สาระน่ารู้ประจำวันที่ 20 มีนาคม 2566

5 เรื่องต้องรู้ ! เมื่อคิดซื้อบ้าน-คอนโด ฉบับมือใหม่

UOB แนะ 5 เรื่องต้องรู้ เมื่อคิดซื้อบ้าน-คอนโด ฉบับมือใหม่ เตือน อย่าเพิ่งตัดสินใจ หากยังแบกภาระหนี้สูง ขณะกู้ได้เต็มหรือไม่ อยู่ที่เกณฑ์สัดส่วนเงินกู้ (LTV)

19 มีนาคม 2566 – การซื้อบ้านหรือคอนโดนับเป็นการตัดสินใจสู่ก้าวที่สำคัญของชีวิต และยังเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เงินก้อนใหญ่ที่มักต้องขอสินเชื่อจากธนาคาร ถ้าคุณเป็นมือใหม่ และกำลังจะตัดสินใจจะขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านหรือคอนโด อย่าเพิ่งตัดสินใจ โดย ธนาคารยูโอบี (UOB) แนะ 5 ข้อพิจารณา ดังนี้ 

1. รายได้ มีผลกับวงเงินกู้

เพื่อให้ผู้กู้มีสภาพคล่องในการใช้จ่ายแต่ละเดือน ในการกู้เงินจึงมีการกำหนด “ความสามารถในการชำระหนี้” ของผู้กู้โดยคำนวณตามรายได้ เช่น มีภาระผ่อนรวมกันได้ไม่เกิน 40% ของรายได้ ดังนั้นผู้ที่มีรายได้เดือนละ 50,000 บาท และไม่มีภาระผ่อนหนี้อย่างอื่นเลย จะสามารถผ่อนได้ไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท ซึ่งหากเป็นการผ่อน 30 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 5.3% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดที่ผู้กู้คนนี้ได้รับอยู่ที่ประมาณ 3.6 ล้านบาท 
 

2. ภาระหนี้ที่มี ทำให้กู้ได้น้อยลง

ในการคำนวณความสามารถในการชำระหนี้ นอกจากคำนวณจากรายได้แล้ว ยังนำภาระผ่อนหนี้อื่น เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ ที่ผู้กู้มีอยู่มาคำนวณร่วมด้วย ถ้ามีภาระหนี้อื่นจะทำให้วงเงินกู้น้อยลงเมื่อเทียบกับคนอื่นที่รายได้เท่ากัน เช่น รายได้เดือนละ 50,000 บาท มีกู้สินเชื่อส่วนบุคคล 100,000 บาท ผ่อนเดือนละ 3,000 บาท เมื่อต้องการกู้ซื้อบ้านจะผ่อนได้อีกไม่เกินเดือนละ 17,000 บาท (= (50,000 x 40%) – 3,000 บาทต่อเดือน) หากเป็นการผ่อนบ้าน 30 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.3% ต่อปี จะได้วงเงินกู้สูงสุด 3.06 ล้านบาท

ดังนั้น ด้วยภาระผ่อนที่มีอยู่ 3,000 บาท จะทำให้ได้วงเงินกู้ลดลงประมาณ 540,000 บาท และยิ่งมีภาระผ่อนเดิมสูง วงเงินกู้ที่ได้ก็จะน้อยลง เช่น มีภาระผ่อนหนี้อื่นทั้งหมด 10,000 บาท จะทำให้ได้วงเงินกู้ลดลงเหลือประมาณ 1.80 ล้านบาท เท่านั้น

3. กู้ได้เต็มหรือไม่ อยู่ที่เกณฑ์สัดส่วนเงินกู้ (LTV)

เกณฑ์สัดส่วนวงเงินกู้สูงสุดเทียบมูลค่าบ้าน หรือ LTV (Loan-To-Value Ratio) เช่น ผู้ที่ซื้อบ้านครั้งแรกธนาคารอาจให้วงเงินไม่เกิน 95% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน ดังนั้นการซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท สำหรับผู้ที่มีรายได้เดือนละ 50,000 บาท ที่ไม่มีภาระผ่อนหนี้อื่น จะกู้ได้ 3.60 ล้านบาท ตามความสามารถในการชำระหนี้ 40% ของรายได้ (วงเงินกู้ต่ำกว่า 95% ของมูลค่าบ้าน)

แต่หากผู้กู้คนเดิม เปลี่ยนใจไปกู้ซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งที่ราคาต่ำลง เช่น 3 ล้านบาท จะได้วงเงินกู้ประมาณ 2.85 ล้านบาท ตามเกณฑ์ LTV 95% ของมูลค่าบ้าน แม้ว่าหากพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้จะสามารถกู้ได้มากกว่านี้ก็ตาม โดยบางกรณีธนาคารอาจกำหนด LTV ได้ถึง 100% ของมูลค่าบ้าน 

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง LTV ที่ได้จะมีความแตกต่างกันไปตามมูลค่าหลักประกัน และจำนวนสัญญาเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ลูกค้ามีอยู่แล้วก่อนหน้า

4. เงินก้อนและค่าใช้จ่ายที่ควรเตรียม

เงินก้อนที่ต้องเตรียมเพื่อจ่าย ช่วงก่อน/หลัง/วันที่โอน บ้าน/คอนโด หลักๆ ได้แก่ 

  1. ค่าโอน 2% ของราคาประเมิน* 
  2. ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้* 
  3. ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ 
  4. ค่าตกแต่ง ขนย้าย และ 
  5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น มิเตอร์น้ำ/ไฟฟ้า ส่วนกลางล่วงหน้า เงินกองทุนหมู่บ้าน/อาคารชุด ประเมินหลักทรัพย์

ส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือนหรือทุกปี หลังมีบ้าน/คอนโดเป็นของตนเอง หลักๆ ได้แก่ ค่าผ่อนบ้าน ค่าส่วนกลาง เบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าไฟฟ้า และสำหรับคอนโดค่าน้ำประปาต่อหน่วยก็มักสูงกว่าของการประปาด้วย

*สำหรับการซื้อบ้าน/คอนโดที่ราคาและวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ภายในปี 2566 ค่าโอนลดเหลือ 1%ของราคาประเมิน และค่าจดจำนองเหลือ 0.01%ของวงเงินจำนอง

5.ปัจจัยอื่น ที่ทำให้ได้รับวงเงินกู้ซื้อบ้านต่างกัน 

ยื่นขอกู้บ้าน แต่คนละหลัง วงเงินกู้เทียบมูลค่าบ้าน (LTV) ที่ได้อาจต่างกันขึ้นหลายปัจจัย เช่น

  • รูปแบบบ้าน บ้านเดี่ยวอาจได้วงเงินกู้ (LTV) สูงกว่าคอนโดมิเนียม ที่ราคาเท่ากัน
  • โครงการบ้านหรือคอนโดของบริษัทขนาดใหญ่หรือเป็นพันธมิตรกับธนาคาร อาจได้สัดส่วนวงเงินกู้ (LTV) สูงกว่าโครงการทั่วไป
  • ราคาบ้าน ที่ยิ่งสูง แม้อาจได้วงเงินกู้ที่สูงขึ้น แต่สัดส่วนวงเงินกู้เทียบมูลค่าบ้าน (LTV) อาจต่ำลง
  • เกณฑ์ LTV กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง LTV ที่ได้จะมีความแตกต่างกันไปตามมูลค่าหลักประกัน และจำนวนสัญญาเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ลูกค้ามีอยู่แล้วก่อนหน้า

.
การซื้อบ้านราคาเดียวกันและโครงการเดียวกัน วงเงินกู้ของแต่ละคน อาจต่างกันขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น

  • อายุที่ยิ่งน้อย มักกู้ได้นานขึ้น วงเงินกู้ที่ได้จะสูงขึ้น
  • ฐานรายได้สูง หรืออาชีพที่มั่นคง เช่น พนักงานประจำองค์กรขนาดใหญ่ มักมีความสามารถในการชำระหนี้และได้วงเงินกู้สูงกว่าคนที่รายได้น้อยหรือประกอบอาชีพอิสระทั่วไป
  • จำนวนสัญญาเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ลูกค้ามีอยู่แล้วก่อนหน้า ตามเกณฑ์ LTV ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

ซื้อบ้านหรือคอนโดสักครั้ง ต้องเลือกให้เหมาะกับตนเองทั้งรูปแบบบ้านที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ ราคาบ้านที่ผ่อนไหวและไม่หนักจนเกินไป เพื่อให้การผ่อนบ้านที่ยาว 20-30 ปี เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุดระหว่างทาง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


นักธุรกิจญี่ปุ่นสุดช้ำ  ผู้รับเหมาไทยเทงานเสียหายหลักล้าน

นักธุรกิจญี่ปุ่น สุดช้ำ จ้างผู้รับเหมาสร้างบ้านกลับไม่ได้บ้าน เจอเท งานเสียหายหลักล้าน ยันให้กลับมาชดใช้ค่าเสียหาย

การสร้างบ้านแล้วไม่ได้บ้าน  มีเกิดขึ้น เป็นจำนวนมาก และกลายปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากผู้รับเหมาที่ขาดความรับผิดชอบและทิ้งงานกะทันหัน สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับประชาชน ซึ่งกว่าจะได้รับการเยียวยาหรือได้รับการชดเชยค่าเสียหายต้องใช้เวลานาน หรือบางท่านอาจต้องสูญเสียเงินและเวลาไปโดยเปล่า

นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นรายนี้ก็เช่นกัน  นาย โคทะโร มะรุ กรรมการผู้จัดการบริษัท ลิงค์ (ไทยแลนด์) จำกัดผู้เคยบุกเบิกสวนสนุกหิมะในร่มขนาดใหญ่ สโนว์ทาวน์ ไทยแลนด์ ในศูนย์การค้าชื่อดังแห่งแรกในประเทศไทยจนเป็นที่ฮือฮา ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจที่เปิดบริษัทในไทยเพื่อประกอบธุรกิจระหว่างประเทศและอาศัยอยู่กับภรรยาคนไทยในประเทศไทยมากว่า 20 ปี มีใบอนุญาตและวีซ่าประกอบการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด

โดยนายโคทะโร ร้องเรียนผ่าน”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2020 ได้จ้างผู้รับเหมารายหนึ่ง อ้างถึง นาย ทรงกลด โปรา จาก “เก็ท คอนแทคท์โฮลดิ้ง” ออกแบบรับเหมาก่อสร้างบ้านแต่กลับไม่ดำเนินการตามที่เสนอแต่อย่างใด  สุดท้ายพาลูกน้องหนีออกจากไซต์งานพร้อมเชิดเงินค่าจ้างหายเข้ากลีบเมฆ และในเวลาต่อมาทราบว่า ได้อยู่อาศัยแบบสุขสบายในหมู่บ้านใหญ่ไฮโซย่านคุ้มเกล้า

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้เก็บหอมรอมริบเงินมาทั้งชีวิต ซึ่งตั้งใจและเลือกปักหลักที่จะสร้างบ้านอาศัยอยู่ในไทยยามแก่ชราตามที่วาดฝันไว้ จึงได้ตัดสินใจว่าจ้างผู้รับเหมาชาวไทยรายหนึ่ง อ้างสรรพคุณว่ามีประสบการณ์ในการรับเหมาสร้างบ้านอย่างเชี่ยวชาญ แต่ผลงานที่เกิดขึ้นไม่ตรงสเปค”

นายโคทะโร ขยายความต่อว่า ที่ผ่านมาให้บริษัทรับเหมาดังกล่าว รับงานก่อสร้างและตกแต่งบ้านเดี่ยวเพราะอยากได้ที่พักอาศัยในไทยหลังเกษียณจากการทำธุรกิจที่ไทยมานานกว่า 20 ปี จึงตัดสินใจลงทุนสร้างบ้านแบบในฝันมูลค่าหลายสิบล้านบาท ซึ่งได้มีการว่าจ้างสถาปนิกออกแบบงานและให้ผู้รับเหมารายนี้ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ฐานรากแต่ไม่ได้มาตรฐานตามแบบที่กำหนด

โดยเฉพาะการลงเสาเข็มที่วางศูนย์กลางผิดไปจากแบบจนน่าตกใจ ซึ่งต่อมาได้แจ้งให้แก้ไขเพราะกลัวมีปัญหาเรื่องโครงสร้างอย่างแน่นอน จึงได้นัดผู้รับเหมาเคลียร์งานแบบและแก้ไขให้เรียบร้อยตามสัญญา ทั้ง ๆ ที่ได้เบิกเงินไปแล้วเกือบสองล้านบาท สุดท้ายก็ไม่ยอมแก้ไขใดๆ ให้แล้วเสร็จ แถมติดต่อกลับมาว่าถ้าอยากคุยให้ไปคุยกันที่ศาล

ในเวลาต่อมา ได้ดำเนินคดีกับผู้รับเหมารายนี้ตามกฎหมาย ได้รับพิจารณาให้เป็นผู้ชนะคดี พร้อมศาลมีคำสั่งให้จำเลยคือผู้รับเหมา จ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 1.6 ล้านบาทตามที่เรียกร้องให้มีการชดใช้ แต่ผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งดูเหมือนว่าผู้รับเหมาไทยรายนี้ไม่ได้เกรงกลัวต่อกฎหมายใด ๆ ไม่เดินทางมาฟังคำตัดสิน

แถมยังท้าทายให้ไปฟ้องล้มละลายต่อ แม้มีการติดต่อทวงถามไปเป็นระยะ ๆ ก็ไม่ได้รับการติดต่อ ทำให้โจทย์นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นรายนี้ ต้องเดินทางไปแจ้งความสน.ลาดกระบัง เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา

พร้อมส่งจดหมายติดตามทวงถามไปยังที่อยู่ของผู้รับเหมาเพื่อนัดมาไกล่เกลี่ยและเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงมาตลอด ทุกวันนี้ยังหลบหน้าไม่ติดต่อขอไกล่เกลี่ยใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเลือกการหนีความผิด ไม่รับผิดชอบ ไม่จ่ายเงินคืน สร้างความหม่นหมองให้วงการผู้รับเหมาต้องเสียชื่อ

นายโคทะโร ทิ้งท้ายว่า “ผมรักประเทศไทยและเคารพวัฒนธรรมไทยมา 20 ปี แต่ดูเหมือนไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้แม้ว่าจะมีคนมาหลอกลวงผมก็ตาม กรณีนี้อยากให้เป็นอุทาหรณ์แก่บุคคลทั่วไปเพิ่มความระมัดระวังจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อเหมือนที่ผมโดนมา ซึ่งตอนนี้รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมากว่าจะได้รับการชดใช้จากจำเลยหรือไม่ จึงอยากวิงวอนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เมตตาหาทางช่วยเหลือตนให้ได้รับความยุติธรรม อย่างน้อยก็ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศไทย และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ ที่จะมาลงทุนในประเทศไทย โดยย้ำว่า  อยากปลุกจิตสำนึกให้เกิดความรับผิดชอบ และเรียกร้องความยุติธรรมต่อผู้ว่าจ้างและผู้ที่ต้องการสร้างบ้าน ต้องการได้บ้านไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างชาติ”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้20มี.ค. ที่ระดับ 34.05 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแนวโน้มแกว่งตัว Sideways มีโอกาสแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ จับตาแนวต้านสำคัญของราคาทองคำแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 20มีนาคม 2566ที่ระดับ  34.05 บาทต่อดอลลาร์
“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.22 บาทต่อดอลลาร์  
 
นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินปั่นป่วน ท่ามกลางความกังวลปัญหาเสถียรภาพของธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ตลาดการเงินมีแนวโน้มผันผวนสูง ท่ามกลางความกังวลความเสี่ยงต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึง ความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC)
 
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
 
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
 
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญ คือ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) โดยเรามองว่า FOMC อาจตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% เพื่อย้ำจุดยืนในการแก้ไขปัญหาอัตราเงินเฟ้อ

ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงสูงกว่า 6%) ขณะที่ปัญหาสภาพคล่องในระบบธนาคารสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้สภาวะทางการเงิน (Financial Condition) ของสหรัฐฯ ตึงตัวมากขึ้น ทำให้ความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ลดลง

 อย่างไรก็ดี เรามองว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองเพิ่มเติม คือ ประมาณการเศรษฐกิจใหม่ของเฟด รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ โดยเราประเมินว่า เฟดอาจไม่ได้ขยับประมาณการเศรษฐกิจมากนัก 

แต่มีความเป็นไปได้ว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่อาจมองว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับ 5.50% ในปีนี้ ซึ่งจะสูงขึ้นจากที่เคยมองไว้ที่ระดับ 5.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ

 โดยเฉพาะ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในฝั่งภาคการบริการ มีแนวโน้มชะลอตัวลงช้า ส่วนปัญหาด้านสภาพคล่องของระบบธนาคารสหรัฐฯ ก็ไม่ได้น่ากังวลมากนัก เพราะทางการสหรัฐฯ และเฟด ก็ได้ออกมาตรการรับมือไว้แล้ว และ

นอกเหนือจากผลการประชุมเฟด ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) 

ซึ่งตลาดคาดว่า ในเดือนมีนาคมนั้น ภาคการผลิตอาจยังคงหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ระดับ 47.6 จุด (ดัชนีน้อยกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) โดยส่วนหนึ่งมาจากตามความต้องการสินค้าที่ลดลง ทว่า ภาคการบริการจะยังคงขยายตัวได้ดี ชี้จาก ดัชนี PMI ภาคการบริการที่ระดับกว่า 50.8 จุด หนุนโดยตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่
 
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.25% ตามคาด หรือ +0.50% ตามการประชุมครั้งก่อนๆ (จากระดับปัจจุบันที่ 4.00%)

ท่ามกลางความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารฝั่งยุโรปและแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษที่ชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ เดือนกุมภาพันธ์ แม้จะชะลอลงต่อเนื่อง แต่ก็อยู่ที่ระดับสูงถึง 9.8% 

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดยตลาดมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปจะเดินหน้าฟื้นตัวต่อเนื่องในเดือนมีนาคม 

สะท้อนผ่าน ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคการบริการ (Composite PMI) ที่ระดับ 52 จุด สำหรับยูโรโซน และระดับ 52.7 จุด สำหรับอังกฤษ ซึ่งส่วนหนึ่งหนุนโดยการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ หลังวิกฤตพลังงานในฝั่งยุโรปไม่ได้น่ากังวลมากนัก
 
ฝั่งเอเชีย – ตลาดคาดว่า การชะลอตัวต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ และภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลให้ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ต่อ

 ขณะที่ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 6.25% หลังอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงถึง 8.6% นอกจากผลการประชุมของธนาคารกลางดังกล่าว

 ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ โดยหากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4% กอปรกับ ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคการบริการ

 ซึ่งอาจสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนมีนาคมที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55-56 จุด ก็จะเพิ่มโอกาสธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น
 
ฝั่งไทย – ตลาดประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) เดือนกุมภาพันธ์ จะยังคงหดตัว -7%y/y สอดคล้องกับภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะขยายตัว +2%y/y ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวได้ดี ทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลเกือบ -2 พันล้านดอลลาร์ได้
 
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า มีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC โดยมีโอกาสแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง (จับตาแนวต้านสำคัญของราคาทองคำแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์)  


ทั้งนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ว่าจะเริ่มกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยหรือไม่ หลังแรงขายสุทธิหุ้นไทยเริ่มชะลอตัวลง และดัชนี SET ก็เริ่มส่งสัญญาณอาจกลับตัวหรือรีบาวด์ขึ้นได้ในระยะสั้น ส่วน Valuation ของหุ้นไทยก็ถือว่า ถูกลงจากช่วงก่อนหน้าพอสมควร (Forward P/E ล่าสุด 15.1 เท่า)
 
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ (หลังจากปรับตัวอ่อนค่าลงเกือบ -1% ในสัปดาห์ก่อน) หากเฟดไม่ได้กังวลต่อปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารมากนัก

 และคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟด (Dot Plot) ใหม่สะท้อนว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.50% อนึ่ง หากในช่วงก่อนการประชุม FOMC ตลาดยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง จากความกังวลปัญหาเสถียรภาพของธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงเลือกที่จะถือ ทองคำ หรือ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่า เงินดอลลาร์
 
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.80-34.50 บาท/ดอลลาร์
 
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.15 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อเมริกัน ครองจ้าว 120 กม., “ธภัทรวัฒน์” รองแชมป์โลก ศึกเจ็ตสกีออฟชอร์โลก ภูเก็ต 2023

แอนโธนี ราเดติช นักแข่งอเมริกัน ครองแชมป์โลกรุ่นเรือนั่งแต่งเครื่องยนต์ คลาส เอในศึกดับเบิ้ลยูจีพี วัน เจ็ตสกีทางไกลนอกชายฝั่งหรือออฟชอร์ชิงแชมป์โลก 2023 (WGP#1 WATERJET OFFSHORE WORLD CHAMPIONSHIP 2023)

วันแรกที่ลากูน่า บีช เกาะภูเก็ต เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ขณะที่ “โอปอ” ธภัทรวัฒน์ โจสรรค์นุสนธิ์ ดาวรุ่งไทยยังฟอร์มแรง ข้ามรุ่นมาเป็นรองแชมป์ หลังจากได้แชมป์โลกคลาส บี มาแล้ว

ศึกดับเบิ้ลยูจีพี วัน เจ็ตสกี ชิงแชมป์โลกทางไกลนอกชายฝั่งหรือออฟชอร์ชิงแชมป์โลก 2023 (WGP#1 WATERJET OFFSHORE WORLD CHAMPIONSHIP 2023) ชิงเงินรางวัล 6.82 ล้านบาท ใช้เส้นทางไปกลับ ลากูน่า บีช ถึงแหลมพรหมเทพ รวม 120 กม. การแข่งขันวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 19 มี.ค. เป็นคลาส เอ รุ่นใหญ่ของระดับมืออาชีพ แต่งเครื่องยนต์กันได้เต็มที่ โดยมีการแบ่งประเภทเป็นหญิงและชาย

การแข่งขันวันนี้มีนาย พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ดร.ก้องศักดิ ยอดมณี ผู้ว่าการ การกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมชมการแข่งขันและมอบรางวัลในพิธีปิดการแข่งขัน

ในรุ่นเรือนั่งแต่งเครื่องยนต์หญิง (Women Runabout Open A) มี 2 สาวไทย อรพรรณ ธีรพัฒน์พาณิชย์ กับ ศุภลักษณ์ นิลนพรัตน์ ลงลุ้นแชมป์โลกกับนักแข่งสาวจาก รัสเซีย, ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ซึ่งช่วงปล่อยตัวเป็น อรพรรณ ที่ออกตัวได้สูสีกับ ไคลี่ เอลล์เมอร์ส จากนิวซีแลนด์ แต่สุดท้าย อรพรรณ ก็ขึ้นมาเป็นผู้นำได้ ขณะที่ ศุภลักษณ์ ตามมาที่อันดับ 4

จากนั้น อรพรรณ ควบเรือหนีคู่แข่งเข้ามาเติมน้ำมันหลังจบ 60 กม.เป็นคนแรก มี โอลก้า อันโตเนียค สาวรัสเซียตามเข้ามาด้วยเวลาไม่ถึง 5 นาที แต่ครึ่งหลังของการแข่งขันสาวไทยโชคร้ายเรือมีปัญหาเมื่อการแข่งขันผ่านไป 75 เปอร์เซนต์ ต้องออกจากการแข่งขัน

ทำให้ อันโตเนียค แซงนำและจบ 120 กม.เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 คว้าแชมป์โลก พร้อมเงินรางวัล 6.2 แสนบาท รองแชมป์เป็น ยูเรีย เชอร์นูก้า จากรัสเซียเช่นกัน  ขณะที่ ศุภลักษณ์ แม้จะเข้าที่ 4 แต่ได้เป็นอันดับ 3 เนื่องจาก อเคมิ อิโคม่า ที่เข้าที่ 3 ถูกตัดคะแนนจากการทำผิดกติกาถึง 70 คะแนน ส่วน อรพรรณ ยังมีคะแนนจบที่อันดับ 4 แม้จะไม่ได้ขับเรือเข้าเส้นชัยก็ตาม

ขณะที่รุ่นใหญ่ที่สุดของรายการ เรือนั่งแต่งเครื่องยนต์ คลาส เอ (Runabout Open A) มีเรือลงแข่งขันถึง 22 ลำ มีตัวเต็งระดับโลกอย่าง ฌอง บรูโน่ ปาสโตเรโญ แชมป์โลกและแชมป์เวิลด์ ซีรีส์ ลงลุ้นแชมป์กับ คริสเตียน ดาโกสติน กับ กาย กรีนแลนด์ จากออสเตรเลีย, ฮาจิเมะ อิซาไฮ, จุน อิโคม่า, โจอิชิโร ทากาโน่ จากญี่ปุ่น, แอนโธนี ราเดติช จากสหรัฐและอเล็กเซ เชอร์นูก้า จากรัสเซีย

ส่วนทัพไทยมี สุภาพ พูลโสภา แชมป์โลกเอ็นดูรานซ์ปี 2020 เป็นตัวชูโรง พร้อมด้วย กษิดิศ ธีระประทีป แชมป์โลกคลาส ซี, ธภัทรวัฒน์ โจสรรค์นุสนธิ์ แชมป์โลกคลาส บี รวมทั้ง อรพรรณ ธีระพัฒน์พาณิชย์ ลงแก้มือในรุ่นนี้ต่อแม้จะเรือเสียแต่ยืมเรือ เพิ่มพล น้องชายลงแข่ง

ออกสตาร์ต ปาสโตเรโญ ออกนำก่อนตามฟอร์มมี แอนโธนี ราเดติช ของสหรัฐ ตามมาเป็นที่ 2 แต่หลังการแข่งขันผ่านไปไม่ถึง 25 เปอร์เซนต์ เกิดเรื่องเหลือเชื่อเมื่อเรือ ปาสโตเรโญ มีปัญหาศูนย์เสียความเร็ว ทำให้ ราเดติช ขึ้นมานำแทนจนเข้าเติมน้ำมันเป็นคนแรก ตามด้วย ธภัทรวัฒน์ โจสรรค์นุสนธิ์ ที่ยังฟอร์มดีต่อเนื่องและ จุน อิโคม่า เข้ามาเป็นคนที่ 3

เมื่อกลับไปสู้กันต่อในอีก 60 กม. อันดับของทั้ง 3 คนไม่เปลี่ยนแปลง ราเดติช เข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ได้แชมป์โลกรุ่นใหญ่ที่สุดไปครองพร้อมเงินรางวัล 1.5 ล้านบาท  ธภัทรวัฒน์ เป็นรองแชมป์รับเงินรางวัล 7.5 แสนบาท จุน อิโคม่า เป็นอันดับ 3

สำหรับการชิงแชมป์โลกรายการนี้ เป็นโครงการที่ ดับเบิ้ลยูจีพี วัน ร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอีเว้นท์กีฬาในจังหวัดภูเก็ตให้กลับมาคึกคัก สนับสนุนโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, การกีฬาแห่งประเทศไทย, กองทุนพัฒนากีฬาชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งการแข่งขันมีการเผยแพร่ภาพสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของภูเก็ตไปทั่วโลกทางช่องยูโร สปอร์ต และผลักดันเกาะภูเก็ตให้เป็นที่ปักหมุดหรือเมกกะสำหรับการแข่งขันเจ็ตสกีทางไกลแบบออฟชอร์

แฟนๆกีฬามอเตอร์สปอร์ตชาวไทย และแฟนๆกีฬาเจ็ตสกี สามารถชมการถ่ายทอดสดได้ทาง เฟซบุ๊คไลฟ์ JetSkiWorldCupGrandPrix และยูทูปช่อง jetskiworldcup ตั้งแต่เวลา 09.00 น. รวมทั้งออกอากาศแบบบันทึกการแข่งขันไปทั่วโลกทางช่องยูโร สปอร์ต นอกจากนี้ยังติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวทั้งการแข่งขันในประเทศและการแข่งขันระดับโลกได้ทาง www.jetskiprotour.com, www.jetski-worldseries.com เฟซบุ๊ก Jet Ski World Series

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ระวัง! นอนเปิดแอร์ปรับอากาศทั้งวัน ระวังสุขภาพพังไม่รู้ตัว

ถ้าอากาศในเมืองไทยจะร้อนจนพัดลมธรรมดาๆ ก็เอาไม่อยู่ขนาดนี้ การได้แอร์ปรับอากาศมาช่วย ในวันที่อากาศจะทำเราเป็นลม บ้านหรือห้องของเราก็จะกลายเป็นสวรรค์น้อยๆ ที่ทำให้เรากลายเป็นคนอยู่ติดบ้าน รักบ้านขึ้นมาทันที แต่เคยสงสัยไหมคะว่า นอกจากจะเปลืองไฟแล้ว การเปิดแอร์ปรับอากาศทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ จะมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้างหรือเปล่า?

ข้อเสียของการเปิดแอร์ปรับอากาศนอน

1. การใช้แอร์ปรับอากาศตลอดเวลา มีโอกาสทำให้ภายในห้องอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ยิ่งหากมีการปิดม่านกันแสงเข้าห้องด้วยอีกแล้ว อาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อรา หรือไรฝุ่น ตามพรมเช็ดเท้า ผ้าขนหนู ที่นอน ผ้าห่ม หมอน หากดูแลทำความสะอาดไม่ดีพอ

2. หากปรับอากาศให้เย็นในทันที และแอร์ทำความเย็นอย่างรวดเร็ว หลอดเลือดในร่างกายอาจปรับตัวอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้เกิดอากาศปวดศีรษะได้

3. อากาศเย็นจากแอร์ปรับอากาศ อาจทำให้ผิวหนังแห้ง จมูกแห้ง ตาแห้งได้ หากใครผิวแห้งมากๆ อาจเกิดอาการคันตามผิวหนัง

4. หากไม่ทำความสะอาดแอร์ปรับอากาศให้ดี อาจเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจต่างๆ รมไปถึงภูมิต้านทานโรคต่ำลง จนอาจเป็นหวัด ภูมิแพ้ หรือไอเจ็บคอได้ง่าย เพราะบริเวณเซลล์เยื่อบุโพรงจมูก คอ หลอดลม แห้งเกินไป ไม่มีเมือกที่คอยดักจับฝุ่น หรือเชื้อโรคต่างๆ จึงทำให้เรารับเชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

วิธีป้องกันโรคต่างๆ ที่มาจากแอร์ปรับอากาศ

1. ลดการใช้แอร์ปรับอากาศลงบ้าง อาจใช้เฉพาะเวลาช่วงหนึ่งๆ หรืออาจจะตั้งให้แอร์ตัดก่อนตื่นนอน 1 ชั่วโมง หากวันไหนอากาศไม่ร้อนมาก ก็ลองใช้พัดลมธรรมดา แทนการใช้แอร์ เป็นต้น

2. อย่าปรับอากาศให้หนาวเย็นจนเกินไป อาจจะอยู่ที่ 25 องศา หรือมากกว่านี้ก็ได้ ให้พอหายร้อนเป็นพอ ไม่ต้องถึงขั้นเปิดแอร์นอน แล้วห่มผ้านวมหนา

3. อย่าปล่อยจมูก คอ หรือหลอดลมแห้งจนเกินไป สังเกตได้จากการหายใจ ที่จะรู้สึกแห้งๆ แสบๆ อาจใส่ผ้าปิดปากบ้าง เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของจมูก และทางเดินหายใจ

4. ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ หากผิวแห้ง ให้ทาโลชั่น หรือครีมบำรุงผิวด้วย

5. อาจลองเปิดหน้าต่าง เปิดประตู เปิดม่านภายในห้องบ้าง ทำความสะอาดโดยการกวาดบ้าน หรือดูดฝุ่น และถูบ้าน เพื่อกำจัดไรฝุ่นให้ได้มากที่สุด และไล่เอาความชื้นภายในห้องออกไป เพื่อป้องกันเชื้อรา

6. อาจติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ หากคุณมีปัญหาทางเดินหายใจมากจริงๆ เช่น มีโรคหอบหืดเป็นโรคประจำตัว หรือเป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดคัดจมูกบ่อยๆ เป็นต้น

ทุกอย่างมีประโยชน์ หากใช้ให้ถูกวิธีนะคะ นอกจากแอร์ปรับอากาศแล้ว ยังมีอีกหลายวิธีที่ช่วยคลายร้อนระหว่างวันได้ง่ายๆ เช่น การอาบน้ำ หรือการดื่มอะไรเย็นๆ เช่น น้ำสมุนไพรไทยๆ (อ่าน “วิธีคลายร้อนแบบไทยกับ 5 น้ำสมุนไพรสุดอร่อย สู้อุณหภูมิ 42 องศา! ที่นี่) แต่หากอากาศร้อนหนักๆ จริงๆ อาจจะต้องดูที่โครงสร้างของบ้านแล้วล่ะค่ะ ว่ามีส่วนใดที่ต้องแก้ไข เพื่อให้อากาศระบายถ่ายเทเอาความร้อนออกไปได้บ้าง เช่น บุฉนวนกันความร้อนที่หลังคา หรือการปรับตำแหน่งประตูห้อง เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สรุปการใช้ Indirect Speech แบบละเอียดยิบ!

ก่อนที่จะพูดเรื่อง Indirect Speech เราขอเกริ่นเรื่องประโยค Direct Speech กันก่อนเสียเล็กน้อย

Direct Speech คือการยกเอาคำพูดของผู้พูดไปเล่าให้ผู้อื่นฟังแบบคัดลอกบทพูดมาเลย ประโยคนี้จึงต้องมีเครื่องหมายคำพูด (“…”) กำกับเท่านั้น ส่วนประโยค Indirect Speech หรือ Reported Speech จะเป็นการนำเอาคำพูดของคนอื่นไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังโดยเปลี่ยนคำพูดนั้นบางส่วนให้เป็นคำพูดของตัวเอง คล้ายๆกับว่าเราเป็นตัวกลางที่รับสารจากผู้นั้นๆแล้วเอามาบอกต่อนั่นเอง ซึ่งการเปลี่ยนจาก Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech เนี่ย หลักๆแล้วเราจะเปลี่ยน 3 อย่าง คือ

  1. เปลี่ยน Tense
  2. เปลี่ยนเวลา
  3. เปลี่ยนสรรพนาม

เปลี่ยน Tense

สีน้ำเงินคือ Indirect Speech

Present simple
She said, “It is cold.”
Past simple
She said it was cold.

Present continuous
She said, “I am teaching Yoga.”
Past continuous
She said she was teaching Yoga.

Present perfect simple
She said, “I have been on the web since 1999.”
Past perfect simple
She said she had been on the web since 1999.

Present perfect continuous
She said, “I have been teaching Yoga for 5 years.”
Past perfect continuous
She said she had been teaching Yoga for 5 years.

Past simple
She said, “I ate apple yesterday.”
Past perfect
She said she had eaten apple yesterday.

Past continuous
She said, “I was driving a truck”ฅ
Past perfect continuous
She said she had been driving a truck.

Past perfect
She said, “The movie had already started.”
Past perfect
ไม่ต้องเปลี่ยน

Modal verb form (กริยาช่วย)

Will
He said, “I will leave here tomorrow.”
Would
He said he would leave here tomorrow.

Can
He said, “I can play a guitar.”
Could
He said he could play a guitar.

Must
He said, “I must take a pill before having breakfast.”
Had to
He said he had to take a pill before having breakfast.

Shall
She said, “What shall we learn today.”
Should
She asked what we should learn today.

May
She said, “May I open the window?”
Might
She asked if she might open the window.

ข้อระวัง! สำหรับ Modal verb หรือ กริยาช่วย จะไม่มีการเปลี่ยนTense หากประโยคที่นำมาเปลี่ยนนั้นใช้คำว่า could, would, should, might และ ought to อยู่แล้วนะจ๊ะ

นอกจากนี้เราสามารถใช้ Present simple tense ในประโยค Indirect Speech ที่เป็นความจริงตลอดไปได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยน Tense ไปเป็น Past simple เช่น

  • He said that the earth moves round the sun.
  • She said that her name is Malee.

เปลี่ยนเวลา

สีน้ำเงินคือ Indirect Speech

This (evening)
He said, “I am glad to be here this evening.”
that (evening)
He said that he was glad to be there that evening. 

Today
He said, “I will do my homework today.”
That day
He said he would do his homework that day.

These (days)
She said, “the book is selling well these days.”
those (days)
She said that the book was selling well those days.

Now
She said, “we must leave this room now.”
Then
She said that they had to leave that room then.

(a week) ago
He said, “I lived in New York 3 years ago.”
(a week) before
He said that he had lived in New York 3 years before.

Last (night)
He said, “I was here last night.”
The (night) before
He said he had been there the night before.” 

Here
He said, “How long have you worked here?”
There
He asked me how long I had worked there.

Next (week)
She said, “I will move to Chicago next week.”
The following (week)
She said she would move to Chicago in the following week.

Tomorrow
He said, “We are going to swim tomorrow.”
The next/ the following day
He said they were going to swim the next day.

เปลี่ยนสรรพนาม

สีน้ำเงินคือ Indirect Speech

I
He said, “I live in New York”
He/she
He said that he lived in New York.

Me
He said to me, “You have to come with me.”
Him/her
He told me that I had to go with him.

My
She said, “It is my book.”
His/her
She said that it was her book.

Mine
He said, “This car is mine.”
His/hers
He said that car was his.

Myself
She said, “I bake this cake by myself.”
Himself/herself
She said that she baked that cake by herself.

We
They said, “We will not permit this.”
They
They said that they would not permit that.

Us
They said, “Sam does not like us.
Them
They said that Sam did not like them.

Our
They said, “This country is our home.”
Their
They said that country was their home.

Ours
They said, “These belongings are ours.
Theirs
They said those belongings were theirs.

Ourselves
They said, “We build this house by ourselves.”
Themselves
They said the built that house by themselves.

You (ประธาน)
He said’ “I love you.”
I
He said that he loved me.

You (กรรม)
She said, “I will kick you.”
Me
She said that she would kick me.

Your
He said, “Can I have your pen.”
My
He said that could he have my pen.

Yours
She said, “This gift is yours.”
Mine
She said that gift is mine.

Yourself
He told, “You should love yourself.
Myself
He told me that I should love myself.

Yourselves
Teacher said, “You must do it by yourselves.
Ourselves
He said to us that we had to do it by ourselves.

การใช้ Indirect Question

เป็นการทำให้ประโยคคำถามทั่วไปมาอยู่ในแบบประโยคคำถามแบบเล่า ด้วยการใช้วิธีต่อไปนี้

  • เปลี่ยนกริยาให้อยู่ในรูปแบบคำถาม

เปลี่ยนจากคำว่า said และ told มาเป็น asked, asked to + บุคคล หรือ inquired of + บุคคล

เช่น Direct:  He said to me, “Does Suda speak English?”
Indirect: He asked me if Suda spoke English.

  • ใช้ if หรือ whether ในประโยคที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย

เช่น Direct: He said to me, “Can you do this.”
Indirect: He asked me whether I could do that.

  • ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย Question word (what, where, when, why, how) ใช้ใช้รูปประโยคบุคคล + asked + กรรม +Question word + ประโยค Indirect Speech

เช่น Direct: She said to me, “Where are you going?”
Indirect: She asked me where I was going.

การใช้ Indirect Command & Request

คือการทำให้ประโยคคำสั่งและประโยคขอร้องทั่วไปให้เป็นในแบบเล่า ด้วยวิธีการ

  • ใช้คำกริยาที่เหมาะสม

โดยใช้คำกริยาที่เหมาะสมกับความหมาย คือ

Ordered = สั่ง
Commanded = สั่งการ
Asked = ขอร้อง
Begged = วิงวอน
Advised = แนะนำ เตือน
Told = บอกให้

เช่น He advised his friend to walk quickly.
He told Jane to sit down.
The boy begged me not to tell his mom.

  • ต้องกำหนดคนถูกสั่งหรือกรรมของประโยค

เช่น Direct:  “Come here again,” said he.
Indirect: He told me to go there again.

  • เติม to หน้ากริยาที่เป็นคำสั่งหรือขอร้อง

เช่น He ordered me to send him money.

ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th


ทิศทางภาคแรงงานยุโรป-สหรัฐ หุ่นยนต์จะรองรับงานกว่า 20ล้านตำแหน่งในปี2573

“ทิศทางการปรับตัวภาคแรงงาน ในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา” ระบุอีกเพียงหนึ่งทศวรรษ พนักงาน 1.2 พันล้านคนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการปรับใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและ AI โดยครึ่งหนึ่งของงานในโลกจะถูกกระทบ และจะมีผลต่อการจ้างงานราว 14.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

“ทิศทางการปรับตัวภาคแรงงาน ในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา” บทความจาก BOT พระสยาม MAGAZINE โดยผู้เขียน “ คมเพชร  กรองกระจ่าง”ฝ่ายกลยุทธ์สื่อสารและความสัมพันธ์องค์กรธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนว่า

 เมื่อโลกเริ่มเข้าสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้มีการนำระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) Internet of Things (IoT) และ cloud computing มาพลิกโฉมการทำงานของโลก การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ทิศทางการทำงานในอีก 10 ปีข้างหน้า แตกต่างไปจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

งานในโลกอนาคต

          อีกเพียงหนึ่งทศวรรษ พนักงาน 1.2 พันล้านคนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการปรับใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและ AI โดยครึ่งหนึ่งของงานในโลกจะถูกกระทบ และจะมีผลต่อการจ้างงานราว 14.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับรายงานของ CNBC ที่กล่าวว่า หุ่นยนต์จะสามารถรองรับงานได้มากกว่า 20 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2573

แม้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะปรับเปลี่ยนรูปแบบงานไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็คาดว่าจะลดจำนวนงานลงไม่เกิน 5% โดยคนส่วนใหญ่จะไม่ตกงานแต่ต้องปรับตัวให้ทำงานร่วมกับเครื่องจักรที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วแทน งานในอนาคตจะเน้นการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น

วิศวกรคอมพิวเตอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารข้อมูล (Information and Communication Technology: ICT) แต่ที่น่ากังวลคือ จากข้อเท็จจริงในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า ผู้นำทางธุรกิจก็ไม่ได้เตรียมพนักงานของตนให้มีทักษะที่จำเป็นเพียงพอต่องานในอนาคต โดย 9 ใน 10 งานจะต้องใช้ทักษะด้านดิจิทัล

งานในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่โดยระบบอัตโนมัติภายในปี 2573 ที่มา : Statista เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สัญชาติเยอรมันที่เชี่ยวชาญให้ข้อมูลเชิงลึกทางสถิติ และรายงานด้านข้อมูลตลาดและผู้บริโภค

กรณีศึกษาของยุโรป

          สหภาพยุโรปเป็นหนึ่งในผู้นำการขับเคลื่อนโลกดิจิทัลที่สำคัญ โดยได้วางแผนพัฒนาแนวทางการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่ตั้งเป้าให้สัมฤทธิ์ผลในปี 2573 มีเป้าหมายสำคัญ เช่น

(1) ให้ผู้ใหญ่อย่างน้อย 80% มีทักษะด้านดิจิทัลขั้นพื้นฐาน และควรมีการจ้างงานผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT อย่างน้อย 20 ล้านรายในสหภาพยุโรป

(2) มีเป้าหมายให้ 75% ของบริษัทในยุโรปใช้บริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลดิจิทัล อย่างเช่น Cloud การนำ big data รวมถึง AI มาใช้ และเพิ่มจำนวนบริษัทสตาร์ตอัปที่มีมูลค่าสูง

(3) SMEs มากกว่า 90% ควรมีศักยภาพด้านดิจิทัลในระดับพื้นฐาน

(4) เปิดงานบริการภาครัฐที่สำคัญผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงประวัติการรักษาของตนเองได้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ

(5) ประชาชน 80% ควรใช้ระบบการระบุตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์

ทั้งนี้ รัฐได้จัดตั้งโครงการ Digital Europe ในช่วงปี 2564-2570 ซึ่งใช้งบประมาณ 7,600 ล้านยูโร เพื่อลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูง และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง

  คะแนนด้านทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานในปี 2564 ของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป โดยเนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และไอร์แลนด์มีคะแนนด้านทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานสูงสุด (70-79 คะแนน) ขณะที่โรมาเนีย บัลแกเรีย และโปแลนด์มีคะแนนด้านทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานน้อยที่สุด (28-43 คะแนน) ที่มา : World Economic Forum

งานที่ใช้ทักษะต่ำ (low skill) ในยุโรปจะใช้ระบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ในไม่ช้า โดยข้อมูลจาก World Economic Forum พบว่า ในปี 2564 ชาวยุโรป 54% ที่มีอายุ 16-74 ปี มีความสามารถด้านดิจิทัลขั้นพื้นฐาน[1] ที่สามารถจะปรับให้สอดรับกับงานซึ่งต้องใช้ทักษะด้าน ICT 1.67 ล้านตำแหน่งได้ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ยุโรปมีเป้าหมายให้พลเมืองกลุ่มดังกล่าว 80% ขึ้นไป มีทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานภายในปี 2573

จากกรณีศึกษานี้ของยุโรป อาจสรุปได้ว่าการปฏิวัติระบบการทำงาน ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียงานเสมอไป แต่เป็นการนำเสนอโอกาสในการยกระดับทักษะตามเป้าหมาย ยกเว้นประชากรที่ขาดโอกาสยกระดับทักษะที่อาจตกขบวน และมีความเสี่ยงที่จะว่างงาน ประเด็นที่ต้องติดตามคือรัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือประชากรกลุ่มนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านการทำงานในอนาคต

การพัฒนาทักษะแรงงานอพยพในยุโรป

          ผู้ขาดโอกาสทางสังคม เช่น ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการเปลี่ยนแปลงการทำงาน ซึ่งควรได้รับการพัฒนาทักษะด้วย อย่างไรก็ดี บางประเทศได้ให้ความช่วยเหลือกับคนกลุ่มนี้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น รัฐบาลเยอรมันได้มีโครงการอบรมกลุ่มผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ซึ่งคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศด้วย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง

โดยเฉพาะเรื่องภาษาและความเชี่ยวชาญในการทำงาน ขณะที่กลุ่มที่มีการศึกษามีจำนวนไม่มาก โดยการอบรมมีทั้งการสอนทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติที่หลายหลายตั้งแต่หลักสูตรสอนภาษา ช่างโลหะ ช่างไฟฟ้า ไปจนถึงผู้ช่วยพยาบาลโดยเฉพาะกลุ่มที่อพยพเข้าไปยังยุโรป

ที่มาภาพ : The New Humanitarian I Refugee Apprentice: Germany Offers Skills Training to Newcomers

ปัจจุบันจึงมีทั้งภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะด้าน ICT แก่ชาวยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ Konexio และ Grand Ecole du Numérique[2] ที่มุ่งเพิ่มทักษะให้ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ เพื่อจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมในอนาคต

กรณีศึกษาของสหรัฐอเมริกา

          แม้สหรัฐอเมริกาจะมีการวางนโยบายดิจิทัล และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการของรัฐได้ทุกที่ทุกเวลาบนอุปกรณ์ใดก็ได้ มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในด้านวิจัยและพัฒนา รวมทั้งยกระดับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

แต่สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (U.S.Bureau of Labor Statistics) คาดว่าในช่วงปี 2564-2574 จะมีงานที่ถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ โดยกลุ่มอาชีพสนับสนุนการบริหารและงานในสำนักงานจะถูกลดการจ้างงานลงมากที่สุด เพราะมีการใช้ซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติของงานธุรการและผู้ช่วยเสมือนที่เป็น AI มากขึ้น

รองลงมาคือกลุ่มงานเสมียนสำนักงานและตัวแทนฝ่ายบริการลูกค้า ฝ่ายขาย และงานในภาคการผลิตของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาช่วยในการผลิต

อย่างไรก็ดี จะมีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นในภาคบริการมาชดเชยภาคการผลิตสินค้าที่ลดลง คาดว่าอาชีพที่ให้บริการด้านสุขภาพ หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลจะอยู่ในกลุ่มที่มีการจ้างงานเติบโตเร็วที่สุดเนื่องจากประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัย นอกจากนี้ อาชีพที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ข้อมูล และพลังงานหมุนเวียน ก็จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย

ปรับทักษะแรงงานด้วยการศึกษา

          จากข้อมูลการสํารวจ O*NET[3] ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า ทิศทางตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้มีการพัฒนาทักษะดิจิทัลมากขึ้นในแต่ละงานอาชีพ โดยมีแรงงานทักษะสูงและปานกลางมากกว่า 100 ล้านคน เหลือความต้องการแรงงานทักษะต่ำประมาณ 30 ล้านคน และจากข้อมูลของ OECD ในปี 2562

แสดงให้เห็นว่า มีผู้ที่ทำงานด้านไอที และดิจิทัลมากขึ้น โดยโครงสร้างตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีงานที่ใช้ทักษะดิจิทัลขั้นสูง 33% ขั้นกลาง 35% และขั้นต่ำ 18% โดยมีกลุ่มที่ไม่มีทักษะเลยเพียง 13%

สอดคล้องกับรายงานจาก Labour 2030 Bain ที่ประเมินว่า ในสิ้นปี 2563 ระบบอัตโนมัติจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานไปประมาณ 20-25% ซึ่งจะมีผลกระทบมากต่อพนักงานที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ การลงทุนทางการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทักษะใหม่

จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรองรับความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐอเมริกา และรักษาคุณภาพชีวิตของแรงงานจำนวนมาก ภาครัฐและเอกชนจึงร่วมมือกันพัฒนาแรงงานทั้งในด้านการยกระดับทักษะเดิม (upskill) และการฝึกทักษะใหม่ (reskill)

ตัวอย่างในภาคสถาบันการศึกษา วิทยาลัยชุมชนและมหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับบริษัทใหญ่ เช่น Amazon และ Google จัดโปรแกรมการศึกษาระดับปริญญาที่ยืดหยุ่น มีใบรับรอง รวมถึงค่ายฝึกอบรม บางบริษัท เช่น Starbucks ให้เงินค่าเล่าเรียนแก่พนักงานเพื่อยกระดับทักษะ โดยนายจ้างในกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับปริญญาแบบดั้งเดิมน้อยลง และหันมาสนใจการฝึกอบรมภายในองค์กรมากขึ้น

          ขณะที่การเรียนรู้ออนไลน์ก็เติบโตมากขึ้นเช่นกัน โดยองค์กรต่าง ๆ ได้พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้สนใจใช้เรียนรู้ด้วยตัวเอง อาทิ The Adult Literacy XPRIZE เป็นแอปพลิเคชันเพิ่มทักษะการอ่านออกเขียนได้ในหมู่ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ Digital Promise เป็นแอปพลิเคชันช่วยฝึกทักษะด้านดิจิทัลให้ผู้ที่กำลังหางานทำ

เช่นเดียวกับ RISE Up เป็นโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับผู้หางานครั้งแรกและพนักงานระดับเริ่มต้น ส่วน Skillist เป็นแพลตฟอร์มการสมัครงานที่เชื่อมโยงผู้หางานกับนายจ้างโดยมุ่งเน้นไปที่ทักษะมากกว่าข้อมูลส่วนตัว

          ในเชิงนโยบาย รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายพัฒนาความเท่าเทียมทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนทุกคนทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยเตรียมประชากรรุ่นต่อไปให้พร้อมรับบริบทโลกยุคดิจิทัล โดยออกกฎหมาย Digital Equity Act และกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ารวม 2,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัลที่กว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโควิด 19

          บทสรุป การปรับทักษะดิจิทัลของแรงงานเป็นโจทย์สำคัญในการเปลี่ยนผ่านโลกไปสู่ยุค 4.0 ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ได้ปรับกระบวนทัศน์เพื่อรองรับบริบทโลกใหม่แล้ว

          การพัฒนาทักษะดิจิทัลของแรงงาน เป็นโจทย์สำคัญของทุกประเทศในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคเศรษฐกิจ 4.0 ที่การทำงานต้องมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ซึ่งผู้ประกอบการ แรงงาน รวมไปถึงภาครัฐจึงจำเป็นต้องปรับตัว เราได้เห็นการปรับกระบวนทัศน์เพื่อรองรับบริบทโลกใหม่อย่างชัดเจนแล้วทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา และกำลังจะขยายไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของโลกในอนาคตอันใกล้นี้

[1]  ทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐาน อธิบายโดย Eurostat คือ ทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน รวมถึงการส่งและรับอีเมลและการใช้โซเชียลมีเดีย ทักษะการสร้างเนื้อหาดิจิทัล รวมถึงการใช้ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ แก้ไขรูปภาพ วิดีโอ หรือไฟล์เสียง ทักษะด้านความปลอดภัยเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ และทักษะการแก้ปัญหา ได้แก่ การขายออนไลน์ บริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ต และการติดตั้งซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชัน และอื่น ๆ 

[2]  Grand Ecole du Numérique ตั้งโดยกระทรวงเศรษฐกิจและการเงินของฝรั่งเศส และมีผู้นำธุรกิจและภาคเอกชนเข้าร่วมสนับสนุน เป็นโปรแกรมฝึกอบรมทักษะ ICT ที่หลากหลาย มุ่งช่วยกลุ่มประชากรที่เปราะบางโดยตรง เพื่อยกระดับทักษะและเพิ่มโอกาสในการเสริมศักยภาพให้กับแรงงานทักษะต่ำ

[3] ระบบ O*NET เป็นของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ โดยได้ฐานข้อมูลมาจากการสํารวจพนักงานทุกอาชีพในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถที่แต่ละสายอาชีพต้องการ และความสามารถในการทำงาน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“ใบบัวบก” มากกว่าแก้ช้ำรัก

ที่มา คอลัมน์ เครื่องแนม
เผยแพร่ 27 มี.ค. 59

เดินตลาดห้วงเวลานี้มองไปตรงไหนก็เห็นแต่ “น้ำใบบัวบก” แช่ถังน้ำแข็งเย็นเจี๊ยบ ขวดละ 10 บาท

เคยสงสัยกันมั้ยว่า คนอกหักทำไมต้องไล่ให้ไปกินน้ำใบบัวบก?

คนเฒ่าคนแก่เล่าว่าเนื่องจากใบบัวบกมีฤทธิ์ขับของเสียออกจากร่างกาย อย่างบรรดานักเลงเมื่อก่อนที่ถูกตีพ่ายกลับมา จะให้เอาใบบัวบกมาขยี้เอาน้ำ ละลายน้ำตาลทรายแดงสักหน่อย-ดื่ม จะช่วยดึงเลือดเสียที่คั่งค้างอยู่ออกไป

แต่ดื่มบ่อยๆ ดื่มมากไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้ไตต้องทำงานหนัก และด้วยความที่เป็น “ยาเย็น” จะมีผลให้เกิดอาการชาตามแขนขาได้

ขณะที่แพทย์สมัยใหม่ว่า ใบบัวบกมีสรรพคุณช่วยสมานแผลจึงนำไปปรุงเป็นครีมรักษาสิว ประเด็นนี้ใครสนใจจะทำเองก็ได้ แค่เอาใบบัวบก 3-5 ใบมาตำพอกสักพักแล้วล้างออก

จริงๆ ใบบัวบกมีประโยชน์อีกร้อยแปดพันประการ เหมาะกับคนทุกวัย อย่างผู้สูงอายุใบบัวบกก็ช่วยในเรื่องของความจำ

อีกคุณค่าที่น่าสนใจคือ การเป็นสมุนไพรลดความดันโลหิตสูง เพียงแค่ดื่มน้ำใบบัวบกทุกวัน ภายใน 1 สัปดาห์ จะเห็นผลได้ทันทีว่าสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้

ย้ำว่า…ไม่ควรดื่มอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/03/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a31,650.0031,750.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,050.0031,078.0032,250.00
ทองรูปพรรณ 90%1,845.0027,970.20n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,640.0024,862.40n/a
ทองรูปพรรณ 50%923.0013,992.68n/a
ทองรูปพรรณ 40%718.0010,884.88n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,124.0032,199.84n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/03/2566


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.4535.4536.5435.4535.4535.4535.4535.4535.4535.45
แก๊สโซฮอล์ 9135.1835.1836.2435.1835.1835.1835.1835.1835.1835.18
แก๊สโซฮอล์ E2033.1433.1433.9433.1433.1433.1433.1433.1433.14
แก๊สโซฮอล์ E8533.5933.5933.59
เบนซิน 9543.2643.3143.7643.4143.26
ดีเซล B733.9433.9434.2433.9433.9433.9433.9433.9433.9433.94
ดีเซล33.9433.9434.2433.9433.9433.9433.9433.9433.9433.94
ดีเซล B2033.9433.9434.2433.9433.9433.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.0643.1645.1444.2644.2643.06
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า