มรสุมเศรษฐกิจ กระหน่ำ ‘ตลาดอสังหาฯ’ กำลังซื้อ สวนทางต้นทุน
เงินเฟ้อ ป่วนกำลังซื้อตลาดที่อยู่อาศัย REIC เผย ยอดขายไตรมาส 2 ดรอปลง จำนวนสต็อกเหลือขาย 8.6 แสนล้าน ขณะ เฟรเซอร์สฯ ฉายภาพ มรสุมเศรษฐกิจ- พลังงาน กระหน่ำต้นทุน สวนทางกำลังซื้อ 100 เหลือ 10 ด้าน ออริจิ้น ปูดโจทย์ใหญ่ เวียดนาม จ่อแย่งแรงงานก่อสร้าง ต้นทุนสูง พัฒนาโครงการช้าขึ้น
นาย วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC)เปิดเผยถึง สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ของ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ว่า ภาพรวม ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2565 มีจำนวนหน่วยเสนอขายทั้งหมด ราว 199,949 หน่วย มูลค่ามากกว่า 9.76 แสนล้านบาท
โดยในจำนวนนี้ เป็นหน่วยเปิดขายใหม่ราว 28,000 หน่วย มูลค่ากว่า 1.36 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น สะท้อนภาพความเชื่อมั่นในฝั่งผู้ประกอบการ ที่ดีขึ้นกว่าช่วงปี 2563 และ ปี 2564 โดยเฉพาะกลุ่มบ้านจัดสรรราคาแพง และ คอนโดมิเนียมกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
สต็อกเพิ่ม เงินเฟ้อฉุดยอดขาย Q2
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการอัตราการดูดซับ พบมีทิศทางที่ลดลงในหลายทำเล และ หลายกลุ่มระดับราคา ทำให้หน่วยคงค้างเพิ่มขึ้น โดยยอดขายได้ใหม่ทั้งบ้านและคอนโดฯ ในช่วงไตรมาส 2 ชะลอลงมาจากไตรมาสแรกของปี จาก 30,070 หน่วย เหลือ 23,476 หน่วย มูลค่า 1.16 แสนล้านบาท ทำให้ หน่วยเหลือขายคงค้าง ณ ไตรมาส 2 ปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 176,473 หน่วย มูลค่า 860,335 ล้านบาท
ทั้งนี้ ประเมินเหตุผลสำคัญ ว่า ผู้บริโภค ขาดความเชื่อมั่นในด้านรายได้ และ เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายแง่ เช่น เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย เป็นต้น โดยแนะให้ผู้พัฒนาฯ เฝ้าระวัง หน่วยค้างเก่า ทาวน์เฮ้าส์ และ คอนโดฯ ในบางทำเล
” ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของตลาด คือ อัตราเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ,การปรับเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ ผ่านราคาสินค้าสูงขึ้น อีกทั้งประเมินว่า หากมีการปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นแรงฉุดโมเมนตั้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยให้ต้องสะดุดลงอีกครั้ง”
กำลังซื้อ สวน ต้นทุนอสังหาฯ
ด้าน นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) ยอมรับว่า ขณะนี้ มรสุมเศรษฐกิจ กำลังกระหน่ำตลาดอสังหาฯ ในรูปแบบ Stagflation หรือ ภาวะ กำลังซื้อสวนทางกับต้นทุนอย่างแรง ครอบคลุมปัญหา เงินเฟ้อ , ต้นทุนสูง ,พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน , หนี้สินครัวเรือน ,โควิด-19 ,การแข่งขันสูง ,แรงงานขาดแคลน และ ค่าเงินบาทอ่อนตัว
โดยเฉพาะทิศทางเรื่องหนี้ครัวเรือน ระดับ 90% ของคนไทย เปรียบ 100 ครัวเรือน เหลือกำลังซื้อ แค่ 10% ที่จะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ ขณะภาวะเงินเฟ้อ ระดับ 7.6% สูงที่สุดในรอบ 13 ปี ภายใต้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแรง กดดันนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งมีแนวโน้มว่า อาจทำให้ ดอกเบี้ยกู้บ้านมีแนวโน้มสูงขึ้น
ส่งผลให้บ้านมีราคาแพง ลูกค้าต้องผ่อนบ้านมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.75% (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ในอนาคตอาจสูงถึง 1.25% ซึ่งตามทฤษฎี ทุกๆการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% จะทำให้ผลให้กำลังซื้อบ้านลดลง 7% เป็นสภาพที่ยากลำบากของผู้ประกอบการ ยิ่งมีสภาพคล่องต่ำ ยิ่งมีความเสี่ยงสูง ภายใต้ต้นทุนด้านที่ดินก็ขยับแรง พบบางทำเลขึ้นมากกว่า 70% จากหลายปีก่อนหน้า รวมถึงวัสดุก่อสร้างด้วย
“แนวราบราคาที่ดินสูงขึ้นมาก กระทบโครงสร้างต้นทุน เทียบปี 2562 กับ ปี 2565 ราคาเพิ่มขึ้นมา 75% ส่วนต้นทุนก่อสร้าง จากภาวะสงคราม เงินเฟ้อ ต้นทุนพลังงาน และ ค่าเงินบาทอ่อนตัว ที่มีโอกาสแตะถึง 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในอนาคต”
โจทย์ใหญ่ แรงงานในระบบหาย 30%
สอดคล้องมุมมอง นาย พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย ระบุ ว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทย อยู่ภายใต้ ‘วิกฤติ’ ที่สมบูรณ์แบบ จากโควิด-19 ต่อเนื่องด้วย สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เข้ามาบิดเบือนกลไกการค้า และต้นทุนการประกอบธุรกิจ จากปัญหาการสะดุดซัพพลายเชนทั่วโลก ขณะอสังหาฯ นับเป็นสินค้าราคาแพง ขณะนี้ต่างต้องพากันวางแผนรับมือกันอย่างรายวัน
ทั้งนี้ แม้ประเมินว่า ทั้ง ทิศทางตลาดบ้านแนวราบ ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และ คอนโดฯ ที่เคยหดตัวไปราว 15-25% น่าจะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป ภายใต้สมมุติฐาน ว่า ประเทศจีนสามารถเปิดประเทศไทย ดึง กลุ่มลูกค้าชาวจีน และ ฮ่องกง กลับมาอย่างเต็มตัว เช่นเดียวกับ กลุ่มผู้ซื้อคนไทย ที่ยังมีความนิยมต้องการที่อยู่อาศัยในเมือง ติดแนวรถไฟฟ้า จากปัญหารถติดขัดมากกว่าในอดีต
อีกทั้ง แนวโน้มราคาบ้าน เริ่มสูงขึ้นแรง ปีละ 10% สวนทาง ราคาขายต่อตร.ม.ของคอนโดฯยุคใหม่ ที่ปรับสมดุล ผู้ประกอบการช่วยกันเซตอัพราคาขายใหม่ เริ่ม 50,000 บาทต่อตร.ม. อย่างเช่นในอดีต เริ่มกลับมา ผู้ประกอบการยอมปรับลดส่วนเกินของโครงการ และเชือดกำไรลง 5-7% เพื่อสร้างโปรดักส์ที่โดดเด่น ภายใต้กำลังซื้ออ่อนแอ
แต่สิ่งที่น่ากังวล เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องจับตามอง คือ ปัญหาด้านต้นทุน และแรงงานขาดแคลน เนื่องนี้ขณะนี้ ยังเผชิญกับปัญหา แรงงานในระบบหายไป 30% ส่วนคนไทยในไซต์ก่อสร้าง เหลือไม่ถึง 10% เนื่องจากแรงงานถูกดึงออกไป จึงอยากให้เร่งเตรียมแผนรับมือไว้ด้วย
‘ขณะนี้แรงงานก่อสร้าง ไหลไปยังอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น และมีแนวโน้มที่ประเทศคู่แข่ง อย่าง เวียดนาม มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ จะเข้ามาดูดซับแรงงานที่เราเคยใช้ เช่น ชาวกัมพูชาออกไป อันนี้กำลังจะเป็นโจทย์ใหญ่ ที่ต้องเริ่มกันคิด ว่าจะทำกันอย่างไรกันต่อไปในภาคอสังหาฯ ”
ทั้งนี้ ประมาณการณ์เศรษฐกิจไทย ปี 2565 ขยายตัวที่ 2.9% ภายใต้สมมุติฐาน จากภาคบริการ และ การท่องเที่ยวฟื้นตัวดี ขณะ ปัจจัยลบของภาคธุรกิจ ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโกล และ ภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนพลังงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
2 บริษัท ยื่นชิงดำสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย
2 บริษัท ยื่นชิงดำสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/65 G2/35 และ G3/65 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า จากการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ครั้งที่ 24 สำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/65 G2/35 และ G3/65 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ปรากฏว่ามีบริษัทสนใจยื่นคำขอสิทธิฯ ทั้งสิ้น จำนวน 2 บริษัท
ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้เปิดให้ยื่นคำขอสิทธิฯ ในวันและเวลาราชการ ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน ถึงวันที่ 16 กันยายน 2565 ซึ่งมีบริษัทที่สนใจร่วมยื่นขอสิทธิฯ จำนวน 2 ราย โดยเอกสารการยื่นขอสิทธิฯ ประกอบด้วย คำขอสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต เอกสารแสดงคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
รวมทั้งข้อเสนอข้อผูกพันด้านปริมาณงานและปริมาณเงินสำหรับการสำรวจปิโตรเลียม และผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ โดยในการพิจารณาคำขอสิทธิฯ ดังกล่าว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ดำเนินตามขั้นตอนทุกอย่างด้วยความโปร่งใส รัดกุม และรอบคอบ
ซึ่งเชื่อมั่นว่ากลไกต่าง ๆ ในการพิจารณาให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จะสามารถทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ยื่นขอสิทธิฯ ทุกรายในครั้งนี้ได้ ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะพิจารณากลั่นกรองพิจารณาคุณสมบัติ ข้อเสนอทางด้านเทคนิค และผลประโยชน์ตอบแทนรัฐในเบื้องต้นของบริษัทผู้ยื่นคำขอสิทธิฯ
ก่อนเสนอผลการพิจารณากลั่นกรองให้คณะอนุกรรมการพิจารณาการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม คณะอนุกรรมการพิจารณาข้อกฎหมายและร่างสัมปทานปิโตรเลียม คณะกรรมการปิโตรเลียม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาตามลำดับ และนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ โดยคาดว่าจะสามารถประกาศผลผู้ได้รับคัดเลือกเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตได้ราวเดือนกุมภาพันธ์ 2566
สำหรับการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งที่ 24 นี้ นับเป็นการสร้างโอกาสกับประเทศไทย ในการนำทรัพยากรปิโตรเลียมมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ และเพิ่มโอกาสในการพบแหล่งปิโตรเลียมใหม่ ของประเทศซึ่งนับเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในการส่งเสริมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแก่ประเทศอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทวันนี้เปิดตลาด “แข็งค่า”ระดับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสผันผวนในฝั่งอ่อนค่า จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุม FOMC อาจพลิกกลับมาแข็งค่า เงินดอลลาร์ยังไม่อ่อนค่าหนักมีโอกาสแกว่งตัวเหตุได้แรงหนุนจากSafe Haven
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงรุนแรง หลังตลาดกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุม FOMC นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางหลักอื่นๆ และรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญของผู้เล่นในตลาด คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด หรือ FOMC โดยเรามองว่า เฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี เรามองว่า เฟดอาจไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงเท่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ตลาดมองว่า เฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยถึงระดับ 4.50%-4.75%)
โดยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือ Dot Plot ใหม่อาจสะท้อนว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.00%-4.25% ในปีนี้ ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในปีหน้า และอาจลดลงสู่ระดับ 3.25%-3.50% ในปี 2024 หลังเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางส่งสัญญาณชะลอลง อีกทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมชะลอลงมากขึ้น
ซึ่งเราคาดว่า เฟดอาจปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าลงบ้าง พร้อมกับปรับเพิ่มอัตราการว่างงานขึ้นเล็กน้อยในปีหน้า รวมถึงปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ เมื่อเทียบกับคาดการณ์เศรษฐกิจในการประชุมเดือนมิถุนายน
ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ตลาดคาดว่า ภาคการบริการของสหรัฐฯ อาจหดตัวในอัตราชะลอลง หนุนโดยการใช้จ่ายของผู้คนที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะสอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่ยังคงขยายตัว โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (S&P Global Services PMI) เดือนกันยายน อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 45.5 จุด จาก 43.7 จุด ในเดือนก่อนหน้า (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)
ส่วนภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาจขยายตัวต่อเนื่อง ในอัตราชะลอลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ยังสูงอยู่ โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาจลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 51.3 จุด จากระดับ 51.5 จุด ในเดือนก่อนหน้า (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)
ฝั่งยุโรป – ตลาดมองว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% สู่ระดับ 2.25% เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี BOE อาจแสดงความกังวลมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดการเงินผันผวน โดยเฉพาะค่าเงินปอนด์ (GBP) อาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าลงได้ แม้ว่า BOE จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดคาดว่า รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการของยูโรโซนและอังกฤษ จะยังคงสะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของเศรษฐกิจยุโรป ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงและภาวะชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของยูโรโซนในเดือนกันยายน อาจปรับตัวลงต่อสู่ระดับ 48.7 จุด และ 49 จุด ตามลำดับ
นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการเลือกตั้งทั่วไปของอิตาลีในวันอาทิตย์ โดยผลโพลล่าสุดสะท้อนว่า พรรค Brothers of Italy ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดมีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลปัญหาการเมืองยุโรปมากขึ้นได้
ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า แนวโน้มการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของเงินเฟ้อพื้นฐานในหลายประเทศฝั่งเอเชียจะยังคงหนุนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของบรรดาธนาคารกลางในเอเชีย โดยธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.50% สู่ระดับ 4.25% ส่วนธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจขึ้นดอกเบี้ยราว +0.25% สู่ระดับ 4.00% ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% พร้อมกับเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี เพื่อตรึงให้บอนด์ยีลด์ ไม่เกินกว่าระดับ 0.25% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ BOJ ยังไม่ได้เผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อมากเท่ากับธนาคารกลางอื่นๆ เพราะแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของญี่ปุ่นจะเร่งขึ้นสู่ระดับ 2.9% ในเดือนสิงหาคม แต่อัตราเงินเฟ้อเมื่อหักราคาพลังงานและอาหารสด (Core-Core Inflation) ก็อยู่ที่ระดับเพียง 1.5% ซึ่งยังไม่สูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2.00% ของ BOJ
ฝั่งไทย – ตลาดประเมินว่าดุลการค้าของไทยในเดือนสิงหาคมอาจขาดดุลน้อยลงจากเดือนก่อนหน้า ตามการปรับตัวลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะราคาสินค้าพลังงาน ทำให้ยอดการนำเข้าโตราว 18%y/y ส่วนยอดการส่งออกยังโตได้ราว +7%y/y
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนในฝั่งอ่อนค่า จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุม FOMC ซึ่งเงินบาทอาจพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงพร้อมกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ
ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยหากแรงขายสินทรัพย์ไทยเริ่มลดลง หรือนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยและบอนด์ไทยในจังหวะย่อตัวก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ อนึ่ง เราประเมินแนวต้านเงินบาทจะอยู่ในช่วง 37.20 ส่วนแนวรับจะอยู่ในโซน 36.50-36.70 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้หรือแกว่งตัว Sideways ในระยะสั้น หลังสัญญาณเชิงเทคนิคัล “Bearish Divergence” ของ RSI ยังคงอยู่ ในกราฟค่าเงินบาทหลายกรอบเวลา (Time Frame) ทั้งกราฟเงินบาท รายวัน (Daily) รายสัปดาห์ (Weekly) และรายเดือน (Monthly)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากและมีโอกาสย่อตัวลงได้ หลังตลาดได้ประเมินว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปถึงระดับ 4.50%-4.75% ทำให้หาก Dot Plot ใหม่ของเฟดไม่ได้สะท้อนแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงอย่างที่ตลาดคาด ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจยังได้แรงหนุนจากต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทำให้เงินดอลลาร์ยังไม่กลับมาอ่อนค่าลงหนักและมีโอกาสแกว่งตัวค่อยๆ อ่อนค่าลงแบบ sideways down
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.50-37.20 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.70-36.90 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทุบสถิติประเทศไทย! “คีริน” ปอดเหล็กทีมชาติ คว้ารองแชมป์งานวิ่ง “บางแสน10”
คีริน ตันติเวทย์ นักวิ่งหนุ่มทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองแดง เอเชียนเกมส์ 2018 และ 2 เหรียญทอง ซีเกมส์ 2019 จารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการวิ่งบ้านเราอีกครั้ง เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา
โดยปอดเหล็กวัย 25 ปี ที่ตัดสินใจเดินทางเข้าร่วมในการแข่งขันวิ่งรายการ “บางแสน10” ที่หาดบางแสน จังหวัดชลบุรี ก่อนทำลายสถิติประเทศไทยในการวิ่งถนนระยะ 10 กิโลเมตร ด้วยเวลา 29 นาที 47 วินาที
ซึ่งตัวเลขเวลาดังกล่าว สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ได้รับรองอย่างเป็นทางการว่าทุบสถิติเดิมของ ณัฐวุฒิ อินนุ่ม นักวิ่งหนุ่ม ที่เคยทำเอาไว้ 29 นาที 48 วินาที ในงานบุรีรัมย์ มาราธอน เมื่อปี 2018 โดยเฉือนกันไปเพียงแค่ 1 วินาทีเท่านั้น
พร้อมกันนี้ หนุ่มลูกครึ่งไทย-สหรัฐอเมริกา จะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านบาท จากกิจกรรม M-150 Break the Rocord ที่สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ จับมือกับบริษัท M-150 มอบให้นักวิ่งไทยที่ทำลายสถิติลงได้
สำหรับการแข่งขัน “บางแสน10” เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คีริน ตันติเวทย์ สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับ 2 ในระยะทาง 10 กิโลเมตร ตามหลัง จอห์น เอ็มบูรู ปอดเหล็กจากเคนยา ที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งด้วยเวลา 29 นาที 38 วินาที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 วิธีหยุดสมอง เลิกคิดเรื่องงานระหว่างนอนหลับ
พอจะนอนที่ไรเรื่องมากมายมักวิ่งเข้ามาในหัว หนึ่งเรื่องที่มักวิ่งเข้ามาคือเรื่องงาน จากการศึกษาของ Korn Ferry พบว่าชาวอเมริกันต้องอดนอนหรือมีปัญหาด้านการนอนจากความเครียดในเรื่องงานถึง 66% การอดนอนนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างมาก วันนี้เลยมี 5 วิธีที่น่าสนใจมาฝากกัน
5 วิธีหยุดสมอง เลิกคิดเรื่องงานระหว่างนอนหลับ
- จดรายการที่ต้องทำ
จากการศึกษาพบว่าการทำลิสต์รายการที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ในช่วงเวลาก่อนนอน ช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น งานและความคิดไม่วนเวียนในหัว ลดความตื่นตัวทางความคิด ลดความกังวล หากอยู่ดีๆ นึกถึงงานเร่งด่วนขึ้นมา หยิบปากกาขึ้นมาจดแล้วกลับไปนอนต่อ
- จดบันทึกความรู้สึก
การจดบันทึกความรู้สึกของเราในแต่ละวันมันเหมือนการได้ระบายออกมา ได้ประมวลผลอารมณ์ตัวเอง เราสามารถมองเห็นภาพมันได้มากขึ้น ส่งผลให้เรารู้สึกวิตกกังวลน้อยลง นอกจากการนี้เหมือนเขียนเสร็จ ควรเขียนความรู้สึกขอบคุณลงไปด้วยจะช่วยให้เรามีความเครียดน้อยลง มีแนวโน้มจะนอนหลับได้ง่ายขึ้น
- ฝึกการเห็นอกเห็นใจตัวเอง
รู้จักเห็นอกเห็นใจตัวเองเหมือนกับที่เราทำกับผู้อื่น ยอมรับความรู้สึกตัวเอง ยอมรับว่าเราเศร้า เครียด แต่ทุกอย่างก็จะผ่านไป ให้กำลังใจตัวเอง ไม่โทษตัวเอง ให้สิ่งดีๆ กับตัวเองบ้างเพราะนั้นคือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ การเห็นอกเห็นใจตนเองช่วยลดความเครียดและความกังวลได้ดีมากๆ และแน่นอนว่ามันส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้นอีกด้วย
4. ออกกำลังกายสักหน่อย
การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันช่วยให้เราได้ง่ายขึ้น คุณภาพการนอนดีขึ้น หลับลึกขึ้น จิตใจผ่อนคลายมากขึ้น หากกำลังเครียด คิดมากเพราะเรื่องงาน ลองหาเวลาไปออกกำลังกายสักหน่อยหรือชวนเพื่อนๆ ที่ทำงานไปออกด้วยก็ได้รับรองว่าดีแน่นอน
- ฝึกสมาธิ
วันละ 10 นาทีก่อนนอนจะช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนของคุณได้อย่างมาก การทำสมาธินั้นส่งผลดี ช่วยให้เราสร้างความคิดเชิงบวกให้กับตัวเอง
นอนไม่หลับมีเรื่องเครียดจากงานลากยาวไปยันตี 3 ก็ลองทำตาม 5 วิธีที่แนะนำไป ทุกอย่างก็เพื่อตัวเราเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
การใช้ประโยคที่แสดงความเป็นเงื่อนไข 4 แบบ: zero, first, second, third และ mixed
การใช้ประโยคเพื่ออธิบายความเป็นเงื่อนไขถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน และการหยิบรูปประโยคชนิดนี้มาใช้ในการพูดคุยจะช่วยยกระดับของการสื่อสารให้ดียิ่งกว่าเดิม โดยทั่วไป รูปประโยคที่แสดงความเป็นเงื่อนไขจะมีด้วยกัน 4 แบบ เริ่มที่แบบแรกสุดคือ zero conditional และ first conditional เพื่อให้เข้าใจว่าเงื่อนไขแต่ละแบบทำงานอย่างไร ลองดูภาพรวมทั้งหมดก่อนว่าอะไรเป็นอะไรและเราจะใช้ประโยคแต่ละรูปแบบได้ตอนไหน
อะไรคือประโยคที่แสดงความเป็นเงื่อนไข?
ประโยคที่แสดงความเป็นเงื่อนไขจะใช้คำว่า “If” เป็นหลัก ซึ่งจะมีอยู่สองส่วนเสมอ โดยส่วนที่หนึ่งเริ่มต้นด้วย “If” เพื่ออธิบายสถานการณ์ที่เป็นไปได้และส่วนที่สองซึ่งใช้อธิบายถึงผลที่ตามมา ตัวอย่างเช่น
If it rains, we’ll get wet.
เราสามารถสลับทั้งสองส่วนของประโยคแสดงความเป็นเงื่อนไขเพื่อให้ ‘if’ อยู่ด้านหลังได้ ส่วนใหญ่รูปประโยคเช่นนี้จะถูกใช้เป็นประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น
What will you do if you miss the train?
How can you finish the project if you don’t have a computer?
What happens if the students don’t pass an exam?
ประโยคแสดงความเป็นเงื่อนไขมีอยู่ด้วยกัน 4 รูปแบบ
0 – The zero conditional
1 – The first conditional
2 – The second conditional
3 – The third conditional
เราสามารถนำรูปแบบที่ 2 และรูปแบบที่ 3 มาใช้ผสมกันได้ ลองมาดูกันดีกว่าว่าแต่ละเงื่อนไขมีรูปแบบการใช้ประโยคอย่างไร
เราใช้ zero conditional เพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับความจริงที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ความจริงทางวิทยาศาสตร์ และลักษณะอาการทั่วไป รูปแบบประโยคไม่มีอะไรซับซ้อน
นี่คือตัวอย่าง
If you heat water to 100°, it boils.
If you eat a lot, you put on weight.
If it doesn’t rain for a long time, the earth gets very dry.
If we go out with friends, we normally go to a restaurant.
If I’m tired, I go to bed early.
เราใช้เงื่อนไขแบบที่หนึ่งเพื่อเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์จริงในปัจจุบันหรืออนาคต รูปแบบประโยคของเงื่อนไขแบบที่หนึ่งคือ
นี่คือตัวอย่าง
If you’re free later, we can go for a walk.
If they’re hungry, I’ll make some sandwiches.
If you’re not back by 5pm, give me a ring.
If he studies hard, he’ll do well in the exam.
If we arrive late, we must get a taxi.
He’ll call if he needs help.
Take a break if you’re tired.
อีกวิธีที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างประโยคแสดงความเป็นเงื่อนไขแบบที่หนึ่งได้นั่นก็คือการนำคำว่า ‘unless’ มาใช้ ซึ่งหมายความว่า ‘only if = นอกเสียจากว่า’ หรือ ‘except = นอกเสียจาก’ คำว่า unless ไม่สามารถตามด้วย ‘will’ ได้ แต่จะต้องตามด้วย Present Simple เท่านั้น ต่างกันกับการใช้ if ตัวอย่างเช่น
Unless you hurry up, you won’t catch the bus.
I’ll carry on doing this work, unless my boss tells me to do something else.
We’ll stay at home unless the weather improves.
The Second Conditional
เราใช้ second conditional เพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันหรืออนาคต รูปประโยคคือ
If I had more time, I’d exercise more. (But I don’t have more time so I don’t.)
If I were rich, I’d spend all my time travelling. (But I’m not rich so I can’t.)
If she saw a snake, she’d be terrified.
If he didn’t have to work late, he could go out with his girlfriend.
What would you do if you were offered a job in Canada?
You wouldn’t have to walk everywhere if you bought a bike.
รูปประโยค second conditional สามารถใช้เพื่อให้คำแนะนำ โดยจะใช้ ‘If I were you, I’d..’, ‘ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะ…’ หมายความว่า ‘ถ้าฉันอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเธอ นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ’ ตัวอย่างเช่น
A: I’ve got a headache.
B: If I were you, I’d take an aspirin.
A: I don’t understand this.
B: If I were you, I’d ask your teacher for help.
A: This order won’t be delivered on time.
B: If I were you, I’d phone the customer to let them know.
The Third Conditional
เราจะใช้ third conditional เพื่อบอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ แบบเดียวกับ second conditional แต่เป็นในรูปอดีต เรามักจะใช้ third conditional เพื่ออธิบายสิ่งที่เรารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำ รูปประโยคคือ
นี่คือตัวอย่าง
If we had left earlier, we would have arrived on time.
If you hadn’t forgotten her birthday, she wouldn’t have been upset.
If they had booked earlier, they could have found better seats.
If I hadn’t learnt English, I wouldn’t have got this job.
What would you have studied if you hadn’t done engineering?
They wouldn’t have hired you if you hadn’t had some experience abroad.
You could have helped me if you’d stayed later.
Mixed Conditionals
เราสามารถรวม second conditional และ third conditional ด้วยกันในหนึ่งประโยคได้เวลาที่เราต้องการคาดเดาอะไรบางอย่างในอดีตที่มีผลกระทบถึงในปัจจุบัน ในกรณีนี้ รูปประโยคคือ
นี่คือตัวอย่าง
If you’d studied harder, you’d be at a higher level now.
We’d be lying on a beach now if we hadn’t missed the plane.
They’d have much more confidence if they hadn’t lost so many matches.
What would you be doing now if you hadn’t decided to study?
ตอนนี้ทุกคนคงได้เห็นแล้วว่าประโยค conditional sentence มีกี่แบบ ลองพยายามฝึกใช้ทุกครั้งที่มีโอกาสและลองสร้างประโยคตัวอย่างของตัวเองตามโครงสร้างประโยคด้านบน ถ้าฝึกบ่อยๆ การใช้ conditional sentence ก็ไม่ใช่เรื่องยาก!
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
รู้หรือไม่? ประกันภัยรถยนต์ชั้นไหนครอบคลุม “น้ำท่วม” บ้าง?
ช่วงหน้าฝนในปัจจุบัน เสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำท่วมเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งตกนิดตกหน่อยก็ท่วมจะรถเล็กวิ่งผ่านไม่ได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำท่วมจริงๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าประกันรถยนต์ประเภทไหน ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมบ้าง?
โดยปกติแล้วประกันภัยรถยนต์จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่ ประกันชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 2+, ชั้น 3 และชั้น 3+ ซึ่งมีความคุ้มครองต่างกันออกไปตามแต่ละประเภท ซึ่งประกันที่ครอบคลุมความเสียหายอันเกิดจากน้ำท่วม จะมีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือ ‘ประกันชั้น 1’ นอกนั้นหมดสิทธิ์
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการครอบคลุมความเสียหายจากน้ำท่วมแล้ว ประกันชั้น 1 ยังครอบคลุมกรณีความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ, รถหาย และความเสียหายจากไฟไหม้ด้วย แต่บริษัทประกันภัยบางราย อาจมีแพ็คเกจเสริมพิเศษสำหรับผู้ที่กังวลปัญหาน้ำท่วม ซึ่งต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเพิ่มจากปกติเท่าไหร่ก็ว่ากันไป
ส่วนรถใครที่เก่าเกิน 7 ปี ซึ่งปกติจะไม่สามารถทำประกันภัยชั้น 1 ได้ อาจใช้เทคนิคทำประกันภัยแบบกลุ่ม ซึ่งต้องมีรถยนต์ทำประกันพร้อมกันตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป จะทำให้รถคันที่เก่าเกินกว่า 7 ปี สามารถได้รับความคุ้มครองแบบประกันภัยชั้น 1 เช่นกัน
ดังนั้น หากใครไม่ได้ใช้ประกันชั้น 1 แต่จำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ ก็ให้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นด้วยนะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 ประโยชน์ข้าวโพดแดง “ทับทิมสยาม” ผู้หญิงกินแล้วไม่แก่!
อะไรเอ่ย? “ผู้หญิง” กินแล้วหน้าเด็ก ชะลอความแก่ คำตอบคือ…“ข้าวโพดแดง” หรือ “ข้าวโพดทับทิมสยาม” ว่ากันว่ากินสดก็ได้ กินสุกก็ดี รสชาติอร่อยสุดๆ แถมมีประโยชน์ช่วยบำรุง “สุขภาพ” ให้ผู้หญิงได้อีกต่างหาก…(‘หวาน มัน เค็ม’ ต้นตอโรคร้ายคนทำงานวัย 30+)
ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ มีประโยชน์ดีๆ ของข้าวโพดหวานแดง ข้าวโพดทับทิมสยาม มาฝากสาวๆ กันค่ะ
5 ประโยชน์ “ข้าวโพดแดง”
หนึ่งใน “อาหารสุขภาพ” ที่เป็นเทรนด์กำลังมาแรงในนาทีนี้ คงหนีไม่พ้น “ข้าวโพดแดง” หรือ “ข้าวโพดทับทิมสยาม” โดย “ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ” อดีตอาจารย์ภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นคนไทยที่คิดค้นวิจัยสายพันธุ์นี้คนแรกของโลก! ตอนนี้สาวๆ สายสุขภาพกำลังพูดถึงเจ้าข้าวโพดหวานแดงชนิดนี้กันมาก เพราะมีประโยชน์เยอะจริงๆ ได้แก่
1. ช่วยชะลอความแก่
ในข้าวโพดแดง มีสารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) สูงมาก มีสารสำคัญ สีม่วง-แดง ที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่
2. ป้องกันมะเร็งชนิดเนื้องอก
ในสารแอนโทไซยานิน ยังมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคได้ด้วย เช่น ลดโอกาสของการเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก ช่วยต่อต้านเชื้อโรค ช่วยในการสมานแผล ช่วยเสริมระบบการทำงานของเม็ดเลือดแดง ช่วยลดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น
3. มีไลโคปีนสูง
อุดมไปด้วยสารไลโคปีน ไฟเบอร์ เกลือแร่ และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะสารไลโคปีน มีประโยชน์มากมาย เช่น บำรุงผิวพรรณ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดอัตราเสี่ยงมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม เป็นต้น
4. ช่วย “ลดน้ำหนัก”
ในเนื้อข้าวโพดแดง 100 กรัม มีพลังงานเพียง 86 กิโลแคลอรีเท่านั้น ถ้ากินให้อิ่มท้องก็กินประมาณ 300 กรัม ก็ได้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรีเท่านั้น เป็นเมนูที่ช่วย “ลดน้ำหนัก” ได้ดี แถมยังมีไฟเบอร์เยอะ ช่วยระบบขับถ่ายอีกด้วย
5. ต้านไวรัสได้
ผักผลไม้ที่มีสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดง อย่าง “ข้าวโพดแดง” ช่วยต่อต้านไวรัส ทำให้ป้องกันโรคหวัดได้ และช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหารที่ทำให้เกิดท้องเสียได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/09/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,100.00 | 29,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,885.00 | 28,576.60 | 29,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,696.50 | 25,718.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,508.00 | 22,861.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 848.00 | 12,855.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 660.00 | 10,005.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,953.00 | 29,607.48 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/09/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.34 | 34.34 | 34.34 | 34.34 | 34.34 | – | 34.34 | 34.34 | 34.34 | 34.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.54 | 32.54 | – | – | – | – | – | – | – | 32.54 |
เบนซิน 95 | 42.86 | – | – | – | 43.31 | – | 43.36 | 43.36 | – | 42.86 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.66 | 44.66 | 45.66 | 45.66 | 45.66 | – | – | – | – | 44.66 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |