“บ้านเพื่อคนไทย”ถ้าทำได้จริง ช่วยคนไทย มีที่อยู่อาศัย
บทความ : สุรเชษฐ กองชีพ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ “บ้านเพื่อคนไทย”ถ้าทำได้จริง ช่วยคนไทย มีที่อยู่อาศัย กลุ่มคนที่เพิ่งเรียนจบหรือเพิ่งเริ่มทำงาน เช่าระยะยาว 99 ปี ค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท ไม่ต้องมีเงินดาวน์ แต่ต้องมีเงื่อนไขชัดเจนไม่เช่นนั้นจะเกิดการลงทุนผ่านตัวแทน
โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ที่รัฐบาลประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยด้วยการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้วให้ผู้ที่มีรายได้น้อยที่ยังไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง และกลุ่มคนที่เพิ่งเรียนจบหรือเพิ่งเริ่มทำงาน เช่าระยะยาว 99 ปีด้วยค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท โดยที่ไม่ต้องมีเงินดาวน์หรือเงินล่วงหน้าใดๆ ซึ่งถ้าสามารถทำได้จริงเชื่อว่าจะช่วยให้คนไทยกลุ่มหนึ่งมีที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงอยู่อาศัยได้ หรืออาจจะช่วยให้คนไทยจำนวนมากในอนาคตมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ถ้าโครงการนี้ประสบความสำเร็จแล้วมีการขยายโครงการหรือมีการพัฒนาเฟสต่อไปเรื่อยๆ
ปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าแรงหรือเงินเดือนส่วนใหญ่ของคนไทย ดังนั้น คนไทยจำนวนมากไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ การเช่าอยู่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องมีเงินอยู่ระดับหนึ่งในตอนแรกเพราะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องจ่ายมากกว่าค่าเช่ารายเดือนด้วย
ดังนั้น จึงไม่ใช่ทุกคนที่มีรายได้น้อย หรือคนที่เพิ่งเริ่มทำงานจะเช่าที่อยู่อาศัยได้ทันที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพราะติดขัดหลายเรื่องแน่นอน ยิ่งถ้าเป็นคนจากต่างจังหวัดการซื้อที่อยู่อาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จอาจจะต้องมีภาระเรื่องของค่าใช้จ่ายสองต่อ เพราะต้องจ่ายค่าเช่าที่อยู่อาศัยปัจจุบัน และค่าผ่อนชำระรายเดือนจนกว่าโครงการจะสร้างเสร็จ ซึ่งถือว่าเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักพอสมควร
ถ้ารัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้จริงจังและต่อเนื่องจะเป็นผลดีกับคนไทยมาก เพียงแต่อาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องของทำเลที่ตั้งโครงการในมาตรการนี้ด้วยว่าอยู่ตรงไหน และห่างจากแหล่งงานของกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดนั้นๆ มากน้อยเพียงใด เพราะการมีที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงแต่ต้องจ่ายค่าเดินทางสูงๆ ก็อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก รวมไปถึงความเป็นชุมชนของพื้นที่โดยรอบด้วย ไม่ใช่จะอาศัยคนในโครงการเท่านั้นในการสร้างชุมชนขึ้นมาใหม่ เพราะถ้าที่ตั้งของโครงการนี้ห่างไกล ไม่มีความเป็นชุมชนในพื้นที่โดยรอบรองรับ สุดท้ายแล้วโครงการของรัฐบาลอาจจะกลายเป็นโครงการที่ไม่มีคนอาศัยก็ได้ เนื่องจากไกลจากทุกสิ่งมากเกินไป
นอกจากนี้ต้องมีการตรวจสอบสิทธิของคนที่เข้าร่วมโครงการนี้จริงจังเพื่อที่คนที่มีรายได้น้อยได้เป็นผู้ที่มีสิทธิในการเข้าพักอาศัยในโครงการจริงๆ และควรมีการควบคุมหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนในเรื่องของค่าเช่าที่ต้องอยู่ที่เท่านี้ หรือต้องเป็นไปตามที่ระบุเท่านั้นห้ามมากกว่าที่ระบุ
เพราะถ้าไม่ระบุแบบนี้อาจจะกลายเป็นโครงการที่พักอาศัยที่มีกลุ่มคนเข้าไปลงทุนผ่านตัวแทนหรือบุคคลที่พวกเขาจัดตั้งเข้าไปแล้วนำมาปล่อยเช่าต่อภายหลังในราคาที่สูงขึ้น นอกจากนี้ เรื่องของสัญญาเช่าระยะยาวอาจจะต้องมีความยืดหยุ่นในเรื่องของการยกเลิกหรือสละสิทธิ์ภายหลังเมื่อผู้ที่ได้รับสิทธิ์มีกำลังมากพอจะหาที่อยู่อาศัยของตนเองได้ รวมไปถึงการส่งต่อถึงคนในครอบครัวหรือบุตรหลานทางสายเลือดได้โดยตรงไม่ต้องเสียค่าดำเนินการใดๆ
เพราะระยะเวลาเช่าที่ยาวถึง 99 ปีสามารถรองรับคนได้อย่างน้อย 2 รุ่นเลย นอกจากนี้ถ้าโครงการสามารถนำมาขอสินเชื่อธนาคารได้ตามพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ์ก็อาจจะดีขึ้นในกรณีที่ผู้ที่มีสิทธิ์ในการพักอาศัยอาจจะต้องการเงิน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่ศักยภาพ และภาวะทางการเงินของผู้ที่จะขอสินเชื่อธนาคาร รวมไปถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่อาจจะมีระบุในสัญญาเช่า สุดท้ายแล้วคงต้องรอดูปีพ.ศ.2568 เมื่อโครงการนี้เริ่มดำเนินการและติดตามต่อเนื่องต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เคาะแก้กฎหมาย เว้นภาษีที่ดิน เพิ่มที่ดินรถไฟฟ้า เริ่ม 1 ม.ค.68
มติ ครม. ล่าสุด แก้กฎหมายยกเว้นภาษีที่ดินรถไฟฟ้า ครอบคลุมห้องอุปกรณ์-ชานชาลาสถานี เทียบเท่ารถไฟ มีผล 1 ม.ค. 68 ช่วยลดภาระผู้ประกอบการขนส่งทางราง
คณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 17 ธ.ค. 67 มีมติรับทราบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของนิยามคำว่า “ทางรถไฟฟ้า” ให้ครอบคลุมสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติม และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกิจการรถไฟและรถไฟฟ้าในการยกเว้นภาษี
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปัจจุบัน กฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ได้ระบุให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็น ทางรถไฟ หรือ ทางรถไฟฟ้า ซึ่งใช้ในกิจการของการรถไฟหรือรถไฟฟ้าโดยตรงได้รับการยกเว้นภาษี
อย่างไรก็ตาม พบว่านิยามคำว่า “ทางรถไฟ” มีขอบเขตที่ครอบคลุมมากกว่า โดยรวมถึงห้องระบบอาณัติสัญญาณและชานชาลาที่ใช้รอขึ้นลงรถไฟ
แต่คำว่า “ทางรถไฟฟ้า” กลับไม่มีการระบุในลักษณะเดียวกัน ส่งผลให้สิ่งปลูกสร้างของทางรถไฟได้รับการยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมากกว่าของทางรถไฟฟ้
เพื่อความสอดคล้องและเป็นธรรม ร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่ จึงเสนอให้แก้ไขนิยามคำว่า “ทางรถไฟฟ้า”
โดยเพิ่มเติมส่วนที่ครอบคลุมสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานรถไฟฟ้าโดยตรง ได้แก่:
- ห้องอุปกรณ์อาณัติสัญญาณภายในสถานี
- ห้องควบคุมระบบบังคับสัมพันธ์ภายในสถานี
- ห้องอุปกรณ์สื่อสารภายในสถานี
- ชานชาลาสถานีเฉพาะพื้นที่ที่ผู้โดยสารรอขึ้น-ลงรถไฟฟ้า
ผลบังคับใช้
ร่างกฎกระทรวงนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับกำหนดการประเมินภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จะเริ่มแจ้งการประเมินภาษีแก่ผู้เสียภาษีภายในเดือนกุมภาพันธ์ของแต่ละปี
วัตถุประสงค์
ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างการยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับทางรถไฟและทางรถไฟฟ้า
สร้างความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายแก่ผู้เสียภาษีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สนับสนุนกิจการขนส่งทางรางและบรรเทาภาระภาษีอย่างเท่าเทียม
สรุปผลที่คาดว่าจะได้รับ
ร่างกฎกระทรวงนี้จะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับกิจการขนส่งทางรางประเภทต่าง ๆ พร้อมทั้งเพิ่มความชัดเจนให้กับทั้งผู้ประกอบการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดเก็บภาษีต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19ธ.ค. “อ่อนค่าหนัก”ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหวลักษณะ Two-Way ขึ้นกับผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักที่เหลือในวันนี้ ทั้ง BOJ และ BOEมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.75 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19ธ.ค. 2567ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 34.21 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทได้อ่อนค่าลงมากกว่าโซน 34.40 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้พอสมควร หลัง Dot Plot ใหม่ของเฟด สะท้อนการลดดอกเบี้ยในปี 2025 ที่น้อยกว่าที่เราประเมินไว้
นอกจากนี้ เงินบาทยังทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ทำให้เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following เราต้องยอมรับว่า เงินบาทมีโอกาสพลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงได้ หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ซึ่งจะส่งผลให้เงินบาทมีโอกาสจบสิ้นปีนี้ ในระดับที่อ่อนค่ากว่าที่เราประเมินไว้ (33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์) ได้พอสมควร
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหวลักษณะ Two-Way (อ่อนค่าลงต่อ หรือ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง) ซึ่งจะขึ้นกับผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักที่เหลือในวันนี้ ทั้ง BOJ และ BOE
โดยในกรณีที่ BOJ คงดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย (Hawkish Hold) ก็อาจช่วยหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทลง ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์
หรือในกรณีที่ BOJ เซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการขึ้นดอกเบี้ย (โอกาสน้อยมาก) ก็อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นเร็วและแรง กดดันเงินดอลลาร์ได้พอสมควร
ในทางกลับกัน หาก BOJ คงดอกเบี้ยตามคาด แต่กลับไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย เรามองว่า เงินเยนญี่ปุ่นเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อทดสอบ โซน 156 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
ส่วนผลการประชุม BOE นั้น เรามองว่า ต้องระวังกรณีที่ BOE แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และส่งสัญญาณว่าอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ราว 2 ครั้ง ซึ่งในภาพดังกล่าวอาจยิ่งกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงเพิ่มเติมได้ หนุนให้เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาททะลุโซน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ จะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าต่อทดสอบโซน 34.75 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ขณะที่โซนแนวรับจะอยู่แถว 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.75 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม BOJ และ BOE)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (กรอบการเคลื่อนไหว 34.18-34.62 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.25%-4.50% ตามคาด
ทว่า เฟดได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์แนวโน้มการลดดอกเบี้ยในปี 2025 ลง จากเดิมที่เฟดเคยประเมินไว้ว่าอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง (-100bps) เหลือเพียง 2 ครั้ง (-50bps) ใกล้เคียงกับที่ตลาดได้คาดหวังก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด
อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง press conference ได้ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ หากคำนึงถึงผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 ที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงหนักกว่า -2.3% ของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งถูกกดดันจากทั้งการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
บรรยกาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้พอสมควร ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
กดดันให้ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Tesla -8.3%, Amazon -4.6%, Microsoft -3.8% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -3.56% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -2.95%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.15% หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +2.0% และการรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินที่เผชิญแรงขายหนักในวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดหุ้นยุโรปต่างระมัดระวังตัวมากขึ้น ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมเฟด ซึ่งจะมาหลังตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปแล้ว
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดประเมินไว้ ทว่า Dot Plot ใหม่ของเฟดที่สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีหน้า กอปรกับถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง press conference
ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้ล่าสุด หากคำนึงถึงผลกระทบจากนโยบายรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.50%
อย่างไรก็ดี แม้ว่า คาดการณ์ของเราต่อ Dot Plot ใหม่จะผิดไป แต่เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (ที่ดูจะเป็นการ Overreact ไปบ้างในมุมมองของเรา) ยังคงทำให้ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ของบอนด์ระยะยาวนั้นยังมีความน่าสนใจอยู่ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถดำเนินกลยุทธ์ Buy on Dip บอนด์ระยะยาวของเราได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นชัดเจน หลังเฟดส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย เหลือเพียง 2 ครั้งในปีหน้า ซึ่งแนวโน้มการชะลอลดดอกเบี้ยดังกล่าวของเฟด ที่ดูจะสวนทางกับบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง BOE และ ECB ก็กดดันให้ทั้งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินยูโร (EUR) ต่างอ่อนค่าลงหนัก
เช่นเดียวกันกับเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี ของสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 108.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.7-107.1 จุด) ทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ดิ่งลงหนักกว่า -2.3% สู่โซน 2,600-2,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการเร่งขายทำกำไรของบรรดาผู้เล่นในตลาดเพื่อ Lock Profits ในฝั่งสถานะ Long ที่ได้มาในปีนี้
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมของสองธนาคารกลางหลัก ซึ่งจะเริ่มจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 10.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย (Press Conference ในช่วงราว 13.30 น.)
โดยเราคาดว่า BOJ อาจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.25% สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทว่า BOJ อาจส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ในปีหน้า ตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง ถัดมาในช่วงราว 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยแม้ว่าในการประชุมครั้งนี้ เราจะประเมินว่า BOE อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.75% หลังอัตราเงินเฟ้ออังกฤษเริ่มชะลอตัวลงช้า
ขณะที่อัตราการเติบโตของค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ ทำให้ BOE อาจยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้ออังกฤษอยู่บ้าง ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตาการส่งสัญญาณของ BOE ต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE อาจลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีหน้า
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และรอติดตามรายงานข้อมูลภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ อาทิ Philadelphia Fed
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าทะลุแนว 34.50 ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ 34.61 ก่อนจะกลับมามาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 34.54-34.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงตามแรงขายสกุลเงินเอเชียในภาพรวม สวนทาง Sentiment ที่แข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ฯ และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากสัญญาณ Hawkish ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมา
โดยแม้ว่าเฟดจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่กรอบ 4.25-4.50% ตามที่ตลาดคาด แต่สัญญาณจากประธานเฟด Dot plot ใหม่ และการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปีหน้าที่เปิดเผยออกมา
สะท้อนว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.40-34.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมและสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์เงินหยวน รวมถึงผลการประชุม BOJ และ BOE และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 และยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ธรรมะ ลิ่วตัดเชือกรุ่นอายุไม่เกิน 14 ปีหวด PTT – NSDF มาสเตอร์
ธรรมะ โคศิริ นักเทนนิสดีกรียช.ทีมชาติจากกรุงเทพฯ คว้าชัย 3 แมตช์รวดในรอบแบ่งกลุ่ม รั้งอันดับ 1 กลุ่มเอ ผ่านเข้ารอบรองฯ รอพบผู้ชนะ ณปราธ ละไล กับ นาคิม เขียวกุ้ง
การแข่งขันเทนนิสเยาวชน รายการ PTT – NSDF ลอนเทนนิสพัฒนาฝีมือ รอบมาสเตอร์ ประจำปี 2567 ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันวันที่สองของรุ่นอายุไม่เกิน 10, 14 และ 18 ปี
ไฮไลต์อยู่ในรุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี ประเภทชายเดี่ยว ธรรมะ โคศิริ นักเทนนิสดีกรีเยาวชนทีมชาติจากกรุงเทพฯ คว้าชัย 3 แมตช์รวดในรอบแบ่งกลุ่ม รั้งอันดับ 1 กลุ่มเอ ลงแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศกับ ธัชธวัช ยิบอินซอย จากกรุงเทพฯ อันดับ 2 กลุ่มบี ที่มีผลงานชนะ 2 แพ้ 1 และผลปรากฏว่า ธรรมะ ที่ถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 1 ของรายการ ใช้เกมหวดที่เฉียบขาด เอาชนะได้ 2 เซตรวด 6-0 และ 6-1 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปพบผู้ชนะระหว่าง ณปราธ ละไล จากกรุงเทพฯ กับ นาคิม เขียวกุ้ง จากกรุงเทพฯ เช่นกัน
ด้านประเภทหญิงเดี่ยว พลอยทิพย์ ธนศิรินวกุล จากกรุงเทพฯ ที่คว้าอันดับ 1 กลุ่มเอ จากผลงานชนะ 3 แมตช์รวด ลงแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศกับ เขมิกา เรืองปาน จากเชียงใหม่ ที่ได้อันดับ 2 ของสายบี จากผลงานชนะ 2 แพ้ 1 แมตช์ และผลการแข่งขัน ปรากฏว่า พลอยทิพย์ ยังหวดได้ยอดเยี่ยม เก็บเซตแรกได้แบบขาดลอย ขึ้นนำ 1-0 เซต ต่อมาเซตสอง แข่งขันได้เพียงเกมเดียว เขมิกา ได้ขอยอมแพ้ เนื่องจากเจ็บไหล่ ส่งผลให้ พลอยทิพย์ ชนะไปด้วยสกอร์ 6-1 และ 1-0 Ret. (รีไทร์) และ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ พิมพ์พิศา วงษ์วานิชขจร จากกรุงเทพฯ ที่ในรอบก่อนรองฯ ชนะ สุรพิชญา คล้อยดี จากเพชรบุรี 2-0 เซต 6-1, 6-3
ขณะที่รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี ประเภทหญิงเดี่ยว พินมุกดา สมศรี จากเชียงใหม่ ที่คว้าอันดับ 1 กลุ่มซี จากผลงานชนะ 3 แมตช์รวดในรอบแบ่งกลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศพบกับ กัญญ์วรา โรจน์วิรุฬห์ จากปทุมธานี ที่ในรอบแบ่งกลุ่ม ได้อันดับ 2 กลุ่มบี จากผลงานชนะ 2 แพ้ 1 แมตช์ และผลปรากฏว่า พินมุกดา เล่นได้ดี ก่อนเก็บชัยได้ทั้ง 2 เซต ด้วยสกอร์ 4-1 และ 4-1 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ จัสมิน มณีชยางกูร จากสงขลา มือวางอันดับ 1 ของรายการ ที่ชนะ ชัญญา นิ่มวชิระสุนทร จากกรุงเทพฯ 4-0, 4-1
ส่วนผลการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม แมตช์สุดท้าย มีดังนี้ รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี ชายเดี่ยว กลุ่มเอ เซิน ซีเจี๋ย (จีน) ชนะ ปกเกล้า รุ่งเรืองชัยเจริญ (อุดรธานี) 4-5(6), 5-3 และซูเปอร์ไทเบรก 10-8, นวรินทร์ ผลากรกุล (กทม.) ชนะ ภูมิพิชญ ธรรมวิริยารักษ์ (ยโสธร) 4-2, 4-1, กลุ่มบี ปรัตถกร ภาชีรัตน์ (พระนครศรีอยุธยา) ชนะ ชลภูมิ สุมังคละ (นนทบุรี) 4-1, 4-2, ณัฐภัค จันทสิงห์ (เชียงใหม่) ชนะ เบญจมินทร์ สิริพศุตม์ (กทม.) 5-3, 4-2
กลุ่มซี ฟิล มา (ภูเก็ต) ชนะ อาร์เทม ปานอฟ (ภูเก็ต) 4-0, 4-0, กฤษฎิ์ นิ่มวชิระสุนทร (กทม.) ชนะ เตชิต พูลบำเพ็ญ (กทม.) 4-0, 5-3, กลุ่มดี ปริณธนัย โชติกพนิช (กทม.) ชนะ ทรอย ศิวพฤกษ์ (กทม.) 4-0, 4-0, บวรฌาณญ์ วาลฌอง ทิณญ์ (อุดรธานี) ชนะ อชิรวิชญ์ ไชยมงคล (กทม.) 4-1, 5-3, หญิงเดี่ยว รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี กลุ่มเอ จัสมิน มณีชยางกูร (สงขลา) ชนะ เอมิลี่ เฮดิน (กทม.) 4-1, 4-1, ชาลิสา มีแสง (สุราษฎร์ธานี) ชนะ ธัญณิชา บุญฤทธิ์ (พิษณุโลก) 5-3, 4-1, กลุ่มบี วิมุตติญา พงษ์หนู (กทม.) ชนะ กัญญ์วรา โรจน์วิรุฬห์ (ปทุมธานี), 4-1, 4-1 บุณรดา ทิโบโก (ตรัง) ชนะ ณัฐธยาน์ ศิริสุวรรณ์ (เชียงราย) 4-0, 2-4 และซูเปอร์ไทเบรก 10-8
กลุ่มซี พินมุกดา สมศรี (เชียงใหม่) ชนะ โชติกา ลิ่มมานะกุล (ภูเก็ต) 4-1, 4-2, ใบบุญ ไกรโชค (พิษณุโลก) ชนะ นรินทร์รัตน์ อัศนีวุฒิกร (นครปฐม) 4-0, 4-0, กลุ่มดี ชัญญา นิ่มวชิระสุนทร (กทม.) ชนะ ชนิชา มาตรวังแสง (ขอนแก่น) 4-1, 4-0, ปัณณิภา ธาดาตั้งสกุล (ชลบุรี) ชนะ ชญาดา นิ่มวชิระสุนทร (กทม.) 4-0, 4-2
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ขี้หนาว มือเท้าเย็น ไม่มีแรง สัญญาณของ “ไฮโปไทรอยด์”
ต่อมไทรอยด์ เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายมากกว่าที่หลายๆ คนคิดนะคะ เพราะต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ผลิตและควบคุมระดับฮอร์โมนภายในร่างกาย ซึ่งเจ้าฮอร์โมนเหล่านี้นี่แหละที่คอยสร้างสมดุลให้กับร่างกายอีกที เพราะฉะนั้นหากต่อมไทรอยด์ไม่ปกติ ฮอร์โมนในร่างกายไม่ปกติ ร่างกายของเราก็จะขาดความสมดุลไปด้วย
หนึ่งในโรคที่เกิดขึ้นกับสภาวะผิดปกติของต่อมไทรอยด์ คือ “ไฮโปไทรอยด์” ค่ะ มีอาการอย่างไร รักษาอย่างไร และหลีกเลี่ยงอย่างไร ไปหาคำตอบกับ Sanook! Health กันเลยค่ะ
“ไฮโปไทรอยด์” คืออะไร?
ไฮโปไทรอยด์ หรือ ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์ไม่สามารถสร้าง หรือหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมา ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายได้ ส่งผลให้บางส่วนของร่างกายทำงานผิดปกติ
สาเหตุของ “ไฮโปไทรอยด์”
1. เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์เอง อาจจะเป็นผู้ป่วยต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ที่เคยผ่าตัดเอาต่อมไทรอยด์ออกไปบางส่วน หรือทั้งหมด
2. เกิดจากภาวะผิดปกติของต่อมใต้สมอง ที่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนมากระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้ทำงานเป็นปกติได้
ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็น “ไฮโปไทรอยด์”
มากกว่า 80% เป็นผู้หญิง และอาจเกิดกับวัยทอง
อาการของผู้เป็น “ไฮโปไทรอยด์” หรือภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์
- ขี้หนาว มือเท้าเย็น ต้องใส่ถุงมือถุงเท้า ดึงแขนเสื้อมาปิดมือ หรือหาผ้ามาคลุมตลอด
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง
- เสียงแหบพร่า
- ขี้หลงขี้ลืมในระยะเวลาอันสั้น คิดช้า ทำช้า
- ท้องผูกบ่อยๆ
- ผิวแห้ง ผมแห้ง อาจมีผมร่วงในบางราย
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- ประจำเดือนมาผิดปกติ
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ทานน้อย
วิธีรักษาภาวะ “ไฮโปไทรอยด์”
คุณหมออาจแนะนำให้ทานฮอร์โมนเสริม เฝ้าติดตามอาการ และตรวจฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ “ไฮโปไทรอยด์” ไม่ใช่โรคภัยร้ายแรงอะไร เพียงแต่การให้ฮอร์โมนทดแทน จะช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากฮอร์โมนในร่างกายไม่ปกติในอนาคตได้ เช่น ระดับความรู้สึกลดลง อุณหภูมิในร่ายกายลดลง ความดันโลหิตต่ำลง หายใจช้าลง ไปจนถึงการเต้นของหัวใจช้าลง และเสียชีวิตได้ ดังนั้นควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอค่ะ
หากอยากลดโอกาสในการเป็น “ไฮโปไทรอยด์” ควรรีบรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเสียตั้งแต่วันนี้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำคัญหมั่นตรวจ และสังเกตร่างกายของตัวเราเองให้ดี เพราะไม่มีใครรู้จักตัวเราดี เท่าตัวเราเองอีกแล้ว ยิ่งพบความผิดปกติกับร่างกายของตัวเองได้เร็วเท่าไร เราก็ยิ่งจะมีโอกาสหายจากอาการผิดปกติเหล่านั้นได้มากขึ้นนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Death Clock เอไอที่บอกได้ว่าคุณจะ ‘ตาย’ ตอนไหน คำนวณจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ใช้เอไอพยากรณ์ความตาย Death Clock แอปพลิเคชันที่สามารถบอกได้ว่าคุณจะ ‘ตุยเย่’ เมื่อไร โดยคำนวณจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต พัฒนาโดย Most Days สตาร์ตอัปจากสหรัฐอเมริกา
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในหลายด้านตั้งแต่การให้ข้อมูลความรู้ การตอบคำถาม การวินิจฉัยโรค การช่วยรักษา ตลอดจน “การพยากรณ์ความตาย” โดยมันสามารถบอกได้ว่า มนุษย์เราจะมีอายุอีกกี่ปี
แอปพลิเคชันดังกล่าวมีชื่อว่า “เดธคล็อก (Death Clock)” พัฒนาโดย เบรนท์ ฟรานสัน (Brent Franson) ผู้ก่อตั้ง Most Days สตาร์ตอัปจากสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบการและนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก
มุมมองเชิงสุขภาพและการเงิน
เดธคล็อกจะใช้เอไอวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์ แอปจะถามชีวะประวัติ เริ่มตั้งแต่การกิน การออกกำลังกาย สุขภาพจิต เชื้อชาติ พฤติกรรมการนอนหลับ และประวัติทางพันธุกรรม แล้วคำนวณออกมาเป็นอายุขัยที่คาดว่าคุณจะมีชีวิตอยู่
บริษัทกล่าวว่า โมเดลเอไอของตนอ้างอิงสถิติจากงานวิจัยมากกว่า 1,200 ชิ้น ซึ่งรวมถึงงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA), มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford), มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) และ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (Berkeley)
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคกล่าวเตือน ทำนองว่า “กินแบบนี้ อีกหน่อยตายเร็วแน่เลย” เอไอจากเดธคล็อกก็มีฟังก์ชันการทำงานใกล้เคียงกัน แต่แทนที่จะบอกว่าคุณตายเร็วแน่ๆ มันกลับบอกว่า ถ้าคุณยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ต่อไป คุณน่าจะอายุได้กี่ปี แต่ถ้าคุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น กินอาหารดีขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น แอปจะคำนวณใหม่และบอกว่าคุณอาจมีอายุยืนขึ้นได้ แต่ฟีเจอร์นี้จำเป็นต้องจ่ายค่าสมาชิกรายปีประมาณ 40 ดอลลาร์ (ราว 1,369 บาท)
แอปพลิเคชันนี้ไม่เพียงแค่ทำนายอายุขัย แต่ยังทำหน้าที่เสมือนกระจกสะท้อนพฤติกรรมสุขภาพของแต่ละบุคคล โดยวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น พฤติกรรมการกิน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาวะโภชนาการ นิสัยการออกกำลังกายที่กระทบต่อระบบเมแทบอลิซึมและความแข็งแรงของร่างกาย สภาวะทางจิตใจที่มีอิทธิพลต่อระบบภูมิคุ้มกันและฮอร์โมน
ประวัติโรคทางพันธุกรรมในครอบครัว
กรณีของนักข่าว แอนโทนี่ ฮา (Anthony Ha) จาก TechCrunch ป้อนข้อมูลเบื้องต้นของตนเองลงไปในแอป แอปจะทำนายอายุขัยเริ่มแรกที่ 90 ปี แต่เมื่อเขาทดลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือการนอนหลับ พบว่าอายุขัยที่คาดการณ์สูงขึ้นถึง 103 ปี ซึ่งแตกต่างจากการทำนายเบื้องต้นถึง 13 ปี นี่แสดงให้เห็นว่า แอปไม่เพียงทำนายอายุ แต่ยังเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ปรับพฤติกรรมสุขภาพ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีผู้ใช้หลายรายที่นำเดธคล็อกมาคำนวนการวางแผนทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น การออมเงินเพื่อวัยเกษียณ เพราะสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างใกล้เคียง การทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพจะมีความแม่นยำในการเลือกวงเงินและระยะเวลาคุ้มครอง การจัดสรรทรัพย์สินและมรดกสามารถวางแผนได้อย่างรอบคอบมากขึ้น
ไรอัน ซาบราวสกี้ (Ryan Zabrowski) นักวางแผนทางการเงิน กล่าวกับนิตยสาร Forbes ว่า ความกังวลหลักของผู้สูงอายุคือการใช้เงินหมดก่อนตาย ดังนั้น การมีเครื่องมือที่สามารถคาดการณ์อายุขัยได้อย่างใกล้เคียงจะช่วยให้การวางแผนทางการเงินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จุดที่ต้องระวัง
การป้อนข้อมูลส่วนตัวของคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องระมัดระวัง สำหรับประเทศไทยยังไม่รองรับให้ดาวน์โหลดมาใช้งาน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แอปนี้ก็กำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก โดยมียอดดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 125,000 ครั้ง
ด้านผู้พัฒนาย้ำว่า จุดประสงค์ของแอปไม่ใช่การสร้างความหวาดกลัวเกี่ยวกับความตาย แต่ต้องการกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ และวางแผนชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เตรียมพร้อมพิชิต TOEFL: คู่มือการเตรียมตัวสอบพร้อมเคล็ดลับสำคัญ
เตรียมสอบ TOEFL กับเคล็ดลับการอ่าน เขียน ฟัง พูด เทคนิคทำข้อสอบ และเครื่องมือช่วยเรียน พร้อมคำแนะนำการเตรียมตัวก่อนวันสอบเพื่อความมั่นใจ 100%
TOEFL คืออะไร? ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องรู้
การสอบ TOEFL (Test of English as a Foreign Language) เป็นการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษแคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย การสอบนี้ออกแบบมาเพื่อประเมินทักษะ 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง (Listening), การอ่าน (Reading), การพูด (Speaking), และการเขียน (Writing) ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนหรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษ
TOEFL มีสามรูปแบบหลัก
- TOEFL iBT (Internet-Based Test) นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งดำเนินการโดยใช้คอมพิวเตอร์ในการสอบ และเน้นการประเมินทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันและการเรียนในสถาบัน การศึกษาต่างๆ
ผลคะแนนการสอบ TOEFL iBT เป็นที่ยอมรับทั่วโลก สอบในไทยก็สามารถยื่นสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหรือขอทุนได้ทั่วโลก
- TOEFL ITP (Institutional Testing Program) เป็นข้อสอบมาตรฐานด้านภาษาอังกฤษ ที่เป็นการสอบแบบใช้กระดาษในการทำข้อสอบ (Paper-based test) และได้รับการยอมรับในประเทศไทย โดยใช้วัดความรู้ด้านภาษาอังกฤษสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เป็นการสอบที่จัดขึ้นในสถาบัน การศึกษาหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อวัดระดับภาษาอังกฤษในบริบทภายใน เน้นการใช้งานภายในองค์กรคะแนนไม่สามารถใช้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานต่างประเทศได้
คะแนนสอบ TOEFL ITP ใช้ในการสมัครศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เป็นหนึ่งในคุณสมบัติการสอบจบการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในประเทศไทย และยังสามารถใช้สมัครงานบริษัทต่าง ๆ ที่ยอมรับผลคะแนนสอบ TOEFL ITP
- TOEFL Junior การสอบสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นถึงตอนปลาย โดยเน้นวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษในบริบทของวัยเรียน คะแนนเหมาะสำหรับใช้ประเมินความก้าวหน้าทางภาษาอังกฤษหรือการเข้าโปรแกรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในโรงเรียน
TOEFL เป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก TOEFL iBT มีคะแนนเต็ม 120 คะแนน โดยผลสอบออกภายใน 6-10 วัน หลังสอบเสร็จ ทำคะแนนรวมเกิน 100 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก แต่สถาบันการศึกษาหรือบริษัทเอกชนส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ประมาณ 79 คะแนนขึ้นไป คะแนน TOEFL มีผลเป็นเวลา 2 ปี โดยมาจากการฟัง (Listening) 30 คะแนน การอ่าน (Reading) 30 คะแนน การเขียน (Writing) 30 คะแนน และการพูด (Speaking) 30 คะแนน
ทำไมต้องสอบ TOEFL
- เพิ่มโอกาสการศึกษา คะแนน TOEFL เป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลียสถาบันการศึกษาหลายแห่งใช้คะแนน TOEFL เป็นหนึ่งในเกณฑ์การคัดเลือกผู้สมัคร นอกจากนั้นยังเป็นโอกาสในการได้รับทุนการศึกษาเพราะหลายทุนการศึกษาต้องการคะแนน TOEFL เพื่อประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษของผู้สมัคร
- เพิ่มโอกาสในสายอาชีพ การมีคะแนน TOEFL ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานในบริษัทข้ามชาติและองค์กรที่ต้องการผู้ที่มีทักษะภาษาอังกฤษ หลายบริษัทจะระบุคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าที่ต้องมีคะแนนการสอบ TOEFL ให้ได้คะแนนตามที่องค์กรกำหนดไว้
การเตรียมตัวสอบ TOEFL: เคล็ดลับการอ่าน เขียน ฟัง และพูด
การอ่าน (Reading)
- ฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษหลากหลายรูปแบบ เช่น บทความทางวิชาการ ข่าวสาร และบทความเชิงวิเคราะห์ ฝึกอ่านบทความจากแหล่งที่หลากหลาย เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร หรือเว็บไซต์การศึกษา เพื่อเพิ่มความคุ้นเคยกับคำศัพท์และโครงสร้างประโยค
- ฝึกสรุปใจความสำคัญ พยายามหาไอเดียหลักลองสรุปเนื้อหาของบทความที่อ่านเป็นประโยคสั้นๆ เพื่อช่วยให้เข้าใจข้อมูลสำคัญ
- ทำแบบฝึกหัดการอ่าน ใช้หนังสือหรือแอปพลิเคชันที่มีเนื้อหาสำหรับ TOEFL โดยเฉพาะ
การเขียน (Writing)
- ฝึกเขียนบทความสั้น: เริ่มจากหัวข้อที่คุ้นเคยก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความซับซ้อนของเนื้อหา
- เรียนรู้โครงสร้างการเขียน แบ่งการเขียนเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Introduction, Body และ Conclusion
- ฝึกเขียนตามเวลากำหนด ใช้นาฬิกาจับเวลาเพื่อฝึกความเร็วและความถูกต้อง ฝึกเขียนในเวลา 20-30 นาทีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับข้อสอบจริง
การฟัง (Listening)
- ฟังสื่อต่างๆ ฟังพอดแคสต์ การบรรยาย ข่าวภาษาอังกฤษ หรือดูวิดีโอภาษาอังกฤษเลือกเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการเรียน เช่น วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์
- ฝึกฟังพร้อมจดโน้ต พัฒนาทักษะการสรุปข้อมูล จับใจความสำคัญของเนื้อหาจากสิ่งที่ได้ยิน
- ทำแบบฝึกหัดฟังจาก TOEFL เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ
การพูด (Speaking)
- ฝึกพูดเป็นประจำ ลองพูดตอบคำถามหรือเล่าเรื่องในหัวข้อต่างๆ
- อัดเสียงตัวเอง ฟังเสียงที่บันทึกไว้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการออกเสียงและความคล่องแคล่วในการพูด
- ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ให้ครูหรือผู้รู้ช่วยฟังและแนะนำจุดที่ควรปรับปรุง
วางแผนการสอบ TOEFL: เทคนิคจัดการเวลาและกลยุทธ์ทำข้อสอบ
การจัดการเวลา
- จัดตารางการเตรียมตัว วางแผนการอ่าน ฟัง พูด และเขียนในแต่ละวัน แบ่งเวลาให้แต่ละทักษะอย่างสมดุล เช่น อ่าน 1 ชั่วโมง ฟัง 1 ชั่วโมง พูด 30 นาที และเขียน 30 นาที ให้เพิ่มการฝึกซ้อมในสัปดาห์สุดท้ายเพื่อเตรียมพร้อมในการสอบ
- แบ่งเวลาในการทำข้อสอบ ฝึกทำข้อสอบตามเวลาที่กำหนดในแต่ละส่วน
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ จัดเวลาพักให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้สมองล้าจนเกินไป
กลยุทธ์ทำข้อสอบ
- ศึกษาโครงสร้างข้อสอบแต่ละส่วน เช่น จำนวนคำถาม เวลา และรูปแบบคำถาม
- อ่านคำถามก่อนเนื้อหา ช่วยให้รู้ว่าต้องมองหาอะไรในบทความหรือบทสนทนา
- อย่าเสียเวลากับข้อที่ยาก ข้ามไปทำข้อที่ง่ายก่อน แล้วกลับมาทบทวนข้อที่เหลือ
- ใช้เวลาให้คุ้มค่าตรวจสอบคำตอบก่อนส่ง และอย่าปล่อยข้อสอบว่าง
- ใช้เทคนิคการเดาคำตอบอย่างชาญฉลาด หากไม่มั่นใจในคำตอบให้เลือกคำตอบที่สมเหตุสมผลที่สุด หากไม่มั่นใจให้ใช้ความรู้ทางภาษาและบริบทของคำถามช่วยในการตัดสินใจ
เครื่องมือช่วยเตรียมตัวสอบ TOEFL อย่างมืออาชีพ
- คอร์สติวสอบ TOEFL จะได้เรียนรู้เทคนิคการสอบทั้ง 4 พาร์ท กับครูเจ้าของภาษาที่เชี่ยวชาญในการติวสอบโดยเฉพาะ
- หนังสือเรียนและคู่มือเตรียมสอบ เช่น Official Guide to the TOEFL Test หนังสือคู่มืออย่างเป็นทางการจาก ETS , Barron’s TOEFL iBT หนังสือที่มีตัวอย่างข้อสอบและเทคนิคการทำข้อสอบ เป็นต้น
- แอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ออนไลน์ เช่น
- TOEFL Practice Online แบบฝึกหัดออนไลน์จาก ETS
- Magoosh TOEFL วิดีโอและคำแนะนำที่ครอบคลุมทุกทักษะการฝึกฝนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
- Duolingo ช่วยฝึกทักษะภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
- TOEFL Go! Global เป็นแอปฯ ทางการของ ETS ที่ออกข้อสอบ TOEFL มี Free Sample Test และให้คำแนะนำเคล็ดลับให้เราเตรียมสอบได้ดีขึ้นหรือทำข้อสอบได้เร็วขึ้น
- TOEFL Essay Help แอปฯ นี้มีตัวอย่าง Essay ที่ได้คะแนนดี ที่ที่เขียนโดยเจ้าของภาษา มี Templates ที่น่าสนใจในการเขียนเรียงความเพื่อจะทำให้ได้คะแนนดีอีกด้วย
- วิดีโอ เปิดหาใน YouTube เลือกที่มีบทเรียนเกี่ยวกับ TOEFL
การฝึกฝนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันเพื่อพิชิต TOEFL
- การอ่านภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน อ่านหนังสือ บทความ ข่าวสารภาษาอังกฤษทุกวัน เลือกหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือศิลปวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์และความเข้าใจ
- การเขียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เช่น เขียนไดอารี่บันทึกเหตุการณ์หรือความรู้สึกในแต่ละวันเป็นภาษาอังกฤษ เขียนความคิดเห็นหรือรีวิวแสดงความคิดเห็นในบทความออนไลน์หรือเขียนรีวิวหนังสือและภาพยนตร์ หรือฝึกเขียนอีเมลอย่างมืออาชีพเพิ่มทักษะการเขียนที่สามารถนำไปใช้ในข้อสอบและชีวิตจริง
- ฟังเพลง ดูภาพยนตร์ ฟังพอดแคสต์หรือหนังสือเสียงที่ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มคำศัพท์และความเข้าใจ
- พูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สามารถฝึกพูดหน้ากระจก สนทนากับเพื่อนหรือครอบครัวเป็นภาษาอังกฤษหรือเข้าร่วมกลุ่มเรียนภาษาสนทนาภาษาอังกฤษ
การเตรียมตัวก่อนวันไปสอบ
- ตรวจสอบสถานที่และเวลา ยืนยันข้อมูลสอบล่วงหน้าและวางแผนการเดินทาง
- เตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น บัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงก่อนวันสอบ
- เตรียมตัวสำหรับอาหารเช้า รับประทานอาหารที่ให้พลังงานและทำให้อิ่มท้อง
- ตรวจสอบเส้นทางไปสถานที่สอบวางแผนการเดินทางล่วงหน้า
- เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ดินสอหรือปากกา
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
6 อาหารแนะนำกินตอนท้องว่าง ได้พลังงานเสริมความแข็งแกร่งมากกว่า
เคยรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างกะทันหันขณะกำลังทำอะไรอยู่บ้างไหม? ไม่ว่าจะเป็นตอนประชุม หรือแม้แต่ขับรถกลับบ้าน คุณอาจรู้สึกแบบนี้เพราะไม่ได้ทานอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันอย่างเพียงพอ ลองหาอาหาร 6 ชนิดนี้ทานตอนท้องว่างดู เพื่อเพิ่มพลังงานและความแข็งแรงให้กับร่างกาย เป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน
6 อาหารแนะนำกินตอนท้องว่าง
1.โยเกิร์ต โยเกิร์ตเป็นอาหารเช้าที่ยอดเยี่ยม เพราะอุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ลองเติมธัญพืชหรือผลเบอร์รี่ลงไป เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับคุณได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้โยเกิร์ตยังเป็นอาหารหลังออกกำลังกายที่ดีเยี่ยม เพราะโปรตีนจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อโดยไม่ทำให้รู้สึกอิ่มหนักเกินไป ถ้าชอบสมูทตี้ ลองใส่โยเกิร์ตลงไปในสมูทตี้แก้วโปรด หรือถ้ายังไม่อิ่ม ลองทำพาร์เฟต์ทานเอง โดยใช้โยเกิร์ตเป็นส่วนประกอบหลัก
2.กล้วย เป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ การทานกล้วยสัก 1-2 ผลในตอนเช้า จะช่วยให้คุณมีพลังงานสดชื่นตลอดทั้งวัน คาร์โบไฮเดรตในกล้วยจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อรู้สึกไม่ค่อยมีแรง นอกจากนี้ กล้วยยังมีทริปโตแฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยสร้างเซโรโทนิน หรือที่เรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งความสุข” เซโรโทนินทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ยิ่งเรามีเซโรโทนินในร่างกายมากเท่าไหร่ เราก็จะรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น และทุกอย่างเริ่มต้นจากการกินกล้วยตอนท้องว่าง! ดังนั้นถ้าอยากเริ่มต้นวันใหม่ด้วยพลังงานที่เต็มเปี่ยม ลองกินกล้วยก่อนอาหารเช้าดูสิ
3.โอ๊ตมีล เป็นแหล่งพลังงานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชั้นเยี่ยม ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และใยอาหารที่ละลายน้ำในโอ๊ตมีลช่วยให้รู้สึกอิ่มนานจนถึงมื้อกลางวัน เคล็ดลับดีๆ คือ เลือกโอ๊ตมีลสตีลคัท ซึ่งผ่านการแปรรูปน้อยและมีน้ำตาลน้อยกว่าโอ๊ตมีลสำเร็จรูป
โอ๊ตมีลช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ทานโอ๊ตมีลแบบไม่ใส่นมข้นหวาน และโรยด้วยถั่วหรือเมล็ดพืชเพื่อเพิ่มโปรตีนและไขมันดี นอกจากนี้อย่าลืมโรยอบเชยด้วย งานวิจัยพบว่าการบริโภคอบเชยอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอักเสบ อีกทั้งยังพบอีกว่าผู้ที่ทานอาหารที่มีส่วนผสมของอบเชยจะรู้สึกอิ่มนานขึ้นหลังทานอาหาร
4.ไข่ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม ไข่มีโปรตีนมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ทำให้เป็นอาหารเช้าที่ยอดเยี่ยมสำหรับการทานอาหารตอนท้องว่าง นอกจากนี้ ไข่ยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินดี โพแทสเซียม สังกะสี และอีกมากมาย ทำให้ไข่เป็นแหล่งพลังงานและสุขภาพที่ดีเยี่ยม โปรตีนคุณภาพสูงในไข่ย่อยง่ายและช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ช่วยเพิ่มระดับพลังงาน แต่ไข่ยังเป็นอาหารลดน้ำหนักที่ดีอีกด้วย ไข่มีแคลอรี่และไขมันต่ำ (น้อยกว่า 5 กรัมต่อฟอง) ดังนั้นจึงไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม! ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณต้องการทานอาหารตอนท้องว่าง ลองทานไข่ดูสิ
5.อัลมอนด์ อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยให้คุณมีพลังงานสดชื่นตั้งแต่เช้า ลองนำอัลมอนด์ไปใส่ในสลัด ทานเปล่าๆ หรือปั่นรวมกับโปรตีนเชค หรือจะดื่มนมอัลมอนด์แทนกาแฟก็ได้ ไขมันไม่อิ่มตัวในอัลมอนด์ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดความหิว ส่วนใยอาหารสูงจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น ในระหว่างออกกำลังกาย ลองเติมอัลมอนด์คั่วลงในของว่างหลังออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพลังงาน
6.ผัก มีประโยชน์มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการช่วยเพิ่มพลังงาน เนื่องจากผักใบเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม หากร่างกายขาดแมกนีเซียม คุณอาจรู้สึกอ่อนเพลียได้ ผักใบเขียวยังอุดมไปด้วยวิตามินเอและซี ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายได้มากยิ่งขึ้น คุณสามารถทานผักเหล่านี้ได้ทั้งแบบดิบหรือปรุงสุก ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อทานตอนท้องว่าง ตัวอย่างของผักใบเขียว ได้แก่ ผักโขม คะน้า ผักกาดหอม ผักกาดขาว และผักเคล
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/12/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,650.00 | 42,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,763.00 | 41,887.08 | 43,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,486.70 | 37,698.37 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,210.40 | 33,509.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,243.00 | 18,843.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 967.00 | 14,659.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,863.00 | 43,403.08 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/12/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.55 | 36.55 | 37.05 | 36.55 | 36.55 | 36.55 | 36.55 | 36.55 | 36.55 | 36.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.18 | 36.18 | 36.68 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.44 | 34.44 | 34.94 | 34.44 | 34.44 | – | 34.44 | 34.44 | 34.44 | 34.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.19 | 34.19 | – | – | – | – | – | – | – | 34.19 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 45.14 |
เบนซิน 95 | 44.84 | – | – | – | 49.81 | – | 45.34 | 44.99 | – | 44.84 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 31.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |