“เศรษฐา ทวีสิน” ซีอีโอสายคอลเอ้าท์ วาดฝัน เศรษฐกิจ-การเมือง
“เศรษฐา ทวีสิน” ซีอีโอสายคอลเอ้าท์ ขวัญใจคนรุ่นใหม่ วาดฝัน เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง การเมืองควรให้ความเสมอภาคทุกภาคส่วน
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 จากกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ , หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และ รายการ “Nation Insight” สัมภาษณ์พิเศษโดย 2 บรรณาธิการใหญ่เครือเนชั่น นายวีระศักดิ์ พงศ์อักษร และ นายบากบั่น บุญเลิศ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. เวลา 17.30 น. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม “ฐานเศรษฐกิจ” ได้นำบทสัมภาษณ์ นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งประสบความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักธุรกิจวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแบบสร้างสรรค์ และ ถูกพรรคเพื่อไทย ตีตราจองนั่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถ่ายทอดลงบรรทัดถัดจากนี้
นักธุรกิจที่ทางการเมืองพูดถึงจะเป็นแคนดิเดตนายกของพรรคเพื่อไทย
- คนรู้จักก็ถามทุกคนเรื่องนี้ ผมเหมือนเดิมทุกอย่าง ทำงานเหมือนเดิม เสาร์-อาทิตย์ ก็ยังไปตรวจไซต์เหมือนเดิม บี้ยอดโอน บี้ยอดขาย ดูเรื่องแบรนด์ดิง ดูเรื่องทำการตลาดของบริษัท ดูเรื่องความเป็นอยู่ของพนักงานเหมือนเดิม วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลก็แบบสร้างสรรค์
- สำหรับธุรกิจอสังหาฯเป็นหน้าที่ที่ผมทำอยู่ก็คือในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ของแสนสิริ เราเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ล้อไปอย่างชัดเจนกับเรื่องของ GDP ถ้าเกิด GDP โตเราก็โต เราไม่มีทางสวนกับ GDP ได้ เพราะฉะนั้นความหวังดีของผม อยากให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต เพราะธุรกิจของบริษัทก็ดีด้วย พนักงานที่ผมรับผิดชอบอยู่ 4,000 กว่าคน องคาภยพทั้งหลาย จะเป็น supplier จะเป็นลูกค้า จะเป็นผู้รับเหมา เหล่านี้ก็ได้อานิสงส์ไปด้วยเหมือนกัน
ผู้นำประเทศควรมีลักษณะอย่างไร
- การปกครองระบอบประชาธิปไตย ผู้นำประเทศสูงสุดจะมาได้ต้องมาจากประชาชน เพราะฉะนั้นการเอาประชาชนเป็นที่ตั้งสำคัญ ประชาชนเลือกใคร เลือก ส.ส. ไปเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัด เพราะฉะนั้น ผู้นำสูงสุด หัวหน้าคณะรัฐบาล ผมว่าต้องฟังเสียงจาก ส.ส. (เพราะ ส.ส. คือที่มาจากประชาชน) ไม่มีทางที่จะไปจังหวัดนครราชสีมาแล้วก็ฟัง 15 ล้านเสียงได้ อะไรที่ทำได้ อะไรที่ฟังได้ เข้าถึงได้ ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องของ inclusive เรื่องของการที่ต้องฟังจากประชาชน ไม่ใช่จาก ส.ส. อย่างเดียว จากนักธุรกิจ จาก NGO จากผู้สื่อข่าว จากทุกๆ สถาบัน
ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงความคาดหวังในตัวคุณเศรษฐา ทั้งๆ ที่อายุ 60 แล้ว
- เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บอบบาง ผมว่าถ้าเกิดผมเริ่มคิดอย่างนั้นเมื่อไหร่แสดงว่าผมเริ่มหลงในสิ่งที่ผมอยากได้ยิน แต่จริงๆ เสียงที่ผมควรจะได้ยินมากที่สุดก็คือเสียงที่ไม่อยากได้ยิน สมมติคุณไปเป็นนายก ไปเป็นรัฐมนตรีอะไรก็ตามที คุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ อันนี้ผมจะเงี่ยหูฟัง แต่มีสายคอลเอาต์ เป็นคนรุ่นใหม่เยอะๆ เริ่มแฮปปี้ อันนี้ผมว่าไม่ใช่แล้ว ผิดแล้ว ผมไม่เคยฟังเสียง บางทีเสียงที่ไม่ได้อยากได้ยิน เป็นเสียงที่ควรจะฟังมากที่สุด
นิสัยคนไทยอยากฟังสิ่งที่ตัวเองอยากจะฟัง พอสิ่งอื่นที่อยากจะฟังกลับไม่ฟัง
- บางทีคนมันเหนื่อย ๆ ขึ้นมาก็อยากที่จะฟังอะไรหวานๆ บ้าง ฟังอะไรที่มันชะโลมจิตใจก็มีบ้าง แต่ว่าถ้าเกิดติดใจขึ้นมามันฟังอยู่ตลอดเวลามันก็เคลิ้มๆ ไปเหมือนกันนะ วันนี้ผมเป็นแค่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทไซส์ขนาดกลางบริษัทนึงเท่านั้นเอง ผมว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็โอเคแล้ว ลูกผมก็สบาย เรียนจบโรงเรียนดีๆ หมดแล้ว มีหน้าที่การงานที่ดีแล้ว แล้วผมก็หวังว่าคู่ค้าของผมก็แฮปปี้กับการทำงานร่วมกับผม พนักงานผมก็มีความสุข shareholder ผมก็รีเทิร์นได้เหมาะสม อาจจะมีบางคนต้องการมากกว่า
- เวลาผมบริหารงานผมก็มีอยู่ 4 เสา คือ ผู้ถือหุ้น ผมก็ต้องเดลิเวอร์ optimum return ให้กับเขา ลูกค้าผมก็ต้องให้สินค้าที่ดี พนักงานผมก็ต้องให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม แล้วก็อีกอันนึงซึ่งระยะหลังผมให้ความสำคัญค่อนข้างมาก คือ เรื่องของสังคม การคืนประโยชน์ให้สังคม ซึ่งจริงๆ แล้วคนก็พยายามไปโยงกับการเมือง แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ เราทำมานานแล้ว แล้วผมก็อยากจะเรียกร้องให้หลายๆ ฝ่ายเข้ามาทำกันมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ
การเมืองในอุดมคติที่อยากเห็นคืออะไร
- การเมืองก็ประกอบด้วยรัฐสภา ผมอยากให้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นกระจกสะท้อนความต้องการของประชาชนที่ชัดเจน ให้ความยุติธรรม ให้สิทธิเสรีภาพที่มีความเท่าเทียม เสมอภาค แล้วก็ให้สิทธิทุกคนที่ถูกต้องตามกฎหมายที่พึงจะได้ เสรีภาพในแง่ของการเลือก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพศสภาพ เหล่านี้คือภาพรวมกว้างๆ ที่อยากให้เป็น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
5 เคล็ดลับ ‘ออมเงิน’ ซื้อบ้าน ฉบับมนุษย์เงินเดือน
5 เคล็ดลับออมเงิน ‘ซื้อบ้าน’ ฉบับมนุษย์เงินเดือน เมื่อมนุษย์เงินเดือนอยากซื้อบ้าน ดูเหมือนจะเป็นความฝันอันแสนไกล เพราะการซื้อบ้านต้องมีเงินก้อนโต และยังมีค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่ต้องเตรียม
2 พ.ย.2565 – การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในชีวิตของใครหลายคน โดยเฉพาะช่วงวัยทำงานที่กำลังสร้างฐานะและครอบครัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน คนไทย ยังคงเผชิญความท้าทายทั้งจากสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมไปถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ทำให้ผู้ที่วางแผน ‘ซื้อบ้าน’ ปีนี้อาจลังเลใจ
แต่อย่างไรก็ตาม วินัยการเงินที่ดี และ มีการวางแผนมาอย่างดี โดยเฉพาะ การออมเงิน อาจทำให้ การซื้อบ้านของมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่เรื่องยากต่อไป
อ้างอิงข้อมูลประชาสัมพันธ์ ของ เพจ Supalai Society ที่ระบุ 5 เคล็ดลับ การออมเงินเพื่อซื้อบ้าน อย่างน่าสนใจ ดังต่อไปนี้
- เก็บเงินก้อนแรกสำหรับดาวน์บ้าน 20%
นอกจากเงินดาวน์ ยังมีค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าโอนฯ ค่าจดจำนอง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งประเมินคร่าว ๆ ควรมีอย่างน้อย 20% ของราคา
บ้าน
- เงินเดือนเข้าปุ๊บ ออมทันที
มนุษย์เงินเดือนอาจใช้วิธีตัดเงินเดือนเข้าบัญชีเงินออมแบบอัตโนมัติทันที เพื่อไม่ให้เผลอใช้จนลืมเก็บ หากเป็นฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ไม่เท่ากันทุกเดือน อาจต้องเพิ่มวินัยทางการเงิน หรือเดือนไหนมีรายได้เข้ามาเยอะก็พยายามเก็บให้ได้มากที่สุด
- ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
ระวังเรื่องการใช้จ่ายให้มากขึ้น ช้อปปิงอย่างมีสติ หากมีหนี้สินค้างอยู่ควรจัดการให้เรียบร้อยซะก่อน เพื่อให้เรามีกำลังผ่อนบ้านได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้ก้อนอื่น และควรเผื่อเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อย่างน้อย 25-30% ของเงินเดือน
- หารายได้เสริม
อีกเคล็ดลับที่อาจเป็นวิธีเก็บเงินเพิ่มเติมให้มีเงินก้อนสำหรับซื้อบ้าน อาจเปลี่ยนความชอบ ความสามารถ หรืองานอดิเรกของตนเองเป็นอาชีพเสริม แต่ต้องระวังไม่ให้กระทบกับงานหลักด้วยนะ
- สร้างประวัติดีในเครดิตบูโร
สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่รักในการใช้บัตรเครดิต ต้องจำไว้เสมอว่า ห้ามชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด และคงค้างหนี้เกิน 90 วัน เพราะจะทำให้เกิดประวัติไม่ดีในเครดิตบูโร ส่งผลต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 37.76 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หากเฟดไม่ชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย หรือไม่กังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.76 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.74 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าเงินบาทจะปรับตัวแข็งค่ามากกว่าที่เราคาดในวันก่อนหน้า จากแรงหนุนของการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ในวันก่อน รวมถึงความหวังการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในจีน, การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ซื้อหุ้นไทยสุทธิกว่า +6.1 พันล้านบาท
ทว่า ปัจจัยหนุนเงินบาทอาจเริ่มลดลงได้ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่า เฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ตามคาด หากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก ซึ่งเรามองว่า ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจสูงขึ้นในช่วง Press Conference ของประธานเฟด
(เราคาดว่า ตลาดไม่น่าจะตื่นเต้นกับผลการประชุมเฟดมากนักและตลาดรับรู้ว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ย +0.75% ไปมากแล้ว) หากประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงแนวโน้มการชะลออัตราการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต หรือไม่ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น ทำให้เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
อนึ่ง การแข็งค่ามากกว่าคาดของเงินบาทในวันก่อนหน้า ทำให้โซนแนวรับของเงินบาทจะอยู่ที่ 37.60-37.70 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 38.20-38.30 บาทต่อดอลลาร์ หากเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งเรามองว่า มีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าใกล้ระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ หากตลาดผันผวนสูงขึ้นตามคาดในช่วง Press Conference ของประธานเฟด
ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.65-37.95 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการเปิดรับสมัครงาน (JOLTS Job Openings) ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 10.7 ล้านตำแหน่ง สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าจะลดลงสู่ระดับ 9.85 ล้านตำแหน่ง สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและอาจทำให้เฟดไม่สามารถชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างที่ตลาดคาดหวัง ซึ่งความไม่แน่นอนว่าเฟดอาจจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย
รวมถึงรายงานผลประกอบการแย่กว่าคาดของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ ยังคงกดดันให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าขายหุ้นกลุ่มดังกล่าว นำโดย Amazon -5.5%, Alphabet -4.3% กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สหรัฐฯ ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.89% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.41% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +1.0%, Chevron +0.7%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดคาดหวังว่า ทางการจีนอาจพิจารณาผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในช่วงต้นปีหน้า
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป เดินหน้าปรับตัวขึ้น +0.58% หนุนโดยความหวังว่าทางการจีนอาจผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในช่วงต้นปีหน้า ทำให้บรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากจีนต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Hermes +3.0%, Kering +2.8% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นพลังงาน (Total Energies +2.5%, BP +1.4%) เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.05% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งยอดการเปิดรับสมัครงานและดัชนี PMI ภาคการผลิต ต่างออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มไม่มั่นใจว่า เฟดจะสามารถชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ หากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะสั้นและระยะยาวอาจแกว่งตัว sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ มุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงการแถลงต่อสื่อมวลชน (Press Conference) ของประธานเฟด หลังประกาศผลการประชุมเฟดเดือนพฤศจิกายน
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ก่อนที่จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) สามารถพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 111.5 จุด อีกครั้ง อนึ่ง แม้ว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังไม่กล้าอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว แต่การพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) แกว่งตัวใกล้ระดับ 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอประเมินทิศทางดอกเบี้ยเฟด ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองทองคำที่ชัดเจนอีกครั้ง
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจและเป็นไฮไลท์สำคัญ คือ การประชุม FOMC (ทราบผลการประชุมในช่วงเวลา 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) โดยเราคาดว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +75bps สู่ระดับ 4.00% ตามที่ตลาดได้คาดการณ์และรับรู้ไปมากแล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยรวมยังคงตึงตัวและแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของเฟดจากถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference (เวลา 01.30 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งต้องระวังความผันผวนในตลาดการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น เพราะตลาดอาจปิดรับความเสี่ยง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้น หากประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดอาจพิจารณาปรับลดอัตราการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป หรือไม่ได้ส่งสัญญาณว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างกังวลผลกระทบจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเศรษฐกิจมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทขยับแข็งค่ามาที่ระดับ 37.63-37.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.15 น.) ในช่วงเช้าวันนี้ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 37.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่กรอบการแข็งค่าในระหว่างวันอาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดยังคงอยู่ระหว่างรอติดตามผลการประชุมเฟดคืนนี้ว่าจะปรับสัญญาณมาเป็นชะลอการคุมเข้มนโยบายการเงินหรือไม่
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 37.55-38.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมเฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนต.ค. ของยูโรโซน และตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ส.ผู้สื่อข่าวกีฬาออนไลน์ เตรียมจัดงานวิ่งเพื่อสัตว์ป่า ครั้งที่ 2 “ดิ อาร์ทนิมอล รัน @ สวนผึ้งไฮแลนด์”
สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาออนไลน์ เตรียมกลับมาจัดงานวิ่งเพื่อสัตว์ป่า ครั้งที่ 2 “ดิ อาร์ทนิมอล รัน @ สวนผึ้งไฮแลนด์” ในช่วงเดือนแห่งความรัก กุมภาพันธ์ 2566
หลังจากประสบความสําเร็จในการจัดงานวิ่งเพื่อการกุศลครั้งแรก ที่เขาใหญ่ เมื่อปี 2563 ก่อนเจอสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมได้ต่อเนื่อง ล่าสุด สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาออนไลน์ เตรียมกลับมาจัดงานวิ่งการกุศลเพื่อสัตว์ป่าครั้งที่ 2 ในชื่อ “ดิ อาร์ทนิมอล รัน @ สวนผึ้งไฮแลนด์” จ.ราชบุรี โดยกำหนดการเบื้องต้นจะจัดขึ้นในช่วงเดือนแห่งความรัก กุมภาพันธ์ปีหน้า ส่วนรูปแบบการวิ่ง จะมีการประชุมอีกครั้ง
สำหรับกิจกรรม “ดิ อาร์ทนิมอล รัน @ สวนผึ้งไฮแลนด์” มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งจัดหาอุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์ทางด้านการสร้างสรรค์ศิลปะ ให้กับนักเรียนหรือโรงเรียนที่ขาดแคลน รวมทั้ง จัดหาซื้ออุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือสัตว์ป่า
ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาออนไลน์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สาเหตุของอาการ “แสบท้อง” เสี่ยงโรคอะไรบ้าง
แสบท้อง เป็นอาการที่พบได้บ่อย อาจเกิดจากการระคายเคืองบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างคอและกระเพาะอาหาร รวมถึงอาจเกิดจากการมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป จนทำให้รู้สึกแสบร้อนในท้อง อาการปวดแสบท้องอาจรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร หรือเมื่อนอนราบ แม้จะเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป แต่หากเป็นบ่อยและรบกวนการประกอบกิจวัตรประจำวัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด
อาการแสบท้อง เป็นอย่างไร
แสบท้อง คือ อาการแสบร้อนบริเวณท้องส่วนบน มักเกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างคอและกระเพาะอาหาร จนอาจส่งผลให้มีอาการปวดแสบท้อง หากมีอาการมากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์อาจเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อนที่ควรรักษาทันที นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ เช่น อาหารบางชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาบางชนิด ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการแสบท้องได้เช่นกัน
อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมกับอาการแสบท้อง
เมื่อเกิดอาการแสบท้อง อาจเกิดอาการเหล่านี้ร่วมด้วย
- ปากมีรสขมหรือรสเปรี้ยว
- กลืนลำบาก
- เจ็บหน้าอกหลังรับประทานอาหาร
- อาการปวดแสบร้อนอาจหนักขึ้นเมื่อนอนราบ
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดเมื่อย หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน มีปัญหาในการรับประทานอาหาร เบื่ออาหารหรือรับประทานอาหารลำบากจนทำให้น้ำหนักลด รักษาด้วยยาที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแสบท้องมากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ ควรไปพบคุณหมอ
สาเหตุของอาการแสบท้อง
ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดอาการแสบท้องได้
- กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร
- การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น อาหารเผ็ด อาหารมัน อาหารทอด กระเทียม หัวหอม ผลไม้รสเปรี้ยว ซึ่งอาจไปเพิ่มกรด จนมีกรดเกินในกระเพาะอาหาร
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- ความเครียด ความวิตกกังวล อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น หรือกรดไหลย้อน
- การสูบบุหรี่ อาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวช้าหรือน้อยลง จนอาจส่งผลให้กรดไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารได้
การวินิจฉัยอาการแสบท้อง
คุณหมออาจวินิจฉัยอาการแสบท้องด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- การส่องกล้อง เพื่อตรวจหาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร
- การเอกซเรย์ โดยผู้ป่วยต้องรับประทานสารละลายแบเรียมซัลเฟต (Barium sulfate) ก่อนเข้ารับการเอกซเรย์ระบบทางเดินอาหาร เพื่อช่วยให้เกิดภาพภายในระบบทางเดินอาหารที่คมชัดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้คุณหมอสามารถวินิจฉัยอาการแสบท้องได้ง่ายขึ้น
- การตรวจวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ในหลอดอาหาร เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่
การรักษาอาการแสบท้อง
อาการแสบท้องอาจรักษาได้ด้วยยาที่จำหน่ายในร้านขายยา เช่น
- ยาลดกรด อาจช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการแสบท้อง และอาจช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อยได้ด้วย
- ยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยยับยั้งปริมาณการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เช่น โอเมพราโซล (Omeprazole) แลนโซพราโซล (Lansoprazole)
การป้องกันอาการแสบท้อง
อาการแสบท้องอาจป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่อาจกระตุ้นกรดไหลย้อน เช่น อาหารเผ็ด อาหารมัน เครื่องดื่มคาเฟอีน
- แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ และรับประทานอาหารให้เป็นเวลา
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อดึก
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ไม่นอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมงเพื่อให้อาหารย่อย หรือหากนอนควรนอนหนุนหมอนสูง
- สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่รัดแน่นเกินไป
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และพยายามไม่เครียด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Simple Present และ Present Progressive
กริยาที่สื่อนัยบอกเวลา (verb tenses) ชนิดแรกๆ ที่ผู้เรียนภาษาภาษอังกฤษต้องเรียนรู้นั่นก็คือ present simple และ present continuous (หรือ Present Progressive) ส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะทั้งสอง tenses นี้เป็น tenses พื้นฐานที่ถูกใช้มากที่สุด ด้านล่าง เรามีไกด์ที่จะช่วยแนะนำวิธีการสร้างประโยคสำหรับ tenses ทั้งสองรูป
The Present Simple
เราจะใช้ Present Simple ในสถานการณ์ต่อไปนี้
- เพื่ออธิบายถึงความจริงที่มีอยู่มาอย่างยาวนาน เช่น: Lions live in Africa.
- เพื่ออธิบายเกี่ยวกับนิสัยหรือกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ เช่น: I usually get up at 7am.
- เพื่ออธิบายถึงความชอบทั่วไปและความคิดเห็น เช่น: She loves music.
- เพื่อพูดถึงตารางการเดินทางหรือเหตุการณ์ เช่น, Our flight leaves at 12:30
โครงสร้าง
ประโยค present tense จะมีด้วยกันสองรูปแบบสำหรับกริยาทุกตัว ตัวอย่างเช่น verb ‘to play’ เวลาใช้ในประโยคบอกเล่า จะมีรูปแบบดังนี้
อย่างที่เห็น เราจะใช้กริยาตัวนี้ในรูปเดิมไม่ว่าประธานจะเป็นตัวไหนก็ตาม ยกเว้นประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่สามซึ่งจะต้องเติม –s ตัวอย่างเช่น
They work here.
She likes tennis.
You have a beautiful car.
We want a sandwich.
I live in the city center.
The conference starts tomorrow.
ในกรณีที่ต้องการจะสร้างเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะเพิ่ม ‘don’t’ สำหรับ I/you/we/they และ ‘doesn’t’ สำหรับ he/she/it
ตัวอย่างเช่น
We don’t have time.
They don’t come from this city.
He doesn’t often play football.
You don’t speak Chinese.
I don’t like tea.
You and your brother don’t eat fish.
เวลาที่จะทำเป็นประโยคคำถาม เราเติม ‘do’ สำหรับ I/you/we/they และ ‘does’ สำหรับ he/she/it:
ตัวอย่างเช่น
Do we need to make a reservation?
Do you think it’s a good idea?
Does it rain much here?
Do I have time for a coffee?
Do they want something to eat?
ข้อยกเว้นเดียวสำหรับโครงสร้างประโยคแบบนี้คือ เมื่อเป็น verb to be ซึ่งเป็นกริยาพิเศษ เวลาทำเป็นประโยคปฏิเสธและประโยคคำถามจะต้องทำในอีกรูปโดยการเติม ‘not’ และเวลาจะทำเป็นประโยคคำถาม เราจะต้องเอา verb ไปวางไว้แทนประธาน
นี่คือตัวอย่าง
Are you tired?
We’re not hungry.
Is he ready?
They’re from Rome.
You’re not a student, are you?
It’s really hot here today.
The Third Person Singular – ประธานเอกพจน์บุคคลที่สาม
การที่มีรูปประโยคไม่ซับซ้อน ไม่ว่าจะใช้กับประธานตัวไหนก็ตาม อาจจะทำให้หลายคนมอง present simple ว่าเป็น tense ที่ไม่ได้ยากอะไรสำหรับการเรียนรู้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่สำคัญมากที่ทุกคนจะต้องจำไว้ว่า มีประธานหนึ่งตัวที่ต่างจากตัวอื่น นั่นก็คือประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่สาม ซึ่ง verb ที่ตามมา เราจำเป็นต้องเติม –s จะดีกว่าถ้าเราโฟกัสในการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการฝึกฝนเพื่อที่จะใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
มีสามวิธีด้วยกันในการเติม –s ให้กับกริยาในประโยค present simple โดยดูจากตัวสะกดในของคำ
ตัวอย่างเช่น
He studies very hard.
My Dad fixes things in our home.
She does ballet.
Your house looks beautiful.
The weather always gets worse in November.
He doesn’t want to go out.
She doesn’t need any more clothes.
The Structure – โครงสร้าง
การสร้างประโยค present continuous เราจะใช้ verb to be บวกกับกริยาแท้ในรูป gerund (เติม -ing) ตัวอย่างคำกริยา to play ในประโยคบอกเล่าจะอยู่ในรูปดังนี้
หากจะสร้างเป็นประโยคปฏิเสธ เราแค่เปลี่ยน verb to be เป็นรูปปฏิเสธ
การทำเป็นประโยคคำถาม ใช้วิธีสลับประธานกับตัว verb to be
นี่คือตัวอย่าง
We’re going out. See you later.
Ted’s working in the garden.
What are the children doing?
They’re doing their homework.
How are you feeling?
The machine isn’t working properly.
Why are you wearing a sweater? It’s hot in here.
Giulia is staying with her sister at the moment.
ข้อยกเว้น!
มี verb บางตัวที่เราจะไม่ใช้ในประโยค present continuous เพราะพวกมันเป็นกริยาที่บอกสภาวะ ความรู้สึกและความชอบ มันจึงไม่มีรูป –ing เช่น know, have (เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ ‘มี’), like, love, prefer, hate, want, believe, own, cost สำหรับ verb เหล่านี้ เราจะใช้ในรูป present simple
Present Continuous ในการสื่อความหมายถึงอนาคต
เวลาที่เราพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต เรามักจะใช้ present continuous โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องการพูดถึงนัดหมายตามกำหนดการณ์ ตัวอย่างเช่น
I’m going to the dentist on Tuesday at 10am.
We’re meeting my sister for lunch today.
He’s having a haircut this afternoon.
What time are you leaving?
They’re taking the seven o’clock train.
You’re looking after the kids tonight.
Present Simple หรือ Present Continuous?
เวลาที่คุณไม่แน่ใจว่าจะใช้ present simple หรือ the present continuous ลองถามตัวเองด้วยคำถามด้านล่างนี้
- เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะยาวหรือเปล่า? ถ้าใช่ ใช้ present simple
- เป็นกริยาที่บอกเกี่ยวสภาวะความรู้สึกหรือเปล่า? (ตัวอย่างเช่น ‘like’) ถ้าใช่ ใช้ present simple
- เป็นกริยาที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นหรือเปล่า? ถ้าใช่ ใช้ present continuous
- เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นแค่ชั่วคราวหรือเปล่า? ถ้าใช่ ใช้ present continuous
- เป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้วในอนาคตหรือเปล่า? ถ้าใช่ ใช้ present continuous
อย่างที่ได้เห็น เราจะใช้ 2 tenses นี้ในหลายๆ สถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นมันจะเป็นประโยชน์มากถ้าพยายามฝึกให้คล่องที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอย่าลืมสังเกตว่าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่สามหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ มันจะส่งผลต่อการสื่อความหมายในการสนทนาด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ช่องสี่เหลี่ยมที่ซ่อนอยู่หลังกันชนท้ายมีไว้ทำอะไร?
เชื่อว่าหลายคนคงเคยสังเกตเห็นรถบางคันวิ่งอยู่บนถนนโดยไม่มีกันชนท้าย (ซึ่งส่วนมากเป็นเพราะถอดกันชนไปซ่อมสี) แล้วพบว่ามีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่มีครีบซ้อนกันอยู่ด้านใน เคยสงสัยไหมครับว่าช่องที่ว่านี้มีไว้ทำอะไร Sanook Auto จะพาไปหาคำตอบกัน
ช่องที่ว่านี้แท้จริงแล้วก็คือ “ช่องระบายอากาศ” ที่เชื่อมออกมาจากห้องโดยสาร (ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Exhauster, Air extractor หรือ Presure relief valve) ซึ่งมีลักษณะเป็นวาล์วทางเดียว (One-way valve) ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าที่หลายคนคิด และเป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารแก้วหูแตก หรือทำให้หลังคาซันรูฟพุ่งทะลุขึ้นฟ้าไปเสียก่อน
เนื่องจากอุปกรณ์ชนิดนี้จะช่วยลดแรงดันภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ปิดประตูรถเป็นบานสุดท้าย จะส่งผลให้เกิดแรงดันสูงในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งแรงดันที่ว่านี้จำเป็นต้องมีช่องทางระบายออก มิเช่นนั้นแล้วแรงดันที่ว่าก็จะพยายามหาทางออกในจุดที่บอบบางที่สุดของรถ เช่น กระจกหน้าต่าง หรือหลังคาซันรูฟ หากว่ากันง่ายๆ คือ อาจทำให้กระจกบานใดบางหนึ่งแตกได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันอย่าง Chrysler เคยระบุถึงประโยชน์ของอุปกรณ์ชนิดนี้ในเอกสารสิทธิบัตรเมื่อปี ค.ศ.1965 ว่าจะช่วยลดแรงดันสะสมในระบบปรับอากาศ ทำให้ระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ส่วนบนของกระจกหน้าต่างประตูถูกผลักออกในระหว่างที่ปิดประตู เนื่องจากมีปริมาณแรงดันภายในห้องโดยสารมากจนเกินไป
ไม่เพียงเท่านี้ แหล่งข้อมูลบางแห่งยังระบุด้วยว่าช่องระบายอากาศที่ซ่อนอยู่หลังกันชนท้ายนั้น ยังช่วยเพิ่มความสบายให้กับผู้โดยสารที่อยู่ภายในรถ เพราะหากว่าห้องโดยสารเป็นระบบปิด 100% จะส่งผลให้เกิดแรงดันสะสมอยู่เป็นจำนวนมากภายในห้องโดยสาร ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว อันเป็นผลจากแรงดันของร่างกายที่ไม่เท่ากับแรงดันภายนอกนั่นเอง
เมื่อทราบแบบนี้แล้วก็คงทึ่งใช่ไหมครับ ว่าอุปกรณ์ในรถยนต์ที่เราแทบไม่เคยมองเห็น กลับกลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในรถแต่ละคัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตำลึง สรรพคุณไม่ไก่กา แม้เป็นผักริมรั้วธรรมดา สรรพคุณทางยาอย่างเยอะ !
ผักริมรั้วที่ขึ้นดาษดื่น ดูไม่ค่อยมีค่ามีราคา แต่สรรพคุณของตำลึงก็หาธรรมดาไม่ มาดูสรรพคุณของตำลึงกันซะก่อน แล้วจะร้องอู้หูว !
ตำลึงเป็นผักริมรั้วที่หากินได้ง่าย มีให้กินตลอดทั้งปี แถมยังราคาถูก นำมาประกอบอาหารก็ทำได้หลากหลายเมนู และหลายคนก็เคยกินตำลึงมาไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่เคยทราบสรรพคุณของตำลึงกันไหมคะว่า ผักสมุนไพรตำลึง สรรพคุณเขาแพรวพราวขนาดไหน เอาเป็นว่ากระปุกดอทคอมจะพามาดูประโยชน์ของตำลึง รวมไปถึงสรรพคุณทางยาของตำลึงกันค่ะ
ตำลึง ชื่อทางวิทยาศาสตร์ สรรพคุณมีอะไรบ้าง
ต้นตำลึงมักจะขึ้นตามรั้วบ้าน ที่สำคัญมักจะขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในฤดูฝน แต่เห็นตำลึงบ้าน ๆ อย่างนี้ก็มีชื่อทางวิทยาศาสตร์กับเขาเหมือนกันนะคะ แถมตำลึงยังมีชื่อสามัญ และชื่อเรียกตามท้องถิ่นอีกหลายชื่อ ตามนี้เลย
ตำลึง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Coccinia grandis Voigt และยังมีชื่อสามัญของตำลึงหรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Ivy gourd ด้วยนะคะ ส่วนตำลึงในชื่อบ้าน ๆ นั้นเรียกกันอย่างหลากหลาย ทั้งตำลึง สี่บาท (ภาคกลาง) ผักแคบ (ภาคเหนือ) ผักตำนิน (ภาคอีสาน), แคเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น
ลักษณะทางพฤษศาสตร์ของตำลึง
ตำลึงจัดเป็นพืชในตระกูลไม้เลื้อย มีใบเป็นใบเดี่ยว มีมือเกาะ ใบตำลึงจะแผ่เว้าเป็น 5 แฉก ขนาดใบตำลึงมีความกว้างประมาณ 5-8 เซนติเมตร โคนใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลมมน ผิวใบเกลี้ยง ก้านใบยาว 3-6 เซนติเมตร
ดอกตำลึงมีสีขาว เป็นดอกเดี่ยว แยกเพศ ดอกตำลึงเพศผู้จะมีขนาด 4-6 เซนติเมตร 1 ดอก มีอยู่ 5 กลีบ เกสรตัวผู้ 3 อัน ส่วนดอกตำลึงเพศเมีย เกสรจะแยกเป็น 3-5 แฉก ส่วนกลีบดอกเหมือนดอกตำลึงเพศผู้ทุกประการ
ตำลึงมีผลด้วยนะคะ ผลตำลึงมีรูปทรงป้อม ขอบขนาน ขนาดผลกว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ถ้าผลตำลึงอ่อนจะมีสีเขียว ผลตำลึงแก่จะมีสีส้มออกแดง ข้างในผลตำลึงจะมีเมล็ดลักษณะแบนรี ขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร จำนวนมาก
ตำลึง คุณค่าทางโภชนาการของผักริมรั้ว
ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แสดงคุณค่าทางโภชนาการของใบตำลึงและยอดอ่อนตำลึงปริมาณ 100 กรัม ไว้ดังนี้
พลังงาน 39 กิโลแคลอรี
น้ำ 90.7 กรัม
โปรตีน 3.3 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม
ใยอาหาร 1.0 กรัม
เถ้า 0.1 กรัม
แคลเซียม 126 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน 5,190 ไมโครกรัม
วิตามินเอ 865 ไมโครกรัม
ไทอามีน 0.17 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.13 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 34 มิลลิกรัม
ตำลึง สรรพคุณผักริมรั้วที่น่าทึ่ง !
สรรพคุณของตำลึงจะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย
1. บำรุงสายตา
แหล่งวิตามินเอที่สำคัญที่เราสามารถหาได้จากอาหารก็ต้องยกให้ตำลึงเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอเลยล่ะค่ะ และนอกจากวิตามินเอแล้ว เบต้าแคโรทีนในตำลึงยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นวิตามินเอได้อีก ดังนั้นตำลึงจึงจัดเป็นอาหารบำรุงสายตาตัวจี๊ดที่หากินได้ง่าย ๆ แถมยังอร่อยด้วย
2. เสริมภูมิต้านทาน
จะเห็นได้ว่าตำลึงมีวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอค่อนข้างสูง ส่วนนี้จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้เราไม่ป่วยไข้ได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะอาการไข้หวัด ซึ่งหากร่างกายขาดวิตามินเอ ก็มีโอกาสจะป่วยไข้ได้ง่ายเลยนะคะ
3. ตำลึงรักษาเบาหวาน
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ตำลึงเป็นผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างฟลาโวนอยด์ค่อนข้างสูง สามารถช่วยรักษาและป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ ทั้งโรคเบาหวาน เนื่องจากมีงานวิจัยที่พบว่าตำลึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนในใบตำลึงก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้นั่นเอง
ทั้งนี้การกินตำลึงเพื่อลดน้ำตาลในเลือด สามารถทำได้โดยใช้เถาแก่ของตำลึงประมาณครึ่งถ้วย นำมาต้มกับน้ำ หรือนำน้ำคั้นจากผลตำลึงดิบ ๆ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น น้ำตำลึงก็จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
4. บำรุงกระดูก
จากการศึกษาของสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ใบตำลึงมีแคลเซียมสูง และแคลเซียมจากตำลึงยังเป็นแคลเซียมชนิดที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เทียบเท่ากับแคลเซียมที่อยู่ในนมวัว ดังนั้นผู้ที่มีอาการแพ้นมวัว หรือดื่มนมแล้วท้องเสียก็สามารถหันมารับแคลเซียมจากตำลึงแทนได้เช่นกัน
5. แก้อาการแสบคันจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ใบตำลึงมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษร้อนจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ในระดับหนึ่ง โดยให้ล้างแผลด้วยน้ำไหลให้สะอาด จากนั้นใช้ใบตำลึงไม่แก่จัดหรืออ่อนจัดจนเกินไป ล้างใบตำลึงให้สะอาด จากนั้นขยี้ใบตำลึงแล้วมาประคบผิวบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยสักพัก อาการแสบคันจะบรรเทาขึ้น แต่หากอาการแสบร้อนยังไม่หาย ให้หมั่นเปลี่ยนใบตำลึงบ่อย ๆ แต่หากอาการแสบร้อนหาย แต่อาการคันไม่หาย แนะนำให้ใช้ยาทาแก้คันแผนปัจจุบันร่วมด้วย
6. ช่วยย่อยอาหาร
ใบตำลึงและเถาตำลึงมีเอนไซม์อะไมเลสอยู่มาก ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้ดี ดังนั้นใครมีอาการแน่นท้อง ท้องอืดจากอาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะคนที่กินแป้งเข้าไปมาก ๆ ให้ใช้ใบตำลึงประมาณ 1 กำมือ ผสมกับเถาตำลึงเด็ดขนาดเท่านิ้วก้อย 1 กำมือ โขลกรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำตำลึงมาผสมน้ำอุ่น 1 แก้วกาแฟ กินก่อนอาหารประมาณ 5-10 นาที เพื่อเรียกน้ำย่อย หรือจะใช้ใบตำลึงแก่ลวกพอสุก กินเป็นผักเคียงพร้อมกับอาหารในแต่ละมื้อเลยก็ได้
ตำลึง สรรพคุณทางยาก็น่าเด็ดไม่น้อย
สรรพคุณของตำลึงมีประโยชน์แทบจะทุกส่วนของต้นเลยก็ว่าได้ โดยสามารถจำแนกสรรพคุณทางยาของตำลึงได้ดังนี้
– ใบ มีรสเย็น สรรพคุณดับพิษร้อน ถอนพิษ แก้แสบคัน บรรเทาเริม งูสวัด โดยนำใบมาขยี้คั้นเอาแต่น้ำ แล้วทาบริเวณที่เป็น
– เถา มีรสเย็น สรรพคุณช่วยรักษาโรคตาเจ็บ ใช้แก้ตาฟาง ตาช้ำ โดยใช้เถาโขลกพอแหลก แล้วนำมาประคบตา
– ดอก ใช้แก้คัน คั้นเอาแต่น้ำ มาทาบริเวณที่คัน
– ผล รักษาโรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบของหลอดลม และช่วยลดน้ำตาลในเลือด โดยคั้นน้ำจากผลสดมาดื่มวันละ 2 ครั้ง
– เมล็ด นำมาตำกับน้ำมันมะพร้าว ใช้แก้หิด
– ราก ใช้ต้มกับน้ำดื่มลดไข้ ลดอาเจียน
– ต้น ใช้กำจัดกลิ่นตัว น้ำต้มจากต้นตำลึงรักษาเบาหวานได้
ขอบคุณข้อมูลจาก fic.ifrpd.ku.ac.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 2/11/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,350.00 | 29,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,901.00 | 28,819.16 | 29,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,710.90 | 25,937.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,520.80 | 23,055.33 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 855.00 | 12,961.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 665.00 | 10,081.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,970.00 | 29,865.20 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 2/11/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.35 | 35.35 | 35.75 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.08 | 35.08 | 35.48 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 34.64 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.84 | 32.84 | – | – | – | – | – | – | – | 32.84 |
เบนซิน 95 | 42.76 | – | – | – | 43.21 | – | 43.26 | 43.21 | – | 42.76 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | 34.24 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 45.46 | 45.06 | 45.06 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |