึม วิตามินและแร่ธาตุ บางชนิด ก็สามารถส่งผลดีต่อความดันโลหิตตามธรรมชาติได้ คุณทราบหรือไม่ว่าเป็นแร่ธาตุและวิตามินประเภทใดบ้าง ลองอ่านต่อไป

โพแทสเซียม

โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญ ระดับปกติของโพแทสเซียมส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อที่เป็นปกติ อย่างเช่นการคลายลายเนื้อเยื่อเส้นเลือด สิ่งนี้ช่วยลดความดันเลือด และป้องกันการเกิดตะคริวได้ โพแทสเซียมช่วยเอื้อต่อความดันเลือดตามธรรมชาติ โดยการลดผลกระทบของโซเดียม ระดับโพแทสเซียมที่เพียงพอ ยังช่วยป้องกันการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติได้ โดยรักษาการนำไฟฟ้าของสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจและระบบประสาทส่วนกลางให้เป็นปกติ แนะนำว่าร่างกายของคุณ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ควรได้รับโพแทสเซียมในปริมาณ 4,700 มิลลิกรัมต่อวัน โพแทสเซียมสามารถพบได้ในมันฝรั่ง ลูกพรุน แอปริคอต เห็ด ถั่ว ส้ม ปลาทูน่า ผักโขม มะเขือเทศ ลูกเกด เกรฟฟุต นมพร่องมันเนย และโยเกิร์ต

แมกนีเซียม

แมกนีเซียมสามารถช่วยควบคุมความดันเลือดของคุณได้ แมกนีเซียมช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว เป็นการลดความดันเลือด แมกนีเซียมในระดับสูงสามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้ อย่างไรก็ดี ร่างกายจะแมกนีเซียมไปได้เมื่อคุณถ่ายปัสสาวะ อาหารจำพวกผักใบเขียวเข้ม ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำคือ 420 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชายอายุ 50 ปีหรือมากกว่า และ 320 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้หญิงอายุ 50 ปีหรือมากกว่า อย่างไรก็ตาม แมกนีเซียมในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้

แคลเซียม

แคลเซียม สามารถช่วยให้ผนังหลอดเลือดเกร็งและคลายในเวลาที่ต้องการ สิ่งนี้ช่วยควบคุมความดันเลือดได้ แคลเซียมสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนยแข็ง ในผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม และในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำอยู่ระหว่าง 1,000 และ 1,200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชายอายุ 51 ปีหรือมากกว่า และ 1,200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้หญิงอายุ 51 ปีหรือมากกว่า

วิตามินอี

วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน วิตามินอีสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด ได้แก่ ธัญพืช เนื้อสัตว์ ไข่ ผลไม้ สัตว์ปีก ผัก น้ำมันพืช และอาหารเสริม วิตามินอีสามารถคงอยู่ในร่างกายได้ จึงไม่ค่อยพบภาวะขาดวิตามินอี วิตามินอีสามารถใช้เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง วิตามินอีส่งผลต่อการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว สิ่งนี้ช่วยลดความดันโลหิต ทั้งความดันในขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัว นอกจากนี้ วิตามินอียังสามารถป้องกันภาวะหัวใจวาย อาการเจ็บหน้าอก โรคอัลไซเมอร์ ความผิดปกติเกี่ยวกับเลือด ปัญหาเกี่ยวกับไต ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และโรคพาร์กินสัน

วิตามินซี

วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตวิตามินซีได้เอง แต่คุณสามารถรับวิตามินซีได้จากอาหารต่างๆ เช่น ผักและผลไม้สด และอาหารเสริม อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคุณควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี แทนการรับประทานอาหารเสริม เชื่อกันว่าวิตามินซีสามารถรักษาหรือป้องกันอาการติดเชื้อ โรคซึมเศร้า ปัญหาเกี่ยวกับการคิด โรคอัลไซเมอร์ อาการอ่อนเพลีย โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะคลอเรสเตอรอลสูง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความดันเลือดสูง วิตามินซีช่วยลดภาวะความเครียดจากการเกิดอนุมูลอิสระ และช่วยกระตุ้นผลของการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยลดความดันเลือดลงได้

วิตามินดี

วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน พบได้ในปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ในผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนยแข็ง ในน้ำผลไม้และธัญพืชที่มีฉลากติดไว้ว่า ‘เสริมวิตามินดี’ อย่างไรก็ดี คุณสามารถได้รับวิตามินดีโดยส่วนมากได้จากการรับแสงแดด วิตามินดีมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดและอาการโรคของหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคอ้วน เบาหวาน ภาวะไตล้มเหลว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และโรคเกี่ยวกับฟันและเหงือก สิ่งที่คุณรับประทานสามารถส่งผลต่อสุขภาพของคุณได้เสมอ เพื่อให้มีความดันโลหิตที่เหมาะสม อาหารที่มีประโยชน์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ แร่ธาตุจำเพาะและวิตามินที่กล่าวถึงข้างต้น ควรรวมอยู่ในมื้ออาหารของคุณด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/11/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a42,900.0043,000.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,779.0042,129.6443,500.00
ทองรูปพรรณ 90%2,501.1037,916.68n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,223.2033,703.71n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,251.0018,965.16n/a
ทองรูปพรรณ 40%973.0014,750.68n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,880.0043,660.80n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/11/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.6535.6536.2535.6535.6535.6535.6535.6535.6535.65
แก๊สโซฮอล์ 9135.2835.2835.8835.2835.2835.2835.2835.2835.2835.28
แก๊สโซฮอล์ E2033.5433.5434.1433.5433.5433.5433.5433.5433.54
แก๊สโซฮอล์ E8533.2933.2933.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.2449.8449.8449.8444.24
เบนซิน 9543.9449.8144.4444.0943.94
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า