สาระน่ารู้ประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2565

‘สิวารมณ์’ จ่อระดมทุน mai วางเกม กลยุทธ์อสังหาฯ เจาะบ้าน1-7ลบ.

‘สิวารมณ์’ (“SVR”) จ่อระดมทุน ในตลาดหลักทรัพย์ mai เสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน130 ล้านหุ้น ระดมทุน วางเกม พัฒนาอสังหาฯแนวราบรอบทิศกรุงเทพฯ -ปริมณฑล เจาะกลุ่มราคา 1-7 ล้าน หวังเติบโต แบบ High Growth

19 ธ.ค.2565 – นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “SVR” เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภค หันมาเน้นให้ความสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย แนวราบ (บ้านเดี่ยว – ทาวน์โฮม) มากขึ้น 

โดยสะท้อนจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการในการซื้ออสังหาฯเพื่ออยู่อาศัยจริง ( Real Demand) จะเลือกซื้อโครงการจากพื้นที่ใช้สอย และฟังก์ชั่นที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานที่บ้าน ด้วยระดับราคาที่คุ้มค่าน่าซื้อ ที่สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้ครบทุกมิติ ทำให้ที่อยู่อาศัยแนวราบ ย่านกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ในระดับราคาไม่เกิน 5-7 ล้านบาท จึงมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ จากดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีความต้องการสูง ส่งผลให้ สิวารมณ์ (“SVR”) วางเกมกลยุทธ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อที่อยู่อาศัยแนวราบทุกรูปแบบราคา 1 ถึง 7 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง โดยบริษัทฯมุ่งเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัย บนพื้นที่ขนาดที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ เพื่อให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ที่มีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ซึ่งจากกลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้ทุกโครงการของ สิวารมณ์ (“SVR”) สามารถจำหน่ายได้หมด ภายใน1 ถึง 3 ปี  

ด้วยวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่นในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างสรรค์นวัตกรรม สินค้า และบริการ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิต เน้นความโดดเด่นด้านการออกแบบที่อยู่อาศัย เลือกสรรทำเลที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพ โดยพัฒนาโครงการพื้นที่ใกล้แหล่งชุมชน หรือแหล่งที่ทำงาน แหล่งสาธารณูปโภคทางด้านคมนาคม (ถนนสายหลัก ทางด่วน มอเตอร์เวย์ สถานีรถไฟฟ้ารถไฟฟ้า)เพื่อให้ตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generation มากที่สุด สู่การผลักดันและต่อยอดการพัฒนาโครงการในอนาคต

จากความต้องการของผู้บริโภคในโครงการบ้านแนวราบ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีดีมานด์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีทิศทางการเติบโตเพิ่มขึ้นตาม โดยจะเห็นได้จากปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 4.5% จากปี 2564 จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ สิวารมณ์“SVR มีการเร่งพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เพื่อรองรับความต้องการ โดยจะเห็นได้จากในช่วงปี 2562 มีการพัฒนาโครงการจำนวน 2 โครงการ เพิ่มขึ้นเป็น 9 โครงการ ในปี 2565 ผ่านการขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Best Smart Living” โดยชู 4 S Smart ประกอบด้วย 1.) Smart Location คือทำเลที่ตั้งต้องเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้า 2.) Smart Space คือการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่นำเอาความต้องการของผู้อยู่อาศัยมาเป็นที่ตั้ง เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้พื้นที่ภายในบ้านได้อย่างคุ้มค่าและลงตัว 3.) Smart Value ด้านราคาที่ลูกบ้านจ่ายไปต้องได้รับความคุ้มค่าอย่างสูงสุด และ 4.) Smart Home นวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ Lifestyle ทุก Generation ซึ่งการขับเคลื่อนภายใต้แนวคิดดังกล่าว สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว   

ด้าน นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท “SVR” กล่าวเพิ่มเติมในฐานะ CFO ว่า ด้วยความมุ่งมั่นในการต่อยอดธุรกิจสู่ความยั่งยืนในอนาคต ส่งผลให้บริษัทฯมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อนำเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนเพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการในอนาคตให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 

ทั้งนี้หากพิจารณางบผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 31 กันยายน 2565 มีรายได้รวม 532 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 576 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64 ล้านบาท, ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 557 ล้านบาท กำไรสุทธิ 42 ล้านบาท และปี 2562 มีรายได้รวม 243 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกันอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำ โดย ณ 9 เดือนแรกปี 2565 D/E เพียง 1.39 เท่า และบริษัทฯได้กำหนดนโยบายการดำรง D/E ก่อน IPO 3:1 และหลัง IPO 2:1

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จากศักยภาพความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถาการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงรายได้และกำไรของสิวารมณ์ “SVR”ที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตผลการดำเนินงานของ สิวารมณ์ “SVR” มีโอกาสก้าวสู่ระดับ High Growth อย่างต่อเนื่องในอนาคต ภายใต้การขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขณะที่ นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าว ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินว่า สิวารมณ์ “SVR” เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.49% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 1.00 บาท โดย สิวารมณ์ “SVR” เป็นผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เป็นอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง และเป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ที่น่าจับตา เนื่องจากด้วยพฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยมีการปรับเปลี่ยน ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยแนวราบรอบกรุงเทพฯ ตอบโจททย์ที่อยู่อาศัยทุก Generation

อย่างไรก็ตาม ด้วยKey Business ของบริษัทฯ เป็นการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และ พันธกิจ ของบริษัทฯในการมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างสรรค์นวัตกรรม สินค้าและบริการ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิต โดยส่งมอบสังคมคุณภาพพร้อมความสุข  อย่างยั่งยืน  ภายใต้การพัฒนาคุณภาพสินค้าบริการ และองค์กร ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการใส่ใจความต้องการของลูกค้าในทุกระดับราคา และทุก generation เพื่อสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ร่วมกับ ลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และ พนักงานในองค์กร

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“พฤกษา” ตั้งกองทุน นวัตกรรมอสังหาฯ-โลจิสติกส์ ดันมูลค่าแตะ 2.5 หมื่นล.

“พฤกษา” ผนึก 2 ยักษ์ธุรกิจชั้นนำ สิงค์โปร์และไต้หวัน ตั้งกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund มูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ดันนวัตกรรมอสังหาฯ-โลจิสติกส์อัจฉริยะ บริการครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH  กล่าวว่า “ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทฯ มีนโยบายขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้รูปแบบหนึ่งในการลงทุนของพฤกษาจะโฟกัสในลักษณะของการร่วมลงทุน โดยมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพสูงและมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้น  ปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์เติบโตขึ้นได้อีกมาก โดยเฉพาะเมื่อมีสถานการณ์โรคระบาดเป็นตัวเร่ง   พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป  อัตราการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง  ผู้ประกอบการศูนย์การค้าต่างหันมาเปิดช่องทางการขายผ่านทางออนไลน์มากขึ้น  ที่ผ่านมาพฤกษาได้มีการลงทุนร่วมกับ “ปันได้”  เครื่องมือ Affiliate ช่วยขายออนไลน์  ซึ่งถือเป็นนวัตกรรม Social Commerce 4.0 เพื่อต้องการให้ลูกค้าอยู่ดีมีสุข สร้างช่องทางรายได้เพิ่มเติม 

ซึ่งธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นหนึ่งในจิกซอว์ในการขยายห่วงโซ่ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ แนวโน้มการเติบโตดีตามตลาดออนไลน์ โดยจัดเป็นธุรกิจที่ตลาดมีความต้องการทั้งในฝั่งผู้ให้บริการคลังจัดเก็บและกระจายสินค้า และฝั่งของนักลงทุน อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์จึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่พฤกษาให้ความสนใจศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจขยายการลงทุน
 

ล่าสุดได้มีการประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในระดับภูมิภาคด้วยการผนึกความร่วมมือกับสองบริษัทชั้นนำ คือ แคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป (CapitaLand Investment Group  หรือ CLI) ยักษ์ใหญ่กลุ่มธุรกิจจัดการการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ที่มีฐานมั่นคงในทวีปเอเชีย  CLI มีสินทรัพย์ด้านอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การจัดการประมาณ 130,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์  (3.25 ล้านล้านบาท) และ แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ (Ally Logistic Property หรือ ALP) ผู้ให้บริการโซลูชั่นคลังสินค้าแบบครบวงจรที่ล้ำสมัยที่สุดในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศต้หวัน   เป็นผู้สร้างศูนย์โลจิสติกส์ที่ล้ำสมัย จำนวน 6 แห่ง และปัจจุบันบริหารพื้นที่กว่า 570,000 ตร.ม. ขยายพอร์ตโฟลิโอคลังสินค้าได้ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในไต้หวัน  ร่วมกันจัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่ากองทุน 1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 25,000 ล้านบาท)   โดย CLI รับหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund”

โดยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญด้านการจัดการกองทุน และการดำเนินงานที่เป็นที่ยอมรับ ทำให้กองทุนมีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านการจัดหาการลงทุน และการดำเนินการ ผสานกับความรู้ความเชี่ยวชาญด้านตลาด และการพัฒนาอย่างบูรณาการที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศไทยของ พฤกษา โฮลดิ้ง ผนวกกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการดำเนินงานในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ของ ALP ทำให้คาดว่า กองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” จะเป็นผู้ดำเนินการด้านโลจิสติกส์แบบบูรณาการ ที่มีแพลตฟอร์มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และโลจิสติกส์ที่เชี่ยวชาญทั่วทั้งทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้บริการโซลูชั่นองค์รวมแบบ end-to-end แก่ลูกค้า 


เช่น ระบบการจัดการสินค้าคงคลังอัตโนมัติ อุปกรณ์หุ่นยนต์ และการวางแผนพื้นที่เพื่อตอบสนองความต้องการได้ดียิ่งขึ้น โดยกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” จะใช้ประโยชน์จากโซลูชั่นคลังสินค้าอัจฉริยะของ ALP เพื่อส่งมอบระบบอัตโนมัติด้านโลจิสติกส์ และส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานของคลังสินค้าร่วมในรูปแบบบริการ เพื่อรองรับการแข่งขันในตลาดให้ได้มากขึ้น การผสานความเชี่ยวชาญที่ช่วยเสริมกันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มีความโดดเด่นในฐานะผู้จัดการการลงทุนและผู้ดำเนินการชั้นนำในภาคส่วนโลจิสติกส์ขั้นสูง

สำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาคครั้งนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนและพัฒนาทรัพย์สินด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใช้ในประเทศสำคัญ ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ถือเป็นการขยายโอกาสความร่วมมือครั้งใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นก้าวสำคัญในความมุ่งมั่น เพื่อสร้างแพลตฟอร์มครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับนักลงทุน สำหรับลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ 

นายอุเทน ยังกล่าวด้วยว่า “ที่พฤกษา พันธกิจของเราคือการทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น ด้วยโซลูชั่นที่ผสมผสานในทุกมิติ ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต “อยู่ดี มีสุข” เรามุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกและสร้างความยั่งยืนแก่ชุมชน  ความร่วมมือของพฤกษา กับ ALP และ CLI ในครั้งนี้จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะด้านโลจิสติกส์ในรูปแบบของการให้บริการ และช่วยยกระดับคุณค่าของห่วงโซ่ด้านโลจิสติกส์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกระดับ สู่โซลูชั่นนวัตกรรมใหม่ ที่เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความคุ้มค่ามากขึ้น ใช้เวลาน้อยลง เพิ่มการไหลเวียนของสินค้า เพื่อให้ลูกค้าและร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากคลังเก็บสินค้า ที่ลดการใช้ทรัพยากร พร้อมกับช่วยลดต้นทุนการดำเนินการได้ 

การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของพฤกษาสู่การขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งช่วยเสริมกลยุทธ์ของเราในการกระจายรายได้ที่หลากหลาย และเพิ่มรายได้ต่อเนื่องมากขึ้น การได้รับความเชื่อมั่นจาก CLI และ ALP กับการร่วมมือกันในครั้งนี้ ยังเป็นก้าวสำคัญเพื่อขยายการลงทุน ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคต่อไป”

ด้านนางแพทริเซีย โกช กรรมการผู้จัดการ แคปปิตอล แลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป  (CLI) เขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  กล่าวว่า “CLI เชื่อมั่นถึงศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของ โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะที่จะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่แข็งแกร่ง ที่ได้รับปัจจัยเอื้อจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือครั้ง

นี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศน์ด้านโลจิสติกส์ทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานปลายทางอย่างเต็มรูปแบบ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่สามารถขยายเครือข่ายพันธมิตรด้านการลงทุนของเรากับบริษัทที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งผ่านกองทุนนี้  แพลตฟอร์มดังกล่าวจะสนับสนุนกองทุนของ CLI ภายใต้การจัดการ และบริหารรายได้จากค่าธรรมเนียม และเพิ่มสินทรัพย์สำหรับกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนจดทะเบียนของเรา ในฐานะผู้จัดการการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เราจะยังคงแสวงหาโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่นักลงทุนของเรา พร้อมด้วยลู่ทางในการเข้าถึงตลาดที่มีการเติบโตสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”


สำหรับความร่วมมือครั้งนี้เป็นการขยายธุรกิจจากการจัดการกองทุนและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ไปสู่ภาคโลจิสติกส์เป็นครั้งแรก นับเป็นการประสานความเชี่ยวชาญ จุดแข็ง และเครือข่ายของทั้งสามธุรกิจที่จะสร้างพลังขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯ แบบครบวงจรในภูมิภาคนี้  โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่าง CLI,  ALP และ พฤกษาจะทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะและมีความยั่งยืนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรที่สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศทั่วโลกมายังภูมิภาคนี้ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.84 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทอาจชะลอการอ่อนค่า หากธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับกรอบของบอนด์ยีลด์ 10ปีญี่ปุ่นอาจส่งผลให้เงินเยนพลักกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.84 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.81 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์    นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจยังคงหนุนความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง เงินดอลลาร์ ในช่วงนี้ รวมถึงส่งผลให้ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยเพิ่มเติมได้ ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวก็สามารถกดดันให้เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงได้

นอกจากนี้ หากราคาทองคำย่อตัวลงต่อเนื่อง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ ในจังหวะย่อตัวซึ่งสามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า แรงกดดันเงินบาทดังกล่าวก็อาจไม่ได้ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงจนทะลุแนวต้านสำคัญแรกของเงินบาทแถวโซน 35.00-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก หากไม่ได้มีปัจจัยลบอื่นๆ เข้ามากดดันเพิ่มเติม

 เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาด ต่างก็รอจังหวะให้เงินบาทอ่อนค่าเพื่อทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือ เพิ่มสถานะ Short USDTHB (มองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะถัดไป)

ส่วนในวันนี้ เรามองว่า ผลการประชุม BOJ ก็อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้ เพราะหากทาง BOJ เริ่มมีการส่งสัญญาณพร้อมปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้น อาทิ อาจพิจารณาทบทวนนโยบายการเงินหรือมีการปรับกรอบของบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น ก็อาจส่งผลให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง และอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท

การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.70-34.90 บาท/ดอลลาร์

บรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หากเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องตาม Dot Plot ล่าสุด ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยลดการถือครองสินทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Tech และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวกับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยหรือบอนด์ยีลด์ (Amazon -3.4%, Alphabet -2.0%) ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงต่อ -1.49% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.90%

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป สามารถรีบาวด์ขึ้นกว่า +0.27% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +2.5%, TotalEnergies +1.8%) ตามราคาน้ำมันดิบจากแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานในจีนที่อาจเพิ่มสูงขึ้น หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (Ifo Business Climate) ในเดือนธันวาคม ที่ปรับตัวขึ้นดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐฯและยุโรปเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันไม่ให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นไปได้มาก

ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยปรับมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักที่ยังคงย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง และเลือกที่จะขายทำกำไรบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3.60% ซึ่งเรามองว่า หากนักลงทุนกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ก็ควรรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.7 จุด

อย่างไรก็ดี แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องใกล้ระดับ 1,797 ดอลลาร์ต่อออนซ์

เราประเมินว่า หากราคาทองคำย่อตัวลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวกลับเข้ามาบ้าง ซึ่งโฟลว์ดังกล่าวก็มีส่วนในการกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะจับตา คือ ผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเรามองว่า แม้ว่าเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะเร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) อาจแตะระดับ 3.9% ในเดือนพฤศจิกายน แต่ BOJ อาจเลือกที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ

ด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% พร้อมเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 10 ปี เพื่อตรึงระดับบอนด์ยีลด์ไม่ให้สูงกว่า 0.25% ไปมาก

หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อที่สูงกดดันการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญ คือ แนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคต

โดยเฉพาะในปีหน้าที่ผู้ว่า BOJ คนปัจจุบันจะหมดวาระลง โดยหากทาง BOJ มีการสื่อสารที่ชัดเจนถึงแนวโน้มการปรับนโยบายดังกล่าว ก็อาจหนุนให้ ค่าเงินเยน (JPY) แข็งค่าขึ้นได้บ้างในระยะสั้น

ส่วนในฝั่งจีน ตลาดมองว่า บรรดาธนาคารพาณิชย์ในจีนอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ประเภท 5 ปี ลง -10bps สู่ระดับ 4.20% เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการพยุงภาคอสังหาฯ ของทางการจีน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปี ซึ่งถูกใช้ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภาคเอกชนและครัวเรือน อาจยังคงอยู่ที่ระดับ 3.65%

และในฝั่งยุโรป ตลาดคาดว่า ความกังวลปัญหาขาดแคลนพลังงานที่คลี่คลายลง รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อชะลอลง ก็อาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -22 จุด ในเดือนธันวาคม จาก -23.9 จุด ในเดือนก่อนหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.94 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.84 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแกว่งตัวในกรอบอ่อนค่าสอดคล้องกับสัญญาณฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติที่กลับมาอยู่ในฝั่งขายสุทธิในตลาดพันธบัตร นอกจากนี้สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ในภาพรวม ก็ขยับอ่อนค่าลงเล็กน้อยท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนทิศทางเงินหยวนเช้านี้อ่อนค่าลง

ขณะที่ธนาคารกลางจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ไว้ที่ระดับเดิมตามการคาดการณ์ของตลาด 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.75-35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย ผลการประชุม BOJ และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คึกคัก! เยาวชนกว่า 300 ชีวิตแห่ร่วมโครงการ KTAXA Know You Can Football Youth (U15) Academy

โครงการ “KTAXA Know You Can Football Youth (U15) Academy” ได้เดินทางมาถึงซีซั่น 3 แล้ว  “กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต” เปิดคัดเลือกสุดยอดเยาวชนไทย ที่มีทักษะในกีฬาฟุตบอล รับทุนการศึกษาคนละ 5,000 บาท และทุนซื้ออุปกรณ์กีฬาคนละ 8,000 บาท

โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2565 เป็นการคัดเลือกโซนภาคเหนือ จัดขึ้นที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (สนาม 2)  จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางเยาวชนชาย อายุ 13-15 ปี (เกิดระหว่าง 1 ม.ค. 2550-31 ธ.ค. 2552) ร่วมทดสอบฝีเท้า โดยได้รับเกียรติจาก คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด และภาพลักษณ์องค์กร บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตเป็นประธาน ร่วมด้วยนายสงค์ศักย์ คำดีรุ่งริรัตน์  ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย ภาค 5 นายเกียรติพงศ์ บุญเกิดไวย์  หัวหน้างานศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติส่วนภูมิภาค และโค้ชแดง ทรงยศ กลิ่นศรีสุข ร่วมเปิดงาน

เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยเยาวชนทุกคนที่เข้าร่วมงานผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด19 ด้วยวิธี Antigen Test ที่ทางโครงการจัดให้ตรวจในบริเวณสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (สนาม2) ในด้านการทดสอบและคัดเลือก เป็นการทดสอบการเล่นเป็นทีม และความเข้าใจในเกม  เยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกในสนามคัดเลือกจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่  ด.ช. ณัฐภูมิ ผัดสัก โรงเรียนจักรคำคณาทร , ด.ญ.มณีรัตน์ เตชะเลิศพนา โรงเรียนแม่ริมวิทยาคม , ด.ช.วรกร ปู่หล้า โรงเรียนวชิราลัย , ด.ช.ณภัทร วนาลีไพศาล โรงเรียนวชิราลัย และ ด.ช.ศักรนันทน์ ทิพย์รักษ์ โรงเรียนวารี

โครงการ “KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy” เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับทักษะฟุตบอลเยาวชนไทยสู่มาตราฐานสากล สร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีผ่านการออกกำลังกาย และสนับสนุนให้เยาวชนมีความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าคุณทำได้ อีกทั้งสอดคล้องการเป็นพันธมิตรหลักของสโมสรลิเวอร์พูล และนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่นของเยาวชนไทย และมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อสามารถก้าวเดินตามความฝันได้สำเร็จ

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 095-347-1888 หรือ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
LINE@ : @ktaxa-u15

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


10 วิธี “นอนหลับ” สนิทมากขึ้น ลดเสี่ยง “นอนน้อย” สาเหตุอุบัติเหตุ

การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ หรือโรคของการนอนหลับ เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาภาวะภูมิต้านทานต่ำ และเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการนอนให้เพียงพอเหมาะสม

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า การนอนหลับส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง ส่วนกลุ่มวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และวัยผู้สูงอายุ การนอนมีผลต่อสุขภาพ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และโรคประจำตัว

การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ หรือโรคของการนอนหลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาภาวะภูมิต้านทานต่ำ และเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ดังนั้น ทุกกลุ่มวัยจึงต้องให้ความสำคัญต่อการนอนที่เพียงพอ มีสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี และมีระยะเวลาในการนอนที่เหมาะสมในแต่ละวัย ได้แก่ เด็กก่อนวัยเรียนอายุ 1-2 ปี เฉลี่ยวันละ 12 ชั่วโมง เด็กวัยอนุบาลอายุ 3-5 ปี เฉลี่ยวันละ 11 ชั่วโมง เด็กวัยประถม 6-13 ปี เฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง วัยรุ่นอายุ 14-17 ปี เฉลี่ยวันละ 9 ชั่วโมง วัยผู้ใหญ่อายุ 18-59 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรนอนเฉลี่ยวันละ 7-8 ชั่วโมง

10 วิธี “นอนหลับ” สนิทมากขึ้น 

วิธีการที่ช่วยให้หลับเพียงพอและมีสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี 10 วิธี คือ

  1. เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน
  2. รับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้าอย่างน้อย 30 นาที
  3. ไม่นอนในเวลากลางวัน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ควรเกิน 30 นาที
  4. ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายก่อนนอน 2 ชั่วโมง
  5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนและอาหารมื้อดึก อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน
  6. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนนอน
  7. นอนเตียงนอนที่สบาย อากาศถ่ายเท ไม่มีแสงเล็ดลอด และเสียงรบกวน
  8. ผ่อนคลาย เพื่อลดความวิตกกังวล เช่น การนั่งสมาธิ
  9. ใช้ห้องนอนเพื่อนอนเท่านั้น ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือกินอาหารบนเตียงนอน
  10. หากนอนไม่หลับภายใน 30 นาที ควรลุกไปทำกิจกรรมอื่นๆ แล้วกลับมานอนใหม่อีกครั้งเมื่อง่วง

รศ.นพ.ทายาท ดีสุดจิต นายกสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คุณภาพของการนอนหลับและเวลาที่เข้านอนมีผลต่อสุขภาพอย่างมากเช่นเดียวกัน เช่น ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ หรือเด็กที่มีต่อมทอนซิลโต และมีอาการนอนกรน แม้จะมีจำนวนชั่วโมงการนอนที่พอเพียง แต่ก็พบว่าตื่นมาจะยังไม่สดชื่น มีความเสี่ยงให้เป็นโรคต่างๆ เช่น สมาธิสั้น ความดันโลหิตสูง หรือผู้ป่วยที่มีการทำงานเป็นกะ ที่ต้องเปลี่ยนเวลาเข้านอน ตื่นนอนตามเวลาการทำงาน หรือการอดหลับ อดนอน เช่น ในบุคลากรทางการแพทย์ หรือในนักเรียน เมื่อมีการสอบ ทำให้เกิดความง่วงระหว่างช่วงที่ตื่น เกิดอารมณ์หงุดหงิด และเกิดความผิดพลาดในการทํางานมากขึ้นได้ ดังนั้น คุณภาพและปริมาณของการนอนหลับจึงมีความสำคัญต่อร่างกาย จิตใจ คุณภาพชีวิต ประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงความปลอดภัยในการทำงาน และการเดินทางด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Short form ฉบับเข้าใจง่ายรวบรัด

ในภาษาอังกฤษนั้นเราจะมีรูป form ที่เรียกว่า short from ตัวอย่างเช่น he’s,  I’d, don’t ซึ่งนั่นก็คือการรูปนั้นเอง ในการพูดภาษาอังกฤษเรามักจะออกเสียง I am เป็นคำเดียว ซึ่งรูป short from ของมันก็คือ I’m จึงเป็นลักษณะหนึ่งของการเขียนคําอย่างเช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้ 

  • I am → I’m = I’m feeling tired this morning. 
  • It is → It’s = Do you like this jacket? Yes, it’s very nice.
  • They have → They’ve = Where are your friends? They’ve gone home.

.
.
.

เวลาที่เราเขียน Short form เราใช้  ’ หรือ an apostrophe ตัวอย่างเช่น 

I am ก็จะเป็น I’m

He is ก็จะเป็น He’s

You have ก็จะเป็น You’ve

She will ก็จะเป็น She’ll
.
.
.

และสิ่งที่กำลังจะพูดต่อจากนี้นั่นก็คือหลักการใช้ Short form กลับ Personal pronouns ต่างๆ

  • am / ’m / I’m
  • is / ’s / he’s / she’s /it’s
  • are / ’re / we’re / you’re / they’re
  • have / ’ve / I’ve / we’ve / you’ve / they’ve
  • has / ’s / he’s / she’s / it’s
  • had / ’d / I’d / he’d / she’d / we’d / you’d / they’d
  • will / ’ll / I’ll / he’ll / she’ll / we’ll / you’ll / they’ll
  • would / ’d / I’d / he’d / she’d / we’d / you’d / they’d

  ตัวอย่างก็อย่างเช่น 

  • I’ve got some new shoes. ฉันมีรองเท้าใหม่
  • We’ll probably go out this evening. เราคงจะออกไปข้างนอกเย็นนี้
  • It’s 10 o’clock. you’re late again. ตอนนี้ 10:00 น คุณมาสายอีกแล้ว 

.
.
.

และเนื่องจากมีบางรูปที่เขียนย่อเหมือนกัน แต่ตัวรูปเต็มนั้นไม่ได้เหมือนกัน อาจจะสามารถสร้างความสับสนได้ อย่างไรก็ตามควรดูที่บริบทของประโยคนั้นๆว่าควรเป็น Tense ไหนเป็นหลัก แบบนี้จะช่วยได้เยอะ ตัวอย่างเช่น 

’s = is หรือ has เช่น

  • She’s going out this evening. เธอจะออกไปข้างนอกเย็นนี้ 
    (ดูได้จากรูปที่เป็นของ Present Continuous เราจึงสามารถรู้ได้เลยว่า ‘s คือ is)
  • She’s gone out. เธอออกไปแล้ว 
    (ดูได้จากรูปที่เป็นรูปของ Present Perfect เราจึงสามารถรู้ได้เลยว่า ‘s คือ has สามารถสังเกตได้จาก gone)

’d = would หรือ had เช่น

  • A: What would you like to eat? คุณอยากทานอะไร
    B: I’d like a salad please. ฉันต้องการสลัด
    (ดูได้จากรูปที่เป็นของ would เนื่องจากประโยคคำถามนั้นใช้ would เหมือนกัน ดังนั้น ‘d ก็คือ would )
  • I told the police that I’d lost my passport. ฉันบอกตำรวจว่าฉันทำพาสปอร์ตหาย
    (แน่นอนว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในอดีต จึงต้องใช้ Present Perfectสังเกตได้จากคำว่า lost ดังนั้น ‘d จึงเป็น had)

.
.
.

นอกเหนือจากนี้เราสามารถใช้ Short form คำอื่นได้ด้วยนอกเหนือจาก Personal pronouns ตัวอย่างเช่น 

  • Who’s your favourite singer?
    นักร้องคนโปรดของคุณคือใคร? (มาจาก who is) 
  • What’s the time? (= what is)
    ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว (มาจาก what is)
  • There’s a big tree in the garden. (= there is)
    มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ในสวน (มาจาก there is)
  • My sister’s working in London. (= my sister is)
    พี่สาวของฉันทำงานอยู่ที่ลอนดอน (มาจาก my sister is)
  • Peter’s gone out. (= Peter has)
    ปีเตอร์ออกไปแล้ว (มาจาก Peter has)
  • What colour’s your car? (= What colour is )
    รถของคุณสีอะไรหรอ (มาจากWhat colour is )

.
.
.

เอาล่ะเราได้พูดถึงการใช้คำที่ลดรูปในรูปแบบของการบอกเล่า ทีนี้มาดูกันว่าถ้าเป็นรูปย่อปฏิเสธหรือ  negative short form จะมีอะไรบ้าง 

  • isn’t (is not) / don’t (do not) / can’t (cannot)
  • aren’t (are not) / doesn’t (does not) / couldn’t (could not)
  • wasn’t (was not) / didn’t (did not) / won’t (will not)
  • weren’t (were not) / wouldn’t (would not)
  • hasn’t (has not) / shouldn’t (should not)
  • haven’t (have not) / mustn’t (must not)
  • hadn’t (had not) / needn’t (need not)

ตัวอย่างเช่น 

  • We went to her house but she wasn’t at home.
  • Where’s David? I don’t know, I haven’t seen him.
  • You work all the time. You shouldn’t work so hard.
  • I won’t be here tomorrow.

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


OPPO เผยเทคโนโลยีใหม่ในงาน Inno Day 2022

OPPO ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยจัดเป็นงานที่มีชื่อว่า OPPO Inno Day 2022 ในรอบนี้จับประเด็นมาได้ทั้งหมด 3 สิ่งด้วยกันประกอบด้วย

OPPO OHealth H1 Monitor

ตัวแรกเป็นอุปกรณ์ดูแลสุขภาพทั้งคุณและครอบครัวโดยมากจะเป็นเรื่องการวัดระดับ Oxygen ในเลือดรวมถึงระบบวัดคลื่นหัวใจ หรือ ECG ได้ด้วยและวัดความร้อนจากอุณหภูมิทางร่างกาย และมีน้ำหนักตัวเครื่องที่ 95 กรัม ทั้งนี้มีการติดตั้ง AI เข้าภายใน ตัวเล็กน่ารักแบบนี้ก็สามารถช่วยคุณดูแลสุขภาพแบบจัดเต็ม

OPPO Air Glass 2

แว่น VR รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Air Glass 2 ที่มีน้ำหนัก 38 กรัมด้วยกันจะมาพร้อมกับครั้งแรกที่มีการออกแบบให้แสดงผลผ่านเลนส์ SRG diffrenctive WaveGuide โดยใช้เรซิ่นแสดงผลเป็นตัวแรก และยังสามารถปรับแต่งรองรับ Frame Rate ได้ฉลาดและยังสามารถส่งเสียงบอกตำแหน่งนำทางผ่านเลนส์ได้ด้วย แถมยังแปลงเสียงเป็นข้อความได้

MariSilicon Y

สุดท้ายกับชิป MariSilicon Y เป็นครั้งแรกที่มีการประมวลผลโดยใช้ N6RF และมาพร้อมกับการปรับปรุงคุณภาพเสียงที่จัดเต็ม โดยอรงรับการส่งเสียงแบบ LossLess ผ่าน Bluetooth ในแบบ 24-bit/192kHz เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรม เลยครับ เสียงเพราะแน่นอนถ้าได้ใช้แต่ว่าจะได้ใช้กับสินค้าอะไรคงต้องรอติดตามกันต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 อาหารที่ทำลาย “ผนังหลอดเลือด” อย่างรุนแรง

อาหาร 5 ชนิดที่แพทย์ระบุว่า สามารถทำลายผนังหลอดเลือดได้อย่างรวดเร็ว และเป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทาน

นพ.นันทพล พงศ์รัตนามาน อาจารย์ที่ปรึกษา แผนกศัลยศาสตร์หลอดเลือด ร.พ.พระมงกุฎเกล้า หรือ หมอท็อป ระบุว่า ในผนังหลอดเลือดจะมีเซลล์อยู่ เมื่อเซลล์ถูกทำลายลงไปทีละเล็กละน้อย ในผนังหลอดเลือดจะเกิดพังผืดขึ้น และทำให้หลอดเลือดค่อยๆ ตีบมากขึ้นทีละนิดเช่นกัน เมื่อไรก็ตามที่หลอดเลือดตีบมากกว่า 75% นั่นหมายความว่าร่างกายกำลังเกิดอันตราย หากเป็นหลอดเลือดสมอง เสี่ยงอัมพาต หากเป็นหลอดเลือดหัวใจ เสี่ยงหัวใจขาดเลือด หากเป็นหลอดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงไต เสี่ยงไตวายเรื้อรังนั่นเอง

ดังนั้น การหลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงในการทำลายผนังหลอดเลือด จึงเป็นการลดความเสี่ยงโรคร้ายอย่างหลอดเลือดสมองตีบ หลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพาต หัวใจขาดเลือด รวมไปถึงโรคไตวายเรื้อรังด้วย

5 อาหารที่ทำลาย “ผนังหลอดเลือด” อย่างรุนแรง

อาหารที่ทำลายผนังหลอดเลือดหากรับประทานเป็นประจำ หรือรับประทานมากเกินไป ได้แก่

  1. อาหารแปรรูป

อาหารแปรรูป หรืออาหารที่ผ่านกระบวนการต่างๆ อาหารที่มีการผลิตเพื่อลอกเลียนแบบเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อเทียม หมูเทียม รวมถึงอาหารรมควันต่างๆ เช่นไส้กรอกรมควัน โบโลน่า แฮม เบคอน อาหารแปรรูปทำลายเซลล์ผนังหลอดเลือด และยังส่งผลไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายอีกด้วย เช่น เซลล์สมอง เซลล์ไขมัน เซลล์ตับ รวมถึงระบบการเผาผลาญในร่างกายด้วย

  1. เครื่องดื่มทรีอินวัน

กาแฟ โกโก้ และเครื่องดื่มทรีอินวันต่างๆ ที่มีส่วนผสมของ “ครีมเทียม” ซึ่งครีมเทียมมีผลต่อเซลล์ต่างๆ ของหลอดเลือด รวมทั้งทำให้ร่างกายเสี่ยงภาวะดื้ออินซูลิน ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย ทั้งโรคที่เกี่ยวกับสมอง หัวใจ หลอดเลือด ไต และเมื่อไรที่เกิดภาวะดื้ออินซูลินนานๆ อาจเสี่ยงโรคเบาหวาน และตามมาด้วยน้ำตาลสูง ไขมัน โรคไต ฯลฯ สามารถรับประทานได้แต่อย่ารับประทานนานๆ หรือมากเกินไป

  1. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารประเภท ultra-processed food เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนต่างๆ มากมาย เป็นอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาแฝงสูง รวมถึงผงชูรสจำนวนมาก อาจเสี่ยงภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ไม่ดีเพียงพอ หลอดเลือดมีปัญหา เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเกิดการอักเสบ และเมื่อไรก็ตามที่เซลล์ในผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบบ่อยๆ อาจเสี่ยงหลอดเลือดตีบหรือตันได้ สำหรับมื้ออาหารราคาถูกที่กินตอนปลายเดือน ควรหลีกเลี่ยงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แล้วกินไข่ต้มกับผักอื่นๆ แทน

  1. ผงชงลดน้ำหนัก อาหารเสริมต่างๆ

ผงชงลดน้ำหนัก อาหารเสริม รวมถึงผงโปรตีนเพื่อการลดน้ำหนัก อาหารที่มารูปแบบของผงๆ เป็น ultra-processed food เป็นอาหารแปรรูปสูง ซึ่งทำให้ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบ และเกิดหลอดเลือดตีบตันได้ และยังกระตุ้นการเกิดของอินซูลิน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน เสี่ยงเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคไต และโรคอันตรายอื่นๆ ตามมาได้

  1. น้ำผลไม้ น้ำอัดลม รวมถึงน้ำอัดลม 0 แคลอรี่

น้ำผลไม้ น้ำอัดลม รวมถึงน้ำอัดลม 0 แคลอรี่ เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยน้ำผลไม้ และน้ำอัดลมมีน้ำตาลสูง อาจเข้าไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกายได้ ส่วนน้ำอัดลม 0 แคลอรี่ หรือสูตรที่ไม่มีน้ำตาล แต่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ก็สามารถกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินได้ด้วยเช่นกัน ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลิน เสี่ยงต่อเบาหวาน ระบบเผาผลาญทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ไปจนถึงโรคไตได้อีกเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/12/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,500.0029,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,911.0028,970.7630,100.00
ทองรูปพรรณ 90%1,719.9026,073.68n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,528.8023,176.61n/a
ทองรูปพรรณ 50%860.0013,037.60n/a
ทองรูปพรรณ 40%669.0010,142.04n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,980.0030,016.80n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/12/2565



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.7534.7535.3534.7535.3534.7534.7534.7534.7534.75
แก๊สโซฮอล์ 9134.4834.4835.0834.4835.0834.4834.4834.4834.4834.48
แก๊สโซฮอล์ E2032.8432.8433.4432.8433.4432.8432.8432.8432.84
แก๊สโซฮอล์ E8532.9932.9932.99
เบนซิน 9542.1643.2142.6642.6142.16
ดีเซล B734.9434.9435.5435.2435.5434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล34.9434.9435.5435.2435.5434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.5435.5434.9434.9432.8434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6644.2644.2644.2634.94
แก๊ส NGV16.5916.5916.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า