ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯเตือนทำเลเฝ้าระวัง ไตรมาส3 สต็อกพุ่ง!แตะ1.95แสนหน่วย !
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯเผยไตรมาส3 ปี66 มีที่อยู่อาศัยเหลือขาย195,059 หน่วย เพิ่มขึ้น 2.6% คิดเป็นมูลค่า 1,014,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% เป็นโครงการอาคารชุด 74,657 หน่วย มูลค่า 287,961 ล้านบาท ลดลง 0.7% เป็นโครงการบ้านจัดสรร 120,402 หน่วย มูลค่า 726,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2%
ภาพรวมด้านอุปทานในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า มีที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งสิ้น 213,282 หน่วย มูลค่า 1,113,639 ล้านบาท เป็นโครงการอาคารชุด 82,452 หน่วย มูลค่า 316,669 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 130,830 หน่วย มูลค่า 796,970 ล้านบาท ในช่วงเวลาดังกล่าวมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 20,281 หน่วย มูลค่า 142,611 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 12,891 หน่วย มูลค่า 119,834 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 7,390 หน่วย มูลค่า 22,777 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาจากที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ พบว่าภาพรวมตลาดเทียบไตรมาสก่อนหน้าปรับลดลงถึง 12.3% เป็นการ “ลดลง” ของคอนโด/อาคารชุด ถึง 37.7% กล่าวคือในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุด 11,856 ยูนิต แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3 มีการเปิดตัวอาคารชุดเพียง 7,390 หน่วย ขณะที่การเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น 14.5% มาจากโครงการบ้านเดี่ยวถึง 84.3%
ด้านมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ เพิ่มขึ้น 10.2% เป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการเปิดขายโครงการใหม่ของบ้านจัดสรรถึง 46.3% โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว 82.9% ขณะที่มูลค่าการเปิดขายอาคารชุด/คอนโด “ลดลง” 52%
ด้านอุปสงค์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล มีจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่รวม 18,223 หน่วย มูลค่า 99,058 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 10,428 หน่วย มูลค่า 70,350 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 7,795 หน่วย มูลค่า 28,708 ล้านบาท
ภาพรวมของหน่วยขายได้ใหม่ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 14.2% เทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 เป็นยอดขายโครงการอาคารชุด 36.9% หรือ มีโครงการอาคารชุด/คอนโดขายได้ใหม่ 7,795 หน่วย เพิ่มขึ้น 32.2% ขณะที่โครงการบ้านจัดสรรขายได้ใหม่ มีสัดส่วน 63.1% หรือมีจำนวน 10,428 หน่วยเพิ่มขึ้น 3.6%
ส่วนโครงการบ้านจัดสรร มีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 16.2% ขณะที่โครงการประเภทอื่นลดลงหมด โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์ลดลงถึง 20.9% ด้านมูลค่าโครงการขายได้ใหม่มีมูลค่ารวม 99,058 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% เป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าขายโครงการอาคารชุด/คอนโด 19.7% มูลค่า 28,708 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นของโครงการบ้านจัดสรร 17.4% มูลค่า 70,350 ล้านบาท โดยกลุ่มบ้านเดี่ยวมีมูลค่าการขายได้ใหม่มากที่สุดถึง 28.6% ขณะที่อาคารพาณิชย์มูลค่าขายลดลงถึง 26.6%
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ผลการสำรวจภาคสนามโครงการที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ปี 2566 แม้การเปิดขายโครงการใหม่จะลดลงและหน่วยขายได้ใหม่จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สามารถลดจำนวนหน่วยเหลือขายคงค้างในตลาดได้ ส่งผลให้ไตรมาส 3 ปี 2566 มีที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งสิ้น 195,059 หน่วย เพิ่มขึ้น 2.6% คิดเป็นมูลค่า 1,014,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% เป็นโครงการอาคารชุด 74,657 หน่วย มูลค่า 287,961 ล้านบาท ลดลง 0.7% เป็นโครงการบ้านจัดสรร 120,402 หน่วย มูลค่า 726,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2%
“ตลาดที่อยู่อาศัยช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ภาพรวมเริ่มมีการชะลอตัวของบ้านจัดสรร และคอนโด ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เนื่องจากมีการเติมอุปทานในกลุ่มของคอนโดและทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เข้ามาใหม่จำนวนมาก ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มีจำนวนต่ำกว่าหน่วยเปิดขายใหม่ เป็นผลให้หน่วยเหลือขายในกลุ่มราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เป็นตลาดที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน เช่นเดียวกับกลุ่มคอนโด ราคา 2.1-3 ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยเหลือขายสะสมของคอนโดเพิ่มขึ้น 20% เทียบช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน”
นอกจากนี้ กลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเปิดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ภาพรวมไม่ได้ขายดีเท่าที่ควร จึงต้องระมัดระวัง!!
โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จัดอันดับทำเลที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน 5 อันดับแรก ไตรมาส 3 ปี 2566
อันดับ 1 ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวยไทรน้อย จำนวน 20,877 หน่วยมูลค่า 104,010 ล้านบาท อัตราดูดซับ 2.9%
อันดับ 2 ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 19,006 หน่วย มูลค่า 83,635 ล้านบาท อัตราดูดซับ 2%
อันดับ 3 ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 18,632 หน่วย มูลค่า 106,899 ล้านบาท อัตราดูดซับ 3.2%
อันดับ 4 ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ จำนวน 17,756 หน่วย มูลค่า 65,721 ล้านบาท อัตราดูดซับ 3.2%
อันดับ 5 ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 14,554 หน่วย มูลค่า 49,109 ล้านบาท อัตราดูดซับ 3%
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาภาพรวมจากหน่วยขายได้ใหม่ พบทำเลที่มีอัตราดูดซับดีขึ้น คือ ราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีอัตราดูดซับสูงถึง 5.4% ส่วนโครงการอาคารชุด/คอนโด ทำเลราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ มีอัตราดูดซับปรับเพิ่มขึ้นสูงถึง 10.7 %
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เสนาฯ ผุด3 คอนโดโลว์ คาร์บอนวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
เสนาฯ เปิด 3 คอนโดโลว์ คาร์บอนวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ผสมผสานสู่ความยั่งยืนของการอยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ภายใต้แบรนด์ “เฟล็กซี่ ริเวอร์วิว เจริญนคร, นิช โมโน บางโพ, นิช ไพรด์ สมเด็จเจ้าพระยา” ชูจุดขายใกล้แหล่งงาน เดินทางสะดวก ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการลงทุน
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวคิดคอนโด Low-Carbon รายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยของคนในยุคปัจจุบัน มีความหลากหลายของไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต้องผ่านการคิดอย่างละเอียด
ทั้งการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการออกแบบให้สอดรับกับชีวิตของคนเมือง ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของการอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี ควบคู่ไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำเลต้องใกล้แหล่งงาน หรือมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีรองรับ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญของการพักอาศัย และคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จึงได้จัดแคมเปญสำหรับกลุ่มคนที่ต้องการใช้ชีวิตติดธรรมชาติ และชีวิตเมืองไปพร้อมๆ กันกับแคมเปญ “CHAOPHRAYA LIVING CAMPAIGN” ที่คัดคอนโดทำเลวิวแม่น้ำสวยๆ มาเพื่อมอบสิทธิพิเศษ ประกอบด้วย โครงการ นิช โมโน บางโพ, โครงการ เฟล็กซี่ ริเวอร์วิว เจริญนคร ซึ่งเปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ และโครงการ นิช ไพรด์ สมเด็จเจ้าพระยา ที่จะเตรียมเปิดตัวในปี 2567
ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “เสน่ห์แม่น้ำเจ้าพระยา” ด้วยการนำแนวทาง “Smart City” มาผสมผสานในการพัฒนาโครงการ ที่มีความโดดเด่นเรื่องทำเลและคำนึงถึงรายละเอียดด้านการออกแบบผ่านแนวคิด Made Form Her “คิดละเอียดกว่า ก็อยู่สบายกว่า” ที่เน้นดูแลคุณภาพชีวิตของลูกค้าทุกช่วงวัย
นอกจากนี้ แต่ละโครงการยังได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบจากจุดเด่นของแต่ละย่านทำเลที่ตั้งของโครงการ ถ่ายทอดออกมาเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบริบท สังคม และวิถีชีวิตของคนในย่านนั้นๆ พร้อมออกแบบให้เหมาะกับสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางลมและแสงแดด เพื่อให้ทุกห้องของโครงการได้รับแสงสว่างและอยู่ในทิศทางลมที่อากาศถ่ายเท เย็นสบาย รวมถึงสามารถประหยัดพลังงานภายในที่อยู่อาศัยได้ดี อีกทั้งยังได้ชมทัศนียภาพความสวยงามของวิวแม่น้ำเจ้าพระยา นับเป็นที่อยู่อาศัยที่คนเมืองส่วนใหญ่ต้องการแสวงหาเป็นสินทรัพย์ ทั้งเพื่อการลงทุนและอยู่อาศัย
สำหรับโครงการ “นิช โมโน บางโพ” คอนโดความสูง 37 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 1-0-95 ไร่ จำนวน 450 ยูนิต ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 26-63 ตร.ม. ออกแบบภายใต้แนวคิด “Revive By the River” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากย่านค้าไม้เก่าผ่านสีสันและลวดลายที่สวยงาม เดินทางสะดวกสบายติดรถไฟฟ้า MRT สถานีบางโพ และท่าเรือบางโพ ราคาเริ่มต้นที่ 3.29 ล้านบาท โดยเปิดขายไปเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีนี้
โครงการ “เฟล็กซี่ ริเวอร์วิว เจริญนคร” ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 3-2-72.3 ไร่ ความสูง 33 ชั้น จำนวน 700 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 26.5 – 53 ตร.ม. ออกแบบภายใต้แนวคิด “Always on Vacay” ใช้ชีวิตแบบวันหยุด ที่ไม่สิ้นสุด สามารถตอบโจทย์ของคนรุ่นใหม่ (GEN Z) ด้วยการออกแบบโครงการที่มีพื้นที่ให้ลูกบ้านได้ Flexible สะดวกสบายในการใช้ชีวิต ให้ความรู้สึกเหมือนพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมริมแม่น้ำ ด้วยวิวโค้งแม้น้ำเจ้าพระยาที่สวยงามโดยเฉพาะในช่วงเวลายามค่ำคืน พร้อมการเดินทางที่สะดวกสบายติดถนนเจริญนคร ใกล้แหล่งงานและออฟฟิศย่านสาทร ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท โดยเปิดขายไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมของปีนี้
และโครงการ “นิช ไพรด์ สมเด็จเจ้าพระยา” คอนโดวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลาง 7 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 1-0-95 ไร่ ความสูง 24 ชั้น ในบรรยากาศส่วนตัวจำนวน 223 ยูนิต ซึ่งออกแบบภายใต้แนวคิด “Where the river meets urbans” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งการเดินทางที่สะดวกสบายใกล้สถานีคลองสานเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงหัวลำโพง-บางบอน-มหาชัย และสถานีสะพานพุทธ ส่วนขยายช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ใกล้แหล่งงาน และแหล่งชอปปิ้ง (ไอคอน สยาม) โดยโครงการนี้จะพร้อมเปิดเสนอขายในปี 2567 ที่ราคาเริ่มต้นที่ 4 – 9 ล้านบาท
“เสนาฯ ได้วางแผนพัฒนาคอนโด “Low Carbon” ในทำเลที่มีศักยภาพและอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่จะเริ่มหายากก็ตาม และด้วยศักยภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาพบว่าคอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำเจ้าพระยามีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะสามารถซื้อทำกำไร ปล่อยเช่า หรือพักอาศัย” ผศ.ดร.เกษรากล่าว
โดยเฉพาะทำเลในย่านเมืองเก่าที่มีมนต์เสน่ห์ รวมถึงทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT ที่อำนวยความสะดวกเรื่องการเดินทาง ทำให้เชื่อมั่นว่าทั้ง 3 โครงการนี้ จะได้รับความสนใจและการตอบรับอย่างดี จากคนที่กำลังมองหาคอนโดที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ลงตัวในทุกด้าน
จากความมุ่งมั่นและใส่ใจให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้ดีเอ็นเอ Made Form Her ผ่านวิธีคิด “Smart City” ในการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ โดยเฉพาะระบบ Smart Energy ที่ใช้โซลาร์รูฟท็อป และอีวี ชาร์จเจอร์, Smart Mobility แอปพลิเคชั่นช่วยคำนวณเวลาการ เดินทาง รวมถึงบริการรถไฟฟ้ารับส่งลูกบ้าน (V Move), Smart Living พื้นที่ส่วนกลางสีเขียว, Smart Environmemt การบริหารจัดการขยะ และ Smart People กิจกรรมเสริมความรู้ต่างๆ เช่น ฟิตเนส พื้นที่ทำงาน เพื่อให้ได้ที่อยู่อาศัยที่รักษ์โลก หรือที่เรียกว่า “คอนโด Low-Carbon” เพื่อสร้างชุมชนเมืองให้น่าอยู่ ให้ลูกบ้านของเสนาฯ ใช้ชีวิตแบบลดคาร์บอนได้ง่ายๆ แค่มาใช้ชีวิตปกติในทุกๆ วันที่เสนาฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 21ธ.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอ่อนค่าอาจเผชิญโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน กรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.10 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 21ธ.ค. 2566 ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.90 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัวใกล้ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนแนวต้านสำคัญ แต่ก็มีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือระดับดังกล่าวไปได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ซึ่งนอกจากจะหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ยังอาจกดดันให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยได้เช่นกัน เนื่องจากหุ้นไทยได้ทยอยรีบาวด์ขึ้นมาพอสมควรจากการปรับฐานล่าสุด
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังไม่ได้อ่อนค่าไปไกลมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอคอยรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นในช่วงนี้ คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ในคืนนี้ และอัตราเงินเฟ้อ PCE ในคืนพรุ่งนี้ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเผชิญโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน ซึ่งจะช่วยชะลอไม่ให้เงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 35.00 บาทไปได้ไกล
ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน จนกว่าจะเห็นการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดพอสมควร หรือนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจติดโซนแนวรับแถว 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบตลาด
ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.10 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 34.87-35.01 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด
รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ขณะเดียวกัน การทยอยย่อตัวลงสู่โซนแนวรับของราคาทองคำก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ชัดเจน หลังผู้เล่นในตลาดต่างเทขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นได้ดี ตั้งแต่หลังรับรู้ผลการประชุมเฟดล่าสุด
โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ Nvidia -3.0%, Apple -1.1% นอกจากนี้ การปรับสถานะถือครอง Options ในช่วงใกล้เทศกาลหยุดยาวของผู้เล่นในตลาดก็อาจมีส่วนสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.47%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.19% หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษล่าสุด ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ได้เพิ่มความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นบ้างของหุ้นกลุ่ม Healthcare อาทิ Novo Nordisk +1.9% หลังหุ้นกลุ่มดังกล่าวเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่ารายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board ของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นกว่าคาด และช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 3.90% ได้ แต่ก็เป็นเพียงการปรับตัวขึ้นชั่วคราว หลังภาวะปิดรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการถือบอนด์ระยะยาว กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงใกล้ระดับ 3.86%
ทั้งนี้ เราคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคา หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาพอสมควร ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟด ที่เร็วและลึก พอสมควรและอาจยังไม่สอดคล้องกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดนัก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเงินดอลลาร์ได้แรงหนุนตั้งแต่ช่วงบ่ายหลังเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ทยอยอ่อนค่าลงตามความหวังการลดดอกเบี้ยของ BOE จากรายงานอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่ชะลอตัวลงชัดเจน
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาดและความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินสหรัฐฯ ผันผวน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 102.4 จุด (กรอบ 102.2-102.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์
รวมถึงแรงขายทำกำไรทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 2,044 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งใกล้โซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเข้าซื้อทองคำบ้าง เพื่อลุ้นการรีบาวด์ในกรอบ sideway โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) โดยหากยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานนั้น ยังคงอยู่ในระดับต่ำและออกมาดีกว่าคาด ก็จะยิ่งหนุนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมที่ยังคงแข็งแกร่ง
ทำให้มีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้บ้าง ซึ่งอาจหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 34.95-34.97 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.17 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบ แต่ขยับอ่อนค่าลงเล็กน้อย
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสำรวจโดย Conference Board ซึ่งปรับขึ้นไปที่ระดับ 110.7 ในเดือนธ.ค. (ตลาดคาดที่ 104.5) และตัวเลขยอดขายบ้านมือสองที่เพิ่มขึ้น 0.8% ไปที่ 3.82 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. (ตลาดคาดที่ 3.78 ล้านยูนิต)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ เบื้องต้นคาดไว้ที่ 34.90-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 (final)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เดือดสุด! “โตโยต้ากาซูฯ” คว้าแชมป์ปิดฤดูกาล “Thailand Super Series 2023” สนามช้างฯ บุรีรัมย์
“TOYOTA Gazoo Racing Team Thailand” ทีมแข่งรถยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างสูงของวงการมอเตอร์สปอร์ต ภายใต้การสนับสนุนของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประกาศศักดาปิดท้ายฤดูกาล “Thailand Super Series 2023” สนาม 7-8 สุดยิ่งใหญ่ เรียงแถวขึ้นโพเดียมรับถ้วยครบทุกรุ่น GT3 GTM GT4 และ Super Compact นำโดย สุทธิพงศ์ สมิตชาติ, ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ, ณัฐพงษ์ ห่อทองคำ, มานัต กุละปาลานนท์, กรัณฑ์ ศุภพงษ์, ธัญชนก เจริญสุขะวัฒนะ, กฤษฎิ์ วสุรัตน์, ณ ดล วัฒนธรรม และ เคนทาโร่ ซึจิโทริ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2566 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
TOYOTA Gazoo Racing Team Thailand ลงสนามแข่งในนัดปิดฤดูกาลของ “Thailand Super Series 2023” ชิงโพเดียมใน 4 รุ่นหลัก โดย Thailand Super Car GTM ด้วยรถ Lexus RC-F GTM รถหมายเลข 24 ขับโดย ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ มือเก๋าของทีม รุ่นนี้ ณัฐวุฒิ มีคะแนนเก็บสูงสุด แต่ในเรซ 7 ไม่จบการแข่งขันเนื่องจากอุบัติเหตุ แต่กลับมาแก้มือใหม่ในเรซที่ 8 หวดคนเดียวตลอด 60 นาที ทำผลงานยอดเยี่ยมจบการแข่งขันในอันดับ 1 ด้านรถหมายเลข 38 ขับโดย กฤษฎิ์ วสุรัตน์ ผนึกกำลังกับ เคนทาโร่ ซึจิโทริ ทำผลงานดีสุดในอันดับ 4 ทำให้รุ่นนี้ได้ถ้วยรางวัลประเภททีมอีกรางวัล
ในรุ่น Thailand Super Car GT3 ด้วยรถ Lexus RC-F GT3 รถหมายเลข 9 ขับโดย ณัฐพงษ์ ห่อทองคำ และ มานัต กุละปาลานนท์ รุ่นนี้ทีมลุ้นตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย สู้กันเดือดทั้ง 2 เรซ จบการแข่งขันไปด้วยอันดับ 7 และ อันดับ 3 ของรุ่น ทำให้คะแนนสะสมรวมทั้งฤดูกาล “ณัฐพงษ์” และ “มานัต” คว้าแชมป์ประจำปีประเทศไทยในรุ่นนี้มาครอง (ผลอย่างไม่เป็นทางการ) และรุ่น Thailand Super Car GT4 ด้วยรถ TOYOTA Supra GT4 รถหมายเลข 19 ขับโดย สุทธิพงศ์ สมิตชาติ และ กรัณฑ์ ศุภพงษ์ ร่วมมือกันจบการแข่งขันด้วยอันดับ 2 และอันดับ 4 ของรุ่น
ด้านรุ่น Thailand Super Compact รถหมายเลข 19 Toyota Yaris E-Fuel Carbon Neutral รถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงซึ่งมีความเป็นกลางทางคาร์บอน ขับโดย ธัญชนก เจริญสุขะวัฒนะ และ ณ ดล วัฒนธรรม ทำผลงานส่งท้ายปีได้ยอดเยี่ยมมีโพเดียมในอันดับ 4 และ 3 ของรุ่น
หลังจบการแข่งขัน คุณสุทธิพงศ์ สมิตชาติ ผู้อำนวยการทีมและนักแข่งโตโยต้า กาซู เรซซิ่ง ทีมไทยแลนด์ กล่าวว่า “เป็นการปิดท้ายฤดูกาลของไทยแลนด์ซูเปอร์ซีรีส์ได้สมบูรณ์แบบ รถทุกคันทำผลงานดีรับถ้วยรางวัลกันทั้งหมด วันนี้พวกเราหายเหนื่อยและมีพลังสำหรับการไปสู้ในรายการเอ็นดูรานซ์ 10 ชม.ในสัปดาห์หน้า ก็ขอกำลังใจจากแฟนมอเตอร์สปอร์ตทุกคนเชียร์ทีมของเราด้วยนะครับ”
สำหรับ TOYOTA Gazoo Racing Team Thailand มีตารางแข่งต่อในรายการสุดท้ายของปี กับ รายการมาราธอนทางเรียบ 10 ชั่วโมงเต็ม “Idemitsu Super Endurance Southeast Asia Trophy 2023” โดยลงแข่งร่วมกับทีม Rookie Racing จากประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม 2566 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ติดตามชมและเชียร์ทีมแข่งรถสัญชาติไทยที่มุ่งมั่นและตั้งใจพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพิ่มเติมได้ที่ Facebook และ Instagram: TOYOTAGazooRacingTeamThailand
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 สัญญาณเตือนร่างกายขาดคอลลาเจนที่มีให้เห็นมากกว่าแค่ผิวเหี่ยว
ผู้หญิงต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อใดที่ร่างกายขาดคอลลาเจน จะส่งผลให้ผิวเหี่ยว และมีอาการปวดเข่าตามมา ดังนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายของเรากำลังอยู่ในช่วงที่ขาดคอลลาเจน วันนี้เราได้รวม 6 สัญญาณเตือนขาดคอลลาเจนที่ผู้หญิงควรรู้มาแชร์ให้ได้ทราบกันค่ะ
6 สัญญาณเตือนขาดคอลลาเจน
1.มีอาการปวดข้อ
อาการปวดข้อเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าร่างกายกำลังเข้าสู่ภาวะขาดคอลลาเจน เนื่องจากกระดูกอ่อนในข้อต่อจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่และมีการซ่อมแซมโดยการใช้คอลลาเจน ดังนั้นการที่สาวๆ รู้สึกปวดที่บริเวณข้อ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังขาดคอลลาเจน และอาจนำไปสู่ผลกระทบอื่นๆ ที่มากกว่าการปวดข้อได้
2.อาการบาดเจ็บฟื้นตัวช้า
หนึ่งในอาการที่เราสามารถสังเกตได้ว่าร่างกายกำลังขาดคอลลาเจนก็คือในช่วงที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจะทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้า เพราะโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะผลิตคอลลาเจนในบริเวณที่ได้รับผลกระทบเพื่อไปซ่อมแซมส่วนเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหาย แต่หากร่างกายกำลังอยู่ในภาวะขาดคอลลาเจนก็ทำให้เกิดการซ่อมแซมที่นานกว่าปกตินั่นเอง
3.ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา
เนื่องจากคอลลาเจนเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อการซ่อมแซมผนังลำไส้ ดังนั้นถ้าร่างกายอยู่ในภาวะขาดคอลลาเจน ก็จะทำให้ระบบทางเดินอาหารมีปัญหาได้ ทำให้การซ่อมแซมผนังลำไส้ใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะร่างกายมีปริมาณคอลลาเจนที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่เสียหายได้อย่างเหมาะสม
4.กล้ามเนื้อฟื้นตัวช้า
หากสาวๆ เป็นคนที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำ ย่อมคุ้นเคยกับอาการปวดเมื่อยที่มาพร้อมกับการฟื้นตัวกล้ามเนื้อ นั่นเป็นเพราะว่าคอลลาเจนในร่างกายจะทำการซ่อมแซมกล้ามเนื้อและทำให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่น ดังนั้นหากร่างกายขาดคอลลาเจน ก็จะทำให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวช้า และยังมีส่วนทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้ออีกด้วย
5.เกิดริ้วรอย
ริ้วรอยคือปัญหาที่เกิดจากการที่ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการที่ร่างกายขาดคอลลาเจนนั่นเอง แต่ทั้งนี้ปัญหาริ้วรอยยังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุสำคัญเกิดจากการที่คอลลาเจนในร่างกายมีไม่เพียงพอ เพราะผิวของคนเราประกอบไปด้วยคอลลาเจนประมาณ 70-80% เลยทีเดียว
6.เส้นผมลีบแบน
เนื่องจากคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีสุขภาพผมที่ดี โดยมีหน้าที่ไม่ต่างไปจากการรักษาบาดแผลเลยก็ว่าได้ ดังนั้นหากร่างกายขาดคอลลาเจนก็จะส่งผลให้เส้นผมใหม่เกิดได้ช้าลง อีกทั้งยังทำให้เส้นผมลีบแบนและไม่แข็งแรง
สาวๆ จะเห็นได้ว่าการที่ร่างกายขาดคอลลาเจนไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบแค่ในเรื่องของผิวเหี่ยวย่นหรือมีอาการปวดข้อเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลากหลายผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร่างกายอีกด้วย ดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกกินอาหารที่ให้คอลลาเจนแก่ร่างกายอย่างเพียงพอ เพื่อไม่ให้ร่างกายเผชิญกับปัญหาต่างๆ ตามที่กล่าวไปข้างต้นได้ง่าย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
The Present Perfect Tense and the Passive Voice
As we’ve already seen, the present perfect is one of the most challenging verb tenses for all English students to learn to use. It’s used in a variety of situations and often with quite different meanings. But with some guidance and regular practice you can easily become confident in using this important tense. Let’s review when we use the present perfect in the active form and then see how we can use it in the passive form.
Using the Present Perfect
The present perfect is a tense that usually describes something about the past that has a connection with the present. It can describe a past experience that has importance to now, or it can refer to an action that began in the past and continues in the present, or it can express a recent action that creates consequences in this moment.
The Structure
We create the present perfect by using the verb ‘have’ and the past participle of a verb. For example,
“You have finished.”
To make questions we invert ‘have’ and the subject:
“Have you finished?”
And to make negative forms we add ‘not’:
“You haven’t finished.”
The only small variation of this is with the third person singular that requires has instead of have. For example,
She has finished.
With the present perfect we typically use unfinished time expressions like today, this week, this year, in my life. We also often use the adverbs yet, already, just, ever and never in present perfect sentences. And when we talk about unfinished actions or situations we use for and since.
The Main Uses
Let’s look in detail at the three main situations in which we use the Present Perfect and see some examples.
1) Recent actions
We use the present perfect to describe a recent action or ask if something has happened recently. It’s often used with words like just, already, yet, still. For example,
Jack’s asked me to marry him! I’m so happy!
(Finished action in recent past – consequence now.)
Have you finished reading the newspaper yet?
Ann’s just called. She’s missed her bus and will be here late.
2) Life experience
We can also use the present perfect to talk about important things we’ve done. In this case we often use ever and never. For example,
I’ve been to Canada. Have you ever been there?
How many times have you travelled abroad?
He’s won a lot of competitions during his sports career.
3) Unfinished actions
The third use of the present perfect is to describe actions that started in the past but continue now. With this we use for and since. For example,
He’s worked here for 18 years.
We’ve lived in the city center since 2008.
How long have you known Pablo?
Using the Present Perfect in the Passive Form
In the above examples we looked at the present perfect in the active form, meaning that the subject was the person or thing doing the action.
When we use the passive form, we focus attention on what or who receives an action (the object). We use the passive in almost all the tenses in English and create it by using the verb ‘to be’. For example, in the present simple:
ACTIVE: People collect the goods..
PASSIVE: The goods are collected.
In the past simple the sentence becomes,
ACTIVE: People collected the goods yesterday.
PASSIVE: The goods were collected yesterday.
And when necessary we can express the same idea with the present perfect. For example,
ACTIVE: People have collected the goods.
PASSIVE: The goods have been collected.
We use the present perfect in the passive form for all the same reasons we use it in the active form – to talk about recent actions, experiences, and ongoing actions/situations.
In the present perfect form with the passive, we always use ‘has/have been’ + the past participle form. Here are some more examples:
The staff have been trained.
The reports have been written.
Have the candidates been interviewed?
The applications haven’t been checked yet.
Have you been introduced to the new manager?
He’s been taken to see the President.
Sara has been promoted three times in her career.
The waste products have been left here since last February.
Knowing how to use the present perfect in both the active and passive forms will really help you when you work and travel. Practice now with this fun quiz.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
เยอะไม่ไหว!!! สาวจีนลาออกจากงาน ใช้เวลาออกจากกลุ่มทำงานทั้งหมด 3 ชั่วโมง
ทุกวันนี้การลาออกจากงานบางคนก็มองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าลองคิดดูว่า ถ้าคุณลาออกจากงานแล้วต้องออกจากกลุ่มมากถึง 600 กลุ่ม จะใช้เวลามากแค่ไหน!!!
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องตลก แต่เป็นชีวิตจริงของ Tang Ying (ถัง หยิง) ดีไซน์เนอร์สาวชาวจีนจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งการลาออกเพราะความกดดันที่สูง เพราะเธอต้องรับผิดชอบการออกแบบและตกแต่งอาคารพาณิชย์หลายแห่ง โดยรายได้ของเธอนั้นสูงถึง 20,000 – 30,000 หยวน หรือคิดเป็นเงินบาทไทยก็ประมาณ 150,000 บาท กันเลย
แต่ด้วยงานที่มีความกดดันสูงทำให้ส่งผลสุขภาพและความเป็นอยู่ของเธอ เธอจึงลาออกจากงาน แต่กลุ่มทำงานใน WeChat ของเธอก็มีหลายภาพส่วนตั้งแต่ เจ้าของร้าน, พนักงานตกแต่ง, เจ้าหน้าที่ต่างๆ มากมาย เอาซะเธอไม่กล้าปิดมือถือ เพราะข้อความ เข้ามาจำนวนมาก และอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการส่งข้อความ จนสุดท้ายเลือกลาออกจากงาน เพื่อไปอยู่ที่บ้านเกิด
การลาออกของเธอทำให้เธอต้องออกจากกลุ่มคุยของที่ทำงานที่มีมากถึง 600 กลุ่ม และใช้เวลานานถึง 3:30 ชั่วโมง และหลังจากที่เธอลาออกก็เลือกที่จะเปิดธุรกิจผลิตไส้กรอกและเนื้อแปรรูปขายทางออนไลน์
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กลุ่มคุยเยอะมากขนาดนี้อาจจะไม่ส่งผลดีกับชีวิตของคุณไปด้วย อาจจะต้องจัดการแบ่งให้ดีรับรองชีวิตคุณจะไม่พังแบบเธอคนนี้แน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สุดยอด 5 ผลไม้เพื่อสุขภาพกินลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูงได้
แน่นอนว่าร่างกายของคนเรามีความต้องการคอเลสเตอรอลเพื่อช่วยในการผลิตฮอร์โมน วิตามิน รวมถึงเซลล์ใหม่ แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายมีปริมาณคอเลสเตอรอลมากเกินไป ก็จะเป็นการสร้างอันตรายต่อร่างกายทันที เนื่องจากการมีคอเลสเตอรอลสูงจะทำให้เกิดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นด้วย วันนี้เราได้รวมเอาผลไม้ 5 ชนิดช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูงมาแชร์ให้สาวๆ ได้เลือกกินเพื่อสุขภาพที่ดีกันค่ะ
5 ผลไม้ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูง
1.อะโวคาโด
อะโวคาโด คือ ผลไม้ที่มีความสามารถในการช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารชนิดอื่นๆ ได้ดี และยังเป็นผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งไขมันเหล่านี้ล้วนให้ประโยชน์แก่หัวใจ ที่สำคัญการกินอะโวคาโด ยังช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี พร้อมทั้งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีได้อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
2.กล้วย
กล้วย คือ ผลไม้ที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายมหาศาล และยังเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีสารอาหารสูงอีกด้วย เพราะกล้วยอุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เส้นใย และน้ำตาลธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและไฟเบอร์ที่ดี ที่ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ดีเลยทีเดียว
3.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี จัดเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และยังเป็นผลไม้ที่ถือเป็นแหล่งของสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่หลากหลายอีกด้วย นั่นเป็นเพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รีมีคุณสมบัติช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยต้านการอักเสบ อีกทั้งยังมีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพอยู่มากมายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้การกินผลไม้ตระกูลเบอร์รีจึงสามารถลดคอเลสเตอรอลและช่วยป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
4.ผลไม้ตระกูลส้ม
ผลไม้ตระกูลส้มจะมีเพคตินซึ่งเป็นเส้นใยละลายน้ำที่สามารถลดคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งยังอุดมด้วยวิตามินซีและเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้ผลไม้ตระกูลส้มยังมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ที่เป็นอันตราย ที่สำคัญวิตามินซีที่ได้จากการกินผลไม้ตระกูลส้มยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตและการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย
5.ผลไม้ที่มีไฟเบอร์
ผลไม้ที่มีไฟเบอร์ โดยเฉพาะไฟเบอร์ที่สามารถละลายน้ำได้ เป็นผลไม้ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจอย่างมาก และยังช่วยลดภาวะคอเลสเตอรอลสูงได้อีกเช่นกัน ในส่วนของผลไม้ที่มีไฟเบอร์ที่แนะนำให้กินเพื่อลดคอเลสเตอรอล ได้แก่ ลูกแพร์ และแอปเปิล ซึ่งผลไม้ทั้งสองชนิดนี้ล้วนช่วยแก้ปัญหาระดับคอเลสเตอรอลไม่สมดุล จากการกินอาหารที่มีโซเดียมและไขมันอิ่มตัวมากเกินไปได้เป็นอย่างดี
สำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดระดับคอเลสเตอรอลด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น จากการกินอาหารที่มีประโยชน์ แนะนำให้เลือกกินผลไม้ทั้ง 5 ชนิดที่เราได้กล่าวไปข้างต้นกันค่ะ วิธีนี้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิดแพลนเที่ยวด้วย สุขภาพดีด้วยภายใน 1 เดือนที่ The Standard, Hua Hin
เชื่อว่าหนึ่งในความตั้งใจของหลายๆ คนสำหรับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เพื่อรับปีใหม่คือการตั้งใจดูแลสุขภาพ อยากมีสุขภาพที่ดี ทั้งนี้เป็นเพราะสุขภาพที่แข็งแรงจะทำให้เราสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างที่ตั้งใจ วาดหวังไว้ โดยเฉพาะในช่วงสิ้นสุดการเฉลิมฉลองช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลายคนอาจทุ่มสุดตัวจนหมดแรง เราจึงมีแพลนกู้ร่าง เติมความเฟรชให้กับร่างกาย เรียกว่าเป็น Healthy January ของ The Standard, Hua Hin มาเป็นไอเดียแพลนเรื่องสุขภาพของหลายๆ คน
เสาร์ 20 มกราคม 2567 : พบกับ Get SOM Breakfast ที่ร้านอาหารสไตล์ไทยอิซากายะริมทะเล Praça เป็นการผสมผสานร่วมมือกันในการรังสรรค์เมนูอาหารเช้าที่จับคู่วัตถุดิบในการปรุงอาหารมาอย่างลงตัวของเมนูอาหารเช้าจากเชฟส้ม เจ้าของร้านอาหารชื่อดังย่านเขาเต่าสไตล์เชฟส์เทเบิล Som’s Table และเชฟเฟิร์นเชฟประจำจาก Praça ประกอบไปด้วยเมนูอาหารอะลาคาร์ทแสนอร่อยไปจนถึงบุฟเฟ่ต์สไตล์เอเชียพร้อมกับซุปที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย ตัวเลือกมากมายที่อุดมไปด้วยโปรตีนและปิดท้ายด้วยของหวานที่ดีต่อสุขภาพ สำหรับกิจกรรมป๊อปอัพในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ซีรี่ย์อาหารเช้าริมทะเลวันเสาร์”
ศุกร์ 26 มกราคม 2567 : กิจกรรม GET HIIT Cardio Pary ในธีมยุค 80 จะจัดขึ้น ณ ลานสนามหญ้าใกล้กับบริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรม นำโดยโค้ช Romain Chevalier อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าของหน่วยงาน Runista ชื่อดังเกี่ยวกับการออกกำลังกาย สร้างความแข็งแรงในหัวหิน หลังจากออกกำลังกายสไตล์คาร์ดิโอแบบเข้มข้นและหนักแน่นให้ร่างกายได้หลั่งสารอะดรีนาลีนกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการทำงานของหัวใจ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 17.30น. จนถึงเวลา 19.30น. เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Runista และ Plantomonster ยังเตรียมบุฟเฟ่ต์ผลไม้พร้อมกับโปรตีนเชคจากพืชที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเต็มที่ในราคาเพียง 950 บาทต่อท่าน
อาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2567 : หลังจากความสำเร็จของป๊อปอัพซีรี่ย์อาหารเช้าวันเสาร์ The Standard, Hua Hin เตรียมเปิดตัวอาหารเช้าในวันอาทิตย์ที่ Praça ซึ่งจะเปิดให้บริการทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 7.30น. ไปจนถึง 11.00น. ในสไตล์กึ่งบุฟเฟ่ต์ที่คัดสรรแต่ละเมนูมาอย่างพิถีพิถันมีทั้งอาหารไทย ขนมหวาน ไปจนถึงเครื่องดื่มหอมกรุ่นในยามเช้า
ตลอดเดือนมกราคม ร้านอาหารทุกร้านในโรงแรมขอนำเสนอตัวเลือกสำหรับคนรักสุขภาพแบบใหม่กับเครื่องดื่มปลอดแอลกอฮอล์ทุกชนิด ซึ่งรวมไปถึงไวน์ท้องถิ่นที่ผลิตจากจังหวัดลำพูน เบียร์น้ำผึ้งเพิ่มความสดชื่นจากการหมักแบบคอมบูชาของ NONZ และค็อกเทลที่ปราศจากแอลกอฮอล์เป็นอักลักษณ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากการคิดค้นเครื่องดื่มสูตรพิเศษของโรงแรมและ Skal Sober Bar & Concept Store พบกับเหล่าเครื่องดื่มชนิดพิเศษได้ที่ห้องอาหารอิตาเลี่ยน Lido กับเมนู “Inner Child Healing” หรือ “Smoky Sour” ที่ Praça ห้องอาหารสไตล์ไทยอิซากายะเสิร์ฟซึ่งมีส่วนผสมหลักคือ SONO Smoky Whisk หรืออีกหนึ่งทางเลือกที่ Lido Bar กับ “Nordic G&T” จากความพิเศษและกลมกล่อมของ SONO Nordic Gin ที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมให้เหมาะกับทุกโอกาสของทุกคน ปิดท้ายไปกับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มความแข็งแรงกับเมนูโปรตีนเชคจากพืชซึ่งมีส่วนผสมหลักมาจาก Plantomonster ที่ The Juice Café เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของทุกคน
โปรโมชั่นห้องพักริมทะเลที่พร้อมให้คุณได้พักผ่อนและผ่อนคลายไปกับ Spa Treats การเข้าพักที่ให้คุณได้ดื่มด่ำและเพลิดเพลินไปกับการสปาและการดูแลสุขภาพในทุกขั้นตอนของการเข้าพัก ประกอบไปด้วยอาหารเช้าและบริการนวด Your Intuition 60 นาที สำหรับสองท่านต่อการเข้าพัก อีกทั้งยังได้ส่วนลด 20% ที The Spa สำหรับลูกค้าต้องการทำทรีตเมนต์เพิ่มเติมนอกเหนือจากโปรโมชั่น สำหรับติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการจอง สามารถเข้าติดต่อได้ที่ www.standardhotels.com หรือผ่านทางอีเมล์ shh.reservations@standardhotels.com
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/12/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,600.00 | 33,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,176.00 | 32,988.16 | 34,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,958.40 | 29,689.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,740.80 | 26,390.53 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 979.00 | 14,841.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 762.00 | 11,551.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,255.00 | 34,185.80 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/12/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.15 | 35.15 | 35.45 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.38 | 33.38 | 33.68 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.04 | 33.04 | 33.34 | 33.04 | 33.04 | – | 33.04 | 33.04 | 33.04 | 33.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.19 | 33.19 | – | – | – | – | – | – | – | 33.19 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.94 | 46.84 | 49.74 | 46.84 | – | – | – | – | – | 42.94 |
เบนซิน 95 | 43.04 | – | – | – | 44.21 | – | 43.54 | 43.19 | – | 43.04 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 42.94 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |