สาระน่ารู้ประจำวันที่ 20 กันยายน 2567

อสังหาฯ แบกสต็อกอ่วม 1.57 ล้านล้าน เอ็นพีแอลพุ่ง ‘ทุกตลาดติดลบหนัก’

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยรอบ 10 ปีเผชิญความท้าทายหนัก ตลาดบ้านต่ำกว่า 7.5 ล้านบาท หดตัวเกือบทุกตลาด สต็อกบ้านบวม 1.57 ล้านล้านบาท เครดิตบูโรชี้สัญญาณเจนวาย-คนมีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทกระอักหนี้พุ่ง

นายกสมาคมอาหารชุด หวังเร่งแก้นอมินีต่างชาติในตลาดบ้านมูลค่า 1 ล้านล้านบาท จัดเก็บภาษี หวังแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยตามเฟด ดันดีมานด์เพิ่ม 2%

เวทีเสวนา “กรุงเทพจตุรทิศ Property เจอหนี้: 10 ปี อสังหาฯ ไทย กลับไปไม่เหมือนเดิม” จัดโดย บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จํากัด (Prop2morrow) เพื่อฉายภาพอสังหาริมทรัพย์ไทยในรอบ 10 ปี ทั้งยุครุ่งเรือง และในช่วงซบเซาในปัจจุบันที่ยังไม่เห็นทิศทางกลับมาฟื้นตัวรวมถึงทางออกแก้วิกฤตหนี้ และทางออกของประเทศไทย

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาฯ ปัจจุบัน ชะลอตัว โดยช่วงครึ่งปีแรก 2567 การโอนกรรมสิทธิ์บ้านราคาไม่เกิน 7.5 ล้านบาท ติดลบแทบทุกราคา แสดงถึงมาตรการกระตุ้นที่ออกมาในเดือน เม.ย. ยังไม่มีผลมากนัก ส่วนการให้สินเชื่อในไตรมาสสองติดลบ 10%

ทั้งนี้เมื่อประเมินภาพรวมช่วง 10 ปี (2557-2567) มีทั้งยุคที่รุ่งเรือง และยุคหดตัวลงมาก โดยการจดทะเบียนบ้านใหม่ในช่วง 10 ปี 134,000 หน่วย ส่วนปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ 99,000 หน่วย และปี 2567 ประมาณ 100,000 หน่วย ส่วนการให้สินเชื่อเคยสูงสุดช่วงปี 2561 แต่ปี 2566 อยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท ผลต่อเนื่องจากโควิดทำให้ตลาดหดตัว 8.9%

แนวโน้มเปิดโครงการใหม่ทรงตัว-ราคาสูงขึ้น

การเปิดตัวโครงการใหม่รอบ 10 ปี 100,000-130,000 หน่วย/ปี ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก มูลค่ารวมโครงการจาก 418,000 ล้านบาทในอดีต เพิ่มเป็น 744,000 ล้านบาท  แสดงถึงราคาเพิ่มขึ้นมาก ส่วนจำนวนการขายใหม่ ปี 2557 รวม 127,000 หน่วย ปี 2566 อยู่ที่ 121,000 หน่วย และปี 2567 ประมาณ 138,000 หน่วย มูลค่าการขายรวมจาก 436,000 ล้านบาท เพิ่มเป็นประมาณ 630,000 ล้านบาท

ด้านยอดสะสมหน่วยเหลือขาย 10 ปีก่อน 250,000 หน่วย ปี 2567 ประมาณ 355,000 หน่วย มูลค่าสะสมจากระดับ 830,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1.57 ล้านล้านบาท ขณะที่ภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นประมาณ 5.4% แต่รายได้คนเพิ่มขึ้น 1.4% รวมถึงหลายภูมิภาคราคาอาจเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่รายได้เพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาบ้าน ทำให้การกู้ยากขึ้นเ

ความท้าทายอีกสิ่งหนึ่งคืออัตราการเกิดลดลง การเข้าสังคมผู้สูงอายุ และการพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ภาพรวมในครึ่งปีแรก ยอดโอนลูกค้าต่างชาติมีสัดส่วน 13.6% มูลค่า 24% ของตลาด

หนี้ไทยวิกฤต คนรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทกระอัก

นายเผด็จ เจริญศิวกรณ์ รองผู้จัดการใหญ่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร กล่าวว่า ภาพรวมจีดีพีไทยรอบ 10 ปีขยายตัวต่ำกว่า 5% มาตลอด เป็นปัจจัยกระทบต่อเศรษฐกิจ อสังหาฯ และกำลังซื้อ  และมีแนวโน้มหันมาก่อหนี้ผ่านสินเชื่อส่วนบุคคล แม้ดอกเบี้ยแพง แต่เป็นการประคองการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ต่างจากในอดีตเน้นก่อหนี้ด้านความความมั่นคง

ภาพรวมปี 2567 มีสถิติออกมาว่า การมีหนี้เพิ่มสูงกว่ารายได้ 46% และมีหนี้ต่อครัวเรือนประมาณ 6 แสนบาท ภาพรวมแต่ละคนมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 18,000 บาท กลุ่มที่น่ากังวลคือ รายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท มีหนี้คิดเป็นสัดส่วน 138% แต่มีภาวะการใช้จ่าย 13.2% สำหรับใช้ดำรงชีวิตและ 25% คือชำระหนี้ รวมถึงกลุ่มเจนวายที่มีหนี้มากขึ้น จากบัตรเครดิต สินเชื่อบ้านและรถยนต์ เป็นต้น

“ข้อเท็จจริงที่ทำให้เกิดหนี้สะสมคือ เป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้เกินตัว เป็นหนี้โดยไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นหนี้เพราะมีเหตุจำเป็น เป็นหนี้นาน เป็นหนี้เสีย เป็นหนี้นอกระบบและเป็นหนี้ไม่จบไม่สิ้น”

สำหรับอสังหาฯธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าตลาดหดตัวมากสุดในรอบ 10 ปี มียอดปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 80% โดยคนไทย 2.8 ล้านคน มีบ้านหลังแรกสัดส่วน 82% ส่วนคนที่มีบ้านมีสองถึงสามหลัง สัดส่วน 16.1% แต่เริ่มพบคนมีบ้านหลังที่สองและสามเริ่มมีปัญหาชำระหนี้ 19% ส่วนกลุ่มที่มีบ้านหนึ่งหลัง มีปัญหา 78% ภาพรวมหนี้เสียกลุ่มที่ค้างชำระ 30 วันแต่ไม่เกิน 90 วัน (SM) เพิ่มสูงขึ้น

สมาคมอาคารชุดคาดทั้งปี ตลาดหดตัว 15-20%

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอาคารชุดไทยปีนี้จะชะลอตัวประมาณ 15-20%  และตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มียอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง สอดรับกับครึ่งปีแรกที่ตลาดหดตัวลงแล้ว 28%  แต่ไตรมาส 4 มีโครงการรอการโอน 86,000 ล้านบาท  จะช่วยกระตุ้นตลาดปลายปีนี้ได้

ทั้งนี้อยากให้รัฐร่วมออกมาตรการกระตุ้น ด้วยการปรับเกณฑ์ให้ต่างชาติซื้อได้ในสัดส่วน 75% พร้อมทำโซนนิง จากปัจจุบัน 49% ในตลาดคอนโด รวมถึงการหาแนวทางจัดเก็บภาษีจากนอมินีต่างชาติที่ซื้ออสังหาฯ  โดยคาดว่ามีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาท ในทำเลหลักคือ ภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพฯ  อีกทั้งการเปิดให้ต่างชาติมีสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย 60-80 ปี โดยไม่ต้องเปิดสูงสุด 99 ปี เพื่อร่วมกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติ

ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย 0.5% มีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายลดได้ 0.25% ในการประชุมครั้งถัดไป ซึ่งจะทำให้ดีมานด์ตลาดบ้านเพิ่มขึ้น 2% ผู้ประกอบการต้นทุนลดลง 1% ราคาบ้านจะปรับลง 0.7%

ซีพีแลนด์-พฤกษา ชี้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์

นายกีรติ ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ผู้ประกอบการต้องเร่งวางกลยุทธ์ใหม่สำรวจตลาดที่ยังเติบโต เช่น เมืองท่องเที่ยว พร้อมเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการแท้จริงไม่คำนึงแต่ตลาดบนเพียงอย่างเดียว

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดยังมีโอกาสสูง โดยเฉพาะการจับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มที่ต้องการดูแลสุขภาพ ทำให้บริษัทมุ่งออกแบบบ้านให้สอดรับ และให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยี โดยเฉพาะการออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ในการดูแลบ้าน  ทั้งนี้ประเมินว่าภายในปี 2571 สัดส่วนรายได้จากการให้บริการเกี่ยวข้องกับสุขภาพและการแพทย์จะเพิ่มเป็น 25% หลังจากนั้นจะขยายไป 50%

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ครึ่งแรกปี67จีนครองแชมป์ซื้อคอนโดเมียนมาซิวเบอร์สองแซงรัสเซีย2ปีซ้อน

ครึ่งปีแรกปี67 จีนรั้งแชมป์โอนคอนโดไทย อันดับสองเมียนมาแซงรัสเซีย2ปีซ้อน ขณะที่จังหวัดที่มีจำนวนโอนสูงสุดชลบุรี ส่วนมูลค่าโอนอันดับหนึ่งยังเป็นกรุงเทพฯ แต่จากข้อมูลพบว่าตัวเลขการโอนคอนโดของต่างชาติลดลง

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม – มิถุนายน) พบว่า ชาวจีนเป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุดทั่วประเทศโดยมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ผู้ซื้อสัญชาติจีนไปแล้วทั้งหมด 2,872 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 39.5 ของหน่วยทั้งหมด และ 4 สัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์อันดับรองลงมา ได้แก่เมียนมาจำนวน 638 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.8 

ถัดมาคือ รัสเซีย จำนวน 567 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.8 ไต้หวัน จำนวน 326 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.5 อันดับ 5 คือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 292 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.0 ตามลำดับ    หากพิจารณาในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567  พบว่า ผู้ซื้อมีสัญชาติเมียนมามีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นมาก จำนวน 638 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 250.5 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 182 หน่วย

จากข้อมูลพบว่า ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดสัญชาติจีนมีจำนวน 2,872 คน คิดเป็นร้อยละ 39.5 และมีมูลค่า 13,203 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.1 ของคนต่างชาติที่โอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่าสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของผู้ซื้อสัญชาติจีนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567  “ลดลง”เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ส่วนจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติสูงสุดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567  พบว่าจังหวัดที่มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ชลบุรี กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ ชลบุรี มีจำนวน 2,792 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.4 และกรุงเทพฯ จำนวน 2,651 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.4 ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันสูงถึงร้อยละ 74.8 ของทั่วประเทศ

เมื่อพิจารณา จะพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 “ชลบุรี” มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติมากกว่ากรุงเทพฯ แต่ถ้าพิจารณาย้อนกลับไปในช่วงปี 2561 จนถึงปี 2565 กรุงเทพฯ มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติมากกว่าชลบุรี

 ส่วนจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีมูลค่า 18,737 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.0 และชลบุรี มีมูลค่า 7,670 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.3 ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึงร้อยละ 80.3 ของทั่วประเทศ

 เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปปี 2565 พบว่า กรุงเทพฯ และชลบุรี ยังคงเป็นจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติในสัดส่วนที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน ส่วนอันดับรองลงมาเป็นจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุทรปราการ และประจวบคีรีขันธ์ 

 อย่างไรก็ตามจากการประมวลภาพของการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติทั้งหมด ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ปริมาณทั้งในมิติของจำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ มีข้อสังเกตต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์เหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนการซื้อขายส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และแสดงให้เห็นว่าการซื้อขายห้องชุดของคนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง!

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้20ก.ย. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 33.13 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility ชัดเจนมากขึ้นขึ้นอยู่กับผลการประชุม BOJ มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.30 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้20ก.ย. 2567 ที่ระดับ  33.13 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.09 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า “Underestimate” แรงซื้อสินทรัพย์ไทยไปพอสมควร หลังบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) สวนทางกับที่ประเมินไว้

ทำให้เงินบาทในช่วงวันก่อนหน้าได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า จากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ เงินบาทก็ยังได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ตามการรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำเช่นกัน อย่างไรก็ดี สำหรับวันนี้ เรามองว่า เงินบาทจะเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลการประชุม BOJ

โดยหาก BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามเดิม แต่ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยที่ชัดเจน สวนทางกับที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ก็อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้น ทดสอบโซน 141 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

ซึ่งภาพดังกล่าวก็อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง พร้อมช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจจะขึ้นกับว่า จะมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) มากน้อยเพียงใด และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์จะช่วยให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ระดับไหน (ส่งผลต่อโฟลว์ธุรกรรมทองคำ)

ขณะที่ หาก BOJ คงดอกเบี้ยตามเดิม และไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนนักต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจทำให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ยังคงแกว่งตัว sideways ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า หากจะเห็นเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นเร็วและแรง เหมือนในช่วง Black Monday ที่ผ่านมา อาจจะต้องเห็นทั้งแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ พร้อมกับความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่รุนแรง ซึ่งจะยิ่งหนุนการ Unwind JPY-Carry Trade เพิ่มเติม หรือ เพิ่มการถือสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่า)

อนึ่ง เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ซึ่งอาจทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติบางส่วนอาจเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง

โดยเรามองว่า มีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ (แนวรับถัดไป 32.80 บาทต่อดอลลาร์) ทั้งนี้ เราคงมองว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลุดโซนดังกล่าว ก็จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ที่น่าสนใจ (Buy on Dip)

เนื่องจากในเชิง Valuation เงินบาทที่ระดับแข็งค่ากว่า 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ก็ถือว่าอยู่ในโซน Slightly Overvalued จนกว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นชัดเจน หรือ มีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.30 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร ในกรอบ sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 33.07-33.27 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า ในช่วงแรกเงินบาทจะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP)

หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00% ด้วยมติ 8-1 (มีกรรมการเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน) อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

โดยเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังแนวโน้มการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินทั้งฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลง พร้อมกับกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงเช่นกัน

ทั้งนี้ เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่องทะลุแนวต้าน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ หลังผู้เล่นในตลาดอาศัยจังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในการทยอยปรับสถานะถือครอง ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันศุกร์นี้

ส่วนราคาทองคำก็รีบาวด์ขึ้น กลับมาสู่ระดับก่อนรับรู้ผลการประชุม BOE ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความหวังว่า แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงแบบ Soft Landing และรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ซึ่งภาพดังกล่าวก็ได้แรงหนุนจากรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ล่าสุดที่ออกมาดีกว่าคาดเช่นกัน ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.70% ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.38% ท่ามกลางบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินที่ได้แรงหนุนจากการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้บรรดาหุ้นสไตล์ Growth และหุ้นกลุ่มเทคฯ ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ ASML +4.6% ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่ ต่างก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน Shell +1.6%, Rio Tinto +3.1% หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทยอยปรับตัวขึ้นหลังการประชุมเฟด 

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนใกล้โซน 3.72% โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นบ้างเข้าใกล้โซน 3.80% ก่อนที่จะย่อตัวลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว

ซึ่งก็สอดคล้องกับ คำแนะนำของเราที่ยังคงมองว่า กลยุทธ์ “Buy on Dip” หรือรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว จะสร้างความได้เปรียบให้กับผู้เล่นในตลาด

เพราะแม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายจะเข้าสู่ช่วงขาลงชัดเจนแล้ว ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับเปลี่ยนไปได้ตลอด ตามการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ทำให้บอนด์ยีลด์ยังเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเร็วตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 144 เยนต่อดอลลาร์ ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันโดยภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน

รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถว 100.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.5-101.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความผันผวนของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) เคลื่อนไหวผันผวนเช่นกัน

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงรอเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ตามแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ทำให้ราคาทองคำยังทรงตัวแถว 2,611 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ห้ามพลาด คือ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างไม่คาดหวังว่า BOJ จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้อีก จนกระทั่งถึงราวกลางปี 2025 หลังการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในการประชุมครั้งนี้ เราจะมองว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ตามเดิม แต่ต้องระวังการสื่อสารของ BOJ ที่อาจย้ำจุดยืน พร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ หากสภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินเอื้ออำนวย

โดยล่าสุดเช้านี้ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น เดือนสิงหาคม ก็ยังคงอยู่ในระดับ 3.0% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อยู่ที่ระดับ 2.8% สูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ที่ 2.0% โดยหาก BOJ ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ชัดเจน ก็อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร   

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกับ ข้อเข่า อย่างไรบ้าง

ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรือ อยู่ในภาวะโรคอ้วน จะมีแรงกดที่ข้อเข่ามากขึ้นถึง 3-4 เท่าของน้ำหนักตัวขณะเดิน ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อเข่า เช่น อาการปวดเข่า ข้อเข่าติด หรือการใช้งานข้อเข่าได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ภาวะน้ำหนักตัวเกินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคข้อเข่าเสื่อม

นพ.กฤษกมล สิทธิทูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า เนื่องจากข้อเข่าเป็นข้อต่อที่มีการเคลื่อนไหวแทบจะตลอดเวลา และยังต้องแบกรับน้ำหนักของร่างกายเราด้วย จึงสามารถพบปัญหาหรือความผิดปกติที่ข้อเข่าได้บ่อยๆ ความผิดปกติที่ข้อเข่านั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น อาการปวดเข่า ข้อเข่าติด ข้อเข่าไม่มั่นคง หรือการใช้งานเข่าได้ไม่เหมือนเดิม ความผิดปกติเหล่านี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้งานซ้ำๆ หรือการใช้งานอย่างหนักในนักกีฬา ลักษณะของงานที่มีการยกของหนัก ยืนหรือเดินเป็นเวลานานๆ การอักเสบในข้อเข่า และการเสื่อมตามธรรมชาติ แต่มีหนึ่งสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในข้อเข่าเหล่านี้ คือ การที่มีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์มาตรฐาน

มีรายงานพบถึงความสัมพันธ์ของการเกิดอาการปวดเข่ากับน้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน และอาการปวดนี้แสดงให้เห็นได้ชัดมากขึ้นในกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วน หากปล่อยไว้นานๆ จะทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ อีกทั้งยังมีการศึกษาพบอีกว่า การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปหรือเป็นโรคอ้วน จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดความเสื่อมของข้อมือ ข้อสะโพก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสื่อมของข้อเข่าได้อีกด้วย

น้ำหนักตัวเท่าไหร่ ถึงเรียกว่าพอดี?

ค่าดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index (BMI) เป็นค่าที่ใช้ชี้วัดว่าร่างกายมีความสมดุลกันของน้ำหนักตัวเทียบกับส่วนสูงหรือไม่ โดยสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน เกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วนได้ ในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ดังนี้

  • ค่า BMI น้อยกว่า 18.5 แสดงว่า น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักน้อยหรือผอม
  • ค่า BMI 18.5 – 22.90 แสดงว่า น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ค่า BMI 23.0 – 27.5 แสดงว่า น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
  • ค่า BMI มากกว่า 27.5 แสดงว่า เป็นโรคอ้วน

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกับข้อเข่าอย่างไร

เกิดแรงกระทำต่อข้อเข่ามากขึ้น

รวมถึงผิวกระดูกอ่อน (Cartilage) ที่หุ้มข้อเข่าด้วยเ จริงๆ แล้วข้อเข่านั้นรับน้ำหนักของเราได้มากถึง 3-4 เท่าของน้ำหนักตัวเราขณะเดิน หากมีน้ำหนักตัว 80 กก จะเทียบเท่ากับข้อเข่านั้นรับน้ำหนักมากถึง 240-320 กิโลกรัมขณะเดิน และจะรับน้ำหนักมากยิ่งขึ้นเมื่อทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น เดินขึ้นลงบันได หรือย่อตัวลงเก็บของ  ดังนั้น หากมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกระทำต่อข้อเข่ามากขึ้น 30-40 กิโลกรัม ในทุกก้าวที่เดิน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดข้อเข่าเสื่อมที่มากขึ้นด้วย  ในทางกลับกัน หากเราลดน้ำหนักลง 1 กิโลกรัม ก็จะลดแรงกระทำต่อข้อเข่าลง 3-4 เท่าหรือ 3-4 กิโลกรัม หากลด 10 กิโลกรัม ก็เท่ากับลดแรงกระทำต่อข้อเข่าได้มากถึง 30-40 กิโลกรัม ในทุกก้าวของการเดิน เมื่อแรงกระทำต่อข้อเข่าลดลง ก็ส่งผลให้อาการปวดและอาการอักเสบของข้อเข่าลดลง ข้อเข่าทำงานได้ดียิ่งขึ้น จากแรงกระทำของน้ำหนักตัวต่อข้อเข่านี้ จะเห็นได้ว่า คนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ นั้นถือว่าเป็นคนที่ใช้งานข้อเข่าหนักด้วยเช่นกัน

เกิดการอักเสบของข้อเข่า

โรคอ้วนจะไปเพิ่มการอักเสบของร่างกายมากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการปวดตามข้อต่อ การลดน้ำหนักจึงช่วยลดกระบวนการอักเสบเหล่านี้ได้ จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ลดน้ำหนักได้ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อเดือน ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน – 2 ปี พบว่า กระบวนการอักเสบในร่างกายนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อาการปวดตามข้อต่อ เช่น ข้อเข่า นั้นลดลงตามไปด้วย  นอกจากนั้นแล้ว เซลล์ไขมันที่มีมากเกินไปก็ส่งผลต่อสารเคมีในเลือดที่มีผลต่อการอักเสบของข้อเข่า ทำให้เกิดอาการข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย

นอกจากข้อเข่าแล้ว การที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ยังไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลร้ายกับสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคข้อเข่าเสื่อม

เทคนิคการลดน้ำหนัก ลดความกังวลเรื่องข้อเข่าเสื่อม

เพื่อหลีกเลี่ยงอาการผิดปกติต่างๆ ของข้อเข่าที่เกิดจากการมีน้ำหนักมากจนเกินไป จึงควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งการควบคุมน้ำหนักนั้นสามารถทำได้โดยการออกกำลังกายที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร โดยการรับประทานอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ มีประโยชน์ และมีสารอาหารครบ 5 หมู่  ทั้งนี้ มีรายงานว่า การลดลงของน้ำหนักตัวจะช่วยลดแรงกระทำต่อข้อเข่าลง ส่งผลให้ความผิดปกติในข้อเข่าและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ลดลง รวมถึงโอกาสในการเกิดอาการข้อเข่าเสื่อมก็ลดลงได้ด้วย

การออกกำลังกาย

  • อาจเริ่มจากการออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่าก่อน เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ เป็นต้น ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน และช่วยเพิ่มความทนทาน (endurance) ให้กับร่างกาย ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น
  • เมื่อเริ่มออกกำลังกายได้ดีขึ้น ร่างกายเริ่มมีความทนทานมากขึ้น และน้ำหนักตัวเริ่มลดลง อาจจะเริ่มออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอประเภทอื่น เช่น วิ่งเหยาะๆ เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านให้กล้ามเนื้อ ได้แก่ การทำ weight training เช่น การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและกล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยพยุงข้อเข่าและถ่ายเทน้ำหนักจากข้อเข่ามาที่กล้ามเนื้อได้ดี ข้อเข่าจึงไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป สลับกับการทำ weight training กับร่างกายส่วนอื่นๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันและเสริมสร้างกล้ามเนื้อโดยเกิดการสูญเสียกล้ามเนื้อน้อยที่สุด
  • แนะนำให้ทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching exercise) หลังการออกกำลังกายทุกครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ และมีความสมดุลของกล้ามเนื้อทุกส่วนเท่าๆ กัน

การควบคุมปริมาณอาหาร

ไม่ควรอดอาหาร แต่ให้ควบคุมการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและถูกวิธี โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ทานผักใบเขียว 40-50% ของมื้ออาหาร ทานโปรตีนดี เช่น อกไก่ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ต้ม ลดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม กุนเชียง แหนม ทานแป้งที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ลดการทานแป้งขัดขาว งดของหวาน น้ำตาล เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล

ไม่ตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนักไว้สูงจนเกินไป 

เริ่มแรกอาจจะตั้งเป้าหมายไว้ที่ 5% ของน้ำหนักตัวก่อน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น และมีกำลังใจที่จะทำต่อไปได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ มีการศึกษาพบว่า การลดน้ำหนักลง 5% ของน้ำหนักตัวหรือมากกว่านั้น ช่วยให้เกิดผลดีกับการทำงานของข้อเข่า และลดอาการปวดได้อีกด้วย

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนไม่พอส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น โดยมีการศึกษาในปี 2004 พบว่าคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มที่จะอ้วนเพิ่มขึ้นมากถึง 30 % เมื่อเทียบกับคนที่นอนหลับ 7-9 ชั่วโมง ล่าสุดพบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างการนอนหลับและฮอร์โมนที่ควบคุมการหิวที่ชื่อ “Ghrelin” และ ฮอร์โมนที่ส่งสัญญาณความอิ่มให้สมองและควบคุมความอยากอาหารที่ชื่อ “Leptin” โดยการนอนที่ลดลงมีผลต่อการลดลงของ Leptin และส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ Ghrelin ดังนั้นการนอนที่เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น และลดปัญหาที่ข้อเข่าลงได้

การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการและออกกำลังกายที่เหมาะสม รวมถึงนอนหลับอย่างมีคุณภาพและเพียงพอ จะช่วยให้น้ำหนักค่อยๆ ลดลง อาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดกับข้อเข่าก็จะน้อยตามลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากลดน้ำหนักลงแล้ว อาการผิดปกติที่ข้อเข่า เช่น ปวดเข่า เข่ายึดติด หรือการใช้งานไม่เหมือนเดิมนั้นยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


73 แคปชั่นใช้ชีวิต ในแบบเรา แคปชั่นใช้ชีวิตตัวเอง คิดบวก โพสต์แล้วใจฟูสุดๆ

  • Learn to let go. That is the key to happiness.

เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง นั่นคือกุญแจไปสู่ความสุข

  • I’m not lazy. I’m on energy-saving mode.

ฉันไม่ได้ขี้เกียจ ฉันอยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน

  • My wallet is like an onion; opening it makes me cry.

กระเป๋าเงินของฉันก็เหมือนหัวหอม พอเปิดมันก็ทำให้ฉันน้ำตาไหล

  • Bad days aren’t always bad. At least you’ll find out who your true friends are.

วันที่แย่ก็ไม่ได้แย่เสมอไป อย่างน้อยคุณจะพบว่าใครคือเพื่อนแท้ของคุณ

  • I’m not arguing, I’m simply explaining why I’m right.

ฉันไม่ได้เถียง ฉันแค่อธิบายว่าทำไมฉันถึงเป็นฝ่ายถูก

  • Why is Monday so far from Friday, and Friday so close to Monday?

ทำไมวันจันทร์ถึงไกลจากวันศุกร์ และวันศุกร์ถึงใกล้กับวันจันทร์ล่ะ?

  • I don’t chase dreams, I hunt goals.

ฉันไม่ได้ไล่ตามความฝัน ฉันตามล่าเป้าหมาย

  • I need a six-month holiday, twice a year.

ฉันต้องการวันหยุดหกเดือน ปีละสองครั้ง

  • I’m not short, I’m just more down to earth than other people.

ฉันไม่ได้ขาดแคลนขัดสน ฉันแค่ติดดินมากกว่าคนอื่นๆ

  • Between ‘go big or go home’, I choose the latter.

ระหว่าง ‘ไปสู่ความยิ่งใหญ่หรือกลับบ้าน’ ฉันเลือกอย่างหลัง

  • I don’t want a perfect life, I want a happy life.

ฉันไม่ต้องการชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันต้องการชีวิตที่มีความสุข

  • Elevate life with a dash of daring.

จงยกระดับชีวิตด้วยความกล้าหาญ

  • Every day is a new opportunity.

ทุกๆ วันคือโอกาสใหม่

  • Dare to dream big, and dare to make it happen.

จงกล้าฝันให้ใหญ่ และกล้าทำให้มันเกิดขึ้น

  • Life’s too short to wear boring clothes.

ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะสวมเสื้อผ้าที่น่าเบื่อ

  • I’m not anti-social, I’m selectively social.

ฉันไม่ได้ต่อต้านสังคมนะ แค่เป็นคนที่เลือกสังสรรค์น่ะ

  • Confidence is my best accessory.

ความมั่นใจเป็นเครื่องประดับที่เริ่ดที่สุดของฉัน

  • I’m not perfect, but I’m perfectly confident.

ฉันไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ฉันมั่นใจอย่างยิ่ง

  • Happiness is not about having everything, but appreciating what you have.

ความสุขไม่ใช่การมีทุกสิ่ง แต่เป็นการเห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณมี

  • It does not matter how slowly you go so long as you do not stop.

ไม่สำคัญว่าคุณจะเดินช้าแค่ไหน ตราบใดที่คุณยังไม่หยุดเดิน

  • Never stop. Never stop fighting. Never stop dreaming.

ไม่เคยหยุด ไม่เคยหยุดสู้ ไม่เคยหยุดฝัน

  • Learn to value yourself, which means: fight for your happiness.

เรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าของตัวเธอเอง ซึ่งหมายถึงต่อสู้เพื่อความสุขของเธอเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก women.trueid.net


AWS ถอดรหัสเทรนด์ ‘Gen AI’ พลิกโฉมวงการ ‘โทรคม’

  • ที่น่าจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้นเทคโนโลยี Generative AI ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 
  • Generative AI จะเปลี่ยนแปลงวงการโทรคมนาคมไปอย่างสิ้นเชิง
  • 97% ของบริษัทไอทีและโทรคมนาคมคาดว่าจะนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ภายในปี 2571

อุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความต้องการในสิ่งใหม่ๆ ของผู้บริโภคและองค์กร

จายันต์ นาคราจัน หัวหน้าสายงานอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส หรือ เอดับบลิวเอส เปิดมุมมองว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแวดวงโทรคมนาคมมีทั้งด้านแอปพลิเคชันและประสบการณ์

โดยเทคโนโลยี 5G เปิดโอกาสให้เข้าถึงได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เครือข่ายความเร็วสูงนี้ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไร้คนขับ แอปพลิเคชันอัจฉริยะสำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (IoT) ในภาคอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การออกแบบและสร้างเมืองอัจฉริยะในอนาคต

แต่สิ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเทคโนโลยี Generative AI ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงวงการโทรคมนาคมไปอย่างสิ้นเชิง

AI พลังขับเคลื่อนธุรกิจ

ทุกวันนี้ ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ให้บริการต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ แม้การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่เป็นเรื่องยากต้องใช้เวลานานหลายปีในการพัฒนาระบบใหม่และบูรณาการระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่ถ้าผู้ให้บริการโทรคมนาคมใช้ Generative AI ในการสร้างระบบใหม่ตั้งแต่ต้นกระบวนการจะง่ายและรวดเร็วขึ้น

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่สำหรับบริษัทโทรคมนาคมในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ ด้วยความสามารถในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างมีประสิทธิภาพ รับมือการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของปริมาณข้อมูล รวมถึงความก้าวหน้าล้ำสมัยของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่สามารถประมวลผลและเข้าใจภาษาธรรมชาติได้ดี ทำให้แนวคิดซึ่งเคยดูเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน

ปัจจุบัน Generative AI สามารถวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ เชื่อมโยงข้อมูล รวมถึงค้นหาความเหมือนและความแตกต่างจากข้อมูลจำนวนมหาศาลได้

เคล็ดลับสู่เส้นทาง AI

สำหรับเคล็ดลับสำหรับผู้นำในวงการโทรคมนาคมที่สนใจนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลง มีดังต่อไปนี้

ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถเลือกใช้ระบบ AI ทั้งแบบพัฒนาเองตามความต้องการเฉพาะ หรือแบบสำเร็จรูปที่พร้อมใช้งาน : การนำโมเดล Generative AI ที่พร้อมใช้งานมาประยุกต์ใช้ ช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถปรับเปลี่ยนองค์กรได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากในอดีตที่ต้องใช้เวลานานหลายปี

ด้วย Gen AI การให้บริการลูกค้าสามารถเพิ่มความคล่องตัว เช่น การใช้แชทบอทที่รองรับการให้บริการหลายภาษา ทีมวิศวกรเครือข่ายสามารถวิเคราะห์ปัญหาและหาสาเหตุได้อย่างรวดเร็วเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ทีมการตลาดสามารถทำแคมเปญส่งเสริมการขายแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ขณะที่นักพัฒนายังสามารถใช้ผู้ช่วยเขียนโค้ดที่มีความปลอดภัย และช่วยลดเวลาในการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างมาก

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการที่มีบริการรูปแบบดิจิทัลสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Generative AI ได้ เช่น พัฒนาระบบคิดค่าบริการบนคลาวด์ที่ใช้ Generative AI ช่วยให้ทีมผลิตภัณฑ์สามารถกำหนดราคา ส่วนลด และแพ็กเกจได้อย่างยืดหยุ่น

มากกว่านั้น บริษัทโทรคมนาคมยังสามารถสร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขึ้นเองได้ (Foundation Models: FMs) โดยปรับให้เหมาะกับลูกค้าและธุรกิจของตน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงบริการต่างๆ เช่น การตรวจจับข้อความสแปม และยังช่วยในการพัฒนาผู้ช่วยส่วนตัวที่ใช้ AI อีกด้วย

 เริ่มต้นจาก ‘ความปลอดภัย’

ความแม่นยำของ AI เริ่มต้นจากความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูล : บริษัทโทรคมนาคมมีข้อมูลจำนวนมากจากหลายแหล่ง เช่น การวิจัยตลาด เครือข่าย อุปกรณ์ และประวัติลูกค้า เทคโนโลยี Generative AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อค้นพบสิ่งที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้บริษัทพัฒนาหรือสร้างธุรกิจใหม่ๆ ได้

แต่การทำความเข้าใจและปกป้องข้อมูลก็มีความสำคัญเช่นกัน บริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลมีนโยบายป้องกันการใช้งานข้อมูลผิดวัตถุประสงค์อยู่แล้ว และมีความชำนาญในการจัดการกับประเด็นเหล่านี้ ทำให้สามารถนำ AI มาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ประสบการณ์นี้ทำให้บริษัทโทรคมนาคมมีข้อได้เปรียบเหนือองค์กรอื่นๆ ที่ยังไม่ได้แก้ปัญหาการจัดการข้อมูล หรือไม่เห็นแนวทางในการนำ AI มาใช้งาน

อีทางหนึ่ง มีความกังวลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของข้อมูลที่พวกเขาใช้งาน เพราะบ่อยครั้งข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลลูกค้าของลูกค้าอีกที ดังนั้นจึงมีความสำคัญมากที่จะต้องรักษาความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของข้อมูลเหล่านี้

เทคโนโลยี Generative AI นั้นมีประเด็นที่น่ากังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสของระบบว่าทำงานอย่างไร การที่ระบบอาจมีอคติหรือความลำเอียงบางอย่าง และการที่ระบบอาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างรอบคอบ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีต้องมีการทดสอบและติดตามการทำงานของระบบอย่างละเอียด และมีมนุษย์คอยควบคุมดูแลด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ AI ทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือและมีจริยธรรม

เมื่อเลือกใช้บริการ Generative AI ข้อแนะนำสำหรับบริษัทโทรคมนาคม คือให้ความสำคัญกับระบบที่นำโมเดล AI ภายนอกมาวิเคราะห์ข้อมูล แทนที่จะส่งข้อมูลไปยังโมเดลภายนอก วิธีนี้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวและความลับของข้อมูลธุรกิจได้ดีกว่า

ต้องทำงานคู่กับ ‘มนุษย์’

อัลกอริธึมอัจฉริยะต้องอาศัยความสามารถของมนุษย์ : เทคโนโลยี Generative AI เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่แตกต่างจากระบบอัตโนมัติแบบเดิมที่เครื่องจักรทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แต่ช่วยเสริมศักยภาพของมนุษย์ ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยวิธีการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ผลการสำรวจทักษะด้าน AI ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปี 2567 โดยเอดับบลิวเอส พบว่า 97% ของบริษัทไอทีและโทรคมนาคมคาดว่าจะนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ภายในปี 2571

ข้อมูลจากบริษัทวิจัยตลาดชั้นนำอย่างไอดีซี ก็ระบุด้วยว่า ตลาด AI ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตจาก 33.7 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 180.8 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงถึง 39.9%

กล่าวได้ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความได้เปรียบเปรียบ ในปี 2567 ผู้บริหารบริษัทโทรคมนาคมจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ นั่นคือจะคงทำแบบเดิมหรือจะกล้าปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้

การตัดสินใจในครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง เพราะไม่ใช่แค่ความสำเร็จของบริษัทเท่านั้นที่ขึ้นอยู่กับการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล แต่ยังมีข้อมูลว่า 70% ของความพยายามในการปรับเปลี่ยนองค์กรมักจะล้มเหลว ดังนั้นการวางแผนอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากความคาดหวังของลูกค้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


3 อาหารต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ที่ได้ผลแน่นอน

ปัญหาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากถือว่าน่ากลัวมากในประเทศไทย โดยจะเกิดขึ้นกับเพียงแค่ผู้ชายเท่านั้น ถูกจัดให้เป็นมะเร็งอันดับ 4 ที่คร่าชีวิตผู้ชายไทยไปมากที่สุด และจะพบได้มากในช่วงอายุ 60-79 ปี จุดนี้เองจึงทำให้คุณผู้ชายทั้งหลายต้องได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากอยู่เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วัยหนุ่มที่จะไม่ต้องเสี่ยงต่อโรคนี้ในช่วงสูงอายุ

ไม่เสี่ยง! เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แค่ดูแลตัวเองให้เป็น

มะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายจะเกิดที่บริเวณรอบท่อปัสสาวะ ซึ่งเป็นต่อมที่อยู่ตรงช่วงบริเวณอุ้งเชิงกราน ใต้จุดต่อของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วต่อมลูกหมาก จะช่วยผลิตน้ำหล่อเลี้ยงและเป็นส่วนนำพาอสุจิ แต่ถ้าเมื่อใดที่มีความเสื่อมตามอายุ ทำให้เกิดปัญหาอุดตันบริเวณท่อปัสสาวะ จะนำมาสู่ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก จะพบได้เมื่อเซลล์ของต่อมลูกหมากมีความผิดปกติ ด้วยการแตกตัวออกมาเป็นจำนวนมากและรวดเร็ว จะทำให้เกิดการลุกลามของโรคที่เป็นไปอย่างง่ายดายและแทบจะทันที

จึงกลายเป็นอุบัติการณ์ที่ทำให้ผู้ชายทั่วโลก เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากสูงมาก โดยปัจจัยสำคัญคือเรื่องของอายุที่เพิ่มมากขึ้น ประวัติทางครอบครัวที่อาจส่งต่อทางพันธุกรรม และภาวะโรคอ้วน ซึ่งวิธีการดูแลตัวเองที่ดีที่สุด คือ เมื่ออายุอยู่ในช่วงกลุ่มเสี่ยงคือตั้งแต่วัย 40 ปีขึ้นไป ควรมีการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ดื่มและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการมีพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้ามีน้ำหนักที่สูงเกินเกณฑ์ควรลดน้ำหนักลง และรักษาให้น้ำหนักมีความสมดุลอยู่เสมอ

3 อาหารต้านมะเร็งต่อมลูกหมากที่ผู้ชายควรทาน

อาหารต้านมะเร็ง มีลักษณะเป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก พร้อมช่วยส่งเสริมให้สุขภาพกายและสุขภาพใจ มีความสมบูรณ์แข็งแรงอยู่ตลอด โดยการรับประทานควรเน้นไปที่ผักและผลไม้ รวมไปถึงกลุ่มธัญพืช ที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการต้านโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณผู้ชายควรเลือกอาหารต่อไปนี้

1.กลุ่มผักหัวกะหล่ำ

กลุ่มผักหัวกะหล่ำ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่ชื่อสารซัลโฟราเฟน ถือเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการต้าน และกำจัดสารก่อมะเร็ง ลดอาการอักเสบ โดยจะมีอยู่ในพืชตระกูลผักหัวกะหล่ำ เช่น บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ ผักกาดขาวกะหล่ำปลีสีม่วง และบีทรูท เป็นต้น

2.มะเขือเทศ

ภายในมะเขือเทศจะเต็มเปี่ยมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์และไลโคปีน ที่ถือเป็นสุดยอดอาหาร นอกจากนี้ ยังมีอยู่ในพืชผักที่เป็นสีแดงและสีส้ม ซึ่งถือเป็นสารจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นสมุนไพร ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งลำไส้ใหญ่ บำรุงลำไส้ ทำให้ได้ประโยชน์ทั้งเรื่องของป้องกันมะเร็งและผิวพรรณที่สดใส

3.ถั่วและธัญพืช

กลุ่มถั่วและธัญพืช อุดมไปด้วยสารฟวานอยด์และสารไอโซฟลาโวน ซึ่งทั้ง 2 สารนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก พร้อมการบำรุงให้บริเวณของลูกหมากมีความแข็งแรง เพิ่มสมดุลของฮอร์โมนเพศ อุดมได้มากภายในผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง แครนเบอร์รี่ ลูกทับทิม และไวน์แดง มีฤทธิ์ในการต้านอักเสบได้เป็นอย่างดี

การรับประทานอาหารที่จะช่วยต้านมะเร็ง ไม่ใช่แค่เพียงทั้ง 3 อาหารที่ได้แนะนำไว้เท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในเมล็ดแฟลกช์ เมล็ดฟักทอง ออริกาโน่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แอปเปิ้ล และหัวหอม เป็นต้น รวมไปถึงต้องมีการออกกำลังกายและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่ดีในการทำลายสุขภาพของตัวคุณเองร่วมด้วย จึงจะช่วยส่งผลให้ต้านเชื้อมะเร็งได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/09/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,500.0040,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,623.0039,764.6841,100.00
ทองรูปพรรณ 90%2,360.7035,788.21n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,098.4031,811.74n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,180.0017,888.80n/a
ทองรูปพรรณ 40%918.0013,916.88n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,718.0041,204.88n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/09/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.7535.7536.0535.7535.7535.7535.7535.7535.7535.75
แก๊สโซฮอล์ 9135.3835.3835.6835.3835.3835.3835.3835.3835.3835.38
แก๊สโซฮอล์ E2033.6433.6433.9433.6433.6433.6433.6433.6433.64
แก๊สโซฮอล์ E8533.3933.3933.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.3449.8449.8449.8444.34
เบนซิน 9543.8449.8144.3443.9943.84
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า