เมททริก แพลตฟอร์มบริหารอาคารอัจฉริยะ เชื่อมภาครัฐและเอกชนสู่สมาร์ทซิตี้
เมทเธียร์ เปิดตัว เมททริก แพลตฟอร์มบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะแบบครบวงจรเพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยและบริหารจัดการการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละอาคาร ตอบโจทย์ ESG ทั้งในภาครัฐและเอกชน ผลักดันประเทศไทยสู่สมาร์ทซิตี้
ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) กล่าวว่า การผลักดันประเทศไทยสู่ Smart City เป็นเรื่องที่พูดกันมาหลายปี แต่กลับพัฒนาได้ช้ากว่าที่วางแผนไว้ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี ที่มักจะมีเทคโนโลยีแต่ไม่มีฐานข้อมูล หากอ้างอิงข้อมูลจาก IMD Smart City Index 2024 ที่สำรวจ 142 เมืองทั่วโลก เพื่อจัดอันดับเมือง Smart City
โดยสำรวจทั้งหมด 5 มิติสำคัญ ได้แก่ Health & Safety, Mobility, Activities, Opportunities และ Governance พบว่ากรุงเทพฯ นั้นตกจากอันดับ 78 ในปี 2563 มาอยู่ที่อันดับ 88 ในปี 2566 และในปีนี้ไทยขยับกลับขึ้นมาเพียงเล็กน้อย คือ อยู่ที่อันดับ 84 ในขณะที่ในระดับเอเชียเราอยู่ในอันดับที่ 22 ซึ่งหากเทียบกับสิงคโปร์เพื่อนบ้านใกล้เคียงของเรา พบว่า สิงคโปร์อยู่ที่อันดับ 5 ของโลก และอันดับ 1 ในเอเชีย
โดยทั้ง 5 มิตินั้นจะเน้นที่การสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนใน 2 แกนหลัก คือ โครงสร้างเมือง (City Structure) นำโดยภาครัฐ และเทคโนโลยี (Technology) ที่ผลักดันโดยภาคเอกชน โดยเฉพาะในมิติของ Health & Safety นั้น เป็นมิติที่เห็นความต่างได้ชัดระหว่างสิงคโปร์กับไทย ในส่วนของโครงสร้างเมืองนั้นจะเห็นได้ว่าคนสิงคโปร์ให้คะแนนเฉลี่ยเรื่อง ‘มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) และความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) ไม่ใช่ปัญหา’ สูงถึง 64.9 และ 80.4 คะแนน ตามลำดับ
ขณะที่คนไทยให้คะแนนเฉลี่ยเรื่อง ‘มลพิษทางอากาศและความปลอดภัยสาธารณะไม่ใช่ปัญหา’ เพียง 32.9 และ 50 คะแนน เท่านั้น สำหรับในส่วนเทคโนโลยี ทั้งคนสิงคโปร์และไทยให้คะแนนประเมินเรื่อง ‘การติดตั้งกล้อง CCTV ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย’ สูงถึง 80.8 และ 75.1 ตามลำดับ ขณะที่ คนสิงคโปร์ให้คะแนนเรื่อง ‘การรายงานออนไลน์ช่วยให้การซ่อมบำรุงของเมืองรวดเร็วขึ้น’ ที่ 70.2 และคนไทยให้คะแนนที่ 60.2
จากรายงานข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศและความปลอดภัยสาธารณะสามารถที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ หากเทียบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยมีจำนวนกล้องวงจรปิดประมาณ 65,167 ตัว ขณะที่สิงคโปร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไทยหลายเท่ามีกล้องวงจรปิด 109,072 ตัว จากกรณีศึกษา สิงคโปร์มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ใกล้ชิดกันมาก มีการใช้กล้อง CCTV และใช้เทคโนโลยี IoT ทั้งในส่วนของโครงสร้างเมืองและภายในอาคารทำให้การตอบโต้สถานการณ์ต่าง ๆ มีประสิทธิภาพสูงและเร็วขึ้นกว่า 60% ลดการพึ่งพาแรงงาน 15% ประหยัดเวลาในการรายงานได้ถึง 40%
“ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการด้านอสังหาริมทรัพย์ สิ่งที่เมทเธียร์คิดวันนี้ คือ เราจะช่วยแต่ละอาคารในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ (Big Data) เพื่อนำมาต่อยอดกับ AI และ IoT เพื่อพัฒนาเรื่องการยกระดับการรักษาความปลอดภัย (Security) และการบริหารจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงาน (Sustainable Energy Management) ให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้อย่างไร ” นายขยล กล่าว
จึงเป็นที่มาของการพัฒนา METTRIQ (เมททริก) แพลตฟอร์มการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะแบบครบวงจรแพลตฟอร์มแรกของไทยที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยจนถึงรายใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG ให้เข้าถึงแพลตฟอร์มเปิดที่ทันสมัยในการบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืน
METTRIQ (Metthier Reformative IQ) เป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นมาจากเทคโนโลยี AI และ IoT เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลและแสดงผลในรูปแบบ Digital Twin และ 3D Visualization เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาการบริหารจัดการอาคารอย่างยั่งยืนในอนาคต
METTRIQ ถือเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะครบวงจรแพลตฟอร์มแรกในประเทศไทยที่รวม 12 ฟีเจอร์ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ได้แก่ ระบบ CCTV, ระบบควบคุมการเข้า-ออกอัตโนมัติ (Access Control), ระบบบริหารจัดการผู้มาติดต่อ (Visitor Management), การตรวจจับโลหะ (Metal Detector), การตรวจวัดคุณภาพอากาศ (Air Quality), ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟ (Lighting System), ระบบปรับสภาวะอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น และการหมุนเวียนของอากาศภายในอาคาร (HVAC System), ระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm), ระบบควบคุมบันไดเลื่อนและลิฟท์ (Escalator & Lift), ระบบระบายอากาศ (Air Flow System), ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้า (Electricity), และระบบการบริหารจัดการน้ำ (Water System) นอกจากนี้ ยังมีผู้ช่วย AI คอยแนะนำวิธีใช้พลังงานอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG ให้แก่ผู้ใช้อีกด้วย
“หากประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็น Smart City ในอนาคตอันใกล้ ทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันทำให้เกิดเป็นรูปธรรม METTRIQ เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เราพัฒนาขึ้นมา เพื่อ connect the dots และพัฒนาการบริหารจัดการอาคารแต่ละอาคาร ยกระดับความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯของแต่ละอาคารได้ จากหนึ่งอาคาร เพิ่มเป็นหลายพัน หลายหมื่น หลายแสนอาคาร จนท้ายที่สุดสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่ของประเทศและช่วยให้ประเทศไทยขยับเข้าใกล้สังคม Smart Sustainable City ที่มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เร็วยิ่งขึ้นและยั่งยืน” ขยลกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เสนาฯชู โมเดล“ซับสคริปชั่น” คอนโดจากเช่าซื้อสู่การลงทุน
ครั้งแรก! วงการอสังหาฯ เสนาฯ ผุดโมเดล“ซับสคริปชั่น”คอนโดจากเช่าซื้อสู่การลงทุน“RentNex” ยืดหยุ่นตามสไตล์คนชอบเช่า ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ยืดหยุ่นตามสไตล์คนชอบเช่า ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน โดยพบว่ายอดการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม และภาระหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ หันมาเลือกเช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อ การเช่าจึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการผ่อนชำระระยะยาว
“ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ความต้องการซื้อบ้านลดลงคือ อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านที่สูงกว่าอัตราการเติบโตของรายได้ สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นจากยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ลดลง ซึ่งมีผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้เริ่มต้นที่ต้องการบ้านราคาประมาณ 1 – 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่เสนาฯ มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด มากถึง 20% หรือกว่า 20,000 ยูนิต”
ทั้งนี้เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค เสนาฯ ได้พัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัย “LivNex เช่าออมบ้าน” โดยมีคอนโดมิเนียม 24 โครงการในทำเลศักยภาพเข้าร่วมโครงการ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก มีผู้เข้าร่วมกว่า 800 ยูนิต และผ่านการอนุมัติแล้วกว่า 400 ยูนิต นอกจากนี้ เสนาฯ ยังได้ต่อยอดนวัตกรรม “LivNex Housing” บ้านคุณภาพทำเลดี 22 โครงการ ภายใต้แนวคิด “เช่าออมบ้าน…เช่าเพื่อเป็นเจ้าของ”
ซึ่งไม่ต้องชำระเงินดาวน์ และไม่ต้องรอการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร เพียงเลือกโครงการเสนา ที่ต้องการและทำสัญญาเช่าออมสูงสุด 36 เดือน ก็สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที พร้อมโอนสิทธิ์เปลี่ยนมือได้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.8% เปลี่ยนค่าเช่าเป็นเงินออม ลดเงินต้น และผ่อนชำระเริ่มต้นเพียงล้านละ 4,100 บาท
ทั้งนี้ เสนาฯ มองเห็นโอกาสในความหลากหลาย จึงขยายโซลูชันการอยู่อาศัยตอบโจทย์ลูกค้าระดับ Premium ด้วย “LivNex Gold” อิสรภาพเหนือระดับของการมีบ้าน ที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านและคอนโด เป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของบ้านในอนาคตได้โดยไม่เสียวงเงินเครดิต และไม่ต้องผูกมัดกับการกู้ยืมเงิน สะดวกกับบริหารจัดการวงเงินเพื่อลงทุนธุรกิจ อีกทั้งยังได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราสินเชื่อทั่วไป โครงการนำร่องที่เข้าร่วม LivNex Gold ได้แก่ คอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ปีติ สุขุมวิท 101 , โครงการบ้านคุณภาพ เสนา พาร์ควิลล์ 2 รามอินทรา – วงแหวน 2 R, เสนา วิลล์ วงแหวน – บางบัวทอง และ เสนา แกรนด์โฮม รังสิต – ติวานนท์ ตอบรับความต้องการของผู้ที่มองหาความมั่นคงทางการเงินและต้องการสร้างมรดกที่มั่นคงเพื่อส่งต่อให้ครอบครัวในอนาคต
นอกจากนี้ ครั้งแรกของวงการอสังหาไทย เสนาฯ ยังเปิดตัวบิสิเนสโมเดลใหม่ “RentNex” Pay wisely, Live Flexibly การเช่าคอนโดรูปแบบใหม่ เน้นความยืดหยุ่นให้กับผู้เช่า และไม่ผูกพันกับสัญญาเช่าระยะยาว อีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเข้าถึงลูกค้าด้วยบริการสมัครสมาชิก หรือSubscription Model ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่มี lifestyle ในการสมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Netflix, YouTube Premium, Spotify Premium, Canva Pro
“เสนาฯ มองว่า “RentNex” จะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์กลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ Generation Rent ที่เน้นการเช่าอยู่ มากกว่าความต้องการซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ โดยลูกค้าสามารถเลือกเช่าแบบสมัครสมาชิกได้ง่ายๆ จาก 20 โครงการคอนโดของเสนาฯ “
ดังนี้
– เริ่มต้นเช่าเพียง 6,700 บาทต่อเดือน กับโครงการคุณภาพจากเสนา พิเศษสุดกับแพ็กเกจให้เลือกถึง 3 แบบ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ:
• แพ็กเกจ Silver: เลือกเช่าในโครงการเสนาคิทท์ (SENA Kith) และเสนาอีโคทาวน์ (SENA Eco Town) ที่มีให้เลือกถึง 12 โครงการ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการที่พักคุณภาพในทำเลสะดวกสบาย
• แพ็กเกจ Gold: ขยับสู่ระดับที่สูงขึ้น ด้วยการเลือกพักในโครงการเฟล็กซี่ (Flexi) และเสนาคิทท์ (SENA Kith) และเสนาอีโคทาวน์ (SENA Eco Town) พร้อมให้เลือกถึง 16 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่สำคัญในเขตเมือง
• แพ็กเกจ Platinum: สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือกว่า กับตัวเลือกโครงการนิชโมโน (Niche Mono), เฟล็กซี่ (Flexi) และเสนาคิทท์ (SENA Kith) และเสนาอีโคทาวน์ (SENA Eco Town) รวม 20 โครงการ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาความหรูหราและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
– ให้คุณได้เลือกแผนการเช่าที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณ ด้วยราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ พร้อมสัมผัสคุณภาพการอยู่อาศัยจากเสนา ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของชีวิตในเมือง
– Flexibility: ยืดหยุ่นสูงสุด เลือกย้าย Location ใหม่ใน Pool Package ที่เลือกไว้แบบ Seamless ไม่ต้องจ่ายมัดจำเพิ่มและไม่ต้องทำสัญญาเช่าใหม่
– Money Save: รับส่วนลด 20%* ของค่าเช่าสะสม 3 ปี เมื่อเปลี่ยนใจซื้อโครงการทั้งหมดใน Pool ของ RentNex
– Build Credit Status: สร้าง Credit Statement กับ ธอส.
– ค่าเช่าทุกยูนิต รวมค่าส่วนกลางและค่าน้ำ*
– Better Living: Facilities ครบครัน ทั้ง Fitness สระว่ายน้ำ ที่จอดรถ* และ เครื่องใช้ไฟฟ้าครบพร้อมอยู่
“เสนาฯ เชื่อมั่นว่านวัตกรรมทางการเงิน ทั้ง “LivNex” , “LivNex Gold” และ “RentNex” ไม่เพียงจะช่วยผลักดันโอกาสการเติบโตท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวน แต่ยังตอกย้ำพันธกิจหลักในการสร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงที่อยู่อาศัยคุณภาพที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างแท้จริง ในราคาที่จับต้องได้ เสนาฯ ยึดมั่นหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวคิด ESG โดยมุ่งเน้นผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการผสานนวัตกรรมทางการเงินเข้ากับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้20พ.ย. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจถูกชะลอการแข็งค่าลงบ้าง ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ฝั่งผู้นำเข้า มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงาน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินเยน เปิดโอกาสแข็งค่าทดสอบโซน34.20-34.30บาท/ดอลลาร์หากแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้20พ.ย. 2567 ที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.55 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจต่อ Call Short-term USDTHB peak ของเราเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังเงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่าลงและ
มีโอกาสที่เงินบาทอาจสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากราคาทองคำยังสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นและเป็นสินทรัพย์ที่ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะถือครองในช่วงตลาดเผชิญความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน
ขณะที่ แม้เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยบ้าง แต่เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD เพิ่มเติม ซึ่งภาพดังกล่าว
สอดคล้องกับการทยอยขายทำกำไรสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาดในช่วงระยะสั้นนี้เช่นกัน (หากเงินบาทแข็งค่าทะลุโซนแนวรับสำคัญ ก็อาจเร่งการปิดสถานะ Short THB ได้) นอกจากนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติก็เริ่มชะลอลงบ้าง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้
อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ (Buy on Dip) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อาทิ ฝั่งผู้นำเข้า รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงาน
รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินต่างประเทศ อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) ที่อาจพอกดดันเงินบาทและชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ แต่หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อาจเปิดโอกาสที่เงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ รวมถึงช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.65 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Down หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง (กรอบการเคลื่อนไหว 34.49-34.61 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าขายทำกำไรสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น)
นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังคงได้แรงหนุนจากความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กำลังร้อนแรงและเสี่ยงที่จะบานปลาย กลายเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับพันธมิตรชาติตะวันตก อย่าง NATO รวมถึงมีความเสี่ยงที่รัสเซียอาจพิจารณาใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามครั้งนี้
(อาทิ Tactical Nuclear Weapons) หลังล่าสุดสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ยูเครนใช้ระบบอาวุธ ATACMS (MGM-140 Army Tactical Missile System) โจมตีเป้าหมายในดินแดนรัสเซีย เฉพาะในพื้นที่ Kursk Oblast เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลุดโซนแนวรับสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า (Importers) รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบเริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้นจากทั้งความกังวลปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการระงับการผลิตน้ำมันดิบจากบ่อน้ำมันของนอร์เวย์
แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินอาจถูกกดดันจากความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia +4.9%
ตามความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า Nvidia อาจรายงานผลประกอบการและคาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่ง ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.04% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อ -0.45% ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น เสี่ยงบานปลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ ทว่าความกังวลดังกล่าวยังพอช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นที่เกี่ยวกับอาวุธสงครามสามารถปรับตัวขึ้นได้ อาทิ Rheinmetall +3.9% และ BAE Systems +1.3%
ในส่วนของตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมแกว่งตัวระหว่างโซน 4.30%-4.40% โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 59% ในการลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้
อนึ่ง เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว (เน้น Buy on Dip) เนื่องจาก Risk-Reward ของการถือครองบอนด์ระยะยาวยังมีความน่าสนใจ เมื่อประเมินจากผลตอบแทนรวม (Total Return) โดยเฉพาะในกรณีที่ บอนด์ยีลด์ระยะยาวอาจปรับตัวขึ้นหรือลง +/-50bps
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ที่ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยสะสมมาอย่างต่อเนื่องในธีม Trump Trades ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 155 เยนต่อดอลลาร์ จากที่แกว่งตัวแถวโซน 153.50 เยนต่อดอลลาร์
สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 106.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.1-106.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความร้อนแรงขึ้น
รวมถึงจังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,630-2,640 ดอลลาร์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนตุลาคม ของอังกฤษ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ โดยหากอัตราเงินเฟ้อ CPI และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ชะลอลงชัดเจน ก็อาจเพิ่มโอกาสที่ BOE จะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ได้ ซึ่งภาพดังกล่าวก็สามารถกดดันเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ในระยะสั้น
ส่วนฝั่งเอเชีย เราประเมินว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.00% เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) ซึ่งเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่ามาพอสมควรนับตั้งแต่ช่วงก่อนรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจอินโดนีเซียก็ยังไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจน จนทำให้ BI มีความจำเป็นต้องเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลัง ซึ่งอาจกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและการประชุมธนาคารกลางดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ Nvidia ซึ่งจะรับรู้ในช่วง After Hour ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก (เฟด, BOE และ ECB) พร้อมทั้งติดตาม สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กลับมาเป็นประเด็นความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงในช่วงนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.51-34.53 บาทต่อดอลลาร์ฯในช่วงเช้าวันนี้ (8.51 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ทั้งนี้ สัญญาณที่สะท้อนความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในตลาดโลกและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ปรับย่อลง เพิ่มแรงกดดันต่อเนื่องมาที่ค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังคงขาดปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.40-34.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก การประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ของธนาคารกลางจีน และอัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของอังกฤษ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วิว กุลวุฒิ” ควงคู่ “เอ็ม-ปอป้อ” ลิ่วรอบ 2 “เมย์” จอดรอบแรกแบดมินตันไชน่า มาสเตอร์ส
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยวมือ 5 ของโลก ต้องออกแรงเหนื่อยถึง 3 เกม ก่อนล้างแค้น ชิ ยูเจ็น จากไต้หวันไป 2-1 เกม ส่วน “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย เบียดชนะคู่ แมด เวสเตอร์การ์ด กับ คริสติน บุช จากเดนมาร์ก 2-1 เกม เช่นกัน และ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ หญิงเดี่ยวมือ 18 ของโลก พ่าย อัน เซยอง มือ 1 ของโลกจากเกาหลีใต้ ไปน่าเสียดาย ตกรอบแรกแบดมินตันไชน่า มาสเตอร์ส 2024
การแข่งขันแบดมินตันรายการ หลี่หนิง ไชน่า มาสเตอร์ส 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 1,150,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 40,250,000 บาท ที่เมืองเสินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันอังคารที่ 19 พ.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก
ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลก พบกับ ชิ ยูเจ็น มืออันดับ 30 ของโลกจากไต้หวัน เกมนี้ วิว กุลวุฒิ ต้องออกแรงเหนื่อยถึง 3 เกม ก่อนที่จะแซงเฉือนชนะไปแบบหวุดหวิด 2-1 เกม 16-21 , 21-18 และ 21-19 “วิว” กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ หวัง ซื่อเหว่ย มืออันดับ 25 ของโลกจากไต้หวัน
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 171 ของโลก พบกับ แมด เวสเตอร์การ์ด กับ คริสติน บุช คู่มืออันดับ 26 ของโลกจากเดนมาร์ก เกมนี้ เอ็ม กับ ปอป้อ สู้ได้อย่างสนุกตลอดทั้งเกมก่อนที่จะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไปแบบสนุก 2-1 เกม 24-22 , 16-21 , 21-16 “เอ็ม” สุภัค กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ หยาง โปซวน กับ หวู หลิงฟาง คู่มือวางอันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 14 ของโลกจากไต้หวัน
ด้าน ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 18 ของโลก พบกับ อัน เซยอง มืออันดับ 1 ของโลกจากเกาหลีใต้ เกมนี้ เมย์ รัชนก สู้ได้อย่างสนุกสูสี แต่มาพลาดท่าในช่วงเกมท้ายเกมตัดสิน พ่ายไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 22-24 , 21-15 และ 19-21
ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิลด์” สุกฤตา สุวะไชย คู่มืออันดับ 54 ของโลก แพ้ให้กับ คิม ฮเยจอง กับ กอง ฮียอง คู่มืออันดับ 107 ของโลกจากเกาหลีใต้ 0-2 เกม 17-21 ,19-21
ประเภทชายคู่ รอบแรก “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล คู่มืออันดับ 29 ของโลก แพ้ให้กับ นูร์ โมฮัมหมัด อัซริน ยับ อัซริยาน กับ ตัน วีเคือง คู่มืออันดับ 40 ของโลกจากมาเลเซีย 19-21 ,15-21
สำหรับการแข่งขันแบดมินตันรายการ หลี่หนิง ไชน่า มาสเตอร์ส 2024 ในวันพุธที่ 20 พ.ย.67 จะเป็นการแข่งขันในรอบแรก แฟนๆแบดมินตันสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง SPOTV (689) เริ่มแข่งขันเวลา 8.00 น. ตามเวลาในปะรนเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
เช็ก! 5 ระยะแรกของโรคซึมเศร้าที่คนรอบข้างต้องใส่ใจ รู้ไวรับมือได้ทัน
โรคซึมเศร้า เป็นความผิดปกติของสารเคมีในสมองที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต สามารถเกิดขึ้นกับบุคคลทุกเพศและทุกวัย แต่อาการและสัญญาณของโรคซึมเศร้าในผู้หญิงอาจแตกต่างจากผู้ชาย ดังนั้น วันนี้เราจึงนำ 5 ระยะแรกของโรคซึมเศร้าในผู้หญิงมาฝาก พร้อมวิธีสังเกตอาการ เพื่อช่วยให้คนใกล้ชิดได้ดูแล เตรียมรับมือ และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
5 ระยะแรกของโรคซึมเศร้า
1.ไม่มีความสนใจใด ๆ
ผู้หญิงที่ประสบภาวะซึมเศร้าในระยะเริ่มต้น อาจแสดงอาการเฉยเมยหรือไม่สนใจกิจกรรมใด ๆ ที่เคยชอบ อาจละเลยการออกกำลังกาย เลิกทำกิจกรรมที่เคยสนใจ บางครั้งอาจเริ่มรู้สึกเฉื่อยชา สูญเสียความสนใจในสิ่งที่เคยทำ ไม่รู้สึกว่าอะไรสำคัญสำหรับตัวเอง ซึ่งสัญญาณเหล่านี้อาจพบว่าเป็นภาวะซึมเศร้าในผู้หญิง ระยะแรกที่พบได้มาก
2.อารมณ์แปรปรวนบ่อย
ผู้หญิงที่กำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้าระยะแรก มักจะมีอารมณ์แปรปรวนง่าย เป็นบ่อยครั้ง อาจรู้สึกเศร้าหรือหมดหวัง มีความรู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ หรือโกรธมากกว่าที่เคยเป็น อาการเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่ากำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้าในระยะเริ่มต้นเข้าแล้ว
3.การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปมาก
ปัญหาด้านการนอนหลับที่แสดงออกมาเป็นอาการนอนหลับยาก หลับไม่สนิท กลับไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาด้านการรับประทานอาหาร เช่น ไม่สนใจทานอาหาร ไม่อยากทานอาหารที่มีประโยชน์ หรืออาจกลายเป็นการทานอาหารมากเกินไป จนเกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างและน้ำหนักชัดเจนในระยะเวลาที่รวดเร็ว จะยิ่งระบุให้เห็นชัดเจนว่าคุณอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าในระยะแรกแล้ว
4.ไม่อยากเจอใคร
สถานการณ์ทางสังคมและครอบครัว อาจส่งผลต่อความเสี่ยงภาวะซึมเศร้าในผู้หญิงได้ค่อนข้างมาก โดยจะเริ่มจากการไม่อยากเจอใครแม้แต่คนในบ้าน ไม่อยากออกไปเดินนอกบ้าน ไม่ต้องการปรากฎตัวให้ใครเห็น ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนแบบนี้ เริ่มเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหนเลย ยิ่งถ้าต้องเผชิญสถานการณ์ไม่ดีในครอบครัว เช่น การหย่าร้าง การสูญเสียคนรักแบบกะทันหัน หรือการถูกทำร้ายทางกายและใจจากคนในครอบครัว อาจทำให้อาการแย่ลงเร็วมาก
5.เพลียง่าย นอนไม่อิ่ม
การรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติ หรือขาดแรงจูงใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าระยะแรก นอกจากนี้ ยังส่งผลเรื่องความเร็วในการทำงานลดลง รู้สึกกระสับกระส่าย สมาธิสั้น และความจำไม่ดี อาจทำให้เกิดความสับสนหรือตัดสินใจไม่ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน สิ่งสำคัญคือต้องจัดการรักษากับอาการเหล่านี้อย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิตมากเกินไป
ถ้าพูดถึงระยะเริ่มแรกของภาวะซึมเศร้าในผู้หญิง และวิธีการตรวจพบอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้จัดการกับอาการได้อย่างถูกต้องและทันเวลา พร้อมให้ตัวคุณผู้หญิงเองได้เฝ้าระวัง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ความสนใจในกิจกรรมลดลง และปัญหาการนอนหลับกับการกินที่เปลี่ยนไป ให้สงสัยไว้ก่อนว่าคุณอาจกำลังเผชิญภาวะซึมเศร้าในระยะเริ่มต้น จึงควรดูแลตัวเองให้ดีและเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ ที่จะช่วยให้คุณอาการดีขึ้นและอาจหายได้ในที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘ไมโครซอฟท์’ พาเหรดนวัตกรรม AI เขย่าโลกเทคโนโลยี
“ไมโครซอฟท์ ยกขบวนหลากหลายนวัตกรรมสุดล้ำเปิดตัวในงานอีเวนต์ใหญ่ประจำปี “Microsoft Ignite 2024” ปักธงสนับสนุนลูกค้า พันธมิตร และนักพัฒนา ในการนำศักยภาพของเทคโนโลยีจากไมโครซอฟท์มาใช้งานได้อย่างเต็มที่ พร้อมปฏิวัติรูปแบบการทำงานด้วยแนวทางใหม่ๆ บนสมรภูมิ AI
แฟรงก์ เอ็กซ์. ชอว์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสาร ไมโครซอฟท์ เผยว่า ปีนี้ ไมโครซอฟท์ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ใหม่กว่า 80 รายการ ทั้งความสามารถใหม่ๆ ใน Microsoft 365 Copilot การเสริมประสิทธิภาพให้กับ Copilot + AI stack ตลอดจนนำเสนอผลิตภัณฑ์ Copilot+ รุ่นใหม่
ชอว์เปิดมุมมองว่า ในกรณีของ AI มี 2 สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือ โลกของ AI กำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว และการพัฒนาต่างๆ ใช้เวลาสั้นกว่าที่เคย
ขณะที่ ความจริงอีกประการคือ ลูกค้าหลายแสนรายกำลังใช้เทคโนโลยี AI ของไมโครซอฟท์ และด้วยการลงทุนในแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ พวกเขากำลังเห็นประโยชน์มากมายในขณะนี้และเตรียมพร้อมที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับปรุง AI ครั้งใหญ่ในอนาคต
AI พลังขับเคลื่อนของ Copilot
ผลการศึกษาของไอดีซีล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Generative AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจกลุ่มบริษัทในปี 2567 พบว่ามีอัตราการใช้งานถึง 75%
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทที่ใช้งานอยู่ระบุว่า ทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนไปกับเทคโนโลยี Generative AI ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์กลับมาถึง 3.70 ดอลลาร์ โดยมีผู้นำองค์กรหลายรายระบุว่าได้รับประโยชน์สูงถึง 10 ดอลลาร์
สำหรับไฮไลต์ที่สำคัญในงานนี้ มีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย Microsoft 365 Copilot เพื่อช่วยลดความซับซ้อนของภาระงานในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น Copilot Actions ตัวช่วยการทำงานประจำวันแบบอัตโนมัติ
พร้อมมีผู้ช่วยใหม่ใน Microsoft 365 ออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้งาน และยกระดับกระบวนการทำงานให้กับธุรกิจ
โดยสิ่งที่ไมโครซอฟท์จะเปิดตัวในงานได้แก่ Agent in SharePoint ผู้ช่วย AI ที่ใช้ภาษาธรรมชาติ Interpreter ฟีเจอร์ผู้ช่วยใน Teams เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อคข้อจำกัดด้านภาษา ฯลฯ
รวมไปถึง Copilot + AI Stack ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทันสมัยในทุกขั้นตอนการทำงาน โดยไมโครซอฟท์ได้สร้าง Azure AI Foundry เพื่อให้ลูกค้าสามารถออกแบบ ปรับแต่ง และจัดการระบบ AI ได้อย่างสะดวกแบบครบจบในที่เดียว พร้อมทั้งสามารถใช้บริการและเครื่องมือต่างๆ ของ Azure AI ที่มีอยู่เดิม รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่กำลังจะเพิ่มเข้ามา
ไมโครซอฟท์ เผยว่า ส่วนของ ดีไวซ์ Copilot+ ได้พัฒนาโซลูชัน Cloud PC ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Windows 365 ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยภายในเวลาไม่กี่วินาที
การพัฒนานี้สอดรับกับแนวโน้มที่องค์กรต่างๆ กำลังย้ายระบบการทำงานไปบนคลาวด์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น
โดย Windows 365 Link เป็นอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Windows 365 โดยเฉพาะ เน้นการใช้งานที่ง่าย ปลอดภัย อุปกรณ์นี้กำลังอยู่ในระหว่างการทดลอง และจะเริ่มวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่เดือนเม.ย.2568 เป็นต้นไป ในราคา 349 ดอลลาร์
นอกจากนี้ เพิ่มความสามารถใหม่ให้กับ Copilot+ PC สำหรับลูกค้าในระดับองค์กร โดยใช้ประโยชน์จากชิป AI (NPUs) ที่ติดตั้งมาในเครื่อง สามารถประมวลผล AI ได้ในตัวเครื่อง พร้อมความสามารถใหม่ๆ อีกจำนวนมาก
‘ความปลอดภัย’ สำคัญอันดับหนึ่ง
ไมโครซอฟท์ตระหนักดีว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผู้ไม่ประสงค์ดีอยู่เสมอ
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ไมโครซอฟท์พบว่า ผู้โจมตีได้พัฒนาวิธีการใหม่ในการหาจุดอ่อนของระบบ ผ่านการใช้การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงแบบกราฟระหว่างข้อมูลส่วนตัว ไฟล์ และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อหาช่องทางโจมตี
วิธีการนี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างความเสียหายได้เป็นวงกว้างจากการโจมตีเพียงจุดเดียว ในขณะที่ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมมักได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันเฉพาะจุด เช่น แล็ปท็อปหรืออีเมล แต่ไม่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงทั้งระบบ จึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ล่าสุด เปิดตัว Security Exposure Management ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของระบบรักษาความปลอดภัยในรูปแบบใหม่ที่ใช้ทั้งข้อมูลอัจฉริยะและ AI ระบบนี้รวมข้อมูลจากกราฟของไมโครซอฟท์เข้ากับข้อมูลจากเครื่องมือรักษาความปลอดภัยของบริษัทอื่นๆ ที่ลูกค้าใช้งาน ทำให้สามารถแสดงภาพรวมของช่องโหว่ต่างๆ และคาดการณ์เส้นทางการโจมตีได้ก่อนที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะค้นพบ
นวัตกรรมต่างๆ ที่จะเปิดตัวในงาน Ignite ล้วนอยู่ภายใต้หลักการ Secure Future Initiative (SFI) คือ การออกแบบที่ปลอดภัย การใส่ใจเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบ การกำหนดค่าเบื้องต้น และการดำเนินงานที่ปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
9 วลี แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ สั้นๆ ง่ายๆ ใช้ได้จริง!
ประโยคแสดงความคิดเห็น ภาษาอังกฤษ
“เรียนรู้การแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมตัวอย่างประโยคและคำแปล”
การพูดแสดงความคิดเห็น
การพูดแสดงความคิดเห็น คือ การพูดเพื่อแสดงความรู้สึกหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล มีความสอดคล้องกับเรื่องที่พูด ในการพูดแสดงความคิดเห็น อธิบายเหตุผล ข้อเท็จจริง ผู้พูดอาจพูดแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคม หรือเรื่องอื่นๆ ก็ได้ ทั้งนี้เมื่อแสดงความคิดเห็นไปแล้วควรทาให้ผู้ฟัง เห็นด้วยหรือคล้อยตาม
วันนี้ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงนำ ตัวอย่าง ประโยค แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เพื่อนๆ ได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันค่ะ
9 วลี แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ
Actually… (แอค’ ชวลลี) จริงๆ แล้ว…
- The hotel looks expensive, but actually it’s cheap.
(เดอะ โฮเทล ลุค อิคซฺเพน’ซิฟว บัท แอค’ ชวลลี อิทส ชีพ)
โรงแรมดูแพง แต่จริงๆแล้วมันถูก - I didn’t like him at first, but in the end I was actually in love with him.
(ไอ ดิค’เดินทฺ ไลคฺ ฮิม แอท เฟิร์ท บัท ดิ เอนดฺ ไอ วอช แอค’ ชวลลี อิน ลัฟว วิท ฮิม)
ตอนแรกฉันไม่ชอบเขาเลยนะ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็รักกับเขาอะ
Frankly… (แฟรงคฺ’ลี) บอกตรงๆ นะ…
- Can I speak frankly with you?
(แคน ไอ สปีค แฟรงคฺ’ลี วิท ยู)
ฉันขอพูดตรงๆ กับคุณได้ไหม - Quite frankly, I think this whole situation is ridiculous.
(ไควทฺ แฟรงคฺ’ลี, ไอ ธิงคฺ ธีส โฮล ซิช’ชุเอ’เชิน อีส รีดิค’คิวเลิส)
บอกตรงๆ นะ ฉันคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้ไร้สาระ
I guess… (ไอ เกส) ฉันว่า…
- I guessed (that) she was your sister.
(ไอ เกส แธท ชี วอส ยัวร์ซิส’เทอะ)
ฉันเดา (ว่า) เธอเป็นน้องสาวของคุณ - I guessed the total amount to be about ฿ 50,000.
(ไอ เกส เดอะ โท’เทิล อะเมานทฺ’ ทู บี อะเบาทฺ’ ฟิฟ’ที เธา’เซินดฺ)
ฉันเดาว่ายอดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท
In my opinion,… (อิน มาย โอพิน’เยิน) ในความคิดของฉัน…
- In my opinion, you should take the exam again.
(อิน มาย โอพิน’เยิน ยู ชูด เทค ดิ อิกแซม’)
ฉันคิดว่าคุณควรสอบอีกครั้ง - In my opinion, he is not fit for the work.
(อิน มาย โอพิน’เยิน ฮี อีส นอท ฟิท ฟอร์ เดอะ เวิร์ค)
ในความคิดของฉัน เขาไม่เหมาะกับงานนี้
I’m sure that… (ไอม ชัวร์ แธด) ฉันมั่นใจว่า…
- I’m sure (that) I left my keys on the table.
(แอม ชัวร์ (แธท) ไอ เลฟทฺ มาย คี ออน เดอะ เท’เบิล)
ฉันแน่ใจ (ว่า) ฉันทิ้งกุญแจไว้บนโต๊ะ - I feel absolutely sure (that) you’ve made the right decision.
(ไอ ฟีล แอบ’ โซลูทลี่ ชัวร์ (แธท) ยู เมด เดอะ ไรท์ ดิซิส’เชิน)
ฉันรู้สึกมั่นใจอย่างยิ่ง (ว่า) คุณตัดสินใจถูกแล้ว
To be honest… (ทู บี ออน’นิสทฺ) ถ้าจะให้พูดตรงๆ ละก็…
- To be honest (with you), I don’t think it will be possible.
(ทู บี ออน’นิสทฺ (วิทยู), ไอ ดอน-เทอะ ธิง อิท วิล บี พอส’ซะเบิล)
ถ้าจะให้พูดตรงๆ ละก็… (กับคุณ) ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้
I see your point but… (ไอ ซี ยัวร์ พอยทฺ บัท) ฉันเข้าใจประเด็นของคุณ แต่…
- I see your point, but I don’t think your plan is realistic.
(ไอ ซี ยัวร์ พอยทฺ บัท ไอ ดอน ธิง ยัวร์ แพลน อิส รีอะลิส’ทิค)
ฉันเข้าใจประเด็นของคุณ แต่ไม่คิดว่าแผนของคุณจะเป็นจริงได้
I see what you are saying but… (ไอ ซี วอท ยู อาร์ เซ’อิง บัท) ฉันเข้าใจที่คุณพูด แต่…
That’s partly true but… (แธทซฺ พาร์ท’ลี ทรู บัท) มันก็จริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่…
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
8 ประโยชน์จากลูกพรุน อัญมณีสีดำที่ให้มากกว่าแค่บำรุงสายตา
เมื่อพูดถึงอัญมณีสีดำที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา เชื่อว่าสาวๆ หลายคนต่างก็ต้องนึกถึงลูกพรุน ซึ่งจัดเป็นผลไม้ที่คู่กับสุขภาพร่างกายของผู้หญิงเลยก็ว่าได้ เพราะประโยชน์ต่างๆ ที่ได้จากการกินลูกพรุนนั้นล้วนถูกใจสาวๆ อย่างมากเลยทีเดียว มาดูกันค่ะว่านอกจากการบำรุงสายตา ลูกพรุนยังส่งผลดีต่อร่างกายของคนเราอย่างไรกันบ้าง
1.ช่วยลดน้ำหนัก
หนึ่งในผลไม้ที่มีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือลูกพรุน เพราะลูกพรุนขนาดเล็ก 1 ผล ให้พลังงานเพียง 23 กิโลแคลอรีเท่านั้น และยังมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนาน จึงช่วยลดอาการอยากกินของจุบจิบได้ดี
2.บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ในช่วงของการมีประจำเดือน แนะนำให้สาวๆ กินลูกพรุนจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ดี แต่ควรกินก่อนมีประจำเดือนประมาณ 2 วันจึงจะได้ผล อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่ช่วยเพิ่มเลือดในร่างกายอีกด้วย เนื่องจากในลูกพรุนอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก จึงช่วยสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเลือดแดงและเพิ่มเลือดในร่างกาย
3.บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
สาวๆ คนไหนอยากมีผิวพรรณที่สวยเปล่งปลั่งหรือผิวแลดูมีเลือดฝาด ไม่ควรพลาดกับการกินลูกพรุนเด็ดขาด เพราะผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณของคนเราสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ แทบจะไม่ต้องง้อบลัชออนเลยก็ว่าได้
4.บำรุงเส้นผมให้แข็งแรง
ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม ควรให้ความสำคัญกับการกินลูกพรุนบ่อยๆ เพราะผลไม้ชนิดนี้มีส่วนช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ดำเงางาม และช่วยให้เส้นผมหนาอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากลูกพรุนอุดมไปด้วยสังกะสีและแร่ธาตุทองแดง ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญกับเส้นผมอย่างมาก
5.ช่วยชะลอวัย
ลูกพรุนอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบริเวณใต้ชั้นผิวหนัง อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ ที่ช่วยชะลอกระบวนการของร่างกาย จึงส่งผลให้ร่างกายแก่ตัวช้าลง แถมยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าอีกด้วย
6.ป้องกันโรคกระดูกพรุน
เมื่อร่างกายเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ย่อมเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน ดังนั้นจึงแนะนำให้กินลูกพรุนบ่อยๆ เพราะผลไม้ชนิดนี้จัดเป็นแหล่งของโบรอนและโพแทสเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูก ทั้งนี้ควรกินลูกพรุนวันละ 6-10 ผล จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดี
7.ป้องกันโรคมะเร็งเต้านม
ลูกพรุนมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเต็มเปี่ยม จึงมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านม เนื่องจากสารโพลีฟีนอลที่อุดมอยู่ในลูกพรุนนั้นมีคุณสมบัติช่วยปราบเซลล์มะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8.บำรุงครรภ์
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโลหิตจาง แนะนำให้กินลูกพรุนจะช่วยป้องกันภาวะดังกล่าวได้ เนื่องจากลูกพรุนถือเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่จะเข้าไปช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง แถมยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อาการปวดตามข้อ อาการเหน็บชา และอาการซึมเศร้าในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้อีกด้วย
แม้ว่าลูกพรุนจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและให้ประโยชน์มากมายแก่ร่างกาย แต่ก็เป็นผลไม้ที่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียมสูง รวมทั้งไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย เช่น ถ่ายเหลวหรือลำไส้ผิดปกติ เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้อาการดังกล่าวมีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/11/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 43,050.00 | 43,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,789.00 | 42,281.24 | 43,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,510.10 | 38,053.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,231.20 | 33,824.99 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,255.00 | 19,025.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 976.00 | 14,796.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,890.00 | 43,812.40 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/11/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.95 | 35.95 | 36.55 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 | 35.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.58 | 35.58 | 36.18 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.84 | 33.84 | 34.44 | 33.84 | 33.84 | – | 33.84 | 33.84 | 33.84 | 33.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.59 | 33.59 | – | – | – | – | – | – | – | 33.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.54 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.54 |
เบนซิน 95 | 44.24 | – | – | – | 49.81 | – | 44.74 | 44.39 | – | 44.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |