สาระน่ารู้ประจำวันที่ 20 ตุลาคม 2565

อสังหาฯตื่น ปลุก กำลังซื้อ ‘ต่างชาติ’ ผุด ‘บ้านหรู คอนโดแพง’ ชิงกลุ่มมั่งคั่ง

อสังหาฯตื่นรับ ‘กำลังซื้อต่างชาติ’ ผุดโครงการหรู เจาะ ทำเลไพร์ม ดึงเศรษฐี กลุ่มมั่งคั่งอยู่ไทย ดีเดย์ ‘ ฮาบิแทท ‘ บูมพัทยา ส่งโมเดลใหม่ ‘เวเคชั่น พลูวิลล่า’ ห้วยใหญ่ อีอีซี ด้าน ภูเก็ต เขย่าแรง เชนดัง แข่งดุ ‘แบรนเด็ดเรสซิเดนท์’ ริมหาด กทม.ร้อน ปั้นทำเลทอง สู่ โครงการแพงสุด
19 ต.ค.2565 – สถิติ ชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ก.ย.) ซึ่ง ทะลุ 6 ล้านคน และคาดสิ้นปี จะมีจำนวนแตะถึง 10 ล้านคน ขณะในช่วงปี 2565 อาจสูงมากถึง 21 ล้านคน ภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ผ่อนคลายเข้าใกล้ภาวะปกติ

พร้อมๆ กับรัฐบาลไทย กำลังมีแนวคิดสนับสนุน การซื้อ-ขาย อสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ชาวต่างชาติ เพื่อหนุนนำเศรษฐกิจยุคใหม่นั้น ประเด็นดังกล่าว กำลังสร้างความหวังและความตื่นตัวให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 อย่างคึกคักอย่างน่าจับตามอง ทั้งตลาดบ้านและคอนโดฯ กทม. และ เมืองท่องเที่ยว

ดัน ‘เวเคชั่น วิลล่า’ ห้วยใหญ่ เจาะต่างชาติ EEC

เจาะผู้พัฒนาดังในเมืองท่องเที่ยว อย่างพัทยา จ.ชลบุรี บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ประเมินว่า ช่วงปีหน้า ทั้งการท่องเที่ยว และ อสังหาฯไทย จะกลับมาคึกคักอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดพัทยา ที่มีแรงหนุนจากทั้งผู้ซื้อคนไทยและคนต่างชาติ ล่าสุด บริษัท เปิดเกมรุก ร่วมกับ แลนด์ลอร์ดใหญ่ของชลบุรี กลุ่ม’เฮงตระกูล’ เตรียมปั้นที่ดินขนาดใหญ่ 51 ไร่ บริเวณ ห้วยใหญ่ เห็นวิวภูเขา ทำเลเมืองพัฒนาใหม่ ในย่านอีอีซี สู่โครงการ ‘ไฮแลนด์ พาร์ค พลู วิลล่า พัทยา ‘

ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของบริษัท ในรูปแบบ ‘เวเคชั่น พลูวิลล่า’ มูลค่า 1.7 พันล้านบาท ในราคาขายเฟสแรกระดับ 13-15 ล้านบาท หลังจาก นาย ชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ประเมินว่า ตลาดพลูวิลล่า จะได้รับความนิยมสูง จากผู้ซื้อทั้งคนไทยและต่างชาติ ครอบคลุมการซื้ออยู่อาศัย และ ลงทุนอย่างสูง จากความพรีเมียมของทำเลอนาคต และ ดีมานด์ที่หนาแน่นของต่างชาติในโซนอีอีซี 

“บริษัทปรับแผนธุรกิจจากคอนโดฯมาสู่แนวราบครั้งแรก หลังจากเห็นโอกาสของดีมานด์ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม และวัยเกษียณ ทั้งคนเอเชีย จีน ญี่ปุ่น ยุโรป และ กลุ่มตะวันออกกลาง เป็นต้น”

ผู้บริหาร ฮาบิแทท ยังระบุว่า ทำเล ห้วยใหญ่ ที่รัฐอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นเมืองใหม่ของ อีอีซี รวมพื้นที่ 15,000 ไร่ ด้วยมูลค่าการลงทุน (รัฐ+เอกชน) เฟสแรก 8 พันล้านบาท โดยใช้ระบบอิโนเวชั่น เข้ามาบริหารจัดการในการพัฒนาเมือง จะทำให้ อีอีซี และ เมืองท่องเที่ยวพัทยา เป็นแลนมาร์ค รองรับชาวต่างชาติได้อย่างดี  


แห่ปั้น โครงการหรูเหยียบ 100ล.กลางเมือง 

ด้าน ทำเลทอง กทม. เมืองเป้าหมายการอยู่อาศัยและลงทุนระดับโลก ล่าสุด อดีตผู้บริหารไรมอนแลนด์ กลุ่มทุนสิงคโปร์ นายไลโอเนล ลี หวนวงการ  ก่อตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ อาลียาห์ คอร์ป ในฐานะพัฒนาอสังหาฯบูติกระดับไฮเอนด์ เปิดตัวโครงการแรก ‘ALIYAH RESERVE’ วิลล่าระดับอัลตร้าลักชัวรี จำนวน 6 ยูนิต  มูลค่า 1.4 พันล้านบาท ขนาด 5 ไร่ บนทำเลพัฒนาการ 32 แหล่งบ้านหรูสุดฮอต  ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 1,370-1,900 ตารางเมตร เปิดราคาขายยูนิตละ 200-300 ล้านบาท เน้นพื้นที่สีเขียว เทรนด์ครอบครัวขนาดใหญ่ เจาะโอกาสซัพพลายหรู กลางเมืองมีน้อย แต่ดีมานด์คับคั่ง ครอบคลุมความต้องการของชาวต่างชาติ และ นักลงทุน ด้วย โดยโครงการจะแล้วเสร็จ ปี 2567

” บริษัทมองว่า ตลาดลักชัวรีของไทย โดดเด่นและมีโอกาส จากจำนวนซัพพลายที่มีไม่เพียงพอกับดีมานด์ ขายที่ดีมาก เติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 68% ปี 2562 มาเป็น 75% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ซึ่งบางส่วน มาจากการเข้ามาลงทุนของคนไทยและต่างชาติ  “

อีกด้านอีกทำเลทอง สำหรับกำลังซื้อ ‘กลุ่มต่างชาติ’ โดย บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ก็กำลังปั้น ‘โครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา’ บ้านเดี่ยวราคา 38-80 ล้านบาท มูลค่า 2.1 พันล้านบาท  จำนวน 49 ยูนิต สู่ Luxury Wellness Residence หลังจาก ประกาศผนึกกับกลุ่ม ‘รพ.สมิติเวช’ และ   ‘ปัญญ์ปุริ’ ชูจุดแข็งให้บริการด้านการแพทย์ และ การดูแล บำบัดตัวเอง คาดหวังตอบสนองเมกะเทรนด์ด้าน Well-Living แนวคิดที่อยู่อาศัยใหม่ ที่กำลังเป็นที่ต้องการทั้งจากฝั่งผู้ซื้อคนไทยและคนต่างชาติระดับบนเช่นกัน 

จับตากลุ่มพราว – แสนสิริ ผุดคอนโดแพงสุด 

ขณะก่อนหน้า ตลาดระดับลักชัวรีของคอนโดมิเนียม กลางเมือง ซึ่งหดตัวไปมาก จากสถานการณ์โควิด19 พบขณะนี้ กำลังกลับมาร้อนแรงอีกครั้งเช่นกัน โดยบริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กลุ่ม ลิปตพัลลภ ประกาศเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรู สูง 34 ชั้น มูลค่า 3.9 พันล้านบาท  บนทำเลไพร์มกลางเมือง หลังจาก ซื้อที่ดิน บริเวณซอยคอนแวนต์ สีลม ตรงข้ามโรงพยาบาลบีเอ็นเอช(BNH) พื้นที่ 1.5 ไร่ ต่อมาในราคา1.7 ล้านบาทต่อตารางวา คาดจะเปิดพรีเซลในเร็วๆนี้ ในรูปแบบการพัฒนาโครงการ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จากมูลค่าของที่ดิน 

เช่นเดียว กับ บมจ.แสนสิริ ซึ่งมีรายงานข่าวว่า เตรียมปั้นที่ดิน แปลงสารสิน หลังจากซื้อต่อมาจาก บมจ. เอ็ม บี เค ในราคารวมทั้งที่ดินและอาคารประมาณ 1,560 ล้านบาท หรือ ตารางวาละ 3.9 ล้านบาท เมื่อปี 2563 สู่ คอนโดฯที่แพงที่สุดในประเทศไทย คาดจะสร้างความร้อนแรงและความน่าสนใจของอสังหาฯไทยอย่างมากในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า 


อสังหาฯภูเก็ตร้อน บิ๊กชนบิ๊ก

ส่วนทำเลระดับท็อปของไทยในกลุ่มต่างชาติ กระเป๋าหนัก ทั้งซื้อลงทุนและอยู่อาศัย อย่าง จังหวัดภูเก็ต นั้น พบ ตลาด Branded Residence (โครงการที่มีเชนโรงแรมดังบริหารจัดการ) กำลังคึกคักอย่างมาก หลังจากเอเชียและไทยกลายเป็นเป้าหมาย 1 ใน 3 ของ Branded Residence ทั่วโลก เพราะผู้ซื้อมองเป็นกลุ่มสินทรัพย์ประเภทเกรด A มีมูลค่าสูงในอนาคต โดย นอกจาก กลุ่ม ไรมอน แลนด์ ประกาศ ร่วมลงนามกับ ‘โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้’เพื่อพัฒนา โรงแรมและเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ ในรูปแบบ Branded Residence บนที่ดินขนาดประมาณ 50 ไร่ ติดทะเลใน จ.ภูเก็ต และพร้อมสานต่อโครงการอื่นๆเพิ่มเติมในพื้นที่นั้น 

ล่าสุด กลุ่ม มอนท์เอซัวร์ ภูเก็ต  ยังร่วมกับเชนโรงแรมดังระดับโลก ‘ แอคคอร์ ‘ ยังประกาศเดินหน้าก่อสร้างและเพิ่มยอดขาย โครงการ “เอ็มแกลเลอรี เรสซิเดนซ์ มอนท์เอซัวร์”ซึ่งเป็น เอ็มแกลเลอรี เรสซิเดนซ์ แห่งแรกในประเทศไทย โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนหาดกมลา เป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ 454 ไร่ ทำเลสุดพรีเมียมของเมืองตากอากาศ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั้งชาวไทยและในเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่ม ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individual) ที่มีแนวโน้มที่จะลงทุนในโครงการ Branded Residence ด้วยผลกำไรที่น่าดึงดูดในระยะยาวมากขึ้นนั่นเอง


คน สปป.ลาว แห่ซื้อบ้าน อุดรธานี  

ทั้งนี้ ความคึกคักของ ‘กำลังซื้อต่างชาติ’ ในภาคอสังหาฯ ยังมีความเคลื่อนไหว ในพื้นที่รอยต่อประเทศเพื่อนบ้านของไทยด้วยเช่นกัน โดย นาย มีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เผย ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า นอกจากใน กทม. และเมืองท่องเที่ยวแล้ว พบล่าสุด ในจังหวัดอุดรธานี ก็มีการซื้อ – ขายบ้านเดี่ยวระดับบน ให้คน สปป.ลาว ในรูปแบบ ‘นอมินี’หลายหลัง ทำให้ผู้พัฒนาในพื้นที่ตื่นตัวอย่างมาก 

ซึ่งรัฐควรใช้โอกาสนี้ เร่งนำความต้องการดังกล่าวขึ้นมาอยู่บนโต๊ะอย่างถูกกฎหมาย เพราะนี่ถือเป็นส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นโดยตรง จากการเข้ามากินอยู่อาศัยและท่องเที่ยว  เสนอนำร่องให้โควต้าเดียวกับ การถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ในลักษณะสัดส่วน ผ่านการกำหนดระยะเวลา และ ใช้กฎกระทรวงดูแล เพื่อศึกษาผลประโยชน์ และ ผลกระทบ ก่อนการประกาศใช้ระยะยาว หรือ ปรับแก้ยกเลิกตามความเหมาะสมได้ เป็นต้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


AWC เข้าซื้อสิทธิเช่าศูนย์การค้า “เกทเวย์ เอกมัย”มูลค่ากว่า 4,000ล้านบาท

AWC เข้าซื้อสิทธิสัญญาเช่าศูนย์การค้า “เกทเวย์ เอกมัย”มูลค่ากว่า 4,000ล้านประมาณการเสริมรายได้กระแสเงินสดเพิ่มกว่า 1,000ล้านบาทใน 5ปี เดินหน้าเพิ่มความหลากหลายพอร์ตรีเทลยกระดับตอบรับไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร เดินหน้ายกระดับศูนย์การค้า “เกทเวย์ เอกมัย” เข้าซื้อสิทธิสัญญาเช่ามูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท จากบริษัท ทิพย์พัฒน อาร์เขต จำกัด

สร้างรายได้กระแสเงินสดเพิ่มการเติบโตให้แก่บริษัทได้ทันทีและในระยะยาวตลอดอายุสัญญาเช่า พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่ THE LIFESTYLE MASTER: Master in Food, Master in Fashion, Master in Family ครบครันเรื่องร้านอาหาร แฟชั่น และกิจกรรมครอบครัว พร้อมตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคคนเมืองยุคใหม่ตอกย้ำความมุ่งมั่น “สร้างอนาคตที่ดีกว่า”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC มีความยินดีที่ได้รับโอนสิทธิการเช่าศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย จากบริษัท ทิพย์พัฒน อาร์เขต จำกัด เพื่อเข้าเป็นเจ้าของสิทธิการเช่าที่ดินและโครงการ

ที่ผ่านมา AWC เป็นผู้บริหารโครงการดังกล่าว โดย AWC มีแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาเพิ่มความหลากหลายของศูนย์การค้า เกทเวย์ เอกมัย ให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยเกทเวย์ เอกมัย เป็นศูนย์การค้า ครบวงจรขนาดใหญ่ที่ครบครันด้วยร้านค้าและการบริการ และ

ที่สำคัญตั้งอยู่ในย่านใจกลางเอกมัย ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพติดอันดับท็อปของกรุงเทพฯ มีการเติบโตทางด้านอสังหาริมทรัพย์สูงและมีการขยายตัวของที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังพร้อมด้วยการเดินทางที่สะดวกสบาย และติดรถไฟฟ้า ซึ่งจุดแข็งดังกล่าวเป็นกลยุทธ์หลักในการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจกลุ่มศูนย์การค้าของบริษัทฯ

AWC ได้วางแผนการลงทุนสำหรับการพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนศูนย์การค้า เกทเวย์ เอกมัย ด้วยการเพิ่มความหลากหลายและยกระดับใน 3 ส่วนหลัก เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมืองในทุกกลุ่มลูกค้าทุกเจเนอเรชั่น ประกอบด้วย

·      The Master in Food แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำที่รวบรวมเมนูเด่นจากทั่วทุกมุมโลก พาสัมผัสประสบการณ์โลกของอาหารนานาชาติหลากหลาย เปี่ยมด้วยคุณภาพวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมที่ผสมผสานอย่างลงตัวไปกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ รวมถึงเมนูอาหารสุดครีเอทีฟที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่านักชิมทุกรุ่น ตอบโจทย์ทุกการซื้อ ชิม ช็อปของกลุ่มลูกค้าทุกระดับในที่เดียว

·      The Master in Fashion ศูนย์รวมแฟชั่นรูปแบบใหม่ ด้วยสินค้าแบรนด์แฟชั่นทันสมัยที่หลากหลายจากทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศ พร้อมแบรนด์แฟชั่นที่เป็นที่นิยมในอินสตาแกรมและสื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อเพิ่มความครีเอทที่หลากหลาย ค้นหาไลฟ์สไตล์ที่ใช่ ตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแฟชั่น

·    The Master in Family สถานที่ที่ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว ครบครันด้วยร้านค้าและบริการ ศูนย์การเรียนรู้ เสริมสร้างประสบการณ์สำหรับเด็กผ่านการเรียนรู้นอกห้องเรียนเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจและไอเดียความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งมีร้านค้าและบริการสำหรับคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงศูนย์สุขภาพ ศูนย์ความงาม สถานที่ออกกำลังกายที่ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของทุกคนในครอบครัวได้ในที่เดียว

“AWC ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการคุณภาพเพื่อรองรับการเติบโตอย่างมั่นคง และช่วยเสริมศักยภาพให้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของไทย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ โดย AWC ตั้งเป้าสร้างรายได้กระแสเงินสดเพิ่มการเติบโตให้แก่บริษัทได้ทันทีและประมาณการเสริมกระแสเงินสดเพิ่มกว่า 1,000 ล้านบาทใน 5 ปี และเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวตลอดอายุสัญญาเช่าเพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าภายในเครือ AWC ต่อไป” นางวัลลภา กล่าวเสริม

ศูนย์การค้า เกทเวย์ เอกมัย เริ่มดำเนินโครงการเมื่อปี 2555 เพื่อเป็นศูนย์การค้าครบวงจรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และชีวิตประจำวันของทุกคนในครอบครัว ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองบนถนนสุขุมวิท ย่านเอกมัย ซึ่งเป็นแหล่งธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพมหานครและ

เป็นศูนย์รวมที่พักอาศัยของชาวไทยและชาวต่างชาติ แวดล้อมไปด้วยอาคารสำนักงาน โรงเรียนนานาชาติ และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อีกทั้ง ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย ยังได้รับตราสัญลักษณ์มาตรฐาน SHA ด้านความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกด้วย

เกทเวย์ เอกมัย นับเป็นโครงการที่ 9 เสริมพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าของ AWC ได้แก่ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย ศูนย์การค้าเกทเวย์ แอท บางซื่อ ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว 1และ 2 ศูนย์การค้าตะวันนา บางกะปิ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ รวมถึงเดอะ ล้ง 1919 ริเวอร์ไซด์ เฮอริเทจ เดสติเนชั่น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 38.35 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยังมีแรงกดดันให้อ่อนค่าทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 38.50บาท/ดอลลาร์ทั้งจากภาวะปิดรับความเสี่ยง-บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวทะลุ 4.00% และราคาทองคำที่ปรับลดอาจยิ่งกดดันให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยเผชิญแรงเทขาย

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 38.35 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 38.25 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ภาพตลาดที่กลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง จนอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านสำคัญก่อนหน้าที่ระดับ 38.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก

โดยเฉพาะในช่วงนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.00% ต่อเนื่อง ก็อาจยิ่งกดดันให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยเผชิญแรงเทขายจากบรรดานักลงทุนต่างชาติมากขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงไหลออกจากตลาดบอนด์ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทในช่วงนี้ (ยอดขายบอนด์สุทธิกว่า 1 หมื่นล้านบาทนับตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์)

นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำ ก็อาจทำให้เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้เช่นกัน ทั้งนี้ เรามองว่า แนวต้านสำคัญของเงินบาทอาจยังคงอยู่โซน 38.50 บาทต่อดอลลาร์

เนื่องจากระดับดังกล่าวอาจเห็นบรรดาผู้ส่งออกมาทยอยขายเงินดอลลาร์มากขึ้น ส่วนผู้เล่นในตลาดโดยเฉพาะผู้เล่นต่างชาติที่มีสถานะ short เงินบาทก็อาจทยอยขายทำกำไรสถานะ short เงินบาทในโซนดังกล่าวได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 38.25-38.45 บาท/ดอลลาร์

รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดนั้น ยังไม่สามารถช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง

จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่เริ่มมองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าที่คาดการณ์ดอกเบี้ยหรือ Dot Plot หากเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูงต่อ ซึ่งมุมมองดังกล่าวของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.13% กดดันให้หุ้นที่อ่อนไหวต่อบอนด์ยีลด์

อย่าง หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลดลง อาทิ Amazon -1.1%, Microsoft -0.9% ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.85% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.67%

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Chevron +3.2%, Exxon Mobil +3.0%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมากกว่าคาด สะท้อนภาวะตลาดน้ำมันที่อาจยังคงตึงตัวอยู่ 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.53% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังรายงานเงินเฟ้อของยูโรโซนและอังกฤษล่าสุด ยังอยู่ในระดับสูงราว 10%

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบริษัท ASML ผู้ผลิตชิพฯ ชั้นนำ ที่ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้น ASML +8.2% สวนทางกับการปรับตัวลดลงโดยรวมของหุ้นกลุ่มเทคฯ

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 113 จุด หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ทำให้ส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น กว้างมากขึ้น กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงแตะระดับ 149.86 เยนต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับ ลงสู่ระดับ 1,632 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ การปรับตัวลงของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจยังคงเลือกที่จะเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) โดยตลาดประเมินว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.3 แสนราย ซึ่งยังเป็นระดับที่สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังมีความแข็งแกร่งอยู่ (แต่หากยอดดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จนแตะระดับ 4 แสนราย ขึ้นไป จะสะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น)  

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังเริ่มมีเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านออกมาสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับที่อาจสูงกว่าคาดการณ์ดอกเบี้ยหรือ Dot Plot ล่าสุด ส่วนรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนยังคงอยู่ในความสนใจของตลาดและอาจช่วยพยุงไม่ให้ตลาดปรับตัวลงแรงได้ หากรายงานผลประกอบการโดยรวมออกมาดีกว่าคาด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 38.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปีครั้งใหม่ (นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2549) ที่ 38.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 38.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับเงินเยน เงินหยวน และสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ท่ามกลางแรงหนุนที่แข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ฯ จากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ขยับขึ้นเหนือระดับ 4.10% ไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เมื่อคืนที่ผ่านมา

ขณะที่ตลาดทยอยเพิ่มน้ำหนักให้กับโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 75 bps. เป็นครั้งที่ 5 ในการประชุมเดือนธ.ค. ต่อเนื่องจากที่น่าจะปรับขึ้น 75 bps. ในการประชุมเดือนพ.ย. นี้ นอกจากนี้สัญญาณขายสุทธิพันธบัตรต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติอาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 38.20-38.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ สกุลเงินในภูมิภาค ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย และการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ย. ผลสำรวจภาคการผลิตเดือนต.ค. ของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


10 ชาติดังที่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ได้ไปเล่น ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายปลายปีนี้

เหลืออีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นแฟนบอลทั่วทั้งโลกก็จะได้รับชมมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติอย่าง ฟุตบอลโลก 2022 ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศกาตาร์ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ถึง 18 ธันวาคมนี้

โดยเราต่างทราบกันดีถึงโฉมหน้าของทั้ง 32 ทีมที่ผ่านมามาเล่นในรอบสุดท้ายในปีนี้ แต่หากมองอีกมุมก็มีอีกหลาย ๆ ชาติที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งและคู่ควรแต่กลับทำได้เพียงนอนชมเกมอยู่ที่บ้าน วันนี้เราอยากจะพาทุกท่านไปชม 10 ประเทศฝีเท้าดีที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้ จะมีใครกันบ้างตามไปชมกัน…

แอลจีเรีย

ยักษ์ใหญ่จากแอฟริกาที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์ แอฟริกัน เนชั่น คัพ เมื่อปี 2019 มีสตาร์ดังอย่าง ริยาด มาห์เรซ อิสลาม สลิมานี แต่สุดท้ายพวกเขากลับไปไม่ถึงฝั่งฝันด้วยการตกรอบแพลย์ออฟพ่ายต่อ แคเมอรูน ไปอย่างหน้าเสียดาย

ยูเครน

ทีมอันดับที่ 27 ของโลกจากการจัดอันดับของ ฟีฟ่า ที่มีนักเตะชื่อดังอย่าง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ รัสลาน มาลินอฟสกี้ โรมัน ยาแรมชุค แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไปพ่ายต่อ เวลส์ ในการชิงตั๋วใบสุดท้ายของโซนยุโรปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ฮังการี

ทีมอันดับที่ 37 ของโลกจากการจัดอันดับโดย ฟีฟ่า ถึงแม้ชื่อชั้นของพวกเขาอาจจะไม่ใช่ทีมดังยักษ์ใหญ่ แต่ผลงานในศึก ยูฟ่า เนชั่นลีก ที่ผ่านมาก็การันตีถึงความสุดยอดที่เอาชนะมาทั้ง อังกฤษ เยอรมนี ก่อนที่สุดท้ายจะไปพลาดท่าพ่ายต่อ อิตาลี ใรเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มทำให้อดเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ไป

สาธารณรัฐเช็ก

อีกหนึ่งทีมดังที่เคยเป็นขาประจำฟุตบอลโลกในอดีต แต่น่าเสียดายที่ผลงานในรอบคัดเลือกของเขาไม่สู้ดีนักจนทำให้พลาดการเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายแม้ว่าจะมีนักเตะดัง ๆ อย่าง แพทริค ชิค หัวหอกจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน วลาดิเมียร์ คูฟาล และ โทมัส ซูเชค สองสตาร์ดังจาก เวสต์แฮม ก็ตาม

ไนจีเรีย

หนึ่งในทีมที่หลายคนเสียดายมากที่สุดเพราะเราจะอดเห็นชุดแข่งสุดอลังการที่เป็นจุดขายของ ไนจีเรีย มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากชุดพวกเขาก็ยังมีนักเตะฝีเท้าดีมากมายทั้ง วิคเตอร์ โอซิเมน วิลฟรีด เอ็นดิดี อเล็กซ์ อิโวบี แต่ก็ไปพลาดท่าพ่ายในเกมเพลย์ออฟต่อ กานา ในที่สุด

นอร์เวย์

นอร์เวย์ ในยุคปัจจุบันอุดมไปด้วยดาวรุ่งมากความสามารถมากมาย ซึ่งแฟน ๆ ก็อดเสียดายที่จะไม่ได้เห็นลวดลายของกองหน้าที่ฟอร์มร้อนแรงอันดับหนึ่งอย่าง เออร์ลิง ฮาแลนด์ ในทัวร์นาเมนต์นี้ แถมยังมี อเล็กซ์ โซล็อธ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่เป็นสตาร์ดังประจำทีมชุดนี้อีกด้วย

ชิลี

ทีมดังในอดีตที่ทำผลงานได้ดีทั้งในระดับทวีปและในฟุตบอลโลกมาก่อน แต่ปัจจุบันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังประสบปัญหาอย่างหนักกับการเปลี่ยนถ่ายสายเลือดที่นักเตะเจเนอเรชั่นใหม่ไม่สามารถทดแทนการจากไปของสตาร์ในยุคทองได้

สวีเดน

ทีมอันดับที่ 20 จากการจัดอันดับของฟีฟ่า ซึ่งหากดูจากชื่อชั้นของนักเตะพวกเขาน่าจะมีดีพอที่จะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้ทั้ง อเล็กซานเดอร์ อิซัค เดยัน คูลูเซฟสกี้ เอมิล ฟอสเบิร์ก แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไปพ่ายต่อ โปแลนด์ ในการเพลย์ออฟโซนยุโรป

โคลอมเบีย

อีกหนึ่งทีมดังจากโซนอเมริกาใต้ที่ปีนี้จะไม่มีชื่อในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายหลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยทำผลงานได้ดีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็น่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็นสตาร์อย่าง หลุยส์ อิอาซ ราฟาเอล บอร์เร หลุยส์ ซินิสเตอร์รา ที่กาตาร์ปลายปีนี้

อิตาลี

ทีมที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยเพราะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ ยูโร 2020 หนล่าสุด แถมใน เนชั่นลีก ปีนี้ยังเข้าถึงรอบน็อคเอาท์ แต่ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกพวกเขากลับทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยติดต่อกันจนต้องไปเพลย์ออฟ และสุดท้ายกลับพ่ายต่อ นอร์ธ มาซิโดเนีย ชนิดที่ช็อคคนทั้งโลก ทำให้ต้องนอนดูอยู่บ้านทั้งที่ควรจะมีชื่อเป็นหนึ่งใน 32 ทีมสุดท้ายในครั้งนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


6 สัญญาณอันตราย ร่างกายเตือนให้เราต้อง “พักผ่อน”

ไม่ว่าจะเรียน ทำงาน สิ่งเหล่านี้ก็สามารถสร้างความเครียด ความกดดันให้กับเราได้ ส่วนใหญ่มันจะค่อยๆสะสมความเหนื่อย ความเครียดให้กับร่างกายและจิตใจของเรา จนถึงจุดที่ตัวเราจะส่งสัญญาณออกมา ถ้าเรามี 6 สัญญาณนี้ ก็ควรรีบหยุดพักให้เร็วที่สุด 

หยุดพักก่อนเถอะ ถ้าคุณมี 6 สัญญาณตามนี้ 

6 สัญญาณอันตราย ร่างกายเตือนให้เราต้อง “พักผ่อน

  1. ไม่มีสมาธิ

อาการแรกเรามักไม่มีสมาธิ กระสับกระส่าย รู้สึกกังวล อาการนี้มักเกิดขึ้นจากการไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ความกังวลถึงงานที่มีปัญหา ทำให้คุณภาพงานที่ได้ออกมาน้อยลง 

  1. นอนหลับยาก

กว่าจะหลับก็ยาก ตื่นกลางดึก พยายามนอนเท่าไรก็ไม่หลับ อาการเหล่านี้หากติดต่อกันนานๆ จะส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ส่วนใหญ่มักมาจากความเครียด ความกังวลใจที่ได้เจอ

  1. กินไม่ปกติ

กินมากกว่าปกติ กินน้อยกว่าปกติ เป็นสัญญาณของความเครียดอย่างหนึ่งที่บอกกับตัวเราว่า เราควรต้องหยุดพักจากกิจกรรมที่ทำให้เราเครียด  และสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยคือ มักไม่กินอาหารมื้อหลัก แต่กินของว่าง ขนมแทน อันนี้ก็เป็นสัญญาณบอกว่าเราควรพักได้เช่นกัน 

  1. ไม่มีแรงจูงใจ

หมดกำลังใจ ไม่อยากลุกไปเรียน ไม่อยากลุกไปทำงาน ทั้งๆที่ปกติเคยอยากทำมากๆ หรือแม้กระทั่งไม่อยากออกไปเจอผู้คน ไม่อยากไปทำอะไรที่ชอบ อาการนี้ส่วนใหญ่มาจากความเบื่อ อยู่ในจุดที่เบื่อมากๆไม่อยากทำอะไร 

  1. ป่วยตลอดเวลา

รู้สึกไม่สบายตัว ปวดหัว ปวดท้อง ไม่สบายตลอดเวลา อาการนี้ความเครียด ความกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของเรา ทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้น 

  1. ไม่สนุกกับสิ่งที่ชอบอีกต่อไป

จากเป็นคนที่ชอบดูหนัง ชอบไปคาเฟ่ กลับกลายเป็นไม่ชอบอีกต่อไป ไม่รู้สึกว่าทำแล้วมันจะมีความสุข อาการนี้อาจจะเป็นอาการของภาวะสิ้นยินดี หรือภาวะซึมเศร้าก็ได้ หากรู้สึกแบบนี้ควรพักหรือปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป 

หากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นกับตัว ทางที่ดีควรหาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน ลางาน ออกไปเที่ยว มีเวลาให้กับตัวเอง หากมากจนไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเองก็ให้ปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เทคนิคการแปลภาษาแบบมืออาชีพ

หลายคนเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้เก่งๆ แต่จะเก่งทั้งที การเขียนก็เป็นทักษะภาษาอังกฤษที่ไม่ควรทิ้งขว้าง โดยเฉพาะทักษะการแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ เพราะนอกจากจะทำให้เราเขียนคล่องขึ้นแล้ว ทักษะการแปลก็จะช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนภาษาในหัวของเราเวลาพูดได้อย่างรวดเร็ว มาดูกันดีกว่าว่า กฎเหล็กที่เราควรท่องให้ขึ้นใจเวลาแปลมีอะไรบ้าง

หลายคนเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้เก่งๆ แต่จะเก่งทั้งที การเขียนก็เป็นทักษะภาษาอังกฤษที่ไม่ควรทิ้งขว้าง โดยเฉพาะทักษะการแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ เพราะนอกจากจะทำให้เราเขียนคล่องขึ้นแล้ว ทักษะการแปลก็จะช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนภาษาในหัวของเราเวลาพูดได้อย่างรวดเร็ว มาดูกันดีกว่าว่า กฎเหล็กที่เราควรท่องให้ขึ้นใจเวลาแปลมีอะไรบ้าง

1. อย่าลืมเปลี่ยนระบบวันที่ หรือ หน่วยต่างๆ

เวลาแปลภาษาจากภาษาไทยไปเป็นอีกภาษาที่อยู่ปลายทาง เราควรคำนึงอยู่เสมอว่าผู้อ่านของเราไม่ได้คุ้นเคยกับระบบที่เราใช้ เช่น เราไม่สามารถใช้ปี พ.ศ.ได้ แต่ต้องใช้ค.ศ.เท่านั้น หน่วยต่างๆเหล่านี้ ยังรวมไปถึง อุณหภูมิ เช่น

ประเทศไทยนิยมใช้องศาเซลเซียส ในขณะที่บางประเทศใช้ฟาเรนไฮต์ ตัวอย่างเช่น อุณหภูมิในกรุงเทพฯ ร้อนที่สุดของปีอยู่ที่ 43 องศาเซลเซียสในวันที่ 25 เมษายน 2016 อาจแปลได้เป็น

“The highest temperature ever recorded in Bangkok this year was 109.4 °F on April 25, 2016.”

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ความสูง ระยะทาง น้ำหนัก การเอาเดือนหรือวันที่ขึ้นก่อนก็แตกต่างกันในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ การเขียนเรื่องตัวเลขก็ต้องระวัง เช่น ถ้าภาษาไทยบอกว่า 42,000 ล้านบาท ภาษาอังกฤษก็ต้องเป็น 42 billion baht เนื่องจากภาษาปลายทางมีคำเฉพาะให้เราใช้อยู่แล้ว เป็นต้น

2. แบ่งประโยคได้เมื่อจำเป็น

เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า วิธีการแบ่งประโยคของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษไม่เหมือนกัน คนเขียนภาษาไทยเอง บางทีก็จะติดการเขียนไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดเริ่มหรือจบของประโยค และติดนิสัยนี้ไปใช้กับการเขียนภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำเวลาเจอประโยคยาวเหยียดคือ การหาจุดเริ่มและจุดจบของประโยค เพื่อให้เขียนง่ายขึ้น และคนอ่านเข้าใจง่ายขึ้น พยายามใช้คำเชื่อมต่างๆเข้ามาช่วยเพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของประโยค แทนที่ใช้ comma คั่นไปเรื่อยๆ เช่น

เด็กหญิงคนดังกล่าวได้ถูกรถชนและสลบไปบนถนนโดยไม่มีใครช่วยเหลือ รวมทั้งผู้ก่อเหตุก็ได้หลบหนีไปหลังเกิดเหตุอีกด้วย อาจจะสามารถตัดเป็น

“The girl was hit by a car and lying unconscious on the road. No one stepped in to help her while the suspect fled the scene after the accident.”

3. รักษาโทนของภาษาต้นฉบับ

เราต้องวิเคราะห์ก่อนเลยว่า บทความที่เราต้องการแปลนั้น เป็นบทความประเภทไหน เราต้องแปลบทความมีสาระ จริงจัง แบบข่าว หรือบทความเบาสมอง เช่น

เนื้อเรื่องกอสสิปต่างๆบนเว็บไซต์ วิธีที่จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับสไตล์ของภาษาได้ดีที่สุด คือเราต้องอ่านและคลุกคลีกับภาษาปลายทางแบบที่เราต้องใช้ให้บ่อย

สังเกตวิธีการใช้ภาษา คำ วิธีการจัดเรียงประโยคและบทความ เพื่อให้มีโทนที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับ และคนอ่านเข้าถึงได้มากที่สุด เช่น

ถ้าเราจะบอกว่า สไตล์เป๊ะมาก เราอาจจะเลือกพูดว่า style on fleek ซึ่งเป็นศัพท์วัยรุ่น มากกว่าการพูดว่า fashionable style ซึ่งดูทางการมากกว่า

4. เลือกใช้คำให้เหมาะสมกับสิ่งที่แปล

ถ้าเราเริ่มแปลบทความเป็นภาษาอังกฤษในช่วงแรกๆ บทความประเภทที่ง่ายที่สุด คือเราต้องเลือกบทความที่ไม่ได้มีศัพท์เฉพาะมากมาย เป็นบทความเรื่อง lifestyle ทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เราอาจจะต้องการท้าทายตัวเองด้วยการเลือกแปลหมวดที่มีความท้าทายมากขึ้น เช่น เราอาจจะอยากรู้เรื่องการแปลสัญญาต่างๆ ฟังดูแล้วอาจจะดูน่ากลัว แต่ภาษากฎหมายนั้น เราสามารถเลือกเข้าไปดู template ต่างๆเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีมากมายให้เราได้ศึกษา

เช่น สัญญาเช่าบ้าน หรือ Residential Tenancy Agreement ซึ่งในแต่ละวงการ ก็จะมีคำเหมาะสมในการเลือกใช้มากกว่า เช่น คำว่าเจ้าของบ้าน เราอาจจะคิดง่ายๆว่า home owner ก็แปลว่าเจ้าของบ้านเหมือนกัน

แต่ในสัญญา คำที่สวยงามและเหมาะสมกว่าอาจจะเป็นคำว่า landlord เป็นต้น

5. อย่าติดใช้สำนวนของภาษาต้นฉบับเกินไป

ภาษาแต่ละภาษาย่อมแฝงวัฒนธรรมของประเทศหรือสังคมนั้นๆมาด้วย อย่างไรก็ตาม สำนวนการใช้ประโยค หรือการใช้คำ อาจจะไม่สามารถแปลมาเป็นภาษาปลายทางได้ตรงทั้งหมด ถ้าแปลตรงเกินไป คนอ่านก็จะไม่เข้าใจเลย เช่น

สารวัตรหึงโหด “เจอภาพบาดตาของภรรยากับเพื่อน” เราจะแปลภาพบาดตานี้ว่าอะไร การจัดการกับโจทย์แบบนี้ เราอาจจะต้องวิเคราะห์กันสักหน่อย และอาจจะเขียนออกมาว่า

“angered by his wife and friend’s intimacy” ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ มากกว่าพยายามมาคิดคำว่าภาพบาดตาแล้วแปลตรงตัวจนคนอ่านสับสน เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


เจาะลึกศักยภาพ ‘โดรนพิฆาต’ จากอิหร่าน – อาวุธเด็ดของรัสเซียในสงครามยูเครน

อาวุธที่สำคัญชนิดหนึ่งที่รัสเซียใช้ในสงครามรุกรานยูเครน คือโดรนชาเฮด (Shahed) ซึ่งผลิตในอิหร่าน และอาจกลายมาเป็นปัจจัยกำหนดความได้เปรียบในทางรบที่กำลังเกิดขึ้นอย่างดุเดือด

เนื่องจากเป็นโดรนราคาถูก และติดเทคโนโลยีนำทางเพื่อความแม่นยำ อาวุธชนิดนี้ที่รัสเซียนำมาเปลี่ยนชื่อเป็น เกอราน-2 จึงสามารถนำมาใช้ในปริมาณมาก และได้ชื่อว่า “ขีปนาวุธร่อนของคนจน” ตามรายงานของเอพี

โดรนชาเฮด ที่ติดระเบิดเพื่อการทิ้งตัวทำลายเป้าหมาย มีความคล้ายการโจมตีแบบ “กามิกาเซ่” ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองหรือการพุ่งชนเป้าหมายเพื่อให้เกิดการระเบิดเสียหาย

ข้อมูลของสื่อออนไลน์ยูเครน Defense Express อ้างตัวเลขจากอิหร่านที่ระบุว่า ชาเฮด เป็นโดรนรูปสามเหลี่ยม มีความยาว 3.5 เมตร กว้าง 2.5 เมตร นำ้หนักประมาณ 200 กิโลกรัม

โดรนชนิดนี้ติดเครื่องยนต์ 50 แรงม้า และมีความเร็วสูงสุด 114 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เอพีรายงานว่าราคาของโดรนชาเฮดอยู่ที่ราว 2 หมื่นดอลลาร์ ซึ่งราคาคิดเป็นเศษเสี้ยวของขีปนาวุธเต็มรูปเเบบ อย่างเช่น ขีปนาวุธร่อนรุ่น คาลิเบอร์ (Kalibr) ของกองทัพรัสเซียที่ราคา 1 ล้านดอลลาร์ต่อลูก

​ก่อนหน้านี้ รัสเซียใช้ขีปนาวุธร่อนคาลิเบอร์ โจมตียูเครนอย่างกว้างขวางในช่วง 8 เดือนเเรกของสงคราม

โดรนชาเฮด เคยถูกใช้มาเเล้วในเยเมน และในการโจมตีเรือบรรทุกนำ้มันเมื่อปีที่เเล้ว ตามข้อมูลของ บีห์นาม เบน ตาเลบลู นักวิเคราะห์แห่งหน่วยงานคลังสมองในกรุงวอชิงตัน Foundation for Defense of Democracies

การนำ “โดรนพิฆาต” ชนิดนี้มาใช้ในยูเครนเวลานี้มีลักษณะน่าสนใจคือ แม้โดรนชาเฮดจะบินได้ไกล 1,000 กิโลเมตร แต่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโดรน แซเมล เบนเด็ตต์ แห่งองค์กรวิจัยด้านนโยบาย CNA กล่าวว่าระยะบินของโดรนดังกล่าวในสงครามยูเครนสั้นกว่านั้น

เขาอธิบายว่า สาเหตุที่โดรนบินในระยะที่ใกล้กว่าศักยภาพจริง เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการถูกใช้เคลื่อนก่อกวนระบบนำทางจีพีเอสนั่นเอง

รัสเซียใช้โดรนชนิดนี้หลายลำโหมโจมตียูเครน เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงถูกโต้กลับรุนเเรงต่อเครื่องบินรบล้ำสมัย และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของนักบินด้วย

นอกจากนั้นรัสเซียสามารถเก็บขีปนาวุธพิสัยไกลความเเม่นยำสูงที่มีอยู่อย่างจำกัด ไว้ใช้เมื่อถึงเวลาจำเป็น

สำหรับข้อจำกัดของโดรนชาเฮด มิโคลา เบไลสคอฟ นักวิจัยแห่งสถาบันยุทธศาสตร์ศึกษาของยูเครนกล่าวว่าระเบิดที่นำขึ้นไปกับโดรนจะมีนำ้หนักเพียง 40 กิโลกรัม

บไลสคอฟ กล่าวว่าปริมาณดังกล่าวถือว่าน้อยมากหากเทียบกับขีปนาวุธแบบปกติ ที่บินได้ไกลกว่ามากและสามารถติดระเบิดได้หนักถึง 480 กิโลกรัม

แต่โดรนชาเฮดยังคงสามารถสร้างความเสียหายที่รุนเเรงและส่งผลถึงขวัญกำลังในทหารยูเครนได้

ในการโจมตีเมื่อวันจันทร์ โดรนลำหนึ่งทิ้งตัวลงไปยังอาคารที่พักอาศัยและทำลายห้องพัก 3 ห้องและทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน

เบไลสคอฟ กล่าวว่าการโจมตีด้วยโดรนชาเฮด สร้างความหวั่นเกรงและความไม่มั่นใจในศักยภาพของระบบป้องกันทางอากาศของยูเครน

อย่างไรก็ตามเขาระบุว่า แม้รัสเซียจะใช้โดรนชนิดนี้จำนวนมาก แต่สิ่งที่รัสเซียไม่ได้กลับคืนมา คือดินแดนที่ยูเครนสามารถรุกคืบเข้าไปได้ในช่วงที่ผ่านมา

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


10 ประโยชน์ของมะขามด้านสุขภาพ ความดีที่หลายคนมองข้ามไป

มะขามเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะบางคนก็พึ่งรสเปรี้ยวของมะขามช่วยให้รู้สึกตื่นเวลาง่วงๆ บ้างก็กินมะขามเป็นยาระบาย หรือนำมะขามเปียกมาพอกหน้าบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใส แต่นอกจากนี้แล้วมะขามยังมีดีอีกเพียบเลยนะ อยากรู้ก็มาดูกันเลย

มะขาม สมุนไพรใกล้ตัวดีๆ ที่อยากแนะนำ

มะขาม หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Tamarind มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tamarindus indica L. เป็นพรรณไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามาก เปลือกของต้นมีความหนา ขรุขระ ใบย่อยออกเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ออกดอกเป็นช่อเล็กๆ ตามปลายกิ่ง ส่วนผลเป็นฝักยาวประมาณ 3-20 เซนติเมตร รูปร่างโค้งหยักตามข้อปล้องของผล เปลือกของฝักเมื่ออ่อนจะมีสีเขียวอมเทา เนื้อในติดกับเปลือก มีเมล็ดอยู่ในฝัก แต่เมื่อแก่เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็ง แห้ง กรอบ แตกง่าย เนื้อข้างในเป็นสีน้ำตาล เมล็ดใหญ่ กลม สีดำ รสชาติมีทั้งหวานและเปรี้ยว ซึ่งนอกจากผลมะขามแล้ว ใบมะขามก็เป็นส่วนที่นิยมนำมาทำเมนูอร่อยๆ กินกันด้วยเนอะ

มะขาม ประโยชน์ช่างดีต่อสุขภาพ

ไม่ว่าจะเนื้อมะขาม ใบมะขาม หรือแม้กระทั่งเมล็ดมะขาม ก็ล้วนมีสรรพคุณดีต่อสุขภาพ ตามนี้เลย

1. ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย

ในเนื้อมะขามมีกรดอินทรีย์ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ สามารถทำเป็นน้ำมะขามดื่มแก้ท้องผูกได้ โดยนำมะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ละลายให้เข้ากัน แค่นี้ก็ได้สูตรระบายท้องทำง่ายๆ แล้ว

2. แก้ไอ ขับเสมหะ

มะขามเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินซีสูง และยังมีสารสำคัญอย่างกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ซึ่งมีสรรพคุณบรรเทาอาการไอ กระตุ้นการหลั่งน้ำลายและขับเสมหะ แถมยังช่วยบรรเทาอาการอักเสบ รักษาหวัด และขับเหงื่อ โดยจะกินมะขามจิ้มเกลือหรือจะทำน้ำมะขามดื่มก็แล้วแต่ชอบเลย

3. ป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

วิตามินซีเป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันและรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน ซึ่งในเนื้อมะขามฝักอ่อนมีวิตามินซีอยู่ประมาณ 44 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ส่วนในเนื้อมะขามเปียกจะมีวิตามินซีราวๆ 13 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม สามารถกินเพิ่มวิตามินซีให้ร่างกายได้ทุกวัน เพื่อช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และยังช่วยเรื่องขับถ่ายได้อีก

4. บำรุงกระดูกและฟัน

มะขามจัดเป็นอาหารแคลเซียมสูงชนิดหนึ่งเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นยอดอ่อน ฝักอ่อน หรือมะขามเปียก ในปริมาณ 100 กรัม ก็มีแคลเซียมอยู่ที่ 14, 429 และ 314 มิลลิกรัม ตามลำดับ มะขามจึงมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูกและฟันไปด้วยในตัว

5. ขับเลือดลมในหญิงเพิ่งคลอดบุตร

ตามตำรับแพทย์แผนไทยมีการใช้มะขามเปียกคั้นกับเกลือและน้ำ ให้หญิงคลอดบุตรใหม่ๆ ดื่มเพื่อขับเลือดลมที่ตกค้างในร่างกาย นอกจากนี้ใบมะขามยังใช้ต้มกับน้ำให้หญิงหลังคลอดอาบเพิ่มความรู้สึกสะอาดสดชื่นอีกด้วย

6. ขับลมในลำไส้ แก้บิด

ใบมะขามสดมีรสเปรี้ยว ฝาด มีกรดเล็กน้อย สามารถกินช่วยระบายท้อง ขับลมในลำไส้ แก้บิด โดยนำใบมะขามอ่อนมาประกอบอาหารรับประทานได้เลย

7. แก้ท้องเสีย

คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยา เผยข้อมูลว่า เปลือกหุ้มเมล็ดมะขามอุดมไปด้วยสารกลุ่มโพรแอนโธไซยานิดินส์จำพวกแทนนิน มีสรรพคุณแก้ท้องเสีย ท้องร่วง ส่วนเนื้อในเมล็ดของมะขามที่ชาวเหนือนิยมนำมาคั่วกิน ก็มีสรรพคุณแก้ท้องเสีย ขับพยาธิตัวกลมด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรรับประทานเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามมากเกินไป เพราะอาจได้รับแทนนินในปริมาณที่สูงเกินความจำเป็นจนอาจกระทบกับการจับโปรตีนในระบบย่อยอาหาร และมีส่วนยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กได้

8. รักษาแผล

สารต้านอนุมูลอิสระและสารแทนนินในเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามมีสรรพคุณชะล้างบาดแผล พอกรักษาบาดแผลไฟลวก สมานแผลสด รักษาแผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ถ้านำเปลือกต้นมะขามมาต้มหรือฝนกับน้ำปูนใส นำมาล้างแผลหรือรักษาบาดแผลเรื้อรังก็ได้เช่นกัน

9. สารต้านอนุมูลอิสระสูง

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำการศึกษาและพบว่า ในเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามมีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารประกอบฟีนอลิกในปริมาณสูง โดยสารสกัดจากเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นได้ดีกว่าวิตามินอี 3.14 เท่า นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณยับยั้งอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 ซึ่งถือว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และดีต่อสุขภาพอย่างน่าสนใจ แต่ทั้งนี้ก็ควรจำกัดปริมาณสารสกัดเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามให้อยู่ในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 แคปซูล ไม่ควรกินมากไปกว่านี้

10. ผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยเซลล์ผิวใหม่

มะขามมี AHA ค่อนข้างสูง และถ้าเรานำมะขามเปียกมาขัดผิว เส้นใยในเนื้อมะขามจะช่วยทำความสะอาดและผลัดเซลล์ผิวเก่าออกไป ส่วน AHA ก็จะช่วยบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใส โดยสูตรมะขามขัดผิวก็มีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ลองเลือกสูตรที่ง่ายและสะดวกได้เลย

ประโยชน์ของมะขามไม่ธรรมดาเลยเนอะ และเรายังกินมะขามได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นของกินเล่น เครื่องดื่มเย็นชื่นใจ หรือเป็นเมนูอาหาร และซอสต่างๆ เรียกได้ว่ามีมะขามติดบ้านไว้ ยังไงก็ดีแหละ

ขอบคุณข้อมูลจาก matichonacademy.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/10/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,550.0029,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,914.0029,016.2430,150.00
ทองรูปพรรณ 90%1,722.6026,114.62n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,531.2023,212.99n/a
ทองรูปพรรณ 50%861.0013,052.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%670.0010,157.20n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,983.0030,062.28n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/10/2565


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.1535.1535.4535.3535.3535.1535.1535.1535.3535.15
แก๊สโซฮอล์ 9134.8834.8835.1835.0835.0834.8834.8834.8835.0834.88
แก๊สโซฮอล์ E2034.0434.0434.3434.2434.2434.0434.0434.2434.04
แก๊สโซฮอล์ E8532.4432.4432.44
เบนซิน 9542.5643.2143.0643.0642.56
ดีเซล B734.9434.9435.2434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล34.9434.9435.2434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.2434.9434.9434.9434.2434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6643.9643.9643.9634.94
แก๊ส NGV16.5916.5916.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า