ลดค่าโอน-จดจำนอง อสังหา รอโอนทะลัก2.5หมื่นล้าน บ้านมือสอง-NPA รับอานิสงส์
ลดค่าโอน-จดจำนอง 0.01% บ้านใหม่-มือสอง-NPA ไม่เกิน 3 ล้าน ได้อานิสงส์ ม.ค. เดือนเดียวรอโอนทะลัก 2.5 หมื่นล้านหลังเกิดสุญญากาศ นานครึ่งเดือนฉุดคนซื้อบ้านชะลอ ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กอ่วม สมาคมอสังหาใต้ตอนบน-หอการค้าขอนแก่นกระทุ้ง เลขาธิการครม. กรมที่ดินย้ำได้ผล
“มาตราการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง ” การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้รัฐบาลอนุมัติ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ออกประกาศลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ์และนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินสำหรับที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งและมือสอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% เพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ซื้อบ้านต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม-31ธันวาคม2565 ส่งผลให้ผู้ซื้อบ้าน-คอนโดมิเนียมที่ชะลอโอนกรรมสิทธิ์เดือนมกราคม ไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาทราว 1 หมื่นหน่วย กลับมาคึกคักเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกครั้งโดยเฉพาะบ้านมือสองที่คราวนี้ได้อานิสงส์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีประมาณเกือบ 7 หมื่นหน่วยมูลค่า ราว 1 แสนล้านบาท
กระทุ้ง ประกาศลดโอน
ย้อนไปก่อนหน้านี้ ช่วงที่ ประกาศกระทรวงมหาดไทยทั้ง 2 ฉบับยังไม่ประกาศใช้ได้เกิดภาวะสูญญากาศนานกว่าครึ่งเดือน ผู้ประกอบการ ที่ต้องการโอนที่อยู่อาศัย เพื่อนำเงินกลับมาหมุนเวียนในระบบ ได้รับผลกระทบเพราะ ผู้ซื้อ ชะลอโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อรอ มาตราการลดหย่อน
นายพิริยะ ธานีรณานนท์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภาคใต้ตอนบน (จังหวัดชุมพร, ระนอง และสุราษฎร์ธานี) ได้ตั้งคำถามว่า เหตุใดการประกาศมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนฯ/ค่าจดจำนองจึงทิ้งช่วงนานซึ่งต่างจาก ปีก่อนหน้าที่ทันทีคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติอนุมัติ จะบังคับใช้ในช่วงต้นปีเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งผลให้ได้ติดต่อไปยังกระทรวงมหาดไทย และฝ่ายกฎหมายกรมที่ดินต่างให้คำตอบว่า
เรื่องได้ส่งไปที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีิ (สลค.) เมื่อวันที่ 17 มกราคม จากนั้นยังสอบถามสลค.ว่าประกาศในราชกิจจานุเบกษาเร่งด่วนโดยทันทีได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้ผล โดยนายพิริยะให้เหตุผลว่า หากผู้ซื้อชะลอโอนเพียงวันเดียว อาจทำให้บางบริษัทขาดสภาพคล่องมีหนี้ที่เกิดจากดอกเบี้ยพอกพูนได้
ใต้ตอนบน-อีสานสะพัดหมื่นล้าน
จากการประเมินของอสังหาฯ ที่รอโอนฯ ที่อั้นมาจากต้นปีในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน นายพิริยะประเมินว่า เกือบ 1 หมื่นล้านบาท กว่า 3,000 หน่วย ที่จะช่วยฟื้นฟูธุรกิจอสังหาฯและลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ซื้อบ้านในพื้นที่ได้ เช่น 1 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมการโอนฯ จาก 2 หมื่นบาทเหลือ 200 บาท ค่าจดจำนอง จาก 10,000 บาทเหลือ 100 บาท เป็นต้น
สอดคล้องกับ นายชาญณรงค์ บุริสตระกูลประธานหอการค้าขอนแก่น ระบุว่า ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นมีที่อยู่อาศัยรอโอนราวกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มีทั้งบ้านแนวราบและแนวดิ่งเนื่องจากขอนแก่นเป็นจังหวัดหัวเมืองใหญ่มีแหล่งงานคนต่างถิ่นเข้าพื้นที่จำนวนมากเช่นข้าราชการ นักธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยหลังที่สองหากการลดค่าโอน-จดจำนองบังคับใช้คาดว่าจะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจมากขึ้น
จูงใจคนเงินเย็น-รุ่นใหม่
ด้านนาง อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย ระบุว่า มาตราการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลช่วยให้เกิดการจูงใจกลุ่มเงินเย็นลงทุนในคอนโดมิเนียมและกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมไม่เกิน 3 ล้านบาทจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ทั้งนี้ในภาพรวมเดือนมกราคมประเมินว่าจะมีที่อยู่อาศัยรอโอนทั้งหมด กว่า 4 หมื่นหน่วย 25% ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
ม.ค.รอโอน2.5หมื่นล้าน
ขณะการประมาณการของ นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ตัวเลขที่อยู่อาศัยรอโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2565 ช่วงไตรมาสแรก ทุกระดับราคาแยกเป็นรายเดือน พบว่า เดือนมกราคม มีจำนวน 2 หมื่นหน่วย มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์จำนวน 2.5 หมื่นหน่วย มูลค่า 6.2 หมื่นล้านบาท และเดือนมีนาคม จำนวน 3.6 หมื่นหน่วย มูลค่า 9.6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้เดือนสุดท้ายเป็นธรรมชาติของผู้ประกอบการเร่งปิดผลประกอบการอย่างไรก็ตามในจำนวนนี้ 50% ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ดังนั้นในเดือนมกราคม จะมีที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านได้อานิสงส์รอโอน 2.5 หมื่นล้านบาทประมาณ 1 หมื่นหน่วย สำหรับสาเหตุ ความล่าช้าของประกาศลดหย่อนค่าโอน/จดจำนอง อาจมีการเพิ่มเติม กรณีบ้านมือสองเข้าไปทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรอบคอบ
บ้านมือสองได้อานิสงส์
“ฐานเศรษฐกิจ” เจาะข้อมูล รายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พบปัจจุบันมี “ที่อยู่อาศัยมือสอง” ทั่วประเทศ (บ้านเดี่ยว, ห้องชุด, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์ และบ้านแฝด) ที่ประกาศขายบนเว็บไซต์ นับรวมทรัพย์ NPA (สินทรัพย์รอการขาย)ของสถาบันการเงิน
บริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ และกรมบังคับคดี เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 1.29 แสนหน่วย (รวมทุกระดับราคา) มูลค่ากว่า 8.62 แสนล้านบาท ส่วนกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์จากประกาศฉบับนี้ กลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทนั้น มีจำนวนเกือบ 7 หมื่นหน่วย มูลค่าราว 1 แสนล้านบาท
กรมที่ดินย้ำมาตรการได้ผล
ด้านนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน ระบุ ประกาศกระทรวงมหาดไทยทั้งสองฉบับ ขณะนี้ มีผลบังคับใช้แล้ว นับตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม-31ธันวาคม 2565 จะสร้างผลดีให้กับระบบเศรษฐกิจลดภาระประชาชนผู้ซื้อบ้านโดยที่ผ่านมาได้สอบถาม สถาบันการเงินประมาณ 4-5 แห่ง ยอมรับว่า ผู้ซื้อบ้านได้มีการชะลอโอนเพื่อรอประกาศกระทรวงมหาดไทยทั้ง 2 ฉบับ สะท้อนว่า มาตรการดังกล่าวได้ผล
โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจรวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์การระบาดโควิด-19 อีกทั้งยังเพื่อประโยชน์สาธารณะและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทยทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดร.โสภณแนะผู้อาศัย-ชุมชนใกล้เคียงร้อง ป.ป.ช. ตรวจสอบ EIA โครงการ เดอะ เม็ท
ดร.โสภณแนะผู้อาศัย-ชุมชนใกล้เคียงร้อง ป.ป.ช. ตรวจสอบ EIA โครงการ เดอะ เม็ท เพื่อให้มีการตรวจสอบความโปร่งใส่ในกระบวนการดำเนินงาน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th) แสดงความเห็นต่อกรณีที่กลุ่มผู้อยู่อาศัยโครงการเดอะ เม็ท เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการอนุมัติ EIA โครงการ 125 Sathorn เพื่อแสดงความโปร่งใสในขั้นตอนการพิจารณาว่า
การที่ประชาชนที่อาศัยในชุมชนใกล้เคียงกับพื้นที่ก่อสร้างโครงการตึกสูงโครงการใหม่จะตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดการพิจารณาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการจึงดำเนินการอย่างรวดเร็วทั้งที่มีการยื่นรายงานคัดค้านต่อคณะกรรมการตรวจสอบผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ถือเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังและควรดำเนินการไปตามกฎหมาย
ทั้งนี้ กลุ่มผู้อยู่อาศัยโครงการ เดอะ เม็ท และชุมชนใกล้เคียงนั้นต้องรวมตัวกันแต่งตั้งทนายความเพื่อเป็นตัวแทนยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกลางฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณา EIA ขณะเดียวกันก็ให้ยื่นคำร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยเพื่อให้มีการตรวจสอบความโปร่งใส่ในกระบวนการดำเนินงานอนุมัติ EIA
สำหรับกรณี เดอะ เม็ท คิดว่าเป็นการดำเนินการเพื่อความเป็นธรรมสำหรับผู้อยู่อาศัย ตนเห็นด้วยที่ลูกบ้านควรจะเรียกร้องและคัดค้าน EIA ว่าทำถูกต้องหรือไม่ ก่อนจะมีการก่อสร้างอาคารตึกสูงหลังใหม่ด้านหน้าโครงการ
เพราะแต่เดิมที่ดินที่จะขึ้นโครงการใหม่นั้น ผู้พัฒนาโครงการเดอะ เม็ท ได้ให้สัญญากับผู้ซื้อไว้ว่าหากจะมีการพัฒนาที่ดินส่วนด้านหน้านี้ในอนาคตก็จะสร้างเป็นโครงการแนวราบ แต่สุดท้ายไม่รักษาสัญญา กรณีแบบนี้ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมกับ เดอะ เม็ท
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ผู้อยู่อาศัยโครงการเดอะ เม็ท จำนวน 370 ครอบครัว และชุมชนผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียงในย่านสาทรได้แสดงความกังวลอย่างยิ่ง ภายหลังจากทราบว่า โครงการ 125 Sathorn ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้รับการอนุมัติ EIA แล้ว
โดยตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการจึงดำเนินการอย่างรวดเร็วทั้งที่มีการยื่นรายงานคัดค้านความยาว 260 หน้าในเดือนมีนาคม 2564 ต่อคณะกรรมการตรวจสอบผู้เชี่ยวชาญของ สผ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพิจารณารายงาน EIA
ดร.โสภณ กล่าวต่อไปอีกว่า รายงานคัดค้านฉบับนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้รายงาน EIA โครงการ 125 Sathorn ได้รับการปฏิเสธเมื่อเดือนเมษายน2564 ในรายงานนั้นยังรวมถึงข้อมูลผลการสำรวจความเห็นจากประชาชนกว่า 400 คนในชุมชนใกล้เคียงโดยมากกว่า 60% ของผู้ตอบแบบสำรวจได้แสดงการคัดค้านโครงการ 125 Sathorn
แต่ว่าเพียง 4 เดือนหลังจากนั้นโครงการ 125 Sathorn กลับได้รับการอนุมัติ EIA ทั้งที่ไม่ได้เสนอแนวทางที่ต่างไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญเพื่อแก้ไขข้อกังวลสำคัญหลายประการที่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญได้ให้เหตุผลในการปฏิเสธการขออนุมัติในครั้งแรก
การอนุมัติ EIA โครงการใหม่ในหลายกรณี มีหลายครั้งที่การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมถูกปฏิเสธในขั้นตอนการส่งรายงาน EIA ครั้งแรก ซึ่งทำให้ชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการใหม่มีความหวังว่าหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมจะได้ยินและรับฟังพวกเขาบ้าง
แต่สุดท้ายผลลัพธ์กลับสร้างความผิดหวังให้ชุมชนเนื่องจากรายงาน EIA ดังกล่าวได้รับการอนุมัติทั้งที่มีการแก้ไขเนื้อหาแต่เพียงเล็กน้อย อันทำให้ผู้พัฒนาโครงการเป็นฝ่ายชนะในขั้นตอนที่กฎหมายได้จัดให้มีขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การคุ้มครองแก่ชุมชนที่อาศัยอยู่ก่อน
ในกรณี เดอะ เม็ท ก็เช่นเดียวกัน ผู้อยู่อาศัยในโครงการจึงมีความเห็นตรงกันว่า กระบวนการอนุมัติ EIA ที่รวดเร็วเช่นนี้ทำให้ดูเหมือนว่าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญได้ให้การอนุมัติ EIA โครงการ 125 Sathorn โดยที่ไม่ได้มีการพิจารณารายงานการคัดค้านเพิ่มเติมหลังจากการประชุมครั้งแรกแต่อย่างใด
ย้อนประวัติคอนโดมิเนียมหรู The MET
เดอะ เม็ท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรูความสูง 66ชั้นที่พัฒนาขึ้นในปี 2546โดย Pebble Bay (Thailand) Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hotel Properties Limited (บริษัทสัญชาติสิงคโปร์ )โดย Pebble Bay ได้ซื้อที่ดิน 10 ไร่บนถนนสาทรใต้จาก US Information Service โดยที่ดินแปลงนี้ Pebble Bay มีแผนพัฒนาเดอะ เม็ท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์บนพื้นที่ขนาดใหญ่
พร้อมด้วยโรงแรมแนวราบบนที่ดินแปลงเล็กหน้าเดอะเม็ทเดือนมิถุนายน 2547ที่ดิน10 ไร่นั้นจึงถูกแบ่งเป็นที่ดิน 7 ไร่สำหรับเดอะเม็ท และ 3 ไร่สำหรับโครงการโรงแรมแนวราบในอนาคต
ในการขออนุญาตก่อสร้างอาคารเดอะ เม็ท ได้ระบุไว้ว่า ที่ดินทั้งสองแปลงนั้นเป็นพื้นที่เพื่อใช้เป็นที่ตั้งอาคารเดอะ เม็ท ดังนั้น การขออนุมัติ EIA สำหรับโครงการ เดอะ เม็ท ในครั้งนั้นจึงได้รับการอนุมัติจากความเข้าใจว่าโครงการแนวราบจะได้รับการพัฒนาบนที่ดินหน้าโครงการด้วย ทั้งนี้ การออกแบบสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของ เดอะ เม็ท และองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมดได้รับรางวัลด้านสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติมากมาย
แต่ในปี 2559 Pebble Bay ได้ยกเลิกโครงการโรงแรมที่วางแผนไว้และขายที่ดิน 3ไร่ด้านหน้าเดอะเม็ทให้กับบริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในราคา 1.58 พันล้านบาท แต่ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากพีเอ็มทีฯ ได้ร่วมทุนกับกลุ่มทุนอสังหาฯ รายใหญ่จากญี่ปุ่นโดยพีเอ็มที ฯ ขายทรัพย์สิน 40% ให้กับ Kanden Realty จากญี่ปุ่นในราคา 981 ล้านบาท จากนั้น พีเอ็มทีฯ ได้ประกาศแผนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์สูง 143 เมตรมีห้องพัก 756 ยูนิตที่จอดรถ 433 คันบนพื้นที่เพียง 3 ไร่ ด้านหน้าเดอะ เม็ท
ผลกระทบหากโครงการใหม่สร้างเสร็จ
ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยโครงการเดอะ เม็ทที่อาจเกิดขึ้นหากการก่อสร้างโครงการใหม่แล้วเสร็จนิติบุคคลอาคารชุดโครงการเดอะ เม็ท ได้ให้ข้อมูลว่า ด้านหน้าของเดอะ เม็ท กับผนังด้านหลังโครงการ 125 Sathornจะห่างกันเพียง 12-13 เมตร
บริเวณด้านหลังอาคาร 125 Sathorn ที่หันไปทางเดอะเม็ทจะไม่ดึงดูดผู้ซื้อในอนาคต ผู้พัฒนาโครงการจึงวางแผนที่จะวางคอยล์ร้อน (CDU) ของเครื่องปรับอากาศทั้งหมด 800 ตัวของโครงการไว้ทางฝั่งนั้นของอาคาร ซึ่งเป็นด้านเดียวที่หันเข้าหาอาคารที่อยู่อาศัย
เดอะ เม็ท จึงเชื่อว่าโครงการ 125 Sathorn จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทางด้านสิ่งแวดล้อมต่อผู้อยู่อาศัยในโครงการเดอะ เม็ท ในระหว่างการก่อสร้าง อีกทั้งเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยในโครงการเดอะ เม็ทและชุมชนใกล้เคียงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผู้พัฒนาโครงการ เดอะ เม็ท ได้เคยให้สัญญากับผู้ซื้อไว้ว่าที่ดินด้านหน้าเดอะ เม็ท จะพัฒนาเป็นโครงการแนวราบแต่ปัจจุบันผู้พัฒนารายใหม่กำลังเตรียมการพัฒนาโครงการแนวสูงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยในโครงการเดอะ เม็ท และชุมชนใกล้เคียง ทำให้ชุมชนเหล่านี้ไม่สามารถนิ่งเฉยต่อปัญหานี้ได้
การตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการอนุมัติ EIA ของหน่วยงานรัฐจึงถือเป็นการป้องกันก่อนจะเกิดปัญหาในอนาคต เพราะประชาชนในชุมชนเดิมควรได้รับการปกป้องสิทธิจากการพัฒนาใหม่ที่บุกรุกเข้ามาในระยะประชิดมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 32.94 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า
เงินบาทเปิดตลาด 32.94 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า จับตาประชุมศบค.วันนี้-สถานการณ์การเมืองในประเทศ
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 65 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.94 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่า จากปิดตลาดเมื่อเย็นวานนี้ที่ระดับ 33.06 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าจากผู้ส่งออกทองคำ หลังราคาทองในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ดอลลาร์ในตลาดโลกพักฐานชั่วคราว
ปัจจัยในประเทศที่ตลาดจับตามองวันนี้ ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.ชุดใหญ่ ที่จะมีการเสนอให้นำมาตรการ Test&Go กลับมาใช้อีกครั้งหลังปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมแล้ว และความเคลื่อนไหวทางการเมือง กรณีของพรรคพลังประชารัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
“บาทปรับตัวแข็งค่าจากเย็นวานนี้ หลังมี flow จากการส่งออกทองคำ” นักบริหารเงิน กล่าวนักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.90 – 33.10 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
3 ประเด็นหลังเกม พรีเมียร์ลีก เบรนท์ฟอร์ด 1-3 แมนฯ ยูไนเต็ด
ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2021/22
คืนวันพุธที่ 19 มกราคม 2022
เบรนท์ฟอร์ด 1-3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สนาม: เบรนท์ฟอร์ด คอมมูนิตี้ สเตเดี้ยม
เป็นเกมที่ทั้งสองฝั่งเริ่มต้นกันได้ดีที่เดียว แต่เป็นเจ้าบ้านที่สร้างโอกาสครั้งแรกของเกมได้จากลูกยิงของ แยนเซน ก่อนจะตามมาด้วย ยาเนลท์ และ โซเรนเซน อีกคนละที ที่ทำให้ เด เคอา ต้องออกแรงเซฟ
และแม้ ยูไนเต็ด จะเป็นฝ่ายครองเกมได้เหนือกว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่ เบรนท์ฟอร์ด ก็มักจะหาโอกาสเล่นงานพวกเขาได้เสมอในเกมโต้กลับ และอันที่จริงใน 45 นาทีแรก ยูไนเต็ด ยิงไม่เข้ากรอบเลยแม้แต่หนเดียวด้วยซ้ำ
แต่ในครึ่งหลังเมื่อ เอลังก้า ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้ เกมก็ตกเป็นของทีมเยือนอย่างชัดเจนและทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ในทันที
2. โด้ งอน
คริสเตียโน แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างชัดเจนหลังถูกเปลี่ยนตัวออกมาจากสนามในเกมที่เขาเล่นได้ไม่ค่อยดีนัก
แข้งวัย 36 ปี กล่าวเสมอว่าตัวเองต้องการเล่นฟุตบอลให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และนั่นอาจจะรวมถึงการต้องการอยู่ในสนามนานที่สุดเช่นกันด้วย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเห็นรีแอคชั่นแบบนี้จากเขา และมันคงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน – และใครจะไปรู้ว่าการมีแพชชั่นเกินพอดีเช่นนี้จะส่งผลเช่นไรได้บ้าง
3. โทนีย์ กับ พรีเมียร์ลีก
อดีตดาวรุ่ง นิวคาสเซิล ยิงกระจุยไปถึง 33 ประตูเมื่อปีที่แล้วใน แชมเปี้ยนชิพ และพาต้นสังกัดคว้าตั๋วเพลย์ออฟมาเล่นบนลีกสูงสุดของประเทศจนได้
อย่างไรก็ตาม ประตูในช่วงท้ายเกมของเขาเป็นเพียงประตูที่หกในฤดูกาลนี้เท่านั้น
เรื่องการมีส่วนร่วมกับเกมรับและบทบาทที่คอยปะทะแทน เอ็มบูเอโม นั้นเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสแล้วโอกาสเล่าที่ผ่านไปอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะกองหน้าตัวเป้าแท้ของ โธมัส แฟรงค์ อยู่ห่างจากหน้าปากประตูมากเกินไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ไขมันในเลือดสูง” อันตรายแค่ไหน รักษาอย่างไร
ไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุของโรคอันตรายตามมาหลายโรค ควรรีบรักษาก่อนสายไป
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ระบุว่า โรคไขมันในเลือดผิดปกติหรือ dyslipidemia เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรค NCDs ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ เกิดการอักเสบในหลอดเลือด มีไขมันสะสมในหลอดเลือด ส่งผลต่อระบบหัวใจ และหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองอุดตัน
ประเภทของไขมันในเลือดที่พบได้
โดยทั่วไปแล้ว ไขมันจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- คอเลสเตอรอล แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
- LDL (low density lipoprotein) ไขมันตัวที่ไม่ดี ยิ่งมีมาก จะทำให้โรคดำเนินต่อไป และแย่ลง
- HDL (high density lipoprotein) ไขมันตัวดี ป้องกันการอักเสบ และการอุดตันของหลอดเลือด
- ไตรกลีเซอไรด์
การรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง
แพทย์อาจจะพิจารณาการปรับพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร ลดการรับประทานอาหารไขมันสูง รวมถึงแป้งและน้ำตาลสูง รวมถึงการแนะนำให้ออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดไขมันในเลือดได้ในรายที่ไขมันในเลือดไม่สูงมากนัก
แต่ในรายที่มีระดับไขมันในเลือกสูงผิดปกติ อาจมีความจำเป็นต้องรับประทานยาลดระดับไขมันในเลือด และอาจจำเป็นต้องใช้ยาในการควบคุมโรคไปตลอด เพราะโรคเหล่านี้หากเป็นแล้วก็จะมีการดำเนินไปของโรคมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มักจะไม่แสดงอาการออกมา ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจึงมีความเข้าใจผิดว่าหายแล้ว และอาจหยุดรับประทานยาเองได้ ซึ่งอาจทำให้โรคเลวร้ายลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้
การรักษาภาวะไขมันในเลือดด้วยวิธีใช้ยา
การรักษาโรคไขมันในเลือดผิดปกติ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง
- ช่วงแรกเป็นการใช้ยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
- เมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว เป้าหมายคือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
ยากลุ่ม Statin เป็นยาหลัก ในการรักษาผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดผิดปกติที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถลดปริมาณไขมันตัวที่ไม่ดี ลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มปริมาณไขมันตัวที่ดีได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เนื่องจากกระบวนการสร้างโคเลสเตอรอลจะเกิดขึ้นมากในช่วงเวลากลางคืน แต่ยาลดไขมันรุ่นใหม่บางชนิด ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น สามารถรับประทานยาเวลาอื่น เช่น หลังอาหารเช้า ได้ ดังนั้น ควรรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากก่อนนอน ลืมรับประทานลดไขมัน แล้วนึกได้ในเวลาเช้าของอีกวัน ให้รับประทานยาของวันนั้นตามปกติโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา เนื่องจากประสิทธิภาพของการลดไขมันโดยรวมจะไม่กระทบมากนัก การรับประทานยาเกินขนาดกลับจะเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยามากขึ้น
วิธีลดไขมันในเลือดอย่างยั่งยืน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที
- รับประทานยาลดไขมันนั้นๆ ต่อไป ไม่ควรหยุดยาเอง
- เน้นรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารไขมันต่ำ
- ควบคุมน้ำหนัก
- ระวังการใช้อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่โฆษณาว่าช่วยลดไขมันในเลือด อาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา และอาจเกิดผลข้างเคียงได้
- เลิกสูบบุหรี่ เพราะ การสูบบุหรี่จะทำให้กระบวนการอักเสบของร่างกายเพิ่มมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อยากชมเธอว่า “ฉลาด” แบบไหนได้บ้าง? ในภาษาอังกฤษ
คำว่าฉลาดหากเราพูดเป็นภาษาไทยคงจะฟังดูปกติไม่สับสน แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าหากเราแปลคำว่าฉลาดจากภาษาอังกฤษ ความหมายที่แปลออกมาจะไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นแม้คำศัพท์จะแปลเป็นภาษาไทยเหมือนกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีความหมายหรือการใช้งานในภาษาอังกฤษที่เหมือนกัน วันนี้เราลองมาเจาะลึกคำว่าฉลาดในแต่ละคำกันเลย
- Smart (Adj): แปลว่า ฉลาด(แบบหัวดี) คาดว่าเพื่อนๆ คงได้ยินคำนี้บ่อยๆอย่างแน่นอน เพราะคำว่า Smart นั้นเราสามารถใช้กับบริบทอื่นที่ไม่ได้แปลว่าฉลาดด้วย เช่น ผู้ชายคนนี้ดู Smart ใช่แล้วคำว่า Smart แปลว่า ดูดี ดูเนี๊ยบได้อีกด้วย เราลองมาดูตัวอย่างประโยคกันเลย
- He got top 5 high score. Wow He’s so smart. (เขาได้คะแนนติดอันดับท๊อป 5 ด้วยล่ะ ว้าวเขาฉลาด (หัวดี) มากเลย)
- My boss dressed smartly today. (เมื่อวานหัวหน้าของฉันแต่งตัวดูเนี๊ยบ)
2. Clever (Adj) : แปลว่า ฉลาด (หัวไว หัวดี) ซึ่งเวลาเราจะชมเด็กคนไหนว่า เป็นเด็กฉลาด ครูถามอะไรตอบได้หมด ก็จะบอกว่า You are clever. คุณฉลาดนะ ซึ่งหน้าที่ใช้จะคล้ายกับคำว่า Smart เราลองมาดูตัวอย่างประโยคกันดีกว่า
- This boy can solve complex mathematic problem easily. He is so clever. (เด็กชายคนนี้สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย เขาฉลาดหัวไวมากๆ เลย)
- We should count on Andri because he is the cleaver one. (เราควรที่จะวางใจแอนดรี้เพราะว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดหัวไวคนหนึ่งเลย)
3. Wise (Adj) : แปลว่า ฉลาด(ประกอบไปด้วยสติปัญญา) ซึ่งคำว่า Wise นั้นมาจากคำว่า Wisdom ที่มีความหมายว่า ปัญญา มักจะใช้ถึงคำสอนของนักปราชญ์ ถึงแม้จะแปลว่าฉลาดแต่ความหมายแตกต่างจาก Smart และ Cleaver อย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างประโยค
- Now we’re older and wiser. (ตอนนี้พวกเราโตขึ้นและมีสติปัญญามากขี้น)
- You would be wise to regard this as an opportunity. (คุณควรจะฉลาดพอที่จะไตร่ตรองถึงโอกาสนี้)
สรุปถึงความแตกต่างของ Wise และ Clever / smart ง่ายๆ คือ Clever man นั้น เราถามอะไรเขาก็จะรู้จะตอบได้หมด บางทีก็อวดตัวด้วยความฉลาด หรือ ที่คนไทยชอบเรียกว่า “อวดฉลาด” แต่ถ้าเป็นคนมีปัญญา หรือ Wise man นั้น จะอ่อนน้อมถ่อมตน เริ่มต้นด้วยการฟังก่อนและจะตอบโดยแนะนำให้เราเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง คือจะออกแนว เป็นคนมีสติปัญญา คนประเภทที่เรียกได้ว่าเป็น Wise man ก็เช่น นักปราชญ์ หรือครูบาอาจารย์
4. Intelligent (Adj) : แปลว่า ฉลาด (มีหัวคิด มีเชาว์ปัญญา) คำนี้ความหมายในการใช้จะไม่ซับซ้อนเท่ากับ 3 คำที่กล่าวมาข้างต้น เพียงแต่ว่าหากเราใช้ภาษาพูดหากคนยังไม่ชินเวลาใส่ลงในประโยคมันอาจจะรู้สึกขัดๆบ้าง มาดูตัวอย่างประโยคกัน
- She is the most intelligent person I know. (เธอเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ฉันรู้จัก)
He is as intelligent as any student in the class. (เขาฉลาดพอๆกับนักเรียนในห้อง)
5. Sharp (Adj) : เดิมทีคำนี้แปลว่าแหลม แหลมคม แต่รู้หรือไม่ว่าคำว่า Sharp สามารถใช้ชื่อชมคนที่ ฉลาดหลักแหลม ได้ด้วย ใช่แล้วคำว่า Sharp นั้นแปลว่าฉลาดแบบคมๆ หรือฉลาดหลักแหลมนั่นเอง ตัวอย่างประโยค
- He answered sharply during a job interview. (เขาทำตอบคำถามได้อย่างฉลาดหลักแหลมตอนสัมภาษณ์งาน)
My girlfriend thinks she is so sharp to catch me. (แฟนสาวของฉันคิดว่าตัวเองฉลาดมากที่จะจับผิดฉันได้)
6. Brilliant (Adj) : เดิมที่คำนี้ความหมายตรงตัวแปลว่า ปราดเปรื่อง งดงาม แพรวพราง ดังนั้นหากเพื่อนๆเห็นใครที่แสดงความฉลาดแล้วรู้สึกเฉิดฉาย เราสามารถใช้คำว่า Brilliant! ในการชื่นชมได้เลย โดยส่วนมากเรามักจะเห็นในบทสนทนาคือ มีใครแสดงความคิดเห็น ไอเดียต่างๆ หากเรารู้สึกว่ามันเจ๋งก็พูดออกไปได้เลยว่า Brilliant! (ฉลาดมาก!)
7. Knowledgeable (Adj) : คำนี้ไม่ได้แปลว่าฉลาดตรงตัวคงจะไม่ได้ แต่บริบทที่เหมาะสมคือแปลว่า ซึ่งมาจากคำว่า Knowledge หรือแปลว่าความรู้
- In this economy situation, if you are not knowledgeable, you cannot find golden opportunity (ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้หากคุณไม่มีความรู้ – หรือรอบรู้ – คุณจะไม่สามารถหาโอกาสทองได้เลย)
เป็นยังไงกันบ้างกับคำว่าฉลาดในภาษาอังกฤษ เชื่อว่าหลังจากนี้เพื่อนๆ คงจะเห็นถึงความแตกต่างของภาษาไทยกับอังกฤษมากขึ้นแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
CTO คือใคร? สำคัญอย่างไรกับธุรกิจยุคดิจิทัล
เทคโนโลยีถือเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาองค์กร ช่วยเพิ่มโอกาสการแข่งขัน แต่การสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นในองค์กร การจะพัฒนาหรือเลือกซอฟต์แวร์มาใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจ ก็จะต้องหาคนที่มีความรู้ด้าน IT เข้ามาช่วย คนนั้นก็คือ CTO หรือ Chief Technology Officer
“ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล” ถ่ายทอดเนื้อหาจาก เพจ SCB Thailand ที่นำเสนอเรื่อง “How to find your right CTO” จากคอร์สอบรมออนไลน์ SCB SME : Innovation Based Enterprise#3 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2565 โดย คุณนภดล พันธุ์ปัญญาเลิศ (คุณกอล์ฟ) กรรมการบริษัท ไอดิโอ เทค จำกัด ชวนมาทำความเข้าใจ Tech Startup Team และกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อหา CTO ที่ธุรกิจต้องการ ดังนี้
เหตุผลที่ทำให้ Startup ล้มเหลว
ปัจจุบันมี Startup ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ Startup ที่ประสบความสำเร็จมีน้อยมาก และสิ่งที่ทำให้ธุรกิจล้มเหลว 3 อันดับแรกก็คือ
- 40% No Market Demand: Idea หรือ Business Model ที่คิดขึ้นมา ไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้า หรือมีลูกค้าไม่มากพอที่จะผลักดันให้ Business Model นั้นดำเนินต่อไปได้
- 28% No Funding: เงินทุนที่มีหรือที่ได้รับมาไม่มากพอ เมื่อเงินทุนหมด ก็ต้องล้มเลิกไป
- 23% Not Having Right Team: ไม่มีทีมที่ดีพอในการผลักดันให้ Business Model นั้นเกิดขึ้น
จะเห็นว่า Business Model จะสำเร็จได้ ต้องเป็นไอเดียที่ดี มีความเป็นไปได้ มีตลาดรองรับ ที่สำคัญต้องมีทีมที่สามารถทำผลิตภัณฑ์และบริการนั้นๆ ออกมาได้จริง เพราะหากผลิตภัณฑ์และบริการยังไม่ตอบโจทย์ แต่ทีมงานที่ดีจะสามารถปรับผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะกับตลาดได้
Startup ที่ประสบความสำเร็จมักจะประกอบไปด้วยบุคคล 3 ประเภท คือ Hustler, Hipster และ Hacker โดย Hustler ก็คือ CEO (Chief Executive Officer) ซึ่งเก่งด้านการบริหาร มีทักษะในการนำเสนองาน หาตลาดใหม่ หาแหล่งเงินทุนให้กับธุรกิจ แต่ธุรกิจของ Hustler จะเป็นจริงได้ก็จะต้องอาศัย Hipster หรือ COO (Chief Operating Officer) ในการออกแบบ User Experience ให้น่าใช้ เข้าใจง่าย และตอบโจทย์ผู้บริโภค และคนสุดท้ายคือ Hacker หรือ CTO (Chief Technology Officer) คือ คนที่มีหน้าที่สร้างสรรค์ไอเดียทั้งหมดให้กลายเป็นรูปธรรมขึ้นมา
คุณกอล์ฟยกตัวอย่าง Startup Dream Team อย่าง Apple Startup Team ให้เห็นภาพชัดขึ้น ซึ่ง Steve Job ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ถือเป็นตัวอย่างของ Hustler ที่ชัดเจน แม้ว่า Steve Job จะเป็นคนที่มี Vision ในระดับโลก และมีไอเดียการทำธุรกิจอยู่ในหัวมากมาย แต่สิ่งที่ Steve Job คิดนั้นจะเป็นจริงไม่ได้เลยหากไม่มี Jonathan Lve อยู่เบื้องหลังการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น iPhone, iMac, iPod, iPhone, Apple Watch ให้ดูสวยงามน่าใช้ และคนที่สร้างผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบไว้ให้เกิดขึ้นได้จริงก็คือ Steve Wozniak วิศวกรคอมพิวเตอร์ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple และเป็นคนที่สร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลกขึ้นมา ซึ่ง Steve Wozniak ก็คือ CTO ที่เรากำลังพูดถึงนั่นเอง
CTO ทำอะไรบ้าง?
หน้าที่ของ CTO คือการพัฒนาให้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมนั้นเกิดขึ้นจริง โดยมีหน้าที่หลักๆ คือ
- Manage the Team: ดูแลทีมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ และเทคโนโลยีต่างๆ
- Define Technology Stack: เลือกเครื่องมือและเทคโนโลยี ในการพัฒนาระบบให้ถูกต้องและเหมาะสม
- Manage Operation & Track Performance: บริหารงานให้มีความคืบหน้าตามเป้าหมายและระยะเวลา รวมถึงดูแลการทดสอบระบบต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Have a Technical Vision: มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วางแผน และรอบรู้ในเทคโนโลยี
- Represent the Company: CTO ของ Startup ถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วยว่าจะสามารถพัฒนาสิ่งที่คิดให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่
คนที่เรียบจบด้าน IT ทุกคน ไม่ได้เขียนโปรแกรมได้ทุกคน คุณกอล์ฟแบ่งคนที่เรียนจบสาย Computer Engineer หรือ Computer Science ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ System และ Developer โดย System จะแบ่งเป็น 2 สายคือ สาย Implement ที่ทำหน้าที่สร้างและเชื่อมต่อระบบต่างๆ ให้สามารถทำงานได้ เช่น ระบบ Network, Securities, Computer Server หรือการนำซอฟต์แวร์ไปติดตั้ง และอีกสายคือ Admin ที่คอยดูแลระบบต่างๆ ให้ทำงานได้เป็นปกติ
ส่วนการพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือ Developer จะประกอบไปด้วยคน 3 กลุ่ม คือ
1.Designed ซึ่งแบ่งเป็น System Analytic ทำหน้าที่จะออกแบบภาพรวมของระบบ กำหนดส่วนประกอบต่างๆ สำหรับ Software ว่าจะเชื่อมต่อกันอย่างไร และอีกฝ่ายคือคนที่ทำหน้าที่ออกแบบ UX/UI ซึ่งจะต้องเข้าใจความต้องการของผู้กลุ่มเป้าหมาย สามารถพัฒนาแพลตฟอร์มออกมาได้สวยงาม ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค
2.Coding ทั้งส่วน Front End ซึ่งทำขึ้นมาตามที่ UX/UI ออกแบบ และส่วน Back End หรือส่วนที่ทีมพัฒนาเข้ามาใช้งาน สามารถดู API, Database และการประมวลผลต่างๆ ได้
3.QC & Support ได้แก่ การตรวจสอบคุณภาพของระบบให้ทำงานได้ถูกต้องตามความต้องการ และงาน DevOps ซึ่งเป็นคนที่เขียนโค้ดได้ และเข้าใจงานพัฒนาระบบ สามารถช่วยตั้งต้นให้คนเขียนโปรแกรมทำงานง่ายขึ้น
คนที่เป็น Full Stack จะสามารถทำงานในส่วนของ Developer ได้เกือบทั้งหมด โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ CTO เพื่อให้งานทุกส่วนสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
รู้จักกับ Tech Stack
Tech Stack เป็นชุดเครื่องมือ รวมถึงเทคโนโลยีที่นำมาพัฒนาซอฟต์แวร์หรือระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Web Application, Mobile Application, Desktop หรือ Micro Computer โดยคุณกอล์ฟได้โฟกัสไปที่การสร้าง Web Application กับ Mobile Application เป็นหลัก ซึ่งการพัฒนาจะมี 3 รูปแบบหลักคือ
1.Native Application คือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานบนแพลตฟอร์มนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น การเขียนโปรแกรมที่ทำงานบน Android กับ iOS ก็ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการพัฒนาที่แตกต่างกัน เพื่อทำให้ซอฟต์แวร์ทำงานได้ทั้งสองแพลตฟอร์ม
ข้อดี: ความเร็วในการแสดงผล สามารถใช้ลูกเล่นต่างๆ ในฮาร์ดแวร์ของระบบได้แทบทุกอย่าง และทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพราะต้องดาวน์โหลดมาลงที่เครื่อง
ข้อเสีย: ต้นทุนพัฒนาสูง ต้องใช้คนที่มีทักษะด้าน Android และ iOS รวมถึงต้องผ่านการอนุมัติจาก Google Play หรือ App Store ถึงจะดาวน์โหลดได้ และการจะอัปเดตต้องทำจากตัวเครื่องเท่านั้น
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วย Native Application: เกม Pokemon GO, Facebook, Google Map
2.Web Application คือซอฟต์แวร์ที่รันได้บนเว็บบราวเซอร์เท่านั้น อุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ทีวี นาฬิกา หากมีเว็บบราวเซอร์ก็สามารถทำงานได้
ข้อดี: พัฒนาได้เร็ว ค่าใช้จ่ายถูก ไม่ต้องติดตั้งลงเครื่อง อัปเดตได้ทันทีผ่านการเข้าใช้งานบนเว็บไซต์
ข้อเสีย: ไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ที่อยู่บนตัวอุปกรณ์ได้เต็มที่ รวมถึง Performance และ User Experience จะไม่ดีเท่า Native Application
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วย Web Application: Google Docs, Netflix ที่เข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์, Slack
3.Hybridge Application เป็นระบบเป็นกึ่งกลางระหว่าง Native Application และ Web Application
ข้อดี: เขียนโปรแกรมครั้งเดียวรันได้ทั้ง Android และ iOS ไม่ต้องพัฒนาสองรอบ ต้นทุนพัฒนาจึงต่ำกว่า เหมาะกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีฟังก์ชันไม่ซับซ้อน และมีงบประมาณจำกัด
ข้อเสีย:ไม่สามารถทำฟังก์ชันบางอย่างได้ และ Performance ไม่ดีเท่า Native Application
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วย Hybridge Application: Instagram, Twitter, Gmail
จากที่กล่าวมาข้างต้น คุณกอล์ฟได้ยกตัวอย่างจากโปรเจกต์ที่มีการนำเสนอไว้ดังนี้
หากต้องการทำซอฟต์แวร์จองรถบรรทุกสินค้าสำหรับบริษัทให้พร้อมใช้งานเร็วที่สุด ตัว Web Application จะตอบโจทย์ด้านความรวดเร็ว แต่หากต้องการให้ลูกค้าดาวน์โหลดและสามารถเข้าถึงระบบ GPS ได้ง่าย ก็สามารถเลือกเป็น Hybridge Application ได้
หากต้องการแพลตฟอร์มบริหารจัดการสวัสดิการต่างๆ ให้พนักงานเลือกได้เองจากงบประมาณที่บริษัทมี คุณกอล์ฟแนะนำเป็น Hybridge Application เพราะเหมาะกับการดาวน์โหลดบนมือถือและนำไปใช้ในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงไม่จำเป็นต้องใช้ Performance มากนัก
ส่วนการทำแพลตฟอร์มที่ต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากๆ ควรทำเป็น Native Application เพราะจะให้ Performance ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นช่วงเสนอ Idea & Concept ก็สามารถทำเป็น Web Application ได้
ปัจจุบันการพัฒนาซอฟต์แวร์ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้เวลาในการเขียนโค้ดเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เพราะมี Framework เข้ามาช่วย ถ้าเปรียบกับการก่อกำแพงสร้างบ้าน การเขียนโค้ดก็คือการเริ่มก่ออิฐที่ละก้อนเพื่อทำกำแพง ส่วน Framework ก็คือกำแพงสำเร็จรูปที่พร้อมใช้งาน สามารถยกมาประกอบตามจุดต่างๆ ได้ตามต้องการ ทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์สะดวกและรวดเร็วขึ้น
การพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่ว่าจะเป็น Native Application, Web Application หรือ Hybridge Application จะมีภาษาที่เขียนและ Framework ที่ใช้แตกต่างกันไป ทั้งในส่วนของ Front End, Back End และส่วน Support ซึ่ง CTO จะเป็นผู้เลือกว่าควรใช้อะไรในการพัฒนาระบบ
จะหา CTO ที่ใช่ได้อย่างไร?
คุณกอล์ฟให้แนวทางการคัดเลือก CTO จากมุมของของ CEO ไว้ 3 วิธี ได้แก่ การจ้างเป็นพนักงานประจำ (Fulltime), การ Outsource คนมาทำระบบ และการหา Partner & Co Founder มาพัฒนาร่วมกัน โดยควรเปรียบเทียบการหา CTO ในหลายมิติ ซึ่งคุณกอล์ฟยกตัวอย่างไว้ตามตารางนี้
ถ้าเป็นโปรเจกต์ระยะยาวควรหา CTO ที่เป็น Partner & Co Founder เพราะจะได้ความเป็น Ownership สูงกว่า หรืออาจจะจ้างพนักงานประจำก็ได้ เพราะสามารถควบคุมการทำงานได้ดี ทั้งนี้ CTO ที่เป็น Partner & Co Founder จะมีความเหมาะสมกว่าทั้งในมิติของต้นทุนที่สามารถแชร์ต้นทุนและส่วนแบ่งรายได้กัน รวมถึงมีความง่ายในการสื่อการเพื่อปรับเปลี่ยนระบบไปตามความต้องการของตลาด การใช้ Outsource อาจจะกำหนดและคุมงบประมาณได้ดีกว่าการจ้างทีมงานประจำที่เป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว แต่การสื่อสารอาจไม่คล่องตัวนักและมักมีปัญหาได้งานไม่ตรงตามความต้องการหาก โปรเจกต์ที่พัฒนามี Requirement ที่ไม่ครบถ้วนชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ดังนั้นการใช้ Outsource จึงเหมาะกับโปรเจกต์ขนาดเล็ก หรือ Module บางส่วนที่สามารถจ้างพัฒนาแยกส่วนได้
สำหรับการทดลองทำ Business Model ใหม่ๆ ที่ต้องการหา CTO มาช่วยงาน คุณกอล์ฟแนะนำให้เริ่มจากการดูใจกันก่อน อาจเริ่มต้นจากการลองทำโปรเจกต์เล็กๆ ร่วมกัน ถ้าการทำงานไปกันได้ ค่อยพัฒนามาเป็นพนักงานประจำหรือก่อตั้งธุรกิจร่วมกันในระยะยาว
ส่วนวิธีสุดท้ายก็คือการเป็น CTO ด้วยตัวเอง ซึ่งจะต้องเรียนรู้ Skill เฉพาะทาง แบ่งออกเป็น Hard Skill ที่เป็นพื้นฐานทางด้าน IT, การเขียนโค้ด และมีความเข้าใจใน Technology Stack เพื่อให้สามารถสื่อสารกับทีมพัฒนาได้เข้าใจ และ ทักษะทาง Soft skill ที่ CTO ควรมีได้แก่ ความสามารถในการบริหารจัดการทีมงาน, ความเข้าใจในธุรกิจ เรียนรู้เร็ว คิดวิเคราะห์ได้ดี สามารถบริหารต้นทุนและเวลาใด้อย่างเหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แฝกหอม ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นและข้อมูลงานวิจัย
ชื่อสมุนไพร แฝกหอม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หญ้าแฝก , แฝก (ทั่วไป) , หญ้าแฝกหอม , แฝกลุ่ม (ภาคกลาง) , ตะไคร้จีน , แคมหอม , แกมหอม (ภาคอีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Vetiveria zizanioides (L.) Nash
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Chrysopogon zizanioides (L.) Roberty, Rhaphis zizanioides (L.) Roberty., Phalaris zizanioides Linn., Aerticillata Lamk.,
ชื่อสามัญ Vetiver, vetiver grass , Sevendara grass
วงศ์ Gramineae
ถิ่นกำเนิดแฝกหอม
แฝกหอมเป็นพันธุ์พืชที่มีการสันนิษฐานถึง ต้นกำเนิดดั้งเดิมว่าอยู่ในประเทศอินเดีย เพราะเป็นหญ้าที่ชาวพื้นบ้านของประเทศอินเดียรู้จักกันมานานหลายร้อยปีมาแล้ว โดยคำว่า Vetiver นั้น รากศัพท์เป็นคำที่แผลงมาจาก คำว่า Vetivern ซึ่งเป็นภาษาทมิล (ชาวทมิลเป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ในตอนเหนือของประเทศอินเดีย) แปลว่ารากหอม ส่วนคำว่า zizanioides ในภาษาทมิลมีความหมายถึง ริมแม่น้ำ หรือริมตลิ่ง ซึ่งน่าจะหมายความว่าพืชนี้เดิมพบมากบริเวณริมแม่น้ำในประเทศอินเดีย
หลังจากนั้นแฝกหอมจึงมีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติออกไปอย่างกว้างขวาง ในปัจจุบันพบมากในภูมิภาคเอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งที่ขึ้นตามธรรมชาติหรือที่มีการนำมาเพาะปลูก ทั้งนี้แฝกหอมจะขึ้นได้ดีในสภาพในดินต่างๆ จากความสูงที่ระดับน้ำทะเล จนถึงระดับประมาณ 800 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณแฝกหอม
- ช่วยทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ
- ช่วยกล่อมประสาท
- ช่วยขับลมในลำไส้
- ช่วยบำรุงโลหิต
- ช่วยบำรุงหัวใจ
- แก้ท้องเดิน
- แก้ปวดท้อง
- ช่วยขับปัสสาวะ
- แก้ไข้พิษ
- แก้ไข้อภิญญาณ
- แก้ไข้คุดทะราด
- แก้โรคประสาท
- แก้ไข้หวัด
- แก้ปวดเมื่อย
- ช่วยทำให้นอนหลับ
- ช่วยทำให้สงบ
- ช่วยให้ผิวหนังร้อนแดงลด
- แก้ลมกองละเอียด (อาการหน้ามืด ตาลาย สวิงสวาย ใจสั่น)
- แก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน
- แก้ลมปลายไข้
- ช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ
- แก้พิษหัด
- แก้พิษสุกใส
- ช่วยลดไข้
- แก้ปวดศีรษะ
- ช่วยขับเหงื่อ
- ช่วยขับระดู
- ใช้เป็นยาละลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
แฝกหอมมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ โดยที่เราได้รู้จักและคุ้นเคยกันดีก็คงเป็นการปลูกไว้เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน จากการถูกน้ำกัดเซาะ นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ประโยชน์ต่างๆ อีกเช่น ใบใช้เย็บเป็นตับเพื่อใช้มุงกันแดดหรือทำเป็นผ้าใบกันแดด ก้านช่อดอกสามารถใช้ทำไม้กวาดและใช้ทอเสื่อ ส่วนขอรากที่มีความหอมยังสามารถนำมาใช้ทำบุหงา หรือนำไปแขวนในตู้เสื้อผ้าเพื่อให้กลิ่นหอม และไล่แมลงกินผ้า หรือจะนำไปสกัดเป็นน้ำมันหอม และระเหยก็ได้ โดยในปัจจุบันมีการนำน้ำมันหอมระเหยของรากแฝกหอมไปแต่งกลิ่นของผลิตภัณฑ์ เสริมความงาม และเครื่องสำอางต่างๆ อีกด้วย
ลักษณะทั่วไปแฝกหอม
แฝกหอมจัดเป็นพืชตระกูลหญ้า ที่เจริญเติบโตเป็นกอขนาดใหญ่ โดนกอเบียดแน่น เหง้าเป็นกระจุก แน่น มีกลิ่นหอม รากฝอยสามารถหยั่งลึกลงไปในดินได้ถึง 4 เมตร ลำต้นตั้งตรง สูง 1-1.5 เมตร มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-8 มิลลิเมตร ผิวเกลี้ยงใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แตกจากโคนกอ แผ่นใบแคบยาว ขอบใบขนาน เนื้อของแผ่นใบกร้าน สากใบมีความยาว 45-100 เซนติเมตร กว้าง 0.6-1.2 เซนติเมตร หลังใบโค้งปลายแบนสีเขียวเข้ม มีไขเคลือบมากทำให้ดูมัน ท้องใบออกขาวซีดกว่าด้านหลังใบ ดอกออกเป็นช่อตั้ง ซึ่งจะออกที่ปลายยอด ที่มีกานช่อดอกโผล่ยื่นออกจากลางลำต้น มีลักษณะเป็นรวง ก้านช่อดอก และรวงสูงได้ประมาณ 90-150 ซม. และแตกเป็นช่อดอกย่อย โดยช่อดอกย่อยของหญ้าแฝกหอมส่วนใหญ่มีสีม่วงแต่ก็อาจจะมีสีเขียวปนอยู่บางดอก เมล็ดแฝกหอมเป็นเมล็ดแบบแห้งรูปกระสรวย ผิวเรียบ หัวท้ายมน ขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 มม. ยาว 2-3 มม. เปลือกบาง
การขยายพันธุ์แฝกหอม
แฝกหอมสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการแยกหน่อ (ซึ่งในธรรมชาติแฝกหอมก็จะมีการแตกหน่อเพื่อทดแทนต้นที่แก่อยู่เสมอ) โดยมีวิธีการดังนี้ เริ่มจากขุดกอแฝกหอมออกมาตัดรากออก ให้มีความยาว 5 เซนติเมตร ตัดใบให้มีความยาว 20 เซนติเมตร จากนั้นแยกหน่อออกจากกัน นำมาแช่น้ำจนกว่ารากใหม่จะแตกออกมาแล้วจึงนำลงปลูกในแปลงที่มีขนาดความกว้าง 1 เมตร โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้น และระหว่างแถว 50×50 เซนติเมตร และความรดน้ำให้สม่ำเสมอในช่วงแรก หลังปลูก 1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จากนั้นอีก 3-4 เดือนจึงสามารถเก็บเกี่ยวได้
องค์ประกอบทางเคมีแฝกหอม
จากการศึกษาวิจัยพบว่าในรากแฝกหอมมีสาระสำคัญคือ น้ำมันหอมระเหย (Vertiveroil) โดยมีรายงานว่ารากแฝกหอมแห้งมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยอยู่ร้อยละ 0.2-1.8 ซึ่งมีองค์ประกอบหลักคือvetiverol, alpha-vetivone, beta-vetivone, beta-vetivenene , khusimol, isokhusimol , vetivenol, vetivenyl acetate , vetivenes, vetivenic acid. และมีคุณสมบัติทางเคมีดังนี้
Specific gravity at 30 c 0.9882-1.0219
Refractive index at 30 c 1.514-1.519
Optical rotation -53.4 to 101.8
Acid value 6.6-40.9
Ester value 10.1-24.1
Ester value after acetylation 162.1-185.7
Carbonyls 55.4-82.9%
รูปแบบและขนาดวิธีใช้แฝกหอม
ใช้แก้ไข้ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดท้อง ท้องอืด จุกเสียดแน่นท้อง บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ละลายนิ่ว โดยใช้รากแห้งต้มกับน้ำดื่มหรือจะใช้รากแห้งชงกับน้ำร้อนแบบชาก็ได้ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยขับลม แก้ร้อนใน แก้หวัด โดยการนำเหง้าแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม น้ำมันหอมระเหยมีกลิ่นหอมใช้สูดดมช่วยให้จิตใจสงบ ช่วยในการนอนหลับได้ดี
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดอาการปวด และต้านการอักเสบ มีการทดสอบฤทธิ์ลดอาการปวด และต้านการอักเสบในหนู โดยใช้การทดสอบwrithing test และ formalin test การทดลอง writhing test ทำโดยฉีดน้ำมันหอมระเหย (EO) เข้าทางช่องท้องหนูในขนาด 25, 50, และ 100 mg/kg หลังจากนั้น 30 นาที จึงฉีด 0.85% acetic acid (10 mL/kg)เข้าทางช่องท้องแล้วนับจำนวนครั้งที่หนูเกิดความเจ็บปวดจนเกิดอาการบิดงอลำตัว (writhing) ผลการทดลองพบว่า EO ในขนาด 50 และ 100 mg/kgสามารถลดจำนวนครั้งในการเกิด writhing ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 51.9 และ 64.9% ตามลำดับส่วนการทดลอง formalin test ให้ EO ในขนาด 25, 50 และ 100 mg/kgและกลุ่มสุดท้ายให้ aspirin ขนาด 200 mg/kg หลังจากนั้น 30 นาที จึงฉีด 2.5% formalin เข้าทางใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังด้านขวา สังเกตพฤติกรรมใน 2 ช่วง คือในช่วง early phase (0-5 นาทีหลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงอาการปวดแบบเฉียบพลัน (acute pain) อีกช่วงหนึ่ง คือ late phase (15-30 นาทีหลังจากฉีด formalin) ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการอักเสบ inflammation phase ผลการทดลองพบว่าสารสกัด EO ในขนาด 50 และ 100 mg/kgสามารถลดเวลาที่หนูยกเท้าข้างที่ถูกฉีด formalin ขึ้นเลีย ลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติใน late phase (56.7 และ 86.2%, ตามลำดับ)
ฤทธิ์ต้านอาการชัก มีกากรศึกษาทดลองสารสกัดจากแฝกหอมในหนูที่เหนี่ยวนำให้เกิดการชักด้วยการช็อตไฟฟ้า พบว่าสารสกัดเอทานอลจากเหง้าแฝกหอมในขนาด 400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สามารถยับยั้งการเกิดอาการชักที่เกิดจากการช็อตไฟฟ้าได้ (p<0.001) และสารสกัดขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทำให้ระยะเวลาก่อนเริ่มเกิดการชักยาวนานขึ้น เมื่อกระตุ้นการชักด้วยสารเคมี Pentylenetetrazoleโดยทำให้สัตว์ทดลองรอดชีวิต 83% แต่ขนาดของยามาตรฐานต้านการชัก phenobarbital ที่ทำให้สัตว์ทดลองรอดชีวิตทั้งหมดคือขนาด 20mg/kgและสารสกัดเอทานอลจากเหง้าแฝกหอม ที่ทำให้สัตว์ทดลองรอดชีวิตทั้งหมดคือขนาด 200 และ 400 mg/kg
ฤทธิ์ต้านเบาหวาน มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเบาหวานของต้นแฝกหอม โดยทำการทดลองในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงด้วยการฉีด alloxan monohydrate ขนาด 150 มก./กก. เข้าทางเส้นเลือดดำ จากนั้น 48 ชั่วโมง จึงแบ่งหนูแรทออกเป็น 6 กลุ่ม (กลุ่มละ 6 ตัว) กลุ่มที่ 1 ป้อนด้วยน้ำเกลือ (ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุม) กลุ่มที่ 2 ป้อนด้วยยาต้านเบาหวาน glibenclamide ขนาด 10 มล./กก./วัน กลุ่มที่ 3, 4, 5 และ 6 ป้อนสารสกัดเอทานอลรากแฝกหอมขนาด 100, 250, 500 และ 750 มก./กก./วัน ตามลำดับ หลังจากป้อนยาและสารสกัดทำการเก็บตัวอย่างเลือดหนูในชั่วโมงที่ 0, 2, 4, 6, 8 และ 24 เพื่อตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่เปลี่ยนแปลงในระยะเฉียบพลัน จากนั้นเลี้ยงหนูต่อไปจนครบ 28 วัน และทำการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือดในวันที่ 0, 2, 14, 16, 18 และ 24 ของการทดลอง ผลจากการทดลองพบว่าในระยะเฉียบพลัน การป้อนหนูด้วยสารสกัดเอทานอลรากแฝกหอมขนาด 750 มก./กก. มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดหนูลงในชั่วโมงที่ 2 และ 4 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และการป้อนสารสกัดเอทานอลรากแฝกหอมทุกขนาดมีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดในวันที่ 7, 14, 21 และ 28 ของการทดลองอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีการทดสอบฤทธิ์ต้านออกซิเดชันของน้ำมันหอมระเหยจากรากแฝกหอม ด้วยวิธี free radical scavenging (DPPH) และ lipid peroxidation inhibition (TBARs) ผลการทดสอบฤทธิ์กำจัดอนุมูลอิสระ (free radical scavenging) ด้วยวิธี DPPH ที่ความเข้มข้น 10 ไมโครลิตร/มิลลิลิตร พบว่าเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 90.18±0.84% คิดเป็นค่า IC5o เท่ากับ 0.635±0.036 mg/ml และแสดงผลการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของไขมัน (lipid peroxidation) ด้วยวิธี TBARs ที่ความเข้มข้น 0.95 ไมโครลิตร/มิลลิลิตร มีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 23.90±5.68%
การศึกษาพิษวิทยา
มีการศึกษาวิจัยความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเอทานอลจากรากแฝกหอม โดยให้สารสกัดรากแฝกหอมในหนูเม้าส์เพศผู้สายพันธุ์ swiss albino จำนวน 6 ตัว ในขนาด 100, 200, 300, 400, 500 และ 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หลังจากนั้นสังเกตอาการของการเกิดพิษและความผิดปกติของพฤติกรรม ทุกชั่วโมง จนครบ 48 ชั่วโมง ผลการทดลองพบว่าเมื่อให้สารสกัดในขนาด 400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่มีการตาย หรือความผิดปกติของพฤติกรรมของหนู และพบค่าความเข้มข้นที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) เท่ากับ 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการศึกษาความเป็นพิษอีกฉบับหนึ่งระบุว่า ในการทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดรากแฝกหอมด้วยเอทานอล 50% โดยป้อนสารสกัดดังกล่าวแก่หนูในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ผลปรากฏว่าตรวจไม่พบอาการเป็นพิษแต่อย่างใด
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ถึงแม้ว่ารายงานผลการศึกษาทางพิษวิทยาจะระบุว่าแฝกหอมไม่มีพิษ แต่ถึงอย่างไรก็ตามในการใช้แฝกหอมเป็นสมุนไพรก็ควรระระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในปริมาณที่พอดีตามตำรับยาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มาก หรือใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นประจำก่อนใช้แฝกหอมเป็นยาสมุนไพรควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก disthai.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/01/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,550.00 | 28,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,849.00 | 28,030.84 | 29,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,664.10 | 25,227.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,479.20 | 22,424.67 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 832.00 | 12,613.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 647.00 | 9,808.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,916.00 | 29,046.56 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/01/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.15 | 33.35 | 33.15 | 33.15 | 33.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 32.88 | 33.08 | 32.88 | 32.88 | 32.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.64 | 31.64 | 31.64 | 31.64 | 31.64 | – | 31.84 | 31.64 | 31.64 | 31.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 24.94 | 24.94 | – | – | – | – | – | – | – | 24.94 |
เบนซิน 95 | 40.56 | – | – | – | 41.01 | – | 41.26 | 41.06 | – | 40.56 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 31.64 | 30.34 | 30.94 | 29.94 | 30.64 | 30.54 | 30.34 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 31.64 | 30.34 | 30.94 | 29.94 | 30.64 | 30.54 | 30.34 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 31.64 | – | 30.94 | – | 30.64 | 30.54 | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.96 | 35.96 | 38.09 | 36.86 | 37.69 | – | – | – | – | 35.96 |
แก๊ส NGV | – | – | – | – | – | – | – | – | – | – |