กทม.-ปริมณฑลบ้าน-คอนโด สต๊อกท่วม 2แสนหน่วย
ที่อยู่อาศัยบ้าน-อาคารชุด (คอนโดมิเนียม )กทม.-ปริมณฑลสต็อกท่วม หน่วยเหลือขาย 206,246 หน่วย มูลค่า 1,019,318 ล้านบาท มีปริมาณเพิ่มขึ้น 3.3% และ 5.3% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ตลาดที่อยู่อาศัยยังเผชิญความท้าทายรอบด้าน การปฏิเสธสินเชื่อมีสูง จากความเข้มงวดของสถาบันการเงิน รวมถึงการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนค่าครองชีพสูงขึ้น สวนทางกำลังซื้อหดหาย กับดักหนี้ครัวเรือนขณะตัวช่วยอย่างมาตรการLTVถูกยกเลิก เมื่อตรวจสอบภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุด ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลพบว่า มีหน่วยเหลือขาย 206,246 หน่วย มูลค่า 1,019,318 ล้านบาท หรือมีปริมาณเพิ่มขึ้น 3.3% และ 5.3% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเกิดจากโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 23,080 หน่วย หรือเพียง11.19% ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด มูลค่า 127,774 ล้านบาท หรือเพียง 12.54% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งหน่วยที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนและมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -19.0% และ -6.6% ตามลำดับ ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 11,224 หน่วย มูลค่า 80,299 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง-7.8% โครงการอาคารชุดจำนวน 11,856 หน่วย จำนวนหน่วยลดลง -27.3% มูลค่าโครงการ 47,475 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้น5.9%
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาวะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำในด้านยอดขายพบว่าในช่วงไตรมาส 2 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวนทั้งสิ้น 15,959 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 83,499 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -32.3% มูลค่าลดลง -28.4%
ในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายได้ใหม่ของโครงการอาคารชุดจำนวน 5,909 หน่วย มูลค่าโครงการรวม มูลค่า 24,900 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยลดลง -56.5 % มูลค่าลดลง -53.1 และเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 10,050 หน่วย มูลค่า 59,490 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 มูลค่าลดลงร้อยละ -8.9
ด้านที่อยู่อาศัยเหลือขายพบว่าไตรมาส 2 ปี 2566 มีจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งสิ้น 190,287 หน่วยเพิ่มขึ้น8.0% มูลค่า 935,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้น9.9 %แบ่งเป็น อาคารชุด 74,230 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.2% มูลค่า 290,637 ล้านบาท ลดลง -1.3% และบ้านจัดสรรจำนวน 116,057 หน่วย เพิ่มขึ้น 6.1 %มูลค่า 645,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8%
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
RML ย้ำ “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” ยอดโอน ดีต่อเนื่อง
RML ย้ำ “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” คอนโดมิเนียมลักชัวรี และอัลตร้าลักชัวรี ยอดโอน ดีต่อเนื่อง โชว์แบ็กล็อกรอโอนกว่า 4,682 ลบ. ปีนี้ยอดขายตามเป้า 6,700 ล้านบาท
โครงการลักชัวรีและอัลตร้าลักชัวรีเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการทำเลย่านศักยภาพศูนย์กลางเมืองตอบโจทย์การอยู่อาศัย ความสะดวกปลอดภัย ที่ทั้งเศรษฐีไทยและต่างชาติชื่นชอบ เช่นเดียวกับโครงการ คอนโดมิเนียมสุดหรู “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” (The Estelle Phrom Phong) ของบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด ( มหาชน) หรือ RML ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีและอัลตร้าลักชัวรี
มียอดโอนกรรมสิทธิ์มากถึง 3,600 ล้านบาท หรือประมาณ 85%ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน ประเมินว่า ยอดขายรวมทุกโครงการปีนี้ที่ 6,700 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จสูง ในทำเลระแวกเดียวกัน หลังประสบความสำเร็จ ผลประกอบการครึ่งปีแรกปี2566 มียอดขาย รวม 1,072 ล้านบาท โตขึ้น 42% จากช่วงเวลาเดียวกันของ ปีก่อนที่มียอดขาย 753 ล้านบาท
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2566) ของบริษัทฯ ถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนให้เห็นได้จากยอดขาย (Presales) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรก โดยหลักๆ มาจากโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ คอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ และ ดิ เอ็มดิสทริค (The Em District) เพียง 2 นาที
ขณะเดียวกันทางด้านยอดขายก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทุกโครงการที่เปิดขายอยู่ใกล้จะปิดการขาย แล้ว โดย ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ มียอดขายถึง 90% และ เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ (Tait Sathorn12) คอนโดฯ ลักชัวรี่ใจกลางสาทร ใกล้ BTS เซนต์หลุยส์ เพียง 180 เมตร กวาดยอดขายไปแล้วถึง 95%
รวมถึงบริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ อย่าง โอซีซี (วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์) โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70% สะท้อนถึงความต้องการคอนโดฯ ลักชัวรีและอัลตร้า ลักชัวรีรวมทั้งอาคารสำนักงาน Grade A+ ที่ยังคงมีอยู่มาก
“ช่วงไตรมาส 2/66 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (“กนง.”) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 2 ต่อปี อีกทั้งราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนแรงงานก็ยังมีการปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องด้วยการบริหารจัดการที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ สามารถตรึงราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างและต้นทุนแรงงานของโครงการปัจจุบันทั้งหมดตั้งแต่ช่วงที่มีการเปิดตัวโครงการ รวมถึงบริษัทฯ ยังสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่เป็นดอกเบี้ยทั้งแบบอัตราลอยตัวและอัตราคงที่ได้เป็นอย่างดี”
สำหรับแผนงานในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 4,682 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยจะทยอยรับรู้รายได้โครงการ “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” และเตรียมรับรู้รายได้โครงการ “เทตต์ สาทร ทเวลฟ์” ซึ่งจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ของห้องชุดครั้งแรกในไตรมาส 3 ภายหลังจาการก่อสร้างแล้วเสร็จ ตลอดจนยังคงหามุ่งหาผู้เช่า “โอซีซี” ซึ่งขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างสะพานเชื่อม (Sky bridge) ต่อกับบีทีเอสเพลินจิต โดยสะพานเชื่อมจะสร้างเสร็จภายในปลายปีนี้
คาดว่าจะช่วยผลักดันให้ผู้เช่ามาเช่าพื้นที่โอซีซีเพิ่มมากขึ้น และทำให้อัตราการเช่าโอซีซีเต็มพื้นที่เช่าในปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมเปิดขายโครงการ โรสวูด เรสซิเดนซ์เซส กมลาจังหวัดภูเก็ต (Rosewood Residences Kamala) รอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ (Private Sales) และจะเริ่มขายโครงการอัลตร้าลักชัวรี่ แนวราบ บนทำเลสุขุมวิทในปลายปี ซึ่งจะสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ และตอกย้ำภาพลักษณ์ RML ในฐานะผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2ต.ค. ที่ระดับ 36.70 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จับตาทิศทางราคาน้ำมันดิบ รวมถึงราคาทองคำ ในช่วงนี้ ตลาดการเงินยังเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2ต.ค. 2566ที่ระดับ 36.70 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 36.43 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในกรอบ 36.39-36.70 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ตามทิศทางการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และ
โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้านี้ เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากการอ่อนค่าลงของเงินหยวนจีน หลังรายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ออกมาแย่กว่าคาด สวนทางกับ ดัชนี Official PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ที่รายงานก่อนหน้า
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอจับตา รายงานดัชนี ISM PMI และยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ส่วนในฝั่งไทย รอติดตาม อัตราเงินเฟ้อ CPI
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกันยายน อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) รวมถึงรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls:NFP)
โดยในส่วนของดัชนี ISM ภาคการผลิต ตลาดประเมินว่า ภาคการผลิตของสหรัฐฯ อาจฟื้นตัวดีขึ้น แต่โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต ที่ระดับ 47.7 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) ส่วนภาคการบริการ แม้ว่าจะยังคงขยายตัวได้ แต่จะเป็นการขยายตัวในอัตราชะลอลงชัดเจน หลังการใช้จ่ายครัวเรือนอาจเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวลงต่อเนื่องของการจ้างงาน
รวมถึงผลกระทบจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นและค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง แย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนี ISM PMI ภาคการบริการอาจลดลงสู่ระดับ 53.5 จุด ส่วนในฝั่งตลาดแรงงาน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า การจ้างงานมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น โดย NFP เดือนกันยายน อาจเพิ่มขึ้นราว 1.6 แสนราย ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1.9 แสนราย (ซึ่งต้องจับตาว่า จะมีการปรับปรุงข้อมูลก่อนหน้าหรือไม่ เพราะในปีนี้ NFP มักจะถูกปรับลดลงราว -5 หมื่นตำแหน่ง หลังการปรับปรุงข้อมูล)
ส่วนอัตราการว่างงานอาจทรงตัวที่ระดับ 3.8% ไม่ต่างจากเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกันกับ อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ที่จะขยายตัว +4.3%y/y เท่ากับเดือนก่อนหน้า และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างใกล้ชิด หลังจากล่าสุด อัตราเงินเฟ้ออังกฤษและยูโรโซน ชะลอตัวลงมากขึ้น ทำให้ตลาดเริ่มมองว่า ทั้ง BOE และ ECB อาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว
▪ ฝั่งเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งญี่ปุ่น อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ Tankan ที่สำรวจโดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึง ข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น โดยเฉพาะ อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage growth) ซึ่งอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของ BOJ ได้ หากภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวดีขึ้น
ส่วนค่าจ้างก็มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี จนอาจทำให้ BOJ มั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ใกล้ระดับเป้าหมาย 2% ได้อย่างยั่งยืน ในส่วนผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชีย เราประเมินว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงในหลายประเทศ จนเข้าใกล้เป้าหมายของบรรดาธนาคารกลาง แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากภาวะ El Nino และ
การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ก็อาจทำให้บรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชีย เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม โดยธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA), ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.10%, 5.50% และ 6.50% ตามลำดับ
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพด้วยการลดค่าไฟฟ้าลง แต่ทว่า ผลกระทบจากภาวะ El Nino อาจยังหนุนให้ราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นราว +0.3%m/m (ส่วนใหญ่มาจากการปรับตัวขึ้นของราคาข้าว แป้ง ผักและผลไม้)
นอกจากนี้ ราคาพลังงานยังปรับตัวขึ้นไม่น้อยกว่า +2%m/m ทำให้โดยรวมอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อาจเพิ่มขึ้น +0.2%m/m หรือ +0.86%y/y ทั้งนี้ หากโมเมนตัมอัตราเงินเฟ้อรายเดือนเพิ่มขึ้นไม่เกิน +0.2%m/m ก็อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมากนักและการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจถึงจุดยุติแล้วที่ระดับ 2.50%
อนึ่ง การฟื้นตัวของภาคการส่งออกที่ดีขึ้น อาจช่วยหนุนให้ดัชนี PMI ภาคการผลิตของไทยในเดือนกันยายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.5 จุด ได้ สอดคล้องกับ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ที่อาจปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 50 จุด ได้อีกครั้ง หนุนโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าเริ่มแผ่วลงบ้าง และการอ่อนค่าอาจยังถูกจำกัดแถวโซนแนวต้านล่าสุดแถว 36.85 บาทต่อดอลลาร์ ทว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจยังมีความผันผวน (แต่มองว่าแรงขายอาจลดลง) นอกจากนี้ ควรระวังและจับตาทิศทางราคาน้ำมันดิบ รวมถึงราคาทองคำ โดยการปรับฐานต่อเนื่องของราคาทองคำ อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสชะลอการแข็งค่าหรือพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะฝั่งการจ้างงานไม่ได้ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานของเฟด ทั้งนี้ หากตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงก็อาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์ได้
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงนี้ ตลาดการเงินยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย
อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.25-36.85 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.80 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เครื่องแรงปลาย! “สาวไทย” อัด ไต้หวัน ประเดิมคว้าชัยศึกเอเชียนเกมส์ 2022
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เอเชียนเกมส์ 2022 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มบี ทีมไทย พบกับ ไต้หวัน ที่สนามเต๋อชิง สปอร์ตส์ เซ็นเตอร์ เมืองหางโจว ประเทศจีน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2566
เกมนี้ “โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ส่งผู้เล่นชุดแรกประกอบไปด้วย พรพรรณ เกิดปราชญ์, ชัชชุอร โมกศรี, ทัดดาว นึกแจ้ง, วิภาวี ศรีทอง, พิมพิชญา ก๊กรัมย์ และ ปิยะนุช แป้นน้อย
เซตแรก ทีมไทย ออกมาทำแต้มนำ 8-4 แต่ ไต้หวัน ไม่ยอมง่ายๆ ไล่มา 9-9 อย่างไรก็ตาม “สาวไทย” มาเร่งทำแต้มเร็วฉีกหนีไป 18-14 ก่อนรักษาระยะห่างปิดเกมเอาชนะไปได้ 25-18 ขึ้นนำ 1-0 เซต
เซตสอง ไต้หวัน ออกมาเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมนำ 8-6 จากนั้นยังเดินหน้าทำแต้มหนี 21-16 แต่ “สาวไทย” ฮึดสู้ทำแต้มตีเสมอ 22-22 แต่ก็ไม่ทันแพ้ไป 24-26 เสมอกัน 1-1 เซต
เซตสาม “สาวไทย” เดินหน้าโกยแต้มนำ 10-4 จากนั้นยังทำได้เหนือกว่าชัดเจนหนีเป็น 17-9 ก่อนปิดเซตเอาชนะไปได้ 25-12 ขึ้นนำ 2-1 เซต
เซตสี่ ทีมไทย ติดเครื่องเล่นกันได้อย่างรู้ใจมากขึ้นนำ 14-9 ก่อนทำแต้มหนีเป็น 17-10 พร้อมทั้งปิดเกมเอาชนะไปได้ 25-13 ทำให้คว้าชัยไปได้ 3-1 เซต
สำหรับโปรแกรมต่อไปของ ทีมชาติไทย จะลงสนามเกมที่สอง พบกับ มองโกเลีย ในวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 นี้ เวลา 13.30 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง PPTV HD 36 และ AIS PLAY
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อาการ “ไอ” แบบไหนผิดปกติ ควรไปพบแพทย์
หากมีอาการไอ อาจสันนิษฐานเบื้องต้นว่าเป็นไข้หวัด ซึ่งอาการจะดีขึ้นเมื่ออาการหวัดดีขึ้น หรือหากมีอาการไอค่อนข้างหนักจนรบกวนการใช้ชีวิต อาจสามารถหายาแก้ไอมากินเองได้
แต่หากมีอาการไอที่ผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี
ประเภทของอาการไอ
อ. นพ.ธิติวัฒน์ ศรีประสารน์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า อาการไอ แบ่งตามระยะเวลาได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- ไอเฉียบพลัน (Acute Cough) มีอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์
- ไอกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Cough) มีอาการไอตั้งแต่ 3-8 สัปดาห์
- ไอเรื้อรัง (Chronic Cough) มีอาการไอต่อเนื่องมากกว่า 8 สัปดาห์
หากมีอาการไอเรื้อรังควรพบแพทย์ เมื่อมีอาการร่วมดังต่อไปนี้
- ไอเป็นเลือด หรือไอมีเสมหะปนเลือด
- เสียงแหบ
- มีไข้
- น้ำหนักลด
- มีอาการหอบเหนื่อยโดยเฉพาะขณะพัก
- มีประวัติป่วยเป็นโรคปอดอักเสบบ่อยๆ
- กลืนลำบากหรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บ
- มีอาการสำลัก
คำแนะนำจากแพทย์
ผู้ป่วยที่มีอาการไอต่อเนื่องตั้งแต่ 3 สัปดาห์ขึ้นไป ร่วมกับอาการร่วมอื่นๆ หรือมีอาการแทรกซ้อนควรพบแพทย์เพื่อรับการซักประวัติ ตรวจร่างกาย เอกซเรย์ปอดเพื่อการวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำความรู้จัก “Hybrid Scam” หลอกให้เชื่อใจ ไว้ใจ แล้วชักชวนลงทุน
แผนประทุษกรรมโดยย่อของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติในคดีหลอกลงทุนสกุลเงินดิจิทัล (Hybrid Scam) “กลุ่มบุคคลที่หลอกลวงประชาชนด้วยวิธีการสุ่มส่งข้อความในช่องทาง “แชท” หาประชาชนทั่วไป
ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นแบบเปิดกว้าง หรือผ่านช่องทางแอปพลิเคชันหาคู่ออนไลน์ หรือผ่านช่องทางแอปพลิเคชันหาเพื่อนคุยออนไลน์ต่าง ๆ
จากนั้นจะชักชวนสนทนาจนประชาชนรายนั้นรู้สึกเชื่อใจ ไว้ใจ ก็จะชักชวนให้ลงทุนทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล ทอง เงินตราต่างประเทศ เป็นต้น
บนแพลตฟอร์มปลอม (เวปไซต์/แอปพลิเคชัน) ซึ่งแพลตฟอร์มจะแสดงจำนวนเงินลงทุน เมื่อโอนเงินหรือโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าไป รวมทั้งแสดงตัวเลขผลกำไรที่จะได้รับ แต่เมื่อประชาชนที่หลงเชื่อลงทุนไประยะหนึ่งก็จะไม่สามารถถอนเงินออกได้
โดยจะออกอุบายให้ประชาชนที่หลงเชื่อโอนเงินหรือโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สูตรลับ !!! การจำลำดับ Adjective
Adjective คือ บางคำมีรายละเอียดหน้าคำนาม เช่น red bull จากคำนี้เราจะเห็นว่า red อยู่หน้าคำว่า bull
และคำว่า red นี่แหละที่เป็น Adjective เพราะคำนี้เพิ่มรายละเอียดว่าเป็นกระทิงสีแดง แบบนี้เราไม่งงหรอกเนอะ
ปัญหาคือแล้วถ้ามี Adjective หลายชนิดในคำเดียวกันล่ะ เรียงยังไง ???
Adjective Order หรือการเรียงลำดับคำขยายนาม (Adj.) ในกรณีที่มีมากกว่าหนึ่งคำในประโยคเดียวกัน
เจ้าของภาษามีความยืดหยุ่นและสลับกันบ้าง แต่เพื่อการทำข้อสอบ หรือเขียนให้ถูกต้องตามหลักภาษา มีลำดับดังนี้
อาลำจวนลักหนาดรูปยุสีชาติดุนาม
อา คือ อาร์ทิเคิ่ล (Article)
ก็คือพวก a,an,the ให้รวมพวก determiner ทั้งหลายไปด้วย เช่น this, that, those, these หรือคำสรรพนามแสดงความเป็นจ้าของ my,your, his ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใส่
ลำ คือ ลำดับที่
เช่น first, second, third
จวน คือ จำนวนนับ (Trick: ควบคำ)
เช่น one, four, sixteen
ลัก คือ คุณลักษณะ
เช่น pretty, ugly, horrible, beautiful, difficult
หนาด คือ ขนาด
เช่น big, small, slim,long, short, huge
รูป คือ รูปทรง
เช่น square, triangle, circle,oval
ยุ คือ อายุ
เช่น young, old, 7-year-old
สี
เช่น red, green, black, blue
ชาติ คือ สัญชาติ
เช่น Taiwan, American, Chinese, Vietnamese
ดุ คือ วัสดุ
เช่น wooden, plastic, silk, cotton
นาม คือ คำนามที่เราต้องการขยาย
เช่น lady, curtain, gentleman
เราลองมาดูตัวอย่างการเรียงลำดับ Adj. ที่ถูกต้องกันสักหนึ่งประโยคให้พอเห็นภาพกัน ดังนี้
I don’t like those horrible yellow curtains.
(ฉันไม่ชอบผ้าม่านสีเหลืองแย่ๆเหล่านั้น)
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
แนะวิธีกิน 5 ผลไม้ไทยให้ได้ประโยชน์ เลี่ยงรับ “น้ำตาล” มากเกินไป
ผลไม้ของไทยเป็นอาหารที่ชาวต่างชาตินิยมรับประทาน แต่รสชาติอร่อยหอมหวานเหล่านี้อาจมาพร้อมน้ำตาล และพลังงานที่อาจทำให้เราอ้วนขึ้นได้ง่าย ๆ ดังนั้น นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย จึงขอแนะนำวิธีกินผลไม้ให้ได้ปริมาณน้ำตาลที่ไม่มากจนเกินไป และได้คุณประโยชน์อย่างเต็มที่
แนะ 5 ผลไม้ไทย กินอย่างไรถึงจะเหมาะ
ผลไม้อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ใน 1 วันควรกินผลไม้ 3-5 ส่วน และกินให้หลากหลายเพราะในผลไม้แต่ละชนิดก็จะมีวิตามิน แร่ธาตุ มากน้อยแตกต่างกันไป โดยผลไม้ไทยทั้ง 5 ชนิด จะให้คุณค่าสารอาหารและสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายต่างกันไปด้วย โดยควรกินในปริมาณที่เหมาะสมต่อมื้อ ดังนี้
- มังคุด มีสารแซนโทน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการปวดข้อเข่า 1 ส่วนเท่ากับ 4 ผล
- ลำไย เป็นแหล่งวิตามินซี แต่ให้น้ำตาลสูง ควรกินแต่พอดี 1 ส่วน เท่ากับ 5-6 ผล
- ลองกอง เป็นแหล่งโพแทสเซียมและใยอาหาร มีสรรพคุณ ในการลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ลดอาการร้อนในช่องปาก 1 ส่วน เท่ากับ 5-6 ผล
- เงาะ มีวิตามินซี แคลเซียม ช่วยในการป้องกันโรคหวัด เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน 1 ส่วน เท่ากับ 4 ผล
- ทุเรียน มีเบต้าแคโรทีนและโพแทสเซียม แต่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานมัน ให้พลังงานสูง 1 ส่วน เท่ากับ 1 เม็ดเล็ก
ทุเรียน น้ำตาลสูง ไม่เหมาะสำหรับทุกคน
สำหรับทุเรียน เป็นผลไม้ที่ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน จึงต้องจำกัดการกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากกินเข้าไปในปริมาณมาก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การกินทุเรียนที่มากเกินไปจะทำให้ร้อนในและรู้สึกไม่สบายเนื้อ ไม่สบายตัว
เลี่ยงน้ำตาลจากผลไม้แปรรูป
เพื่อให้ได้ประโยชน์จากผลไม้จริง ๆ ควรเลือกกินผลไม้สดในปริมาณที่เหมาะสมแทนผลไม้กระป๋องหรือผลไม้อบแห้ง เพื่อให้ร่างกายได้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/10/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,050.00 | 32,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,076.00 | 31,472.16 | 32,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,868.40 | 28,324.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,660.80 | 25,177.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 934.00 | 14,159.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 727.00 | 11,021.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,151.00 | 32,609.16 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/10/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.45 | 39.45 | 40.45 | 39.45 | 39.75 | 39.45 | 39.45 | 39.45 | 39.45 | 39.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.18 | 39.18 | 40.18 | 39.18 | 39.48 | 39.18 | 39.18 | 39.18 | 39.18 | 39.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.14 | 37.14 | 38.14 | 37.14 | 37.44 | – | 37.14 | 37.14 | 37.14 | 37.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.79 | 36.79 | – | – | – | – | – | – | – | 36.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.34 | 49.94 | 49.34 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 47.24 | – | – | – | 48.71 | – | 47.74 | 47.39 | – | 47.24 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.24 | 42.34 | 49.44 | 42.34 | 41.64 | – | – | – | – | 40.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |