สาระน่ารู้ประจำวันที่ 19 สิงหาคม 2565

‘เอสซีจี ไฮม์’รุกตลาดรีบิลด์แก้ปัญหาได้บ้านไม่ตรงปก

‘เอสซีจี ไฮม์’รุกตลาดรีบิลด์แก้ปัญหาได้บ้านไม่ตรงปก

1-2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ตลาดรีบิลด์หรือตลาดรับสร้างบ้านบนที่ดินตัวเองมีแนวโน้มเติบโตกว่า 50% ส่วนหนึ่งมาจากแผนของลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านอยู่แล้ว จึงเลือกที่สร้างกับบริษัทรับสร้างบ้านเพื่อแก้ปัญหาได้บ้านไม่ตรงปก

ยิ่งมีปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ เช่น ราคาวัสดุก่อสร้าง ราคาน้ำมัน เป็น“ตัวเร่ง”การตัดสินใจให้เร็วขึ้น  ปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดรีบิลด์ขยายตัวยังมาจากที่ดินเริ่มหายากขึ้น โดยเฉพาะทำเล “กลางเมือง” ทำให้ความต้องการส่วนหนึ่งเข้าไปซื้อบ้านแล้วทำการรีบิลด์ เพื่อให้ได้บ้านสวยตรงใจบนทำเลที่ต้องการ

 อีกส่วนมาจากการส่งต่อบ้านพร้อมที่ดินจากรุ่นสู่รุ่นหรือทรัพย์สินมรดก ซึ่งอายุและโครงสร้างบ้านมีอายุหลายปี ทำให้มีข้อจำกัดหากมีการต่อเติม ผู้บริโภคมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ชีวิตไฮบริด เพราะหลังโควิด-19 เข้ามาส่งผลให้ทุกคนใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม อาทิ ทำงานที่บ้าน หรือเรียนที่บ้านมากขึ้น

ขณะเดียวกันก็มองหานวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ดีมานด์ในตลาดแนวราบ รวมถึงตลาดรับสร้างบ้านขยายตัวในช่วงที่ผ่านมา จากความต้องการพื้นที่ใช้สอยกว้างขึ้น และฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายเหมาะกับสมาชิกในบ้านที่มีหลายช่วงวัย

“วีระเดช โกวพัฒนกิจ” ผู้จัดการการตลาด บริษัท เอสซีจี เซกิซุย-เซลส์ จำกัด  เผยว่า แนวโน้มและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดย 3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจสร้างบ้านในยุคนี้คือ บริการที่ครบวงจร คุณภาพ และเรื่องสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งการดีไซน์ ฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย  

 “ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น ทั้งด้านสุขภาพ สุขอนามัย และสร้างพื้นที่ความสุขในการอยู่อาศัยให้กับตัวเองและครอบครัว ด้วยการมองหาสิ่งที่มาเติมเต็มชีวิต และหลีกหนีความวุ่นวายจากสังคมภายนอก”

สิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงคือ ลูกค้าต้องการพื้นที่เอนกประสงค์รองรับกิจกรรมของทุกคนในบ้าน รวมถึงปรับใช้เป็นห้องทำงาน ห้องเรียน ห้องสันทนาการที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ด้านนอก รวมถึงต้องการให้มีห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ 

ทางเอสซีจี ไฮม์ มี 150 แบบบ้าน ที่รองรับให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เพราะการใช้ชีวิตวิถีใหม่ บ้าน“ไม่ใช่” พื้นที่อยู่อาศัยอย่างเดียว แต่เป็นพื้นที่ทำกิจกรรม ทำงาน สังสรรค์

‘เอสซีจี ไฮม์’รุกตลาดรีบิลด์แก้ปัญหาได้บ้านไม่ตรงปก

ด้วยเหตุนี้พื้นที่บ้านจึงต้องใหญ่กว่าการอยู่อาศัย และจากพื้นที่ที่ขยายก็ทำให้มูลค่าบ้านเพิ่มขึ้น พร้อมทั้ง พัฒนาเทคโนโลยีที่ดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ซึ่งนับได้ว่าผู้บริโภค ให้การตอบรับเป็นอย่างมากในการนำมาใช้ในบ้านปัจจุบัน

ได้แก่  Air Tightness System การประกอบบ้านปิดช่องว่าง ทุกรอยต่อทั้งประตู หน้าต่างและผนัง และ Air Factory System ระบบหมุนเวียนอากาศพร้อมไส้กรอง 3 ชั้น ทำหน้าที่กรองอากาศจากภายนอกเข้าสู่บ้านเพื่อความสะอาดและลดกลิ่นรบกวนจากภายนอก
 

ระบบไอออนไนเซอร์  เทคโนโลยีกรองอากาศภายในบ้าน ด้วยการปล่อยไอออน อนุภาคไฟฟ้าประจุลบและบวกในอากาศ ที่สามารถช่วยลดปริมาณเชื้อรา สารฟอร์มาลดีไฮด์ ไวรัส และสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นในอากาศก่อนนำเข้าสู่ภายในบ้าน 

 นายวีระเดช กล่าวว่า ตลาดรีบิลด์ เป็น “โอกาส”ของเอสซีจี ไฮม์ ในการส่งมอบบริการสร้างบ้านที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมกับการตอบโจทย์ความต้องการของคนที่เตรียมสร้างบ้านใหม่ในปีนี้และในอนาคต “มาตรฐาน” ที่เอสซีจี ไฮม์ ยึดมั่นในการส่งมอบงานคุณภาพให้กับลูกค้ามาโดยตลอดคือ มาตรฐานงานก่อสร้างและ มาตรฐานงานบริการ

‘เอสซีจี ไฮม์’รุกตลาดรีบิลด์แก้ปัญหาได้บ้านไม่ตรงปก

ขณะที่ “มาตรฐานงานก่อสร้าง”ของเอสซีจี ไฮม์ ผลิตด้วยเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ในส่วนของโครงสร้างกว่า 80% แล้วเสร็จที่โรงงาน จากนั้นแล้วนำมาประกอบที่หน้างานโดยใช้ระบบ Modular โดยระหว่างการผลิตจะมีระบบตรวจสอบคุณภาพในโรงงานด้วยหุ่นยนต์

 จากประสบการณ์กว่า 13 ปี เอสซีจี ไฮม์ สร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านการพัฒนาด้านคุณภาพงานก่อสร้างและบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับเทรนด์พฤติกรรมการอยู่อาศัย-ใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป

‘เอสซีจี ไฮม์’รุกตลาดรีบิลด์แก้ปัญหาได้บ้านไม่ตรงปก

 “เอสซีจี ไฮม์ ขอเป็นตัวเลือกแรกที่ดีที่สุดให้กับลูกค้ากลุ่มครอบครัวใน 74 จังหวัดทั่วประเทศ ที่กำลังมองหาบ้านแนวราบหลังใหม่ และ สร้างบ้านหลังใหม่บนที่ดินเดิม หรือ รีบิลด์ ซึ่งจนถึงวันนี้เราได้ส่งมอบบ้านคุณภาพให้กับลูกค้ามากกว่า 1,200 ครอบครัว” นายวีระเดช กล่าว 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เอพีผุดLIFE สาทร เซียร์ราชูสวนไล่ระดับ5ชั้นเติมเต็มชีวิตคนเมือง

เอพีผุดLIFE สาทร เซียร์ราชูสวนไล่ระดับ5ชั้นเติมเต็มชีวิตคนเมือง

อพีย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้าส่ง “LIFE สาทร เซียร์รา”คอนโดไฮเอนด์มูลค่า 6,250 ล้านบาทที่มีสวนไล่ระดับ 5 ชั้นขนาดใหญ่ เติมเต็มชีวิตคนเมือง

นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน )กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้คำมั่นสัญญาการส่งมอบ “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” ให้กับลูกค้า

ผ่านนวัตกรรมดีไซน์และบริการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาของเมืองที่ไม่หยุดนิ่ง ดังนั้น ในการพัฒนาคอนโดมิเนียม จึงไม่ได้มองเพียงการเป็นอาคารพักอาศัย แต่หัวใจสำคัญคือเป็นโครงการที่พร้อมส่งมอบความปรารถนาในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน เพื่อให้ทุกนิยามความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จริง

 ไลฟ์ สาทร เซียร์รา คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ถือเป็นอีกโครงการที่เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป) ตั้งใจพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด BIO DIVERSITY ซึ่งเป็นการพัฒนาที่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คน – อาคาร – พื้นที่สีเขียว มาประยุกต์ใช้ในการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบ

ให้เป็น ” แฟล็กชิป” คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ติดรถไฟฟ้าในเมือง กับการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีและสมดุล ให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในกรุงเทพฯ 

สำหรับโครงการไลฟ์ สาทร เซียร์รา มูลค่า 6,250 ล้านบาท จำนวน 1,971 ยูนิต พร้อมเปิดโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าตามแผนที่วางไว้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาโครงการได้รับสัญญาณบวกจากลูกค้า ทั้งลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนดเวลา  และล่าสุดสามารถสร้างยอดขาย (ณ 15 ส.ค. 65) ได้แล้วกว่า 60%

สะท้อนกำลังซื้อลูกค้า “เรียลดีมานด์”ในกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ทำเลติดรถไฟฟ้าย่านฝั่งธนฯ  เชื่อมต่อได้ทั้ง BTS ตลาดพลู     และ BRT ราชพฤกษ์ ราคาพิเศษช่วงเปิดตึกห้องชุด 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท

นางสาวกมลทิพย์ กล่าวว่า  ความแตกต่างของ ไลฟ์ สาทร เซียร์รา การส่งมอบการอยู่อาศัยแนวสูงมิติใหม่ “พื้นที่ชีวิตเมือง” เชื่อมต่อ “ธรรมชาติ” ที่รวมทุกประสบการณ์ให้กับผู้อาศัยได้อย่างไม่ซ้ำ และไม่เคยมีโครงการใดมาก่อน

โดยทีม AP DESIGN LAB มุ่งมั่นตอบโจทย์ไม่เพียงแค่มิติความสวยงามในงานดีไซน์ หรือมิติฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบวิถีชีวิตใหม่เท่านั้น แต่พยายามผสมผสานพื้นที่ส่วนกลางที่มากกว่า 30 ฟังก์ชัน ให้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับตัวอาคารและงาน Landscape ในทุกพื้นที่ของโครงการ ที่ตอบอินไซต์คนเมืองรุ่นใหม่ที่โหยหาการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่สมดุลในเมือง

เริ่มตั้งแต่ความโดดเด่นแรก พื้นที่ส่วนกลางที่ใหญ่ที่สุดกว่า 5 ไร่ ในบรรยากาศของธรรมชาติด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 6,400 ตารางเมตร รวมถึงความสวยงามของการอยู่อาศัยร่วมกันของพืชพรรณไม้ ดอกไม้ต่างๆ ในโครงการ ที่จะตอกย้ำถึงความเป็นต้นแบบคอนโดมิเนียมในเมืองเพียงหนึ่งเดียว กับการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีและสมดุล ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

 อีกทั้ง ทางโครงการได้นำ World’s Top Nature Destination 6 สถานที่สำคัญ มาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดมากถึง 30 ฟังก์ชัน โดยมีไฮไลต์ อาทิ “หุบเขาต้นไม้ไล่ระดับสูง 5 ชั้น” แลนด์มาร์กหลักของโครงการ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก La Sierra ประเทศสเปน

พร้อม “Hiking Trail” เส้นทางเดินธรรมชาติจำลอง โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่พันธุ์ไม้ท้องถิ่นนานาชนิด ในบรรยากาศเสียงจากธรรมชาติขึ้นสู่ชั้น 5 ของตัวอาคาร โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Paiva Walkway ประเทศโปรตุเกส 

    ถัดมาในส่วนของความพิเศษของสระว่ายน้ำ “Serene Pool & Passive Pool” ความตั้งใจในการดีไซน์พื้นที่สระว่ายน้ำ Natural Shapeให้ผู้อาศัยได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์เสมือนว่ายน้ำท่ามกลางลำธารใสใจกลางเทือกเขาธรรมชาติ

ที่ทีมดีไซน์ได้ถอดรูปทรงจากลำธารสีเขียวมรกตใน Verzasca Valle ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และบรรยากาศการผ่อนคลายจากบ่อน้ำธรรมชาติที่ล้อมรอบไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดที่ To-Sua Ocean ประเทศซามัวร์ มาใช้ดีไซน์มิติใหม่ของสระว่ายน้ำในคอนโดมิเนียม ที่พร้อมให้คุณได้ออกกำลังกายและผ่อนคลายในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ยาวกว่า 100 เมตร ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ใจกลางเมือง 

 นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนกลางชั้น 40 สูงที่สุดในย่าน ให้ผู้อยู่อาศัยได้แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายได้อย่างต่อเนื่องกับ “Panoramic Sky Lounge” สเปซกล่องแก้วใสขนาดใหญ่ ที่รองรับฟังก์ชัน Co-Working & Co-Living เชื่อมต่อทุกมิติของไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่

 โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก The Café by Aman ร้านอาหารที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่สวนสีเขียวใจกลางย่านธุรกิจของกรุงโตเกียว และ “Panoramic Sunken Lounge” ส่งมอบการผ่อนคลายพร้อมวิวมุมสูง แรงบันดาลใจจาก Pamukkale ประเทศตุรกี เปิดรับวิวและมุมมองที่สูงสุดในย่าน มิติใหม่ของการพักผ่อน ให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสถึงความสงบ และวิวเมืองได้แบบ360 องศา 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาดเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.66 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาดเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.66 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่ง “อ่อนค่า” จากปัจจัย “ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง แรงขายทำกำไรเงินบาทแข็งค่าสะท้อนผ่านโฟลว์ธุรกรรมขายสุทธิบอนด์ระยะสั้น และบวกราคาทองคำที่ปรับลดลง”

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.66 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.62 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนในฝั่งอ่อนค่า ท่ามกลางแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ หลังจากที่เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.60 บาทต่อดอลลาร์ที่เราประเมินไว้ในวันก่อนหน้า

ทั้งนี้จากแรงกดดันทั้งการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงขายทำกำไรสถานะการเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าของนักลงทุนต่างชาติที่สะท้อนผ่านโฟลว์ธุรกรรมขายสุทธิบอนด์ระยะสั้นราว 5.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำ ก็ทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเกือบ 1% ในช่วงวันที่ผ่านมา และจะยังเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท แต่เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจเริ่มแกว่งตัวในกรอบ

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอปัจจัยใหม่ๆ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยใหม่ๆ ที่ตลาดรออาจเป็น ถ้อยแถลงของบรรดาประธานธนาคารกลาง โดยเฉพาะประธานเฟด ในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Holes รัฐ Wyoming ในสัปดาห์หน้า  

ทั้งนี้ หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่เราเคยประเมินไว้ ทำให้แนวต้านถัดไปของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 35.75-35.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจากสัญญาณทางเทคนิคัลทั้งจาก RSI และ MACD ก็ชี้ว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงได้ในระยะสั้น

แต่หากเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องรุนแรงและพลิกกลับมาแข็งค่าจนหลุดระดับ 35.15 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง จะทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทเข้าเงื่อนไขรูปแบบ Head and Shoulders ซึ่งอาจสะท้อนว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่องได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.55-35.75 บาท/ดอลลาร์

ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักที่ลดลง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้ง ดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกที่สำรวจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย (Philly Fed Manufacturing Index) เดือนสิงหาคมที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 6.2 จุด ดีกว่าคาด

รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ลดลงสู่ระดับ 2.5 แสนราย น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ พลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง (ConocoPhillips +3.5%, Exxon Mobil +2.4%) ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +0.23%

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นราว +0.39% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +2.6%, TotalEnegies +2.4%) แม้ว่าตลาดจะยังคงถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอย รวมถึงแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังเงินเฟ้อของทั้งยูโรโซนและอังกฤษยังอยู่ในระดับที่สูงมาก

ทางด้านตลาดบอนด์ แนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดนั้น รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้ช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 2.89% ซึ่งเราคาดว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเพิ่มสถานะการลงทุน

เพื่อเตรียมปรับพอร์ตการลงทุนรับมือกับแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในอนาคต ตามธีมการลงทุน Yields Curve Flattening ที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกเพิ่มการถือครองบอนด์ระยะยาว พร้อมกับเก็งกำไรว่าบอนด์ยีลด์ระยะสั้นอาจปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตามการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวแข็งค่าขึ้นใกล้ระดับ 107.5 จุด ซึ่งเป็นการกลับมาแข็งค่าที่สุดในรอบ 1 เดือน หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) สู่ระดับ 1.009 ดอลลาร์ต่อยูโร ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจยุโรป อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,771 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า การปรับตัวลดลงของราคาทองคำอาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในสัปดาห์นี้

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟด โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ยังคงออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่อง จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าสามารถควบคุมปัญหาเงินเฟ้อได้

อาทิ James Bullard ประธานเฟดสาขา St. Louis ยังคงสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ของเฟด ในการประชุมเดือนกันยายน และเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนกว่าดอกเบี้ยนโยบายจะแตะระดับ 3.75%-4.00% ภายในปีนี้ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดอย่างใกล้ชิดในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Holes รัฐ Wyoming ในสัปดาห์หน้า  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


Scoop : “รัชนก อินทนนท์” กำเนิดสาวน้อยมหัศจรรย์ แชมป์โลกแบดมินตันคนแรกจากแดนสยาม 

Scoop : "รัชนก อินทนนท์" กำเนิดสาวน้อยมหัศจรรย์ แชมป์โลกแบดมินตันคนแรกจากแดนสยาม (คลิป)

การคว้าแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยติดต่อกัน (2009-2011) ของ รัชนก อินทนนท์ ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีนักแบดมินตันคนไหนในโลกเคยทำได้มาก่อน ณ เวลานั้น ทำให้เธอกลายเป็นดาวรุ่งที่ถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง และถูกคาดหมายว่าจะเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของวงการแบดในอนาคต

ในศึกชิงแชมป์โลกปี 2013 “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ในวัย 18 ปี ได้สั่นสะเทือนวงการขนไก่โลกอีกครั้ง เธอลงแข่งในฐานะเต็ง 4 ของรายการ ปราบทั้ง ยิป ปุย ยิน คาโรลินา มาริน, พี.วี.สินธุ ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาเจอกับ ลี เสี่ยว เร่ย จากจีน หากเปรียบเป็นมวย ก็เป็นมวยถูกคู่ รัชนก ดาวรุ่งกำลังสด ส่วน ลี เสี่ยว เร่ย แม้อายุ 24 ปี แต่มากประสบการณ์ ครองบัลลังก์มือ 1 ของโลกและเป็นแชมป์โอลิมปิกเกมส์ 2012

ณ เวลานั้นมองมุม รัชนก นั้นเป็นรองอยู่หลายขุม ทั้งประสบการณ์ ฝีมือและฟอร์มการเล่น รวมไปถึงสถิติที่เป็นรองแบบชัดเจน ชนะได้เพียง 1 ครั้ง จากการพบกัน 5 ครั้ง

แต่ว่าจุดอ่อนกลายเป็นจุดแข็ง เพราะว่าเป็นรองจึงทำให้ “เมย์” เล่นได้เป็นธรรมชาติ ไร้ความกดดัน ในทางกลับกันด้วยรูปเกมที่สูสี กลายเป็น ลี เสี่ยว เร่ย ที่ยิ่งเล่นยิ่งกดดัน สุดท้ายเป็น รัชนก ที่พลิกล็อกเอาชนะไป 2-1 เกม กลายเป็นแชมป์โลกคนแรกในประวัติศาสตร์ของแบดมินตันไทย พร้อมสร้างสถิติเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 18 ปี

โดยสื่อต่างประเทศถึงกับแซวเธอว่าเป็นแชมป์โลกตั้งแต่ยังเป็นเด็กดัดฟันอยู่เลย ด้านสื่อไทยก็ยกให้เธอเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ของวงการแบดมินตันไทยอีกด้วย

หลังจากคว้าแชมป์โลก รัชนก ก็กวาดความสำเร็จมานับไม่ถ้วน จนขยับขึ้นไปรั้งมือ 1 ของโลกเมื่อปี 2016

ในปี 2019 ถือเป็นปีที่ รัชนก ทำได้ดีมากๆ สามารถผ่านเข้าถึงรอบชิงได้มากที่สุดในชีวิต 6 รายการ ส่วนในแมตช์ชิงแชมป์โลก 2019 จากสาวน้อยมหัศจรรย์เมื่อ 6 ปีก่อน มาในคราวนี้ เธอมาในฐานะเต็ง 7 ของรายการ สู้จนมาถึงรอบรองชนะเลิศ ดวลกับ โนโซมิ โอกูฮาระ มือ 4 ของโลก เกมในวันนั้นต้องตัดสินกันในเกมที่ 3 ใช้เวลาดวลกันถึง 82 นาที ก่อนที่ น้องเมย์ จะแพ้ไปในท้ายที่สุด ได้เหรียญทองแดงเป็นรางวัลปลอบใจ

อย่างไรก็ตามเธอยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดมินตันไทยประเภทที่ 2 ที่ทำได้ 2 เหรียญในศึกชิงแชมป์โลก ต่อจาก เต่า-ส้ม คู่ผสมที่ได้เหรียญทองแดง 2 ปีติดต่อกัน ในปี 2005-2006

จะในยุคทอง 2 หวัง 1 ลี ของจีน หรือปัจจุบันที่นักแบดหญิงเดี่ยว 7-8 คน ไต้ จื่อ อิง, มาริน, เฉิน ยู่ เฟ่ย, อากาเนะ ฯ ผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ แต่ รัชนก อินทนนท์ สาวน้อยมหัศจรรย์ของเราก็ยังคงยืดหยัดอยู่ในระดับท็อปสร้างความสำเร็จมาได้ตลอดทศวรรษ

ศึกชิงแชมป์โลก 2022 ปีนี้จะแข่งขันกันในวันที่ 22-28 สิงหาคม ส่งใจเชียร์ “เมย์” รัชนก อินทนนท์  และนักแบดมินตันไทย ให้ประสบความสำเร็จในรายการนี้กันอีกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กินยา “พาราเซตามอล” ทุกวันอันตรายไหม

กินยา "พาราเซตามอล" ทุกวันอันตรายไหม

ยาพารา หรือชื่อเต็ม พาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้าน เป็นยาสำหรับลดไข้ บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เป็นหนึ่งในยาที่ผู้คนเลือกใช้แรกๆ เมื่อมีอาการป่วย แต่ยาพาราเซตามอล กินแบบไหนถึงจะถูกต้อง กินต่อเนื่องจะอันตรายไหม วันนี้เรามาดูกัน 

รู้จักยาพาราเซตามอลกันก่อน ว่ามีสรรพคุณอะไร 

พาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นยาในกลุ่มลดไข้ บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยจากไข้หวัด ปวดฟัน ปวดประจำเดือน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง และปวดจากข้อเสื่อม

ขนาดยาพาราที่แนะนำให้ใช้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย 

ยาพาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวดลดไข้ มี 2 ขนาด คือ ขนาด 325 มิลลิกรัม และขนาด 500 มิลลิกรัม ซึ่งต้องกินตามน้ำหนักตัว โดยการกินยาแต่ละครั้ง ควรกินห่างกันอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง และใช้เฉพาะเมื่อมีอาการ เช่น ปวดหรือมีไข้

ขนาดยาพาราเซตามอลที่ถูกต้อง ควรกินตามน้ำหนักตัว โดยในการกินยา 1 ครั้ง แนะนำให้ใช้ยาขนาด 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ถ้าหากนำน้ำหนักตัวมาคำนวณแล้วเกินกว่า 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) แปลว่าใช้ยาเกินขนาด ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษร้ายแรงต่อตับได้

ยาพาราเซตามอล ขนาด 325 มิลลิกรัม

  • น้ำหนัก 45-67 กิโลกรัม กิน 2 เม็ด
  • น้ำหนัก 34-44 กิโลกรัม กิน 1 เม็ดครึ่ง
  • น้ำหนัก 22-33 กิโลกรัม กิน 1 เม็ด

ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม

  • น้ำหนัก 67 กิโลกรัมขึ้นไป กิน 2 เม็ด
  • น้ำหนัก 51-67 กิโลกรัม กิน 1 เม็ดครึ่ง
  • น้ำหนัก 33-50 กิโลกรัม กิน 1 เม็ด

สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 22 กิโลกรัม ไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลแบบเม็ดทุกขนาด ควรเข้าพบแพทย์โดยตรงเพื่อปรึกษาอาการและยาที่ควรใช้

อาการของการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด

หากรับประทานยาพาราเกินขนาด อาจมีอาการแสดงของการใช้ยาเกินขนาดจะแสดงใน 1-3 วัน มีทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่

  • ระยะที่ 1 คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เหงื่อออก เป็นระยะสั้น ๆ โดยจะเกิดภายใน 24 ชั่วโมง บางรายอาจไม่มีอาการ
  • ระยะที่ 2 หลังกินยาระหว่าง 24-48 ชั่วโมง ไม่มีอาการแสดง แต่เมื่อเจาะเลือดจะพบว่าเอนไซม์ทรานซามิเนส (transaminase) เริ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่แสดงถึงการบาดเจ็บของตับ
  • ระยะที่ 3 หลังกินยาไปแล้ว 48 ชั่วโมง มีอาการตับอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารอีกครั้ง มีภาวะแทรกซ้อนเหมือนตับอักเสบทั่วไป หากรุนแรงอาจมีอาการสมองเสื่อมจากโรคตับ และเสียชีวิตได้หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที

กินยาพาราทุกวันอันตรายไหม?

จากข้อมูลของโรงพยาบาลต่างๆ ได้ให้ข้อมูลตรงกันว่า ไม่ควรรับประทานยาพาราติดต่อกันเกิน 5 วัน หากต้องใช้ยานานกว่านั้นควรปรึกษาแพทย์ เหตุผลหลักๆ คือ

  1. 1.การใช้ยาพาราติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้ตับทำงานบกพร่อง
  2. 2.โดยปกติหากเกิน 5 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆ ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อหาสาเหตุเพิ่ม

ยาพาราแม้จะเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการปวด ลดไข้ ที่นึกถึงอันดับแรกๆ ดูแล้วเป็นยาที่ไม่อันตราย แต่อย่างไรก็ควรรับประทานให้ถูก อ่านฉลากให้ดี ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งหากต้องใช้นานกว่าที่กำหนด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การตั้งประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย ARE

วันนี้เราจะมาดูการตั้งคำถามด้วย Are กันค่ะ ซึ่งโครงสร้างการตั้งประโยคคำถามด้วยกริยาช่วยอย่าง Verb to be “Are” (แปลว่า เป็น, อยู่, คือ) จะใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์ อย่าง you, we, และ they ค่ะ และตามด้วย คำวิเศษณ์ (Adjective) และ คำนาม (Noun)
เดี๋ยวมาดูตัวอย่างกันเลย

1. Are you busy?

= คุณยุ่งหรือเปล่า?

2. Are you free tonight?

= คืนนี้คุณว่างมั้ย?

3. Are you going to help her?

= คุณจะไปช่วยเธอมั้ย?

4. Are you comfortable?

= คุณสะดวกมั้ย?

5. Are you ready?

= คุณพร้อมหรือยัง?

6. Are you waiting for someone?

= คุณกำลังรอใครอยู่ใช่ไหม?

7. Are you working tomorrow?

= คุณจะทำงานพรุ่งนี้ใช่มั้ย?

8. Are you married?

= คุณแต่งงานแล้วใช่มั้ย?

9. Are you hungry?

= คุณหิวใช่มั้ย?

10. Are you allergic to anything?

= คุณแพ้บางอย่างใช่มั้ย?

11. Are you here alone?

= คุณอยู่ที่นี่คนเดียวใช่มั้ย?

12. Are you single?

= คุณโสดหรือเปล่า

13. Are you crazy?

= คุณบ้าหรือเปล่า?

14. Are you going to watch football tonight?

= คืนนี้คุณจะดูฟุตบอลหรือเปล่า?

15. Are you mad at me?

= คุณโกรธหรอ?

16. Are you going to bed early tonight?

= คุณจะเข้านอนเร็วมั้ยคืนนี้?

17. Are we there yet?

= พวกเราถึงที่นั่นหรือยัง?

18. Are you a student?

= คุณเป็นนักเรียนหรือเปล่า?

19. Are you hurt?

= คุณเจ็บหรือเปล่า?

20. Are they selling alcohol today?

= พวกเขาขายแอลกอฮอล์วันนี้มั้ย?

21. Are they playing tennis?

= พวกเขาเล่นเทนนิสกันอยู่ใช่มั้ย?

22. Are you okay?

= คุณโอเคมั้ย?

23. Are you from Thailand?

= คุณมาจากประเทศไทยใช่มั้ย?

24. Are you Alex?

= คุณคือเอล็กซ์ใช่มั้ย?

25. Are they in grade 12?

= พวกเขาอยู่ชั้นม.6 ใช่มั้ย? (เกรด 12)

26. Are you cheating on me?

= คุณนอกใจฉันหรอ?

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


เปิดห้องเรียนวิชา “เทคโนโลยีหุ่นยนต์” ชวนเยาวชนเรียนรู้นวัตกรรม และเทคโนโลยีสุดล้ำ 22-23 สิงหาคมนี้

เปิดห้องเรียนวิชา “เทคโนโลยีหุ่นยนต์” ชวนเยาวชนเรียนรู้นวัตกรรม และเทคโนโลยีสุดล้ำ  22-23 สิงหาคมนี้

เครือซีพี และ กลุ่มทรู ร่วมกับ กรุงเทพมหานครและพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัดงาน CP บางกอกวิทยา” หนึ่งในกิจกรรมเทศกาล “บางกอกวิทยา” โดยเนรมิตพื้นที่ชั้น 6 ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นห้องเรียนวิชาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ พร้อมเชิญชวนนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป ร่วมเปิดโลกการเรียนรู้เทคโนโลยีหุ่นยนต์และดิจิทัลล้ำสมัย ตามแนวคิด “เทศกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ของ กทม.ที่มุ่งถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ให้เป็นเรื่องใกล้ตัว ผสานความสนุกและความบันเทิงในห้องเรียนแห่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

งาน CP บางกอกวิทยา” รวมความตื่นตาตื่นใจด้านนวัตกรรมหุ่นยนต์และเทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะบนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร เปิดให้เข้าชมได้ฟรี โดยแบ่งเป็น 2 โซน ได้แก่

โซนหุ่นยนต์

  • สร้างแรงบันดาลใจให้กับนวัตกรน้อย ด้วยกองทัพหุ่นยนต์หลากหลายรูปแบบจาก True Robotics ที่พัฒนาความฉลาดล้ำของหุ่นยนต์โดยคนไทย จนสามารถให้ข้อมูล ส่งของ นำทาง และเสิร์ฟเครื่องดื่มได้
  • Mini Workshop กับ ROBOT LAB ชวนเรียนรู้การเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับมืออาชีพ ต่อยอดความฝัน ฝึกฝนทักษะเพื่อมุ่งสู่เส้นทางนักพัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์ในอนาคต
  • สตูดิโอสแกนบุคคล 3 มิติ (3D AVATAR STUDIO) ถ่ายภาพ 3 มิติ โดยใช้กล้องพร้อมกันถึง 100 ตัว ภายในเวลา 15 วินาที พร้อมนำภาพไปแปลงเป็น Animation, SFX, VR, AR รวมถึงทางการแพทย์
  • True 5G Pong Bot หุ่นยนต์ฝึกปิงปองอัจฉริยะตัวแรกในไทย ใช้เทคโนโลยี 5G และ Robotics ทำงานร่วมกับกล้องจับความเคลื่อนไหว สามารถตอบสนองแบบเรียลไทม์ตามระดับความสามารถของนักกีฬาได้อย่างแม่นยำ ช่วยพัฒนาได้ทั้งทักษะและเทคนิคการเล่นปิงปอง

โซนนวัตกรรม

  • CP Innovation for Sustainability Center ชมนิทรรศการการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผ่านการสร้างสรรค์ “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจตลอดหนึ่งศตวรรษของเครือซีพี
  • RICOH Experience Center สัมผัสประสบการณ์เทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยให้การบริหารจัดการงานเอกสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิดและ Analytic Solutionsและระบบห้องประชุมอัจฉริยะ
  • พื้นที่สร้างสรรค์จาก KMITL City Center และ NextCreator Space พบกับเทคโนโลยี AR, VRและ Metaverse ตลอดจน Digital Playground ให้ชมและทดลองเล่นอย่างจุใจ
  • Beartai ชวนทดลองเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีในสตูดิโอสื่อไลฟ์สไตล์เทคโนโลยีชื่อดังของไทย
  • Techsauce เปิดแนะแนวอาชีพสายเทคให้กับน้องๆ ที่สนใจอยากจะทำงานด้านดิจิทัล และเทคโนโลยี

พบกันที่ งาน “CP บางกอกวิทยา” วันที่ 22-23 สิงหาคม 2565 เวลา 9.00 – 17.00 น. ณ ชั้น 6 อาคารเพกาซัส รู ดิจิทัล พาร์ค สุขุมวิท 101/1 (BTS สถานีปุณณวิถี) ดูรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ CP บางกอกวิทยา @True Digital Park

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“ไข่ต้ม” กับ 9 ประโยนช์ดีๆ ต่อร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน-ลดเสี่ยงโรคหัวใจ

“ไข่ต้ม” กับ 9 ประโยนช์ดีๆ ต่อร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน-ลดเสี่ยงโรคหัวใจ

ไข่ต้ม แสนธรรมดาๆ นี้ มีประโยชน์ต่อร่างกายครอบจักรวาลมาก ทั้งช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงกระดูก เล็บ เส้นผม สายตา สมอง และ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

ไข่ต้ม อาหารแสนธรรมดาที่มีประโยชน์มหาศาล

ดร.อชิรญา  คำจันทร์ศุภสิน นักปฏิบัติการวิจัย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ เมื่อ 14 มีนาคม 2565 ว่า ไข่ต้ม เป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการ ราคาถูก และหารับประทานได้ง่าย

9 ประโยชน์ของ ไข่ต้ม

  1. ไข่ต้ม อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ไข่ต้ม ให้สารอาหารหลัก คือ โปรตีน แต่ก็มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายอื่นๆ เช่น แร่ธาตุ วิตามิน รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยดูแลสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย

  1. กินไข่ต้มแทนการกินไข่ดิบ

ไข่ขาวดิบ จะมีสารที่ชื่อว่า อะวิดิน ที่อาจจะเข้าไปจับกับสารอาหารที่กลุ่มของวิตามินดีที่ชื่อว่า ไบโอติน จึงเข้าไปขัดขวางการดูดซึมของไบโอตินในร่างกายได้

นอกจากนี้ ไข่ดิบ ทั้งไข่ขาวและไข่แดง อาจเสี่ยงต่อเชื้อซาลโมเนลล่า อาจก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้ และอาเจียนได้

  1. ไข่ต้ม ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ

ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำหนัก 50 กรัม จะมีโปรตีนอยู่ที่ 6-7 กรัม และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายของเรามากถึง 9 ชนิด ปริมาณโปรตีนปกติที่คนเราต้องการ คือ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่สำหรับคนที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ นักกีฬา อาจต้องการโปรตีนมากกว่าเดิม หรือราวๆ 1.2-1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

  1. ไข่ต้ม เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

ไข่ไก่ 1 ฟอง มีแคลเซียม ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความต้องการในแต่ละวันของเรา จะอยู่ที่ 15.8% ในขณะที่นม 1 แก้ว จะมีแคลเซียมอยู่ที่ประมาณ 25-30% นอกจากนี้ในไข่ต้มยังมีฟอสฟอรัส ถึงประมาณ 1 ใน 4 ของปริมาณที่เราต้องการในแต่ละวัน รวมทั้งยังมีวิตามินดี ที่ช่วยส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมเข้าไปบำรุงกระดูกอีกด้วย

  1. ไข่ต้ม เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

สารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายที่มีอยู่ในไข่ต้ม จะประกอบไปด้วย กลุ่มวิตามิน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี หรือสังกะสี

6. ไข่ต้ม ช่วยบำรุงเล็บ และเส้นผม

เล็บ และเส้นผมของเรามาจากส่วนที่เป็นโปรตีน ดังนั้นถ้าเราได้รับปริมาณโปรตีนที่มากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมไปถึงสารอาหารกลุ่มของ ซิงค์ วิตามินดี และอื่นๆ ก็จะช่วยเสริมในการสังเคราะห์เส้นผม เล็บ และผิวหนังของเราได้

  1. ไข่ต้ม ช่วยบำรุงสายตา ช่วยป้องกันจอประสาทตาเสื่อม

สารสำคัญในไข่แดง เช่น ในกลุ่มของ ลูทีน และ ซีแซนทีน ที่จะอยู่ในจอประสาทตาของเรา ดังนั้นหากรับประทานสารอาหรกลุ่มนี้ที่มีอยู่ในไข่แดง รวมถึงผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น แคร์รอต ฟักทอง ก็จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของจอประสาทตาของเราได้

  1. ไข่ต้ม ช่วยบำรุงสมอง ลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์

เป็นเพราะว่าในไข่ต้มมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายของเราอย่างหลากหลาย หนึ่งในสารอาหารที่สำคัญที่อยู่ในไข่ คือ โคลีน เป็นสารที่มีอยู่ในส่วนที่อยู่ในเยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มเซลล์ประสาท เมื่อเราได้รับโคลีนเข้าไป จึงเข้าไปช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองของเราให้ดีขึ้น และมีส่วนที่จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองต่างๆ ได้ หนึ่งในนั้นก็คือโรคอัลไซเมอร์

อาจจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าการรับประทานไข่ต้มจะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ 100% และสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดขึ้นในสมองได้

หากใครอยากเพิ่มโคลีนให้กับร่างกาย แต่อยากหลีกเลี่ยงไข่แดง ยังสามารถรับประทานอาหารอื่นๆ ที่มีโคลีนได้ เช่น เนื้อสัตว์ หัวใจ สมอง ผักใบเขียว ถั่วต่างๆ

  1. ไข่ต้ม ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

ไขมันที่อยู่ในไขมัน ประกอบด้วยไขมันทุกชนิด ทั้งไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีไขมันที่ดีอย่าง โอเมก้า 3 หากเรารับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย ได้รับไขมันที่หลากหลาย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้

ถ้าเรามีสุขภาพที่แข็งแรงดี ไม่ได้มีโรคประจำตัวอันตรายใดๆ สามารถรับประทานไข่ต้มได้วันละ 1 ฟอง หรืออาจมากกว่านี้ได้หากมั่นใจว่าร่างกายของเราไม่มีปัญหากับการรับประทานไข่ต้มมาก เช่น ไม่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน หรือไม่มีข้อจำกัดอื่นๆ ที่แพทย์ประจำตัว หรือแพทย์ที่ตรวจสุขภาพของเราห้ามเอาไว้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/08/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,700.0029,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,924.0029,167.8430,300.00
ทองรูปพรรณ 90%1,731.6026,251.06n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,539.2023,334.27n/a
ทองรูปพรรณ 50%866.0013,128.56n/a
ทองรูปพรรณ 40%673.0010,202.68n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,994.0030,229.04n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/08/2565


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.5536.5537.5537.2536.5536.5536.5536.5537.2536.55
แก๊สโซฮอล์ 9136.2836.2837.2836.9836.2836.2836.2836.2836.9836.28
แก๊สโซฮอล์ E2035.4435.4436.4436.1435.4435.4435.4436.1435.44
แก๊สโซฮอล์ E8532.6432.6432.64
เบนซิน 9543.9644.4144.4644.4643.96
ดีเซล B734.9434.9435.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล34.9434.9435.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม45.6645.6646.6645.6645.6645.66
แก๊ส NGV15.5915.5915.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า