สาระน่ารู้ประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2567

จับตา‘Perfect Storm’อสังหาฯระลอกใหม่สั่นคลอนความเชื่อมั่น หวั่นฉุดตลาดซบ

  • ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังเผชิญ “Perfect Storm” ลูกใหม่! ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 จากการเมืองร้อน
  • เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนผู้นำใหม่ “แพทองธาร ชินวัตร” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 รับไม้ต่อจาก “เศรษฐา ทวีสิน”
  • แม้จะเป็นขั้วเดิมแต่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ส่งผลต่อความมั่นใจของภาคเอกชนรวมถึงประชาชน 
  • ขณะที่ เครื่องยนต์เศรษฐกิจอย่าง “อสังหาริมทรัพย์” ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเพราะ “ติดกับดัก” หนี้ครัวเรือนสูง มีผลต่อกำลังซื้อ รวมทั้งตัวเลขการถูกปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 70%
  • ทำให้ไตรมาสแรก ปี 2567 ตัวเลขติดลบยกแผง! ทั้งตัวเลขเปิดตัวใหม่ ยอดขาย การโอน

ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเสมือนเผชิญกับมหาพายุ หรือ  “Perfect Storm”  อีกระลอกหลัง “สึนามิ” 

โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา ยอดขายบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเทียบ YoY ติดลบ 49% ราคา 3-5 ล้านบาท ติดลบ 47% ราคา 5-7 ล้านบาท ติดลบ 14% ราคา 7-10 ล้านบาท ติดลบ 19% ราคา 10-20 ล้านบาท ติดลบ 2% ราคา 20-50 ล้านบาท ติดลบ 1% ราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป เติบโต 29% จนถึงไตรมาส 2 ยอดขาย ยอดโอน การเปิดตัวใหม่ยังคง “ลดลง” ต่อเนื่อง แถมยังมี “พายุไต้ฝุ่น” จากปัจจัยทางการเมืองเข้ามาอีก

ดังนั้น แนวทางของภาคเอกชนในการรับมือกับสถานการณ์เวลานี้ อันดับแรก คือ  “Wait & See” รอดูความชัดเจน! ถือเป็นกลยุทธ์ที่มักนำมาใช้ในช่วงที่ตลาดขาดความเชื่อมั่น ไม่มีทิศทางที่ชัดเจนใน 1-2 เดือนนี้ ให้ทุกอย่างนิ่งก่อนที่จะเดินหน้าลงทุน อันดับสอง รักษา “สภาพคล่องทางการเงิน” (Liquidity) ด้วยการแปลงสินทรัพย์กลับเป็น “เงินสด” ทำให้มีสภาพคล่องสูง หรือ แบ็คล็อก (Backlog) เพื่อผ่านมรสุมครั้งนี้ไปให้ได้โดยไม่ต้องไปเสี่ยง ยกตัวอย่าง อนันดาฯ ปิดดีลขายหุ้นบริษัทย่อยเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 5 แห่ง ให้มิตซุย ฟุโดซัง มูลค่า 2,540 ล้านบาท เพื่อเงินทุนหมุนเวียนและลงทุน

“ช่วงนี้ต้องดูทิศทางลมของ Perfect Storm ลูกนี้ก่อนว่าจะกวาดอะไรไปแค่ไหน ในไตรมาส 3 ยังคงยากลำบาก เพราะความเชื่อมั่นหาย แต่เราก็ยังมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความพร้อมก้าวต่อไปข้างหน้า เพราะ 60-70% ของประเทศยังถูกขับเคลื่อนด้วยภาคราชการแม้จะช้าหน่อย”

ทางด้าน โอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีแรก 2567 “ชะลอตัว” มียอดเซ็นสัญญาสั่งสร้างบ้าน ลดลง 15% ในทุกระดับราคาบ้าน มูลค่ารวมอยู่ที่ 4,505 ล้านบาท เทียบครึ่งแรกปี  2566 ที่มียอดเซ็นสัญญาสั่งสร้างบ้าน มูลค่ารวม 5,300 ล้านบาท 

“สะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย ถือเป็นความท้าทายในการทำธุรกิจท่ามกลางภาวะผันผวน หนี้ครัวเรือนสูงถึง 91% ของจีดีพี ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมาลดลง จีดีพีไทยไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 2.3% เท่านั้น ซึ่งโตน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน”

จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง นำไปสู่ภาวะ “ชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน” ออกไปแบบไม่มีกำหนด! 

อย่างไรก็ตาม จากสถิติข้อมูลที่ผ่านมาของตลาดรับสร้างบ้าน พบว่าในครึ่งหลังของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซันของตลาดรับสร้างบ้าน จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเร่งทำการตลาดและกระตุ้นการตัดสินใจผู้บริโภคให้ “สั่งสร้างบ้าน” เร็วขึ้น เพราะนอกจากได้รับทั้งส่วนลดที่บริษัทรับสร้างบ้านนำเสนอราคาพิเศษแล้ว ยังได้รับสินเชื่อสร้างบ้านอัตราดอกเบี้ยลดเพิ่ม รวมทั้งข้อเสนอพิเศษในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2024 ระหว่างวันที่ 18-22 ก.ย.ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

สำหรับแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง 2567 เชื่อมั่นว่าปัจจัยบวกจากโปรโมชั่นของผู้ประกอบการ มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ สร้างบ้านลดหย่อนภาษี  “ล้านละหมื่น”  ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน มูลค่า 1 ล้านบาท หักลดหย่อน 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท โดยเซ็นสัญญาและเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ 9 เม.ย.2567 ถึง 31 ธ.ค.2568  จะกระตุ้นผู้บริโภคและผู้ที่กำลังวางแผนสร้างบ้านตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

สมาคมฯ ตั้งเป้ายอดเซ็นสัญญาจองสร้างบ้าน 5 วันของการจัดงานมูลค่า 4,500 ล้านบาท มีผู้เข้าชมงาน 15,000 คน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านสิ้นปี 2567 มีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท เป็นสัดส่วนตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล 65% ต่างจังหวัด 35%

“เราคงรอดูว่า นโยบายของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ที่จะออกมานั้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุม จะเป็นอย่างไร ในส่วนภาคเอกชนต้องปรับตัวและวางแผนให้สอดรับสถานการณ์นั้นๆ ล่าสุดได้คุยกับสมาชิกในสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านร่วมกันจัดกิจกรรมใหญ่เดือน ก.ย. เพื่อกระตุ้นยอดขายของสมาชิกทั่วประเทศให้สามารถฝ่าความท้าทายนี้ไปได้”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


WHA แย้มไตรมาส 3/67 ลุ้นปิดจ๊อบใหญ่ขายที่กว่า 400 ไร่ ดันพรีเซลทำนิวไฮ

“จรีพร จารุกรสกุล” ยิ้มรับไตรมาส 3/67 มีลุ้นยอดขายทำนิวไฮ เนื้อหอมต่างชาติจีบซื้อที่ดินต่อเนื่อง แวดแบ็กล็อกในมือหนา 880 ไร่ หนุนผลงานครึ่งหลังปี 67 เด่นกว่าครึ่งแรกปีที่ขายที่ดินได้แล้วกว่า 1.04 พันไร่ จ่อปรับเป้าเพิ่มยอดขายที่ดินใหม่เป็น 2.4 พันไร่ จาก 2.27 พันไร่

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนหลังปี 2567 จะมีการเติบโตที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 7,273 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,653 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

โดยเฉพาะผลการดำเนินงานของ WHA ในช่วงไตรมาส 3/2567 นั้น มองว่ายอดขายที่ดินนิคมฯ ในประเทศไทยมีลุ้นที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายที่ดินมากกว่า 300-400 ไร่ กับลูกค้าต่างชาติรายใหม่ ซึ่งในตอนนี้เหลือเพียงการปรับรายละเอียดในข้อตกลงเพียงเล็กน้อย

หากว่าการเซ็นสัญญาซื้อขายในครั้งนี้แล้วเสร็จภายในช่วงไตรมาส 3/2567 บริษัทก็อาจมีการพิจารณาปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายที่ดินในปี 2567 นี้ใหม่ ทั้งนี้ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ครึ่งปีแรก 2567 บริษัทมียอดขายที่ดินรวม 1,042 ไร่ แบ่งเป็นในไทย จำนวน 979 ไร่ และเวียดนาม จำนวน 63 ไร่ และมียอดเซ็น MOU รวม 756 ไร่ ประกอบด้วยไทย จำนวน 714 ไร่ และเวียดนาม จำนวน 43 ไร่

อีกทั้งบริษัทยังมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้ากว่า 879 ไร่ แบ่งเป็นที่ดินในไทย จำนวน 871 ไร่ และในเวียดนาม จำนวน 8 ไร่

โดยที่เดิมทีบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งปี 2567 ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 2,275 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายนิคมฯ ในประเทศไทย จำนวน 1,650 ไร่ และนิคมฯ ในประเทศเวียดนามราว 625 ไร่ ขณะที่แนวโน้มยอดขายที่ดินในประเทศเวียดนาม ปัจจุบันลูกค้ายังชะลอการลงทุน เพราะต้องรอดูว่าใครจะได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนามทั้งหมด 77,600 ไร่ โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 12 แห่ง และยังมีโครงการขยาย/พัฒนานิคมฯ ใหม่ 7 โครงการ บนพื้นที่รวมกว่า 9,430 ไร่ ส่งผลให้บริษัทจะมีพื้นที่นิคมฯ รวมกว่า 52,650 ไร่ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

สำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 5 (3,400 ไร่) ซึ่งอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในไตรมาส 1/2568 และมีพื้นที่พร้อมขายภายในไตรมาส 2/2568

สำหรับประเทศเวียดนาม บริษัทมีการเปิดดำเนินการเขตอุตสาหกรรมแล้ว ซึ่งมีพื้นที่ในการพัฒนารวม 22,815 ไร่ (3,650 เฮกตาร์) ประกอบด้วยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน ที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 2 – เหงะอาน เฟส 1A/1B

และเฟส 2 พื้นที่รวม 1,600 ไร่ (250 เฮกตาร์) ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตสำหรับโครงการสำหรับเฟส 1A/1B พื้นที่ 1,200 ไร่ (189 เฮกตาร์) ภายในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายเขตอุตสาหกรรมใหม่อีก 3 โครงการในจังหวัด Thanh Hoa และ Quang Nam เป็นพื้นที่รวมกว่า 9,690 ไร่ (1,550 เฮกตาร์)

“ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ในปี 67 มีทิศทางที่ค่อนข้างดี เราได้รับอานิสงส์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้เกิดกระแสการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตมายังไทยมากขึ้น ประกอบกับราคาขายที่ดินเฉลี่ยที่ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยภายในสิ้นปีนี้ เราคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินได้มากกว่าเป้าหมายการขายที่ดินที่ได้ประกาศไว้เมื่อต้นปี 67 ที่จำนวน 2,275 ไร่ และอยู่ระหว่างการเตรียมแผนการปรับเป้าหมายการขายที่ดินของปีนี้ใหม่ ซึ่งจะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้”นางสาวจรีพร กล่าว

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิคราะห์ว่า ฝ่ายวิจัยประเมินว่า WHA ยังคงมีความสามารถในการทำกำไรจากการขายที่ดิน ในระดับสูง โดยได้อานิงสงส์จากการปรับราคาขายที่ดินเพิ่มขึ้นราวๆ 20% เทียบ กับรายคาขายที่ดินปี 2566 และฝ่ายวิจัยยังมีมองว่า WHA จะสามารถรักษาระดับ gross margin จากการขายที่ดินระดับสูงกว่า 60% ต่อเนื่องได้ 

เพราะสามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าราคาต้นทุนที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้น, แม้รายได้ จะลดลงเนื่องจากยังคงมีการขายและโอนที่ดินจากโครงการ IER ซึ่งบันทึกเป็นส่วน แบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าไม่กระทบกำไรมากนักเนื่องจาก โครงการดังกล่าวมี gross margin จากการขายที่ดินระดับสูงที่ราวๆ 60 –65%

นอกจากนี้ WHA ยังได้รับค่า management fee เพิ่มเติมอีกราวๆ 7-9% ของยอดขาย ที่ดินโครงการ IER, ด้านเป้าหมายการขายที่ดินปี 2567 มีการปรับเพิ่มอีกครั้ง โดยปรับเพิ่มจาก 2,275 ไร่ (ไทย 1650 ไร่, เวียดนาม 625 ไร่) เป็น 2,400ไร่ (ไทย 2,250 – 2,300ไร่, เวียดนาม 100 – 150ไร่) โดยหนึ่งในนั้นคือที่ดินขนาดใหญ่ (big ticket) ขนาด 400 ไร่จำนวน 1 แปลง 

สาเหตุที่เป้าหมายใหม่ปรับเพิ่มไม่มากนักเนื่องจากยอดขายที่ดินจากเวียดนามปรับลดลงอย่างมี นัยสำคัญเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลประกอบกับนักลงทุนยังรอความ ชัดเจนจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปี นอกจากนี้ ที่ดิน ขนาดใหญ่ (big ticket) เข้ามา1 แปลง จากเดิมที่คาดว่าจะเข้ามา 2 แปลง และที่ดิน ขนาดใหญ่ (big ticket) ขนาด 400ไร่ ที่นับเข้ามาเป็นหนึ่งในยอด pre-sale ที่ปรับเพิ่มนั้น คาดว่าจะโอนในปีหน้าแทน

WHA เปิดตัว”Mobilix” ซึ่งเป็นบริการขนส่งแนวคิด green logistics แห่งแรกใน ประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนความยั่งยืน” โดยมุ่งปฏิวัติการขนส่งด้วย ระบบยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดต้นทุน และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ โดย Mobilix ประกอบด้วยบริการ หลัก 3 ส่วนดังต่อไปนี้

  1. บริการเช่ายานยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) เป็น บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า พร้อมแผนบำรุงรักษาครบวงจรสำหรับองค์กรธุรกิจ โดย ณ สิ้น ก.ค. 2567 มีลูกค้ามาใช้บริการแล้ว 321 คัน โดย WHA ตั้งเป้าหมาย ที่1,000 คันในสิ้นปีนี้
  2. บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) บริการเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับรถยนต์ ไฟฟ้าส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมบริการติดตั้งและ ดูแลรักษา
  3. แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อัจฉริยะ (Mobilix Software Solution) สำหรับบริหารจัดการยานพาหนะไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ติดตามตำแหน่ง วิเคราะห์ สภาพรถแบบเรียลไทม์ เชื่อมโยงผู้ใช้กับเครือข่ายสถานีชาร์จ และจัดการ กระบวนการทำงานให้กับลูกค้ากลุ่ม B2B และ B2C 

ฝ่ายวิจัยประเมินว่า แม้ ปัจจุบัน กำไรจาก Mobilix ยังเป็นสัดส่วนที่ไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจ อื่นๆ ใน WHA แต่เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อกลุ่มธุรกิจ WHA ในช่วง 3 ปีหลังจากนี้ เป็นต้นไปเนื่องจากเพิ่มโอกาสสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่จะมีอัตราการเติบโตสูง กว่าบริษัทในอุตสาหกรรมดั้งเดิมรวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้รวดเร็ว ตามความต้องการของตลาด

ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในประเทศจีนเป็นแรงผลักดันให้บริษัทจีนย้ายไปลงทุน ต่างประเทศ โดยประเทศในกลุ่มอาเซียนได้รับประโยชน์จาก trend ดังกล่าว นอกจากนี้ ช่วงปลายปี 2567 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอีกครั้ง

เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสมัยแรก ซึ่งจะหนุนให้เกิดให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจาก จีนมาสู่ภูมิภาคอาเซียนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัย ที่เกิดขึ้นในระยะสั้น ได้แก่ ยอดขายที่ดินเวียดนามที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับยอดโอนที่ดินแปลงใหญ่400 ไร่ ที่นับเข้ามาเป็นยอด pre-sale ที่เพิ่งปรับเพิ่ม คาดว่าจะต้องโอนในปีหน้าแทน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสม โดยอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20เท่า ได้ราคาเหมาะสม 6.30 บาท แม้ upside เปิดกว้าง 21% แต่ยังให้คำแนะนำเป็น Neutral

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20ส.ค. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 34.36 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ระหว่างวันมีโอกาสผันผวนทั้งในฝั่งแข็งค่าและอ่อนค่าตามทิศทางเงินเยน มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.45 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20ส.ค. 2567 ที่ระดับ  34.36 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.46 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องมากกว่าที่เราประเมินไว้ ทว่า เราเริ่มเห็นสัญญาณว่า การแข็งค่าขึ้นดังกล่าวของเงินบาทอาจชะลอลงบ้างในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของประธานเฟด รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้

นอกจากนี้ เรามองว่า ปัจจัยที่เคยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงก่อนหน้า อย่าง การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ก็เริ่มเจอโซนแนวต้าน ทำให้ในช่วงระยะสั้น ราคาทองคำก็มีความเสี่ยงที่อาจย่อตัวลง ทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นได้บ้าง จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุนให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางที่ชัดเจนขึ้น เช่น ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านและทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

อย่างไรก็ดี เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ หลังความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทยทยอยคลี่คลายลง ทำให้ในเบื้องต้นเราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ใกล้โซน 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์

โดยเงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก หากยังไม่มีปัจจัยเข้ามากดดันเงินบาทที่ชัดเจน เช่น ตลาดกลับไปเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยราว -75bps หรือน้อยกว่านั้น ในปีนี้ (ซึ่งจะกระทบทั้งเงินดอลลาร์ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และราคาทองคำ) หรือ

ตลาดการเงินไทยถูกกดดันโดยความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนโซนแนวรับของเงินบาทนั้น ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะแข็งค่าหลุดโซน 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้หรือไม่ เพราะหากเงินบาทแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าวได้จริง จะเปิดโอกาสให้เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ทดสอบจุดแข็งค่าสุดในปีนี้ แถว 34.10 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก

อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนทั้งในฝั่งแข็งค่าและอ่อนค่า ไปตามทิศทางเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ในช่วงนี้ มีการเคลื่อนไหวในกรอบที่กว้างพอสมควร 145-148 เยนต่อดอลลาร์

ดังจะเห็นได้จากในช่วงวันก่อนหน้าที่เงินเยนญี่ปุ่นได้แข็งค่าขึ้นจากโซน 148 เยนต่อดอลลาร์ จนเข้าใกล้ระดับ 145 เยนต่อดอลาร์ กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และช่วยให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นจนทดสอบโซน 34.40 บาทต่อดอลลาร์

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.45 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงแรกเงินบาททยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ได้ทยอยปรับตัวลดลงราว -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จนทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นแถว 2,485 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะรีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้านแถว 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง หลังเงินดอลลาร์ได้ทยอยอ่อนค่าลง

พร้อมกับจังหวะการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ราว -100bps ในปีนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ

พร้อมกับการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสู่โซนแนวรับแถว 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าวได้ ก็อาจทยอยแข็งค่าทดสอบจุดแข็งค่าสุดในปีนี้แถว 34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า ประธานเฟดอาจส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยได้ในงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดต่างก็คลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักมากขึ้น

อนึ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia +4.4% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.39% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.97% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.61% ตามอานิสงส์ของภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ อาทิ Rio Tinto +1.7% หลังราคาแร่โลหะได้ทยอยปรับตัวขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ในช่วงนี้

 ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideways ในกรอบ 3.80%-3.90% หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole อนึ่ง ควรระวังจังหวะปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หากตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยในปีนี้ ได้น้อยกว่า -100bps ที่ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำเดิม “เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip” หรือเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น ส่วนจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นนั้น ก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดพิจารณาขายทำกำไรได้บ้าง หากมีกลยุทธ์ Range-Bound Trading

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดราว -100bps ในปีนี้

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 101.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.8-102.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าในช่วงแรกราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากแรงขายทำกำไร รวมถึงการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จนลงมาทดสอบโซนแนวรับ 2,520-2,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แต่ราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 2,540-2,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามจังหวะการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมทองคำตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงคืนที่ผ่านมา 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ Raphael Bostic (Fed Atlanta) และ Michael Barr (Vice Chair for Supervision) ในช่วงเช้าตรู่ของวันพุธที่ 21 สิงหาคม เพื่อประเมินมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ ทิศทางนโยบายการเงินของเฟด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ยาคลายกล้ามเนื้อ Norgesic vs Mydocalm ต่างกันอย่างไร?

ใครที่เคยปวดเมื่อยแล้วหมอเคยสั่งยาคลายกล้ามเนื้อมาให้กิน อาจจะเคยได้ยินชื่อยา Norgesic และ Mydocalm อยู่บ้าง แม้ว่ายาทั้งสองตัวนี้จะเป็นยาคลายกล้ามเนื้อเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างที่จำเป็นต้องรู้ก่อนกินด้วย

เฟซบุ๊กเพจ สาระสุขภาพยาน่ารู้ อธิบายถึงความแตกต่างของ Norgesic และ Mydocalm เอาไว้ดังนี้

Norgesic คือยาอะไร

ยายอดนิยมตัวนี้มีตัวยาสำคัญ คือ Orphenadrine citrate 35 mg และ paracetamol 450 mg เป็นยาแก้ปวด ส่วน Orphenadrine citrate เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ มักนำยานี้มาใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ อีกทั้งทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและผ่อนคลาย

สำหรับยา paracetamol กรณีที่ได้รับมากเกินอาจเกิดอาการข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ตับอักเสบ เป็นต้น

ส่วนยา orphenadine ออกฤทธิ์ต่อการทำงานของสารสื่อประสาทบางชนิดในสมอง และส่งผลให้กล้ามเนื้อลายของร่างกายมีภาวะผ่อนคลาย และลดอาการตึงตัว จนเป็นเหตุให้ลดภาวะเจ็บ ปวดของกล้ามเนื้อลงได้

อาการข้างเคียงจากการใช้ยา Norgesic ที่อาจพบได้

อาการข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น 

  • ปากแห้ง 
  • ปัสสาวะคั่ง 
  • มองภาพไม่ชัด 
  • ม่านตาขยาย 
  • ง่วงซึม 
  • ปวดศีรษะ 
  • อ่อนเพลีย 
  • ใจสั่น 
  • อาจพบมีการรบกวนระบบทางเดินอาหารได้ 
  • อาจมีนอนไม่หลับ สับสน 
  • อาจมีประสาทหลอนได้ 

เป็นต้น

Mydocalm คือยาอะไร

Mydocalm® เป็นชื่อการค้าของยาชื่อสามัญ Tolperisone hydrochloride เป็นยาคลายกล้ามเนื้อเช่นเดียวกัน ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ใช้บรรเทาอาการปวดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เพราะมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ จึงนำมาใช้บรรเทาอาการปวดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ

ขนาดยาที่ใช้ คือ วันละ 300-450mg โดยให้แบ่งทานเป็น 3-4 มื้อ 

อาการข้างเคียงจากการใช้ยา Mydocalm ที่อาจพบได้

สมัยก่อนคนอาจคิดว่ายากลุ่มนี้กินแล้วอาจง่วงนอน แต่มีการทดลองพบว่า ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้ผู้ที่กินยาเกิดอาการง่วงนอนแต่อย่างใด ไม่มี sedative effect เกิดขึ้น สูตรโครงสร้างทางเคมีของ Tolperisone ไม่มีซัลฟาเป็นส่วนประกอบ แต่ tolperisone HCl เอง อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ 

  • ความดันโลหิตต่ำ 
  • เกิดผื่นแพ้ยา 
  • ปากแห้ง 
  • ไม่สบายท้อง ท้องเสีย 
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง 
  • ง่วงซึม อ่อนเพลีย

ความแตกต่างของ Norgesic vs Mydocalm

ยาทั้ง 2 ยี่ห้อข้างต้นเหมือนกันในส่วนที่มีส่วนประกอบเป็นยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ Norgesic® มี paracetamol เพิ่มเข้ามา

สาเหตุของอาการปวดกล้ามเนื้อ

อาการปวดกล้ามเนื้อ เกิดได้จากหลายสาเหตุดังต่อไปนี้

  1. ท่านั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม
  2. ลักษณะงานที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวต่อเนื่องนานๆ เช่นการใช้คอมพิวเตอร์
  3. การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อซ้ำๆ
  4. การทำงานที่มีการใช้กล้ามเนื้อท่าเดียวกันซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง
  5. การทำงานของกล้ามเนื้อมากเกินไป ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ
  6. การขาดการดูแลและการบริหารกล้ามเนื้อ ที่ถูกต้อง

กล้ามเนื้อยอก กล้ามเนื้ออักเสบ รักษาอย่างไร

จริงๆ แล้วอาการกล้ามเนื้อยอก กล้ามเนื้ออักเสบมักมีสาเหตุมาจากการใช้ร่างกายแบบฝืนธรรมชาติ ควรตรวจสอบสาหเหตุของอาการปวดและเปลี่ยนรุปแบบการทำร้ายกล้ามเนื้อเสียมากกว่าจะไปกินยาใดๆ

การรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ

ยาที่แนะนำให้ใช้ในเป็นทางเลือกแรกคือ analgesics drug เช่น paracetamol หรือ ยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDS)

ส่วนการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อนั้นยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าเหมาะสมกัลการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อหรือไม่ อาการปวดกล้ามเนื้อจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป มีผลทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ทำให้เกิดภาวะขาดเลือด ขาดออกซิเจน และขาดพลังงาน มีการคั่งของสารเช่น kinins, prostaglandin, serotonin, histamine ซึ่งสารนี้เป็นตัวกระตุ้นปลายประสาทรับความเจ็บปวดโดยเฉพาะ c-fiber ทำให้ปลายประสาทมีความไวต่อการกระตุ้น เกิดการปวดขึ้นมาเป็นวงจร แต่อย่างไรก็ตามการหดตัวของกล้ามเนื้อนี้เป็นการตอบสนองของร่างกายเพื่อปกป้องกล้ามเนื้อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้นการไปยับยั้งการตอบสนองนี้ด้วยยาคลายกล้ามเนื้ออาจเกิดผลเสียได้เช่นกัน ดังนั้นการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อจึงเป็นการใช้เพื่อรักษาตามอาการไม่ได้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ซึ่งสาเหตุของการปวดกล้ามเนื้อก็มีหลายอย่างดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น

โดยฤทธิ์ในการรักษาความปวดของยาคลายกล้ามเนื้อเกิด จากการที่ยามีฤทธิ์สองประการคือ

  • ฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ เกิดจากการที่ยามีผลลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อด้วยการลดการกระตุ้น motor neuron หรือยาบางชนิดอาจทำให้เซลล์กล้ามเนื้อลายมีระยะพัก (refractory period) นานขึ้น
  • ฤทธิ์ลดอาการปวด ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิดสามารถลดอาการปวดได้โดยยับยั้งการทำงานของ nociceptive fiber เช่น orphenadrine หรือยาบางชนิดมีผลเสริมการทำงานของdescending inhibitory pathway เช่น cyclobenzaprine

เป็นต้น

ระยะเวลาของการใช้ยา

ยาคลายกล้ามเนื้อนี้ ไม่มีข้อกำหนดชัดเจนว่า “ไม่ควรใช้ยานานเกินเท่าไหร่” ตราบใดที่ทานยาในขนาดที่ใช้รักษา

ยาทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นยาที่ใช้เฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ตลอดไป ถ้าหากว่าอาการปวดกล้ามเนื้อของคุณหายเป็นปกติก็ควรหยุกรับประทานยา เพราะ ใน Norgesic® มี paracetamol ผสมอยู่ด้วยเพื่อการออกฤทธิ์ลดปวดเพิ่มขึ้น หากรับประทาน paracetamol ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ทางนี้ดีสุด! “กุลวุฒิ” ควง “รัชนก” ถอนตัวแบดมินตัน เจแปน โอเพน 2024

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ และ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ขอถอนตัวแบดมินตัน “เจแปน โอเพน 2024” แต่จะใช้เวลาฝึกซ้อมเพื่อรักษาความฟิต เพื่อทำศึกรายการต่อไป

โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด เปิดเผยความเคลื่อนไหวของ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก ปารีสเกมส์ 2024 และ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ สองนักแบดมินตันทีมชาติไทย หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจากโอลิมปิกเกมส์ 2024 และได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเพื่อร่วมกิจกรรมกับภาครัฐและเอกชนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยโปรแกรมการแข่งขันรายการต่อไปคือ เจแปน โอเพน 2024 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นรายการระดับเวิลด์​ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ระหว่างวันที่ 20-25 สิงหาคมนี้

ล่าสุด “วิว” กุลวุฒิ มืออันดับ 4 ของโลก และ “เมย์” รัชนก มืออันดับ 20 ของโลก พร้อมด้วยทีมงานผู้ฝึกสอน ได้ออกเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการเดินทางไปครั้งนี้ทั้งสองคนจะไปเพื่อถอนตัวจากการแข่งขันรายการดังกล่าว

ทั้งนี้ จะยังคงใช้เวลาฝึกซ้อมร่วมกับเพื่อนนักแบดมินตันคนอื่นๆอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ไปจนถึงวันที่ 20 สิงหาคมนี้ เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตสมบูรณ์เพื่อให้พร้อมสำหรับรายการต่อไป

ขณะเดียวกัน การไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ “วิว” กุลวุฒิ และ “เมย์” รัชนก จะเข้าร่วมกิจกรรมของโยเน็กซ์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของทั้งคู่อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


แคสเปอร์สกี้ชี้ภัยคุกคามซัพพลายเชนในยุค AI

โลกยุคดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ทำให้เราพึ่งพาเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์มากขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดการโจมตีซัพพลายเชนที่ร้ายแรง เหตุการณ์ Crowdstrike ที่ทำให้ระบบทั่วโลกหยุดชะงัก และการโจมตีไลบรารี Linux XZ เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของระบบ และความเสียหายมหาศาลที่อาจเกิดขึ้น แคสเปอร์สกี้ชี้ว่า AI ที่กำลังเติบโตอาจเป็นเป้าหมายใหม่ของการโจมตีซัพพลายเชน และองค์กรต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมรับมือ

Crowdstrike: วันที่โลกหยุดหมุน

การอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ผิดพลาดของ Crowdstrike ทำให้ระบบวินโดวส์ทั่วโลกกว่า 8.5 ล้านเครื่องรีบูตไม่หยุด ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โรงพยาบาล ธนาคาร และหน่วยงานรัฐบาล สร้างความเสียหายทางการเงินมหาศาล แม้จะไม่ใช่การโจมตีโดยตรง แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบร้ายแรงเมื่อซัพพลายเชนถูกโจมตี

Linux XZ: หมาป่าในคราบแกะ

การโจมตีซัพพลายเชนบนโปรเจ็กต์ Linux XZ Utils เปิดช่องให้เข้าถึงระบบต่างๆ ผ่านแบ็คดอร์ที่ซับซ้อน ผู้โจมตีใช้กลยุทธ์วิศวกรรมสังคม สร้างความไว้วางใจเพื่อแทรกซึมเข้าสู่ระบบ แม้จะถูกตรวจพบได้ทัน แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการโจมตีรูปแบบนี้

AI: เป้าหมายใหม่ของการโจมตีซัพพลายเชน

AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายด้าน แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีซัพพลายเชนเช่นกัน ผู้โจมตีอาจแทรกแซงข้อมูลการฝึกอบรม หรือแก้ไขโมเดล AI เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ผิดพลาด นอกจากนี้ AI ยังอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตี เช่น การสร้างอีเมลหลอกลวง หรือ deepfake ที่เหมือนจริง

แคสเปอร์สกี้: ผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ด้วย AI

แคสเปอร์สกี้มีประสบการณ์ยาวนานในการใช้ AI เพื่อพัฒนาความปลอดภัยไซเบอร์ ผลิตภัณฑ์ของแคสเปอร์สกี้ใช้ AI ในการตรวจจับภัยคุกคาม จัดลำดับความสำคัญของการแจ้งเตือน และสร้างคลังข้อมูลภัยคุกคาม

เตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคาม

องค์กรต่างๆ ต้องดำเนินมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการโจมตีซัพพลายเชน เช่น การทดสอบอย่างเข้มงวด การควบคุมการผลิต การตรวจสอบความถูกต้องของโมเดล และการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รวม 50 ประโยคภาษาอังกฤษใช้บ่อย

หากจะรวม ประโยคภาษาอังกฤษ ใช้บ่อยแล้ว ถ้าไม่กล่าวถึงหมวดการใช้ภาษาในที่ทำงาน ท่องเที่ยวและในชีวิตประจำวันก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเพื่อการนี้ เราจึงได้รวบรวมประโยคภาษาอังกฤษใช้บ่อยจาก 3 หมวดนี้มาแชร์ให้ทุกคนกัน บอกเลยได้เอาไปใช้อย่างแน่นอน

ประโยคภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในที่ทำงาน

สำหรับประโยค ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ที่ใช้บ่อยในที่ทำงานก็จะใช้ภาษาที่มีความเป็นทางการพอสมควร ดังนั้นเราควรเลือกใช้คำให้ถูกต้องและดูเป็นมืออาชีพ เราอาจจะมีเพื่อน ลูกค้า หรือ เจ้านายที่เป็นชาวต่างชาติ จึงจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษอยู่ตลอด โดยเฉพาะในการทำงานที่ต้องร่วมกันเป็นทีม การสื่อสารที่ถูกต้องและชัดเจนมีความสำคัญอย่างมาก มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบกับวัตถุประสงค์ของงานที่รับผิดชอบอยู่ได้เลย ในการพูดคุยหรือ คุยแชทกับฝรั่ง ประโยค ตัวอย่างมีดังต่อไปนี้

  1. Hi ….! This is ….. What can I do for you?

สวัสดี ….. ฉันคือ ….. มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ/ครับ

  1. I would be grateful if you could send me information about ….. .

ฉันจะขอบพระคุณเป็นอย่างมาก หากคุณสามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับ ….. ให้ฉัน

  1. Well, since everyone is here, we would like to get the meeting started now.

ดีเลย เนื่องจากทุกคนมากันพร้อมเพรียงแล้ว เราขอเริ่มการประชุม ณ ตอนนี้เลย

  1. Do you have any feedback for me?

คุณมีข้อเสนอแนะใด ๆ ให้ฉันหรือไม่

  1. I’m sorry, could you repeat that, please?

ขออภัย คุณช่วยพูดซ้ำอีกทีได้หรือไม่

  1. Let’s wrap it up this project by the end of the week.

มารีบทำโปรเจกต์นี้ให้แล้วเสร็จในช่วงปลายสัปดาห์นี้กันเถอะ

  1. I’m going out for lunch. I’ll be back at 13.00.

ฉันจะออกไปรับประทานอาหารกลางวัน ฉันจะกลับมาตอน 13.00 น.

  1. I’m afraid I’m not well and won’t be able to come in today.

ฉันเกรงว่า ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายและจะไม่สามารถเข้าทำงานในวันนี้ได้

  1. Hello! ….., is your sales report ready? We need it ASAP (as soon as possible).

สวัสดี ….. รายงานการขายของคุณพร้อมแล้วหรือยัง เราต้องใช้มันโดยเร็วที่สุด

  1. Excuse me, I seek a one-day leave from the office due to unforeseen circumstances.

ขอโทษทีนะคะ/ครับ ฉันขอลางานหนึ่งวันเนื่องจากสถานการณ์ฉุกละหุก

  1. Do you know the email address of John?

คุณพอทราบที่อยู่อีเมลของคุณจอห์นหรือไม่

  1. Picking up overtime job is going to mean I will have overtime pay on this paycheck.

การทำงานล่วงเวลาก็หมายถึงว่าฉันจะได้เงินค่าทำงานล่วงเวลาในเช็คเงินค่าจ้างนี้น่ะสิ

  1. I want to introduce Peter who is our new team member. Please join me in welcoming

ผมอยากแนะนำให้รู้จักกับ คุณปีเตอร์ ที่จะมาเป็นสมาชิกใหม่ในทีม โปรดร่วมกันต้อนรับเขาด้วย

  1. We should review the action items from the meetings before the final conclusion.

เราควรดูข้อสรุปจากแต่ละคนที่ได้จากการประชุมก่อนการสรุปครั้งสุดท้าย

  1. We must start over from scratch in order to make everything clear and to make sure there are no errors.

พวกเราต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ เพื่อให้งานทุกอย่างมีความชัดเจน และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด

ประโยคภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยเมื่อท่องเที่ยว

ก่อนไปท่องเที่ยวต่างประเทศซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบเจอกับคนต่างชาติในสถานการณ์ต่าง ๆ เราควรฝึกภาษาไว้หน่อยเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่การขึ้นเครื่องบิน ที่พัก การเดินทาง การจับจ่ายใช้สอย หรือเพื่อคุยกับผู้คนท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ ซึ่งรับประกันได้เลยว่าประโยคภาษาอังกฤษเหล่านี้จะช่วยคุณไว้อย่างแน่นอน

  1. How do I get to the check-in counter of this airline?

ฉันจะไปที่เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินนี้ได้อย่างไร

  1. Excuse me, I need to get out of my seat / use the restroom / move my luggage.

ประทานโทษนะครับ / ค่ะ ฉันต้องการจะลุกจากที่นั่ง / ใช้ห้องน้ำ / ขยับกระเป๋า

  1. Excuse me, can you please help me put my luggage away?

ประทานโทษนะครับ / ค่ะ คุณช่วยฉันยกกระเป๋าจะได้ไหม

  1. Can I please change my seat?

ผมขอเปลี่ยนที่นั่งของผมได้หรือเปล่า

  1. How much does…(product)… cost?

…(สินค้า)… ราคาเท่าไหร่

  1. How do I get to…(destination)?

ฉันจะไปที่ … (จุดหมายปลายทาง) ได้อย่างไร

  1. Does this train / bus go to (place)?

รถไฟคันนี้ / รถโดยสารคันนี้ไปที่ ..(สถานที่).. ใช่ไหม

  1. How much is the fare?

ค่าโดยสารเท่าไหร่

  1. I missed my stop. Can you please let me know when we are at the next one?

ฉันเลยป้ายรถมาแล้ว คุณช่วยบอกให้ฉันรู้ทีได้ไหมเมื่อเราถึงป้ายต่อไป

  1. What is included in my reservation?

มีอะไรรวมในการจองของฉันบ้าง (สิ่งอำนวยความสะดวก / อาหารเช้า / สระว่ายน้ำ)

  1. What time is check-in / check-out?

เวลาเช็กอิน / เช็กเอาท์ตอนไหน

  1. Could you recommend any popular dishes?

คุณช่วยแนะนำเมนูยอดฮิตให้ทีได้ไหม

  1. May I have the bill?

รบกวนคิดเงินหน่อยได้ไหม

  1. I’ve been traveling all day in this town.

ฉันไปเที่ยวในเมืองนี้ตลอดทั้งวันเลย

  1. I have lost my passport / wallet / bag / way. Could you tell me where I should go for help?

ฉันทำหนังสือเดินทาง / กระเป๋าสตางค์ / กระเป๋าหาย / หลงทาง คุณช่วยบอกฉันได้ไหมว่าควรไปขอความช่วยเหลือจากที่ใด

ประโยคภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวันทั่วไป

ในชีวิตประจำวันทั่วไปแล้ว เราก็นำ ประโยคภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยในหมวดนี้ไปใช้กับบุคคลใดก็ได้ ในการ ทักทาย ภาษาอังกฤษ การถามสารทุกข์สุขดิบ เรื่องงาน เรื่องความสนใจ เป็นต้น ประโยคที่ได้ใช้ในชีวิตประวันทั่วไปบ่อย ๆ มีดังนี้

  1. Hi! My name is Apiwat, how about yours?

สวัสดี ฉันชื่ออภิวัฒน์ แล้วคุณล่ะ

  1. Long time no see! How have you been?

ไม่เจอกันนานเลย! คุณเป็นอย่างไรบ้าง

  1. What is your day like? Hope you are doing well.

วันนี้เป็นยังไงบ้าง หวังว่าคุณจะสบายดีนะ

  1. I’ve been in a good / bad mood all day.

ฉันอารมณ์ ดี/ไม่ดี มาตลอดทั้งวันเลย

  1. What’s for breakfast / lunch / dinner today?

วันนี้อาหารเช้า / อาหารกลางวัน / อาหารเย็น มีอะไรบ้าง

  1. I completely agree with you. / I don’t agree with you at all.

ฉันเห็นด้วยกับเธอทุกอย่างนะ / ฉันไม่เห็นด้วยกับเธอเลย

  1. I really appreciate your help! I owe you one.

ผมขอบคุณในน้ำใจของคุณจริง ๆ ผมเป็นหนี้คุณครั้งหนึ่งแล้ว

  1. How do you think about this weather?

คุณคิดอย่างไรกับสภาพอากาศแบบนี้

  1. What wonderful weather! / What terrible weather!

ช่างเป็นอากาศที่ดีอะไรอย่างนี้ / ช่างเป็นอากาศที่แย่สุด ๆ

  1. What are you doing this weekend?

เธอมีแพลนจะทำอะไรช่วงสุดสัปดาห์นี้

  1. Have you seen any interesting?

เธอเคยพบเห็นสิ่งที่น่าสนใจบ้างไหม

  1. Do you have any hobbies?

คุณมีงานอดิเรกไหม

  1. I enjoy playing games in my leisure time, and sometime go swimming.

ฉันชอบเล่นเกมในเวลาว่าง และบางครั้งก็ไปว่ายน้ำ

  1. Do you want to catch up over coffee?

เธออยากไปดื่มกาแฟด้วยกันไหม

  1. What do you do / What do you do for work?

คุณทำงานอะไร

  1. I am afraid I don’t understand. Could you explain this again?

ฉันเกรงว่าฉันจะไม่เข้าใจ คุณช่วยอธิบายอีกทีได้ไหม

  1. How many people are there in your family? Do you have any siblings?

ครอบครัวคุณมีกี่คน คุณมีพี่น้องไหม

  1. Keep in touch. / Stay in touch.

ติดต่อมานะ (ให้รักษาการติดต่อกันไว้ไม่ให้ขาด)

  1. I’m feeling sick I’ve been having bad headaches for a while.

ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่สบาย ฉันปวดหัวมากมาสักพักแล้วล่ะ

  1. What are your symptoms? / Do you have any allergies?

อาการเธอเป็นอย่างไรบ้าง / เธอแพ้อะไรหรือเปล่า

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


“น้ำตาลกรวด” คืออะไร ต่างจากน้ำตาลทรายอย่างไร มีประโยชน์ และโทษอย่างไรบ้าง

น้ำตาลกรวด เป็นอีกหนึ่งชนิดของน้ำตาลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยรูปลักษณ์ที่คล้ายก้อนหินหรือผลึกน้ำแข็ง ทำให้ดูสวยงามและน่าสนใจ นอกจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแล้ว น้ำตาลกรวดยังมีรสชาติที่หวานละมุนและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด

น้ำตาลกรวดคืออะไร

น้ำตาลกรวด มีลักษณะคล้ายก้อนหินหรือก้อนน้ำแข็ง มีสีขาวหรือเหลืองอ่อน เกิดจากการนำน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์มาผ่านกระบวนการละลายและตกผลึกตามธรรมชาติ จนได้เป็นผลึกน้ำตาลขนาดต่างๆ กัน

ขนาดของน้ำตาลกรวดมีตั้งแต่ก้อนใหญ่ประมาณ 5-6 เซนติเมตรไปจนถึงก้อนเล็กขนาด 0.5-1 เซนติเมตร หรือแม้แต่แบบป่นละเอียด การเลือกขนาดของน้ำตาลกรวดจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

  • น้ำตาลกรวดก้อนใหญ่: เหมาะสำหรับการนำไปเคี่ยวในอาหารที่ต้องใช้เวลานาน เช่น น้ำซุป ต้มยำ เพราะจะค่อยๆ ละลายและให้รสชาติหวานกลมกล่อม
  • น้ำตาลกรวดก้อนเล็กหรือแบบป่น: เหมาะสำหรับการชงเครื่องดื่มหรือประกอบอาหารที่ต้องการให้น้ำตาลละลายเร็ว

เหตุผลที่นิยมใช้น้ำตาลกรวด

  • รสชาติหวานละมุน: ให้รสหวานที่นุ่มนวล ไม่หวานแหลม
  • ช่วยชูรสชาติอาหาร: เมื่อละลายช้าๆ จะช่วยดึงรสชาติของวัตถุดิบอื่นๆ ออกมาได้ดี
  • มีประโยชน์ต่อสุขภาพ: บางคนเชื่อว่าน้ำตาลกรวดมีคุณสมบัติช่วยบำรุงร่างกาย

น้ำตาลกรวดเป็นน้ำตาลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์และรสชาติ ทำให้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด

น้ำตาลกรวดต่างจากน้ำตาลทรายอย่างไร

หากเปรียบเทียบกับน้ำตาลทรายทั่วไป ซึ่งมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กและละลายเร็ว เมื่อนำไปใช้กับอาหารที่ต้องเคี่ยว น้ำตาลทรายจะละลายเร็วเกินไป ทำให้ความหวานรัดรสชาติของวัตถุดิบอื่นๆ และอาจทำให้รสชาติของอาหารโดยรวมเปลี่ยนไป สรุปการเลือกใช้น้ำตาลกรวดหรือน้ำตาลทรายขึ้นอยู่กับประเภทของอาหารและรสชาติที่ต้องการ หากต้องการอาหารที่มีรสชาติกลมกล่อม หวานละมุน และมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน น้ำตาลกรวดจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

ประโยชน์ของน้ำตาลกรวด

แหล่งพลังงานที่รวดเร็ว

น้ำตาลกรวดจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ซึ่งร่างกายสามารถย่อยและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับน้ำตาลทราย น้ำเชื่อม และน้ำผึ้ง เมื่อรับประทานเข้าไป น้ำตาลเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างฉับพลันและลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น น้ำตาลกรวดจึงเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ

ระดับความหวานที่อ่อนโยนกว่า

โดยทั่วไปแล้ว น้ำตาลกรวดจะมีระดับความหวานที่อ่อนกว่าน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ในปริมาณที่เท่ากัน เนื่องจากน้ำตาลกรวดผลิตจากสารละลายน้ำและน้ำตาล ทำให้มีความเข้มข้นของน้ำตาลน้อยกว่าน้ำตาลทรายที่ผ่านการกลั่น การทดแทนน้ำตาลทรายด้วยน้ำตาลกรวดในปริมาณเท่ากัน อาจช่วยลดปริมาณน้ำตาลและแคลอรี่ที่บริโภคได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเติมน้ำตาลกรวดเพิ่มเพื่อให้ได้ความหวานเท่าเดิมหรือไม่ หากคุณไม่เติมน้ำตาลกรวดเพิ่ม คุณก็จะได้รับน้ำตาลและแคลอรี่น้อยลงนั่นเอง

แม้ว่าน้ำตาลจะมีบทบาทในอาหารของเรา แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพนั้นมีจำกัด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ควบคุมปริมาณการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด

โทษของน้ำตาลกรวด

คำแนะนำจากหน่วยงานด้านสุขภาพ

  • กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA): แนะนำว่าน้ำตาลที่เติมเพิ่มเข้าไปในอาหารไม่ควรเกิน 10% ของปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน
  • สมาคมหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association): แนะนำให้ผู้หญิงบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน และผู้ชายไม่เกิน 9 ช้อนชาต่อวัน

หมายเหตุ: น้ำตาลกรวดเป็นหนึ่งในรูปแบบของน้ำตาล ดังนั้นการบริโภคน้ำตาลกรวดมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกับน้ำตาลทรายชนิดอื่นๆ

โรคอ้วน

ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยบริโภคน้ำตาลถึง 17 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งคิดเป็นน้ำตาลที่เติมเพิ่มเข้าไปในอาหารมากถึง 57 ปอนด์ต่อคนต่อปี มีหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเพิ่มน้ำหนัก และในที่สุดก็อาจนำไปสู่โรคอ้วน โรคอ้วนนั้นเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และอื่นๆ อีกมากมาย

โรคเบาหวานชนิดที่ 2

น้ำหนักเกินและการบริโภคคาร์โบไฮเดรตสูง

โรคหัวใจและหลอดเลือด

การวิจัยพบว่าการบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโรคหัวใจที่เพิ่มขึ้น ผลการศึกษาในระยะยาวพบว่า ผู้ที่บริโภคน้ำตาลที่เติมเพิ่มเข้าไปในอาหารคิดเป็น 17-21% ของปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน มีความเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้นถึง 38%

สุขภาพช่องปากที่ย่ำแย่

แม้ว่าน้ำตาลจะไม่ทำลายฟันโดยตรง แต่ก็ดึงดูดแบคทีเรียที่กินน้ำตาลที่ติดอยู่บนฟันของคุณ ทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์ คราบจุลินทรีย์นี้ทำให้แบคทีเรียสามารถเกาะอยู่บนฟันได้นานขึ้น แบคทีเรียจะผลิตกรดที่กัดกร่อนเคลือบฟันตามกาลเวลา ทำให้เกิดฟันผุ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นพิษอื่นๆ ที่ปล่อยออกมาจากแบคทีเรียสามารถแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อเหงือกของคุณและทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา โรคเหงือกอักเสบอาจรุนแรงขึ้นกลายเป็นโรคปริทันต์ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการสูญเสียกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆ ฟันได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/08/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,600.0040,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,630.0039,870.8041,200.00
ทองรูปพรรณ 90%2,367.0035,883.72n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,104.0031,896.64n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,184.0017,949.44n/a
ทองรูปพรรณ 40%921.0013,962.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,725.0041,311.00n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/08/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.6536.6537.1536.6536.6536.6536.6536.6536.6536.65
แก๊สโซฮอล์ 9136.2836.2836.7836.2836.2836.2836.2836.2836.2836.28
แก๊สโซฮอล์ E2034.5434.5435.0434.5434.5434.5434.5434.5434.54
แก๊สโซฮอล์ E8534.2934.2934.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.2449.8449.8449.8445.24
เบนซิน 9544.5449.8145.0444.6944.54
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า