” พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ” ปั้นพอร์ตหรู เจาะอสังหาฯภูเก็ต เมืองยอดฮิตต่างชาติ
” พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ” รุกธุรกิจตัวแทนขายอสังหาฯ เต็มสูบ ตั้งเป้าเจาะลูกค้าระดับ Luxury เติมในพอร์ตมากขึ้น ปีนี้ ชูไฮไลท์ โครงการ ไพร์ม พาโน วิลล่า ทำเล เชิงทะเล ภูเก็ต เมืองอสังหาฯ เป้าหมายของต่างชาติ
19 เมษายน 2566 – นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า “ในปี 2565 ภาพรวมธุรกิจการให้บริการตัวแทนขายและทำการตลาดในปีที่ผ่านมาถือว่ามีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ทีมบริหารการขายโครงการของพลัสฯ ได้รับความไว้วางใจจากดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำให้บริหารงานขายโครงการรวม 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,900 ล้านบาท ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ ภูเก็ต และหัวหิน
สำหรับในปีนี้พลัสฯ ยังคงตั้งเป้าขยายกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ตั้งแต่โครงการระดับ Affordable และขยายไปจนในเซกเมนต์ระดับ Luxury เพิ่มมากขึ้น สำหรับในปีพลัสฯ นี้ได้รับบริหารไปแล้ว 2 โครงการ ซึ่งจะทยอยเปิดในปี 2566 ได้แก่ ราชา ปาร์ค (Racha Park) และ ไพร์ม พาโน (Prime Pano ) มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท
โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับความไว้วางใจในการบริหารโครงการ ไพร์ม พาโน วิลล่าระดับ Luxury บนทำเลศักยภาพอย่างเชิงทะเล ซึ่งทางทีมพลัสฯ มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ภูเก็ตเป็นอย่างมาก บวกกับปัจจัยการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติทำให้ตลาดอสังหาฯในจังหวัดภูเก็ตมีเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งรูปแบบการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและการให้เช่าทุกรูปแบบยังคงมีทิศทางเติบโตอย่างเห็นได้ชัด
ในช่วงปลายปี 2565 ถึงปัจจุบัน พบว่าตลาดวิลล่า มีอุปสงค์สูงทั้งการซื้อและเช่า โดยพบว่าชาวต่างชาติสนใจซื้อบ้านที่ภูเก็ตไว้เป็นบ้านหลังที่สอง โดยนิยมเช่าวิลล่ามากกว่าคอนโดมิเนียม เพราะมีพื้นที่ใช้สอยพอสำหรับครอบครัว พื้นที่ของจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับความนิยม คือ เชิงทะเล ลากูน่า หาดสุรินทร์ กมลา จนถึงในทอน เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติซึ่งมักอยู่กันเป็น community โดยเป็นการซื้อเพื่ออยู่เอง เข้ามาทำธุรกิจในประเทศ รวมถึงหาที่พักให้บุตรหลานมาเรียน เป็นต้น ซึ่งทางพลัสฯยังมีแผนเป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาอีกหลายโครงการทั้งในกรุงเทพฯ และภูเก็ตอีกด้วย”
ในปีนี้ “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ใช้กลยุทธ์สำหรับรุกธุรกิจการให้บริการตัวแทนขายและทำการตลาด ภายใต้แนวคิด “YOUR PROFESSIONAL ALLIANCE” ให้ความสำคัญกับการเป็น “คู่คิดทางธุรกิจที่เข้าใจคุณที่สุด” มีการทำงานด้วยแนวคิดแบบ Ownership Mindset ที่ทำงานเคียงข้างไปกับลูกค้า พร้อมชูจุดแข็งการบริหารงานขาย ที่เข้าใจความต้องการของผู้พัฒนาโครงการ และต้องการของตลาดผู้บริโภค โดยทางพลัสฯ นั้นเสนอบริการแบบ Total Solution ทั้งธุรกิจบริหารงานขาย (Sole Agent) ดูแลให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มพัฒนาโครงการ การออกแบบ การตลาดและงานขายให้แก่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer)
รวมไปถึงพัฒนาศักยภาพของพนักงานขายให้เป็นที่ปรึกษามืออาชีพ The Best Sale Standard มีความรู้ ความสามารถในการวิเคราะห์ตลาด Market Research Data ในการพัฒนางานขาย และกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ สามารถเป็นที่ปรึกษาการลงทุนได้ รวมถึงการทำ CRM System ที่ช่วยให้เข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคได้อย่างชัดเจนผ่าน Customer Journey ให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทำเล “สีลม – พระราม 4” ระอุ ออฟฟิศใหม่ ทะลัก เฉียด 7 แสน ตร.ม.
ไนท์แฟรงค์ แนะ จับตา ทำเล “สีลม – พระราม 4” ร้อนระอุ พบพื้นที่ออฟฟิศ เตรียมเปิดใหม่เฉียด 7 แสนตารางเมตร จาก 5 บิ๊กโปรเจ็กต์ พาร์ค สีลม – ปัญญ์ ทาวเวอร์ – วัน แบงค็อก – เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส และ บุญมิตร สีลม
ตลาด “อาคารสำนักงาน” กลายเป็นเซกเตอร์ที่น่าจับตามองมากที่สุดอีกกลุ่มหนึ่ง สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังวิกฤติการณ์โควิด-19 ผ่านพ้น เนื่องจาก ก่อนหน้าหลายบริษัทใช้นโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่น หรือ ไฮบริด จนคาด อาจกลายเป็นมาตรฐานการทำงานรูปแบบใหม่ ในกทม. ซึ่งนั่น ท้าทาย “พื้นที่เช่า” หลายอาคารทั้งเก่าและใหม่
แต่อย่างไรก็ตาม กลับไม่ใช่ กับทำเลทอง ตลอดกาล อย่าง ” สีลม – พระราม 4″ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญ ที่คราคร่ำไปด้วย บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ โดยพบว่า ขณะนี้ ตลาดอาคารสำนักงาน กำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผ่าน การเปิดตัว 5 โปรเจคใหม่ ของบิ๊กทุน พื้นที่เช่ารวมเฉียด 7 แสนตร.ม. ขณะเดียวกัน เทรนด์ยั่งยืนยังคงมาแรง แต่ละโครงการ แห่แข่งคว้าใบเซอร์ฯมาประดับพอร์ต เพื่อเรียกแขกอีกด้วย
เศรษฐกิจฟื้น เพิ่มความเชื่อมั่นเอกชน
ประเด็นดังกล่าว นายปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารและหัวหน้าส่วนงานพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังการแพร่ระบาดของโควิดร่วม 3 ปี ซึ่งได้ฝากรอยแผลใหญ่ให้แก่ทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ โดยกลับมาเติบโตได้ 2.6% ในปีที่ผ่านมา ในปีนี้คาดว่า การบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยวจะเป็นตัวชูโรง
เมื่อประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง เศรษฐกิจไทยในปี 2566 จึงดูมีเค้าลางสดใสมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุด ในเดือนมีนาคมปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 52.9 จากที่เคยลดลงไปต่ำสุดที่ 32.6 ในช่วงที่เกิดโควิด สะท้อนในเห็นถึงความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเครษฐกิจไทยที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในมุมมองของภาคธุรกิจ
ยุค New Normal ปลุกพื้นที่เช่า
แน่นอนว่าเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย บริษัทส่วนใหญ่ก็ตัดสินใจให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 การทำงานที่บ้านนั้นแม้จะทำให้พนักงานมีอิสระ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก็อาจจะไม่ได้เหมาะสมกับทุกประเภทของธุรกิจ หรือทุกประเภทของงาน รวมทั้งในระยะยาวการทำงานแบบที่ไหนก็ได้ ( Remote Work) อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานลดน้อยลง เป็นอุปสรรคต่อการระดมความคิด และการทำงานเป็นทีม จุดสมดุลของหลาย ๆ บริษัท คือ การทำงานในลักษณะยืดหยุ่น ( Hybrid-Work Model ) ซึ่งก็คือการทำงานที่บ้านสลับการมาออฟฟิศ แต่สัดส่วนของการมาออฟฟิศนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ไม่มีตัวเลขที่ตายตัว
เมื่อมีการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ ธุรกิจปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานก็กลับมาคึกคักมากขึ้น รูปแบบการเช่ามีทั้งทางตรง คือการที่บริษัททำสัญญาเช่ากับโครงการโดยตรง หรือเช่าพื้นที่กับผู้ให้บริการ Co-Working Space (ที่เช่าหรือร่วมดำเนินการกับทางโครงการอีกทีหนึ่ง) โดยการเช่าในรูปแบบหลังนี้ เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ธุรกิจในด้านของสิ่งอำนวยความสะดวกภายในพื้นที่เช่า และความยืดหยุ่นในการเพิ่มลดพื้นที่ตามความต้องการใช้งาน แต่ทั้งนี้ก็แลกมากับต้นทุนค่าเช่าต่อจำนวนพนักงานที่สูงขึ้นเช่นกัน
ทำเลสีลม พระราม 4 คึกคักสุด
ในบรรดาพื้นที่ ที่มีการกระจุกตัวของกลุ่มอาคารสำนักงาน เราพบว่าพื้นที่ สีลม พระราม 4 เป็นพื้นที่มีการจับจองพื้นที่เพื่อพัฒนาอาคารสำนักงานมากที่สุดในช่วง 3-5 ปีมานี้ ทำให้พื้นที่ที่รอเข้าสู่ตลาดในโซนนี้เฉียด 7 แสนตร.ม. คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในอนาคตทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานคร โดยโครงการที่รอเปิดตัวเริ่มตั้งแต่ พาร์ค สีลม, ปัญญ์ ทาวเวอร์ , วัน แบงค็อก อาคาร 4 และ 5 ที่จะเปิดตัวในปีนี้ เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส , วัน แบงค็อก อาคาร 3 ในปี 2567, บุญมิตร สีลม, วัน แบงค็อก อาคาร 2 ในปี 2568 ปิดท้ายด้วย วัน แบงค็อก ซิกเนเจอร์ ในปี 2569 ที่จะกลายมาเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยด้วยความสูงถึง 430 เมตร
ในช่วงที่ผ่านมา โครงการเปิดใหม่ในโซน สีลม พระราม 4 ทำผลงานการปล่อยเช่าได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์, เดอะ ปาร์ค, เอฟวายไอ เซ็นเตอร์, ซัมเมอร์ฮับ ออฟฟิศ รวมถึง สีลม เอจ ที่เพิ่งกลับเปิดให้บริการหลังการรีโนเวตพื้นที่เสร็จเมื่อไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ล้วนแล้วแต่มีอัตราการเช่าพื้นที่มากกว่า 90% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่ประมาณ 80%)
โดยพื้นที่บริเวณนี้นับว่าเป็นพื้นที่ใจกลางที่เชื่อมโยงเข้ากับย่านธุรกิจอื่น ไม่ว่าจะเป็นย่านสุขุมวิท สยาม เพลินจิต วิทยุ เพชรบุรี และรัชดาภิเษก นับได้ว่าเป็น CBD แรกของไทย อีกทั้ง บริษัทในโซนนี้เข้าถึงกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ที่มีความสามารถ (Talent Pool) ได้ง่ายมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เทรนด์ Green ยังแรงต่อเนื่อง
นอกจากปัจจัยในด้านทำเลแล้ว เทรนด์สำนักงานสีเขียวก็เป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ไนท์แฟรงค์ฯ ยังพบว่าสำนักงานเกิดใหม่ในปีที่ผ่านมาแทบทั้งหมดล้วนแต่ปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานด้านความยั่งยืน ซึ่งให้ความสำคัญกับการออกแบบและก่อสร้างอาคารที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ให้น้อยที่สุด รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น ใบประกาศนียบัตรที่เป็นที่แพร่หลายมากที่สุด หนีไม่พ้น LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ตามมาด้วยประกาศนียบัตรที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนอื่น ๆ เช่น TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability) ซึ่งก็คือมาตรฐานเทียบเคียง LEED ของประเทศไทย, WELL, และ FITWEL เป็นต้น
จากข้อมูลที่ในปีที่ผ่านมา เราพบว่าอาคารสำนักงานกลุ่ม Green ทำผลงานได้ค่อนข้างดี มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ปล่อยเช่าแล้วสุทธิเป็นบวก สวนทางกับกลุ่ม Non-green สะท้อนให้เห็นกระแสการตื่นตัวต่อแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) มากขึ้น ทั้งนี้ พบว่าผู้เช่าในกลุ่มบริษัทต่างชาติ (MNC) ที่มีนโยบายด้านความยั่งยืนจากส่วนกลาง รวมถึงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญในด้าน ESG นี้มากกว่าผู้เช่ากลุ่มอื่น ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 20เม.ย. ที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากแรงขายสินทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ ระหว่างวันบรรดาผู้ส่งออกอาจทยอยขายเงินดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่ามาใกล้โซนแนวต้านแถว 34,50-34.60บาท
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 20เมษายน 2566 ที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนตามทิศทางเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมทองคำ โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าไปตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และการย่อตัวลงของราคาทองคำ
แต่เงินบาทก็ยังคงไม่สามารถทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ ก่อนที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมาบ้าง หลังเงินดอลลาร์ย่อตัวลงเล็กน้อย ส่วนราคาทองคำก็รีบาวด์ขึ้น (ซึ่งอาจมีผู้เล่นบางส่วนขายทำกำไรการรีบาวด์ทองคำออกมาบ้าง)
ในวันนี้ เรามองว่า หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากแรงขายสินทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดีในระหว่างวัน การอ่อนค่าของเงินบาทอาจติดอยู่ในโซนแนวต้านแถว 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราเริ่มเห็นบรรดาผู้ส่งออกทยอยขายเงินดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่ามาใกล้โซนดังกล่าวพอสมควร
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานของสหรัฐฯ โดยหากยอดดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับต่ำหรือออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ก็อาจหนุนโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อและ
อาจส่งผลให้ เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ซึ่งต้องจับตาว่า ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) จะสามารถปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 102.5 จุด ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็จะเป็นสัญญาณสะท้อนว่า ดัชนีเงินดอลลาร์มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อทดสอบโซน 103 จุด ขึ้นไป
ในช่วงนี้ เราคงมองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.55 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก หลังผลประกอบการและคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ Netflix -3.2% จะออกมาแย่กว่าคาดหรือน่าผิดหวัง (ราคาหุ้น Tesla ดิ่งกว่า -6.0%
ในช่วงการซื้อขาย After market หลังรายงานผลประกอบการแย่กว่าคาด) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อาทิ กลุ่ม Healthcare และ กลุ่ม Utilities บ้าง ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ย่อลงเล็กน้อย -0.01%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงราว -0.10% กดดันโดยท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ยังคงออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หลังอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% ของ ECB ไปมาก (อัตราเงินเฟ้อ CPI ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 6.9%)
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่ม Semiconductor หลัง ASML -3.7% แสดงความกังวลต่อแนวโน้มความต้องการใช้ Chip แม้ว่ารายงานผลประกอบการล่าสุดจะออกมาดีก็ตาม
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นและแกว่งตัวแถวโซนแนวต้าน 3.60% โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่าง
ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในวันศุกร์นี้ ซึ่งหากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง แต่การปรับตัวขึ้นจะมากหรือน้อย อาจต้องรอลุ้นว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงหรือปิดรับความเสี่ยง ซึ่งจะขึ้นกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า นักลงทุนอาจรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ได้ เช่น รอซื้อสะสมหลังเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคม
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน แต่โดยรวมแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ รวมถึงความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยในจังหวะตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง
โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 102 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยมีจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวหลุดแนวรับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะได้แรงซื้อในจังหวะย่อตัวหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 2,005 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง (Initial & Continuing Jobless Claims) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อใช้ประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
โดยเฉพาะหากผลประกอบการหรือคาดการณ์ผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง ก็อาจส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงปิดรับความเสี่ยงต่อได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.34-34.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.48 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้ หลังจากที่ไม่ได้อ่อนค่าผ่านแนว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานนี้ ขณะที่ในฝั่งของเงินดอลลาร์ฯ แม้จะมีปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค.นี้ แต่ตลาดก็รับรู้ปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว และยังคงรอปัจจัยใหม่ๆ มากระตุ้น
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.25-34.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามเพิ่มเติม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชีย อัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน และสัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนเม.ย. ยอดขายบ้านมือสองเดือนมี.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วิว-เทนนิส” คว้านักกีฬายอดเยี่ยม “ภูริพล” ซิวรางวัลดาวรุ่งแห่งปี “วันนักกีฬายอดเยี่ยม”
งานประกาศเกียรติคุณ “วันนักกีฬายอดเยี่ยม” ประจำปี 2565 กำหนดมอบทั้งหมด 24 รางวัล ไฮไลท์อยู่ที่ รางวัลนักกีฬาสมัครเล่นยอดเยี่ยมชาย ได้แก่ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ จากการคว้ารองแชมป์โลก และ 2 เหรียญทองกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ส่วนฝ่ายหญิงได้แก่ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ (เทควันโด รุ่น 49 กก.หญิง) จากผลงานแชมป์สแปนิช โอเพ่น 2022, เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ สนามที่ 2-3-ไฟนัลส์, เหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 31 และเหรียญทองแเดง ชิงแชมป์โลก 2022
นักกีฬาอาชีพชายยอดเยี่ยม ได้แก่ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา จากการสร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่คว้าแชมป์จักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รุ่นโมโตทู ในสนาม 2 ที่อินโดนีเซีย และยังจบอันดับ 10 ของโลกในฤดูกาล 2022 ขณะที่นักกีฬาอาชีพหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ “จีน” อาฒยา ฐิติกุล นักกอล์ฟสาวที่คว้า 2 แชมป์แอลพีจีเอทัวร์ รายการ เจทีบีซี คลาสสิค กับ รายการ วอลมาร์ท เอ็นดับเบิลยู อาร์คันซอ แชมเปี้ยนชิพ แถมยังขึ้นไปรั้งมือ 1 โลก ด้วยวัยเพียง 19 ปี 8 เดือน 11 วัน พร้อมกับคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี 2022 อีกด้วย
รางวัลนักกีฬาเยาวชนชายยอดเยี่ยม ได้แก่ “บิว” ภูริพล บุญสอน (กรีฑา) ผลงาน 3 ทอง วิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร, 4×100 เมตร ซีเกมส์ ครั้งที่ 31, รางวัลนักกีฬาเยาวชนหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ 1 “ขนมจีบ” ณัฐกมล วาสนา (เทควันโด รุ่น 44 กก.หญิง) ผลงาน แชมป์เยาวชนโลก 2022 กับ แชมป์เยาวชนเอเชีย 2022
รางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยม ได้แก่ ฉลามดำ นายกเอท่าศาลา สถิติ ชก 7 ไฟต์ ชนะ 7 ไฟต์รวด, รางวัลนักมวยไทยดาวรุ่งยอดเยี่ยม ได้แก่ ขุนศึกเล็ก บูมเด็กเซียน สถิติ ชก 9 ไฟต์ ชนะ 9 ไฟต์รวด, รางวัลทีมผู้ฝึกสอนมวยไทยยอดเยี่ยม ได้แก่ ทีมค่ายมวย ส.โชคมีชัย
รางวัลชนิดกีฬาทีมยอดเยี่ยม (Sport) ได้แก่ ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุดเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย เนชั่นส์ลีก 2022 และจบอันดับ 8 ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์, รางวัลประเภททีมกีฬายอดเยี่ยม (Event) ได้แก่ ทีมเทเบิลเทนนิส ประเภทหญิงคู่ (สุทธาสินี เสวตรบุตร กับ อรวรรณ พาระนัง) ผลงาน 1 ทอง ซีเกมส์ ครั้งที่ 31, รางวัลชนิดกีฬาทีมอาชีพยอดเยี่ยม (Sport) ได้แก่ สโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์ฟุตบอลอาชีพ 3 รายการ ได้แก่ ไทยลีก, เอฟเอคัพ และลีกคัพ
รางวัลประเภททีมกีฬาอาชีพยอดเยี่ยม (Event) ได้แก่ แบดมินตัน ประเภทคู่ผสม (เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย) แชมป์ เจแปน โอเพ่น 2022, แชมป์ สิงคโปร์ โอเพ่น 2022, แชมป์ เยอรมัน โอเพ่น 2022, รางวัลผู้ฝึกสอนกีฬายอดเยี่ยม ได้แก่ พล.ต.ต.ศุภวณัฎฐ์ อาริยะมงคล ประธานผู้ฝึกสอนสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ผลงาน ทีมกรีฑาทีมชาติไทย คว้า 12 ทอง 10 เงิน 6 ทองแดง ซีเกมส์ ครั้งที่ 31
รางวัลผู้ฝึกสอนกีฬาอาชีพยอดเยี่ยม ได้แก่ เทศนา พันธ์วิศวาส (แบดมินตัน) ผู้ฝึกสอนของ เดชาพล พัววรานุเคาระห์ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย (คู่ผสม) ผลงาน แชมป์ เจแปน โอเพ่น, แชมป์ สิงคโปร์ โอเพ่น, เหรียญทองแดง ชิงแชมป์โลก, เหรียญทองแดง ออล อิงแลนด์
รางวัลสมาคมกีฬายอดเยี่ยม ได้แก่ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ, รางวัลนักกีฬาอาวุโสชายยอดเยี่ยม ได้แก่ นายสว่าง จันทร์พราหมณ์ (กรีฑา/อายุ 103 ปี), รางวัลนักกีฬาอาวุโสหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ นางสง่า บุญนอก (กรีฑา/อายุ 68 ปี), รางวัลนักกีฬาคนพิการชายยอดเยี่ยม ได้แก่ วิษณุ ฮวดประดิษฐ์ (บอคเซีย คลาส BC1), รางวัลนักกีฬาคนพิการหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ วิจิตรา ใจอ่อน (เทเบิลเทนนิส), รางวัลเอกชัย นพจินดา ได้แก่ ด.ช.ยุทธจักร ใจกล้า นักฟุตบอลโรงเรียนพิชญบัณฑิต จ.หนองบัวลำภู
รางวัลธรรมาภิบาลทางการกีฬาได้แก่ สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย และรางวัลบุคลากรผู้ทรงคุณค่าในวงการกีฬา ประกอบด้วย นายจุตินันทร์ ภิรมย์ภักดี อดีตประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย, ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย, ดร.อารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, นายชาตรี ศิษย์ยอดธง วีอีโอและผู้ก่อตั้ง ONE แชมเปี้ยนชิพ และ นายไชยพงษ์ กรวสุรมย์ อดีตผู้จัดการทีมสนุกเกอร์ทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 31
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
แพทย์เตือน! กินจุแต่ผอม สัญญาณอันตรายของโรคเบาหวาน
แพทย์แนะกินอยู่รู้ทันป้องกันเบาหวาน
อธิบดีกรมการแพทย์ เผย โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายและยังมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่โรคเบาหวานไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หากรู้จักควบคุมเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เครียด และหมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดเสี่ยงโรค
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เบาหวานเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ตามปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินจากการที่ตับอ่อนผลิตไม่พอใช้หรือผลิตแล้วใช้ไม่ได้ตามปกติ เมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่นานจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ส่งผลทำให้หลอดเลือดเสื่อมเสียหายและทำลายอวัยวะส่วนปลายทาง เช่น ไต สมอง หัวใจ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ความดันโลหิตและไขมันสูงร่วมด้วย
โดยปกติในกระแสเลือดของเราจะมีน้ำตาลอยู่ในระดับที่พอดีสำหรับการนำไปใช้คือ 70-120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากระดับน้ำตาลในเลือดเกิน 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตจะกรองน้ำตาลออกมาในปัสสาวะทำให้สามารถตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะได้ โรคเบาหวาน มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่พึ่งอินซูลินมักพบในเด็กหรือวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินทุกวันตลอดชีวิตถ้าขาดจะเป็นอันตรายได้ และชนิดที่ไม่พึ่งอินซูลินพบมากกว่าชนิดแรก ประมาณร้อยละ 90-95 ของคนไข้เบาหวาน มักพบในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
สำหรับอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อยและมาก ปัสสาวะกลางคืน คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลด ผอมลง อ่อนเพลีย เป็นแผลหรือฝีง่ายแต่หายยาก คันตามผิวหนังและอวัยวะสืบพันธุ์ ตาพร่ามัว ชาปลายมือปลายเท้าความรู้สึกทางเพศลดลง โดยมีสาเหตุมาจากภาวะน้ำหนักเกิน ความอ้วน ขาดการเคลื่อนไหวไม่ออกกำลังกาย และกรรมพันธุ์ มักพบโรคนี้ในผู้ที่มีบิดา มารดา เป็นเบาหวานลูกจะมีโอกาสเป็นเบาหวาน 6-10 เท่าของคนที่พ่อแม่เป็นเบาหวาน ความเครียดเรื้อรังทำให้อินซูลินทำงานนำน้ำตาลเข้าเนื้อเยื่อไม่เต็มที่ รวมถึงเชื้อโรคหรือยาบางชนิด เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองหรือต่อมหมวกไต เป็นต้น โรคเบาหวานถึงแม้ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง แต่ก็สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมระดับน้ำตาลและปัจจัยเสี่ยง เช่น บริโภคอาหารที่สมดุลกับสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เครียด และตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น
อธิบดีกรมการแพทย์ แนะ หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานควรเข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจากสถานบริการรักษาพยาบาลพื้นฐาน โดยก่อนตรวจจะต้องงดอาหารทุกชนิดยกเว้นน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และควรดูแลสุขภาพเลือกรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีกากใยมากขึ้น เช่น ข้าวซ้อมมือ รับประทานผักให้มากขึ้นเน้นรับประทานประเภทผักใบ เช่น ผักกาดขาว คื่นฉ่าย ตำลึง คะน้า เป็นต้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส จะช่วยให้ห่างไกลโรคได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
8 วิธีบอกลาภาษาอังกฤษอย่างไรให้ไม่น่าเบื่อ
สวัสดีค่ะ หลายๆคนคงจะรู้วิธีบอกลาในภาษาอังกฤษกันอยู่แล้วเนอะ เช่นคำว่า Goodbye หรือ Bye bye แต่การบอกลาในภาษาอังกฤษไม่ได้มีแค่นี้ซะหน่อย เพราะฉะนั้นลองมาเรียนรู้คำอื่นๆที่ใช้บอกลากันดีกว่าค่ะ
1. I’ve got to get going (ไอฟฺ ก็อต ทู เก็ท โก อิ้ง)
คำนี้เป็นสำนวนหรือ expression มีความหมายเหมือนกับคำว่า I really need to leave หรือ ฉันต้องไปแล้ว เราลองมาดูตัวอย่างการใช้นะคะ เผื่อใครยังไม่เก็ท
ตัวอย่างสถานการณ์
เมื่อนายเอไปเยี่ยมบ้านนายบี แล้วนายบีชวนนายเอทานข้าวที่บ้านด้วยกัน แต่นายเอเนี่ยเกิดรู้สึกเกรงใจเพื่อนขึ้นมา นายเอก็เลยปฏิเสธแบบอ้อมๆได้ว่า
No thanks, I’ve got to get going.
(ไม่ล่ะ ขอบคุณนะ ฉันต้องกลับแล้วละ)
2. I’m off (ไอมฺ ออฟ)
คำนี้เป็นสำนวนอีกแล้วค่ะ แต่ไม่ได้แปลว่า ฉันปิด แต่อย่างใดนะคะ แต่หมายความว่า I’m leaving ใช้ในการบอกลา ตัวอย่างเช่น
A: It’s time to go home. I’m off. (ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับบ้านแล้วละ บาย)
B: See you later! (ไว้เจอกันวันหลังนะ!)
แต่ถ้าอยากจะบอกว่าไปที่ไหนสามารถเติม to และตามด้วยสถานที่ได้เลยค่า เช่น
I’m off to Siam Paragon (ฉันจะไปสยามพารากอนแล้วนะ)
It’s getting late. I’m off to bed. (ดึกแล้ว ฉันไปนอนล่ะ)
3. I’m afraid I have to go now. (ไอมฺ อะเฟรย์ดฺ ไอ แฮฟ ถุ โก นาว)
ประโยคนี้เป็นการบอกลาที่สุภาพ อาจจะใช้กับเจ้านาย ญาติผู้ใหญ่ หรือคนที่ไม่สนิทกัน ซึ่งคำว่า afraid สามารถแปลได้ว่า “หวาดกลัว,เกรงว่า” แต่ในประโยคนี้ไม่ได้แปลว่า “กลัว” นะคะ แต่จะแปลว่า “ฉันเกรงว่าฉันจะต้องไปแล้ว” ตัวอย่างเช่น
I have an appointment at 10 o’clock. Now, it’s 9.30. I’m afraid I have to go now.
ผมมีนัดตอนสิบโมง ตอนนี้ก็เก้าโมงครี่งแล้ว ผมเกรงว่าผมจะต้องไปแล้วล่ะ
4. I look forward to seeing you again (ไอ ลุค ฟอเวิร์ด ทู ซีอิง ยุว อเกน)
เรามาถึงครึ่งทางกันแล้วนะคะ คำว่า look forward เป็น Phrasal Verb นะคะ เราไม่สามารถแยกออกเป็นคำๆได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่แปลว่า มองตรงไป แต่จะแปลว่า “ตั้งตาคอย” และสำหรับประโยคนี้เราจะแปลได้ว่า “ฉันตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะเจอคุณ” คืออยากเจออีกครั้งมากๆนั่นเอง เช่น
A: Good bye.
B: I look forward to seeing you again.
และมีจุดสังเกตอีกที่หนึ่งนะคะ บางคนอาจจะคิดว่าหลัง to จะต้องตามด้วย v.infinitive เท่านั้น แต่ถ้าเป็นในประโยคนี้ to จะทำหน้าที่เป็น Preposition เพราะฉะนั้นกริยาที่ตามมาต้องเป็น verb+ing หรือ Gerund นั่นเองค่า
นอกจากการบอกลาแล้ว สำนวนนี้ยังใช้ในการลงท้ายจดหมายได้ด้วยค่ะ เช่น
I look forward to your reply.
(ฉันตั้งหน้าตั้งตารอการตอบกลับของคุณ)
5. Gotta roll (กั่ดดะ โร็ล)
คำนี้หมายความว่า ลาก่อน เช่นเดียวกับคำที่ผ่านๆมานะคะ แอบบอกไว้ก่อนนิดนึง คำนี้ถือเป็นคำแสลงในภาษาอังกฤษ ไม่ควรจะใช้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ เช่นการสัมภาษณ์งานหรือการประชุมนะคะ แต่เราสามารถใช้กับเพื่อนฝูงหรือคนสนิทได้ ไม่ผิดค่า เอาล่ะเรามาดูตัวอย่างการใช้กันดีกว่า
The movie will start in 10 minutes, we gotta roll!
หนังจะฉายในสิบนาที เราต้องไปแล้วล่ะ !
6. Catch you later (แค็ท ชุว เลเถ่อะ)
ถึงแม้คำว่า catch จะเป็นกริยาที่มีความหมายว่า “จับ” แต่ในประโยคนี้เราจะไม่แปลว่า จับเธอทีหลัง(ว๊ายย!!) แต่เราจะแปลเหมือนกับคำว่า see you later หรือ “เจอกันวันหลัง” นั่นเองค่า ตัวอย่างเช่น
I just called to say hi and I hope that we can talk tomorrow. Catch you later.
ผมแค่โทรมาทักทายและผมหวังว่าเราจะได้คุยกันพรุ่งนี้นะ แล้วเจอกันครับ
7. Smell you later (สเม็ล ยุว เลเถ่อะ)
สำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ดมคุณทีหลัง อย่าเข้าใจผิดกันล่ะ แต่เราจะแปลว่า “แล้วเจอกัน” ซึ่งสำนวนนี้พึ่งจะมีมาเมื่อในช่วงปี 1990’s เองค่ะ แค่ยี่สิบกว่าปีเอง เพราะฉันนั้นสำนวนนี้มักจะถูกใช้โดยเด็กๆหรือวัยรุ่นกันเสียมากกว่า ตัวอย่างเช่น
Sorry bro, I can’t be late to school. I’ll smell you later.
โทษทีนะน้องชาย ฉันไปโรงเรียนสายไม่ได้ แล้วเจอกัน
8. So long (โซ ลอง)
คำนี้สามารถแปลได้สองความหมาย ความหมายแรกก็คือ “ลาก่อน” ส่วนความหมายที่สองคือ “ระยะเวลาที่ยาวนาน” นั่นเอง ส่วนจะแปลว่าอย่างไร ต้องขึ้นอยู่กับบริบทหรือประโยคที่อยู่รอบข้างนะคะ เราลองมาดูสถานการณ์ต่อไปนี้ดีกว่าค่ะ
ความหมายที่หนึ่ง
A: So, you’re going to Italy. I’ll miss you so much.
เธอจะไปอิตาลีแล้ว ฉันคงคิดถึงเธอน่าดู
B: Yeah, I’ll miss you too.
ใช่ ฉันจะคิดถึงคุณเหมือนกัน
A: So long, have a safe trip.
ลาก่อน เดินทางปลอดภัยนะ
ความหมายที่สอง
Finally, you arrived. I was waiting for so long.
ในที่สุดเธอก็มาถึงสักที ฉันรอเธอจนรากงอกละ
เห็นไหมคะว่าการบอกลามีมากมายหลายวิธีเลยทีเดียว ซึ่งการเรียนรู้คำเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่ใช้ในการพูดเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีประโยชน์เวลาที่เราอ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย หากคนที่ไม่เคยเรียนรู้คำเหล่านี้เจอครั้งแรกก็อาจจะไม่เข้าใจ เพราะคำเหล่านี้แปลตรงๆมันก็จะฟังดูแปลกๆ หน่อย แล้วเจอกันในบทความถัดไปนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ฟินเทคทั่วโลกอ่อนแรงระยะสั้น ชี้‘เวอร์ชวลแบงก์’หนุนตลาดไทยโต
เคพีเอ็มจี คาดแนวโน้มตลาดฟินเทคทั่วโลก ครึ่งปี 66 อ่อนแรงระยะสั้น เชื่อการเปลี่ยนแปลงบริการทางการเงิน และรวมบริการทางการเงินเข้ากับภาคส่วนอื่นๆ เป็นแรงหนุนการลงทุนเป็นบวก ขณะที่ลงทุนคริปโต อ่อนแอเป็นพิเศษ หลังหน่วยงานกำกับคุมเข้ม
นายคริสโตเฟอร์ ซาวน์ เดอร์ส หัวหน้าฝ่ายธุรกิจบริการด้านการเงิน กรรมการบริหาร เคพีเอ็มจีประเทศไทย เปิดเผยว่าความท้าทายของเศรษฐกิจมหภาคที่ส่งผลต่อตลาดสาธารณะและกรอบเวลาการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial public offering – IPO) ที่ คาดว่ายังคงปิดได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนด้านฟินเทคทั่วโลกจะยังคงชะลอตัว เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของปี 2565
ขณะที่กิจกรรม M&A เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ขนาดข้อตกลงน่าจะเล็กลงมากเนื่องจากนักลงทุนรอการประเมินมูลค่าของบริษัทระยะสุดท้าย (late-stage companies) เพื่อจ่ายชำระ ส่วนเร็กเทค (เทคโนโลยีด้านการกำกับดูแล – Regulatory technology: Regtech) มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นภาคส่วนที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดในการลงทุนด้านฟินเทค นอกเหนือจากโซลูชั่น B2B ภายในกลุ่มฟินเทคทั้งหมด
สำหรับการลงทุนคริปโต คาดว่าจะอ่อนแอเป็นพิเศษในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เนื่องจากนักลงทุนพิจารณากระบวนการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะกิจการ (Due diligence) ของตนอีกครั้ง และหน่วยงานกำกับดูแลพิจารณากฎระเบียบด้านคริปโตที่เข้มงวดขึ้น การใช้โซลูชันบล็อกเชนในขอบเขตการใช้งานที่กว้างขวางขึ้น รวมถึงกรณีการใช้งานกับสถาบัน การชำระเงินข้ามพรมแดน การเล่นเกม และ สินทรัพย์ดิจิทัลที่แต่ละโทเคนมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถแทนที่กันได้ (Non-fungible token – NFT) น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น
แม้ว่าตลาดฟินเทคทั่วโลกจะอ่อนแอในระยะสั้น แต่แนวโน้มระยะยาวสำหรับการลงทุนฟินเทคยังคงเป็นบวก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของบริการทางการเงินในเขตการปกครองต่างๆ และการมุ่งเน้นที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกในการรวมบริการทางการเงินเข้ากับภาคส่วนอื่นๆ
“การลงทุนด้านฟินเทคลดลงทั่วโลกในปี 2565 เนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อภาคเทคโนโลยีและความวุ่นวายในแวดวงคริปโต แต่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงรักษาระดับการลงทุนและแตะจุดสูงสุดใหม่เล็กน้อย แม้ว่าแนวโน้มการลงทุนด้านฟินเทคทั่วโลกในปี 2566 จะลดลง แต่ยังมีความหวังด้านการเติบโตอย่างต่อเนื่องในเอเชียแปซิฟิก เนื่องด้วยแรงหนุนจากความต้องการบริการทางการเงินแบบฝังตัว (Embedded finance) โซลูชันการให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ที่่ช่วยดำเนินธุรกิจในเรื่องต่างๆ (Software-as-a-Service – SaaS) เทคโนโลยีบล็อกเชน การขยายธนาคารเสมือนจริง (Virtual banking) ซึ่งประเทศไทยเตรียมประกาศใบอนุญาตใหม่เพื่อสนับสนุนการขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เคยเข้าถึงบริการธนาคาร (Unbanked) หรืออาจจะเข้าถึงบริการของธนาคารแล้วแต่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ (Underbanked) และการเปิดประเทศของจีน”
นายคริสโตเฟอร์ ซาวน์เดอร์ส กล่าวต่อไปว่าจากรายงาน Pulse of Fintech H2’22 ซึ่งเป็นรายงานเกี่ยวกับเทรนด์การลงทุนในเทคโนโลยีด้านการเงิน (FinTech) ที่จัดทำขึ้นปีละสองครั้งโดยเคพีเอ็มจี พบว่าการลงทุนในฟินเทคทั่วโลกผ่านการควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition – M&A) การลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity – PE) และธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital – VC) ลดลงสู่ 164.1 พันล้านเหรียญสหรัฐจากการทำดีล 6,006 รายการในปี 2565 หลังจากทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 238.9 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก 7,321 ดีลในปี 2564 แม้ว่าผลลัพธ์จะตํ่ากว่ามากเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในปี 2564 แต่ปี 2565 ไม่ใช่ปีที่ยํ่าแย่ โดยปี 2565 เป็นปีที่ดีที่สุดอันดับ 3 สำหรับการลงทุนด้านฟินเทคและเป็นปีที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ด้านปริมาณการซื้อขาย
การลดลงอย่างรวดเร็วของการลงทุนด้านฟินเทคระหว่างช่วงครึ่งแรกและครึ่งหลังของปี 2565 จาก 119.2 สู่ 44.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตอกยํ้าให้เห็นถึงสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีดีลมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใน M&A แปดรายการ ซึ่งรวมถึงการที่บริษัท Block ในสหรัฐอเมริกาเข้าซื้อกิจการบริษัท Afterpay ในออสเตรเลียที่มูลค่า 27.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเพิ่ม VC สองรายการ ได้แก่ Trade Republic ในเยอรมนีและ Checkout.com ในสหราชอาณาจักร และข้อตกลง PE หนึ่งรายการ คือบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล Genesis ในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีข้อตกลง M&A เพียงสามรายการที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการซื้อกิจการบริษัท Avalara มูลค่า 8.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ การซื้อกิจการบริษัท Billtrust มูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และการซื้อกิจการบริษัท Computer Services Inc. มูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ
การระดมทุน VC ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีมูลค่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐโดยบริษัท Klarna ในสวีเดน ซึ่งเป็นการปรับลดราคาลงอย่างมีนัยสำคัญ และข้อตกลง PE ที่ใหญ่ที่สุดคือการระดมทุนจำนวน 250 ล้านเหรียญสหรัฐโดยบริษัท Avant ในสหรัฐอเมริกา
ในระดับภูมิภาค ทวีปอเมริกายังคงมีอิทธิพลในตลาดโลก โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุน 68.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 โดยที่สหรัฐอเมริกาคิดเป็น 61.6 พันล้านเหรียญสหรัฐจากยอดลงทุนทั้งหมด ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 50.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 ภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ดึงดูดเงินได้ 44.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่การชำระเงินดึงดูดส่วนแบ่งเงินทุนด้านฟินเทค มากที่สุดในปี 2565 (53.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) แต่เร็กเทค (เทคโนโลยีด้านการกำกับดูแล) กลับเป็นภาคส่วนธุรกิจที่ร้อนแรงที่สุดของปี โดยการลงทุนเพิ่มขึ้นจาก 11.8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2564 เป็น 18.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ประโยชน์ของ “แตงโม” และข้อควรระวังที่ควรทราบก่อนกิน
แตงโม เป็นพืชตระกูลแตง เช่นเดียวกับแคนตาลูป เมลอน แตงกวา เป็นต้น พันธุ์ที่อาจรู้จักกันดี เช่น พันธุ์จินตหรา แตงโมส่วนใหญ่มีรสหวาน เปลือกมีสีเขียวเป็นริ้ว เนื้ออาจมีสีแดงหรือสีเหลืองแล้วแต่สายพันธุ์ ผลไม้ชนิดนี้จัดเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำจึงนิยมรับประทานเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นหรือดับร้อน นอกจากนี้ แตงโมยังมีสารอาหารหลากหลายและยังอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งและเบาหวาน ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคแตงโมในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น ทำให้เสี่ยงน้ำตาลในเลือดสูง
คุณค่าทางโภชนาการของแตงโม
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture หรือ USDA) ที่ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2562 ระบุว่า แตงโมสุก 100 กรัม มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 91.4 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 30 กิโลแคลอรี่ และมีสารอาหารต่างๆ ดังต่อไปนี้
- คาร์โบไฮเดรต 7.55 กรัม
- น้ำตาล 6.2 กรัม (แบ่งเป็นน้ำตาลฟรุกโตส 3.36 กรัม น้ำตาลกลูโคส 1.58 กรัม น้ำตาลซูโครส 1.21 กรัม และน้ำตาลมอลโทส 0.06 กรัม)
- โปรตีน 0.61 กรัม
- ไฟเบอร์ 0.4 กรัม
- ไขมัน 0.15 กรัม
- โพแทสเซียม 112 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 8.1 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 28 ไมโครกรัมอาร์เออี
นอกจากนี้ ในแตงโมยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลากหลายชนิด เช่น เหล็ก สังกะสี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 โฟเลต โคลีน แคโรทีน ลูทีนและซีแซนทีน โดยเฉพาะไลโคปีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายจนเสื่อมสภาพก่อนวัย และอาจนำไปสู่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน เป็นต้น
ประโยชน์ของแตงโม
แตงโมอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนคุณสมบัติในการรักษาและป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพของแตงโม ดังนี้
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดน้ำ
แตงโมได้ชื่อว่าเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ เนื่องจากมีน้ำประกอบอยู่มากถึงประมาณ 90% ยกตัวอย่าง แตงโมสุก 100 กรัม มีน้ำ 91.4 มิลลิลิตร และการรับประทานอาหารที่มีน้ำในปริมาณมากอาจช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น ส่งผลให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ เช่น การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย การลำเลียงสารอาหารไปสู่อวัยวะส่วนต่างๆ ทั้งยังช่วยให้ร่างกายตื่นตัวอยู่เสมอ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดน้ำ - อาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา เผยว่า อนุมูลอิสระเป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถทำลายเนื้อเยื่อและเซลล์ หรือทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์ เช่น ดีเอ็นเอ โปรตีน เยื่อหุ้มเซลล์ แปรสภาพและเสื่อมสภาพก่อนวัย ส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง แต่หากร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอ อาจช่วยปรับสมดุลของอนุมูลอิสระภายในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคดังกล่าวได้
ในแตงโมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ไลโคปีน คิวเคอร์บิทาซิน อี (Cucurbitacin E) โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของไลโคปีนกับความเสี่ยงมะเร็งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Medicine (Baltimore) ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งได้ทำการวิจัยโดยการทบทวน วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลจากงานวิจัยอื่นที่เกี่ยวข้องจำนวนกว่า 2,300 ชิ้น พบว่า การบริโภคไลโคปีนซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เนื่องจากไลโคปีนอาจช่วยลดระดับไอจีเอฟ-วัน (IGF-1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน และทำให้เซลล์แบ่งตัว เมื่อฮอร์โมนชนิดนี้ลดลง จึงอาจช่วยยับยั้งการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง - อาจช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ
แตงโมมีกรดอะมิโนชื่อว่าซิทรูลีน (Citrulline) ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังกาย โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยโค-รยอ ประเทศเกาหลีใต้ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Sport and Health Science ของประเทศจีน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างซิทรูลีนกับระดับแลคเตทในเลือด ค่าความเหนื่อย และอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย ด้วยวิธีการทบทวน วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 13 ชิ้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานวิจัยทั้งหมด 206 คน พบว่า การรับประทานอาหารเสริมซิทรูลีนเป็นประจำ ช่วยลดค่าความเหนื่อย และอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้จริง โดยไม่ส่งผลต่อระดับแลคเตทในเลือด ซึ่งแลคเตท (Lactate) เป็นกรดชนิดหนึ่งที่ร่างกายจะหลั่งออกมาเมื่อออกแรงมากๆ ยิ่งมีแลคเตสสูง ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อล้า
- อาจช่วยบำรุงผิว
วิตามินซีจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้ผิวและผมแข็งแรง ส่วนวิตามินเอก็มีส่วนในกระบวนการสร้างและฟื้นฟูเซลล์ผิวหนัง การรับประทานแตงโมที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซีเป็นประจำจึงอาจช่วยให้สุขภาพผิวและเส้นผมแข็งแรงขึ้นได้ โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับบทบาทของวิตามินซีต่อสุขภาพผิวที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 พบว่า วิตามินซีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ช่วยให้แผลที่ผิวหนังสมานเร็วขึ้น ช่วยลดการเกิดแผลเป็น ทั้งยังอาจช่วยลดเลือดริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย - อาจช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
แตงโมเป็นผลไม้รสหวานที่ให้พลังงานต่ำ หากรับประทานแตงโมเป็นอาหารหวาน หรือเป็นของว่างรองท้องระหว่างมื้ออาหาร ในปริมาณพอเหมาะ อาจส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักมากกว่าการรับประทานเบเกอรี่ หรือขนมคบเคี้ยว โดยงานศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยซานดิเอโก (San Diego State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งได้วิจัยเกี่ยวกับผลของการบริโภคแตงโมสดกับการตอบสนองต่อความอิ่มแบบฉับพลันและความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ใหญ่ (อายุ 18-55 ปี) ที่มีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน โดยให้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มแรกรับประทานแตงโมสดทุกวันๆ ละ 2 ถ้วย (ประมาณ 300 กรัม) ซึ่งให้พลังงาน 92 กิโลแคลอรี่ และให้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มที่ 2 รับประทานคุกกี้ที่ให้พลังงานเท่ากัน เป็นเวลาทั้งหมด 4 สัปดาห์ พบว่า แตงโมสดช่วยให้อิ่มและอยู่ท้องนานกว่าคุกกี้ โดยสามารถลดความหิวและความอยากอาหารได้นานกว่า 90 นาทีหลังรับประทาน นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างที่รับประทานแตงโมสดยังมีรอบเอวเล็กลง น้ำหนักตัวและระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทั้งยังมีระดับสารต้านอนุมูลอิสระและไขมันในเลือดที่สมดุลขึ้นด้วย - อาจช่วยทำให้ข้อต่อแข็งแรงขึ้น
สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อย่างเบต้า-คริปโตแซนทีน (Beta-Cryptoxanthin) ในแตงโม อาจช่วยป้องกันข้อต่ออักเสบ ส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ลดลงได้ โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารThe American Journal of Clinical Nutrition ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสารเบต้า-คริปโตแซนทีนและโรคข้ออักเสบหลายข้อ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยโรคข้ออักเสบหลายข้อชาวยุโรปจำนวนกว่า 25,000 ราย พบว่า การบริโภคเบต้า-คริปโตแซนทีนให้มากขึ้นจากการดื่มน้ำส้มคั้นสดวันละ 1 แก้ว เป็นต้น อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ - เผลอกลืนเมล็ดแตงโมจะเป็นอันตรายไหม
โดยปกติแล้ว การเผลอกลืนเมล็ดแตงโมเพียงไม่กี่เมล็ดลงท้องมักไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด เนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารสามารถย่อยเมล็ดแตงโมและเปลี่ยนเป็นของเสียขับออกจากร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานเมล็ดแตงโมจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร หรือทำให้ท้องผูกได้ ก่อนรับประทานแตงโมจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีเมล็ดหลงเหลืออยู่ในเนื้อแตงโม โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่จะรับประทานเป็นเด็กเล็ก เพราะนอกจากอาจทำให้เกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหารได้แล้ว เมล็ดแตงโมยังอาจติดคอ หรือทำให้สำลักได้
ข้อควรระวังในการบริโภคแตงโม
แม้แตงโมจะมีสารอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่หากรับประทานมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น
- ทำให้มีปัญหาในระบบย่อยอาหาร เช่น ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องเสีย โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน และโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากแตงโมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตซึ่งไม่สามารถย่อยและดูดซึมในทางเดินอาหารได้ เช่น น้ำตาลฟรุกโตส
- อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ เนื่องจากแตงโมมีค่าดัชนีน้ำตาลหรือไกลซีมิกสูง หลังรับประทานเข้าไปอาจทำให้น้ำตาลในเลือดแปรปรวนหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน หรือมีภาวะเสี่ยงเบาหวาน
- การรับประทานแตงโมอาจก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้ โดยสามารถสังเกตได้จากอาการ เช่น ลมพิษ ปากบวม หน้าบวม หายใจลำบาก หากพบอาการดังกล่าว ควรหยุดรับประทานแตงโมและเข้าพบคุณหมอทันที เพราะหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะปฏิกิริยาแพ้รุนแรงซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/04/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,350.00 | 32,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,095.00 | 31,760.20 | 32,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,885.50 | 28,584.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,676.00 | 25,408.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 943.00 | 14,295.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 733.00 | 11,112.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,171.00 | 32,912.36 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/04/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.85 | 36.85 | 37.34 | 36.85 | 36.85 | 36.85 | 36.85 | 37.25 | 36.85 | 36.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.58 | 36.58 | 37.04 | 36.58 | 36.58 | 36.58 | 36.58 | 36.98 | 36.58 | 36.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.54 | 34.54 | 34.74 | 34.54 | 34.54 | – | 34.54 | 34.94 | 34.54 | 34.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.99 | 34.99 | – | – | – | – | – | – | – | 34.99 |
เบนซิน 95 | 44.66 | – | – | – | 44.71 | – | 45.16 | 45.21 | – | 44.66 |
ดีเซล B7 | 32.94 | 32.94 | 33.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซล B20 | 32.94 | 32.94 | 33.44 | – | 32.94 | – | 32.94 | – | – | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.06 | 42.16 | 43.74 | 43.66 | 43.66 | – | – | – | – | 42.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |