สภาหอการค้าฯ เสนอคลัง 3 ข้อ ปรับแก้ เก็บ ‘ภาษีที่ดิน’
การเรียกเก็บ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2565 ในอัตราเต็ม 100% ไม่มีลดหย่อน ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างเป็นวงกว้าง ทั้งในหมู่ประชาชน ,เอกชน ,เจ้าของกิจการ และ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
21 ก.ย.2565 – การเรียกเก็บ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2565 ในอัตราเต็ม 100% ไม่มีลดหย่อน ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างเป็นวงกว้าง ทั้งในหมู่ประชาชน ,เอกชน ,เจ้าของกิจการ และ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากสต็อกโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขาย และ ที่ดินว่างเปล่า ที่ถือครองในมือจำนวนมากมาก ยังเป็นประเด็นที่น่าห่วงใยสำหรับภาคครัวเรือน และ ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นับหลังจากนี้ ซ้ำเติมภาระต้นทุน ที่งอกเงยตามอัตราดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ
‘ฐานเศรษฐกิจ’ เจาะมุมมอง นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การริเริ่มจัดเก็บภาษีที่ดิน และ สิ่งปลูกสร้าง ปี 2565 แบบเต็มอัตราเป็นปีแรก หลังจาก ผ่านพ้นมาตรการลดหย่อน 90% แล้วนั้น ยังคงสร้างภาระความเดือดร้อน ท่ามกลางการปรับตัวไม่ทันของภาคครัวเรือน และเอกชนอยู่มาก เกิดภาพการค้างชำระจ่ายภาษี ในหลายพื้นที่
เบี้ยปรับภาษีที่ดินโหด 40% เสนอ ชะลอจัดเก็บ
ประเมินการค้างชำระภาษีในภาคครัวเรือน เกิดขึ้นจากหลายกรณี โดยเฉพาะ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในขั้นตอน และ อัตราภาษี ภายใต้ การจ่ายล้าช้า จะถูกเบี้ยปรับถึง 40% ซึ่งล่าสุด สภาหอการค้าฯ ได้หารือ ผ่าน คณกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ทำหนังสือท้วงไปยังรัฐบาลแล้ว เพื่อต้องการให้ยกเว้นเบี้ยปรับข้างต้นไปก่อน เนื่องจาก จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมภาระเงินเพิ่มในฝั่งผู้เสียภาษี ก่อนเสนอให้ในระยะต่อไป 3 ปีแรก เฉลี่ยเรียกเบี้ยปรับเป็นขั้นบันไดแทน เช่น 25% ,50% และ 100% เนื่องจาก เห็นว่า ขณะนี้ภาคครัวเรือน และ ธุรกิจ ยังไม่ได้มีการฟื้นตัวอย่างเต็มที ท่ามกลางเศรษฐกิจภาพรวมมีอัตราการขยายตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
โรงแรมฟื้นช้า ภาษีทีาดินซัดซ้ำ
นายอิสระ ยังระบุว่า ขณะนี้ ในฝั่งของเอกชน ผู้ประกอบการในภาคอสังหาฯ หลายส่วน ยังประสบปัญหา หนักหน่วงฟื้นตัวช้าสุด คือ ภาคโรงแรม เนื่องจาก เดิมที ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อปี เกือบ 40 ล้านคน โดยช่วงรอยต่อปี 2562 พบโรงแรมหลายแห่ง มีการปรับแต่ง ลงทุน ขยายกิจการเพิ่ม เพื่อรองรับแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ แต่ภายหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลไม่สามารถเปิดกิจการได้ แม้ปีนี้ ททท.วางเป้านักท่องเทียวต่างชาติ จะกลับมาแตะ 10 ล้านคน แต่ก็ยังห่างไกลจาก 40 ล้านคนในอดีตนัก ฉะนั้น รายได้ต่อต้นทุน ยังไม่สมดุลกัน
ขณะเดียวกัน ภาพการฟื้นตัวของโรงแรม ในระยะแรก น่าจะกระจุกตัวแค่ในกลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่ และในหัวเมืองสำคัญก่อนเท่านั้น ทั้งนี้ ก็ยังอยู่ในภาวะ ขาดทุน เป็นหลักไม่ได้มีกำไร ส่วนโรงแรมขนาดกลาง และ ขนาดเล็ก ประสบปัญหาอย่างหนัก เช่น ภูเก็ต สงขลา โคราชฯ พบผู้ประกอบการกำลังร้อนใจเรื่อง ภาษีที่ดินฯ เนื่องจาก บางส่วนยังปิดกิจการอยู่ แต่เจอใบเรียกเก็บภาษีจากท้องถิ่น
จ่อเสนอคลัง แก้ตีความภาษีที่อยู่อาศัย
ส่วนในกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่อาศัย ซึ่งมีทั้งกลุ่มถือครองที่ดินเปล่ารอการพัฒนา และ แบกสต็อกเหลือขายจำนวนมาก น่าห่วงใยไม่แพ้กัน แต่น้อยกว่าในภาคโรงแรม เนื่องจาก ตามกฎหมาย ยังมีเงื่อนไขยกเว้นระยะ 3 ปีแรก หลังการขออนุญาตจัดสรร หรือ อาคารชุด ที่อยู่ในระยะก่อสร้าง 3 ปี ก็ได้รับการลดหย่อนตามกฎหมายถึง 90% แต่สิ่งที่จะต้องวางแผนกัน คือ หลังจากหมดระยะลดหย่อน 3 ปีไปแล้วนั้น จะสามารถแบกต้นทุนไหวกันหรือไม่ จาก ล้านละ 200 บาท เป็น 3,000 บาท หรือ เพิ่มขึ้นมาถึง 15 เท่า
ทั้งนี้ สภาหอการค้าฯ กำลังพิจารณา เพื่อเสนอให้กระทรวงการคลัง ปรับแก้ข้อกฎหมายการตีความบางประการ เช่น การสร้างที่อยู่อาศัย ให้พิจารณาเป็น ‘ที่อยู่อาศัย’ ไม่ใช่คิดตามอัตรา ‘ประเภทอื่นๆ’ ซึ่งมีอัตราการจ่ายขั้นต้นสูงถึง ล้านละ 3,000 บาท เนื่องจากเป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย มิได้มีไว้เพื่อประกอบกิจการ เพราะท้ายที่สุด ต้นทุนที่งอกเพิ่มขึ้นมา อาจถูกไปยังผู้บริโภค หรือ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย
” ต้องยอมรับว่า ตามข้อเท็จจริง ไม่มีผู้ประกอบการไหน ยอมแบกรับต้นทุนให้ไปนานๆ ท้ายที่สุด ก็จะผลักออกเป็น ราคาขายบ้าน-คอนโดฯ ในรูปแบบต่างๆ”
วอนรัฐเปลี่ยนเก็บภาษี ‘พื้นที่ส่วนกลาง’ บ้านจัดสรร-คอนโด
อีกกรณี ที่อาจขอให้รัฐพิจารณาปรับแก้ คือ การเรียกเก็บภาษี จากบริการสาธารณะในโครงการจัดสรรฯ หรือ พื้นที่ส่วนกลาง เช่น สโมสรสระว่ายน้า คลับเฮ้าส์ ฯลฯ รวมถึง บริการสาธารณะที่ใช่ร่วมกันอื่นๆ เนื่องจาก นายอิสระ เห็นว่า ทรัพย์สินเหล่านี้ ในความเป็นจริง ไม่ได้สร้างผลกำไรให้กับผู้ประกอบการหรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร แต่มีเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยร่วมกัน โดยขอให้พิจารณา และสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บสาธารณูปโภค อาทิ ซุ้มโครงการ อาคารนิติบุคคลฯ มีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นประเภทอื่นๆและขอให้พิจารณาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่ส่วนกลาง เป็นประเภทที่อยู่อาศัยแทน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อสังหาฯ ชี้รัฐเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ลดแออัด กระจายเมือง สู่เศรษฐกิจฐานราก
สภาหอการค้าชี้ความหวังระบบราง 500 สถานี ในปี 2572 คือ จุดเปลี่ยนอสังหาฯ รองรับเมืองกระจายความเจริญ ลดแออัด คนเข้าถึงที่อยู่อาศัย SCB เผย ดีมานด์ราคา 1-2 ล้านบาท และบ้านมือสอง มาแรงหวั่นทาวเฮาส์ บ้านแฝด 3-6 ล้านบาท ค้างสต็อก ชี้ปัจจัยกดดันตลาด คือ เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน ฉุดกำลังซื้อ แนะรัฐคงมาตรการ LTV และลดภาระการโอน ด้านบิ๊กเสนาฯหวั่นคนฝันมีบ้านสวนทางกับกำลังทรัพย์ แนะรัฐเข้าไปพัฒนาบ้านให้ 2,700 ชุมชนแออัด เป็นรากฐานสำคัญเศรษฐกิจ ช่วยปลุกอสังหาฯฐานราก ด้านนายกสมาคมอาคารชุดไทยชูไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพ ดึงต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ ท่องเที่ยว ทำงาน และเกษียณ
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 ในงานเสวนาประจำปี 2565 “กรุงเทพจตุรทิศ : พลิกโฉมกรุงเทพฯยุคใหม่ อสังหาฯจะไปทางไหน?? จัดโดย บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด เพื่อรับฟังความคิดเห็นแนวโน้มของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนข้อกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในกทม.และแนวโน้มปี 2566 ว่าสิ่งที่จะเป็นปัจจัยพลิกโฉมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ อีกครั้งใหญ่ในรอบ 70-80 ปี คือ การพัฒนาระบบราง เข้ามาแทนที่การเดินทางโดยรถยนต์ ที่จะเพิ่มจากกว่า 100 สถานีในปัจจุบันให้เป็น 500 สถานี ในปี 2572 ซึ่งเป็นความท้าทายที่ภาครัฐต้องเตรียมพร้อมรองรับการพัฒนาด้านการขนส่งมวลชนให้สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ จึงส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัย
ขณะเดียวกัน ควรมีการปรับปรุงผังเมืองที่มีการส่งเสริมการกระจายศูนย์กลางเมือง ไปทั่วกรุงเทพฯ ที่กำลังจะประกาศใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุน หากเป็นรูปแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในรอบพื้นที่ชานเมือง แต่หากมีการปรับปรุงจะมีส่วนสำคัญในการเป็นพื้นฐานการตัดสินใจลงทุนของนักพัฒนาอสังหาฯ ส่วนที่ต้องปรับแก้ไข คือ การขยายอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (FAR) ควรปรับให้เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงได้ จะมีส่วนในการช่วยลดความหนาแน่นอน กระจุกตัวของที่อยู่อาศัย ทำให้เมืองเกิดการกระจายตัว
คอนโดฯกลับมาโต 200% เทียบปีก่อน
สำหรับโครงการเปิดตัวใหม่ในปีนี้เพิ่มขึ้นทุกหมวด โดยคอนโดมิเนียม อัตราการเติบโตถึง 200% เมื่อเทียบกับปีก่อน (2564) ถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี หลังจากปีน้ำท่วมเมื่อปี 2554 และส่งผลทำให้ตลาดคอนโดฯเติบโต ส่วนแนวราบเพิ่มขึ้น 14% ภาพรวมในปีนี้คาดว่าอสังหาฯ จำนวนหน่วยและมูลค่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโตช้ากว่าภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็ยังดีที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์แม้ยอดโอนคอนโดฯ จะลดลงบ้าง แต่ไม่มากนัก ขณะที่ปีนี้คาดว่ายอดการโอนจะไม่ลดลงไปมากนัก ยังทรงตัว หากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวก็สามารถประคับประคองได้ สิ่งที่จะกระตุ้นให้การตัดสินใจซื้อบ้านกระเตื้องขึ้น คือการต่ออายุมาตรการส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ เช่น การฟรีค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง ขณะที่บ้านมือสองมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างดีกว่าทุกปี อานิสงส์จากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และต้องการแก้ไขหาหนี้NPL ของสถาบันการเงิน” นายอิสระ กล่าว
สำหรับเทรนด์การซื้ออสังหาฯ จะฟื้นตัวควรมีการเปิดตลาดใหม่ในตลาดต่างชาติ รวมทั้งการผ่อนคลายให้ต่างชาติถือครองที่ดิน และการทำวีซ่าระยะยาว จะช่วยกระตุ้นตลาดนอกประเทศให้ขยายตัวได้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลับมา ซึ่งเป็นวิธีการกระตุ้นตลาดที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
SCB ชี้ ดีมานด์เซกเมนต์ 1-2 ล้านบาทยังโต
หวั่นทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด 3-6 ล้านบาทค้างสต๊อก
นายเชฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มองภาพตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ และปีหน้า มีปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ภาวะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ทำให้ตลาดเริ่มเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน ยอดขายเพิ่มขึ้น 30% โดยกลุ่มเซ็กเมนต์ ที่ยังเติบโตได้ดี คือ คอนโดฯระดับราคา 1-2 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มแนวราบ บ้านแฝด ทาวเฮาส์ ติดลบ กลุ่มที่จะปรับตัวเป็นบวกคือ บ้านเดี่ยว โดยแนวโน้มปี 2566 คาดว่ายอดขายจะเติบโตต่อเนื่องในรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยแยกเป็นคอนโดฯกลุ่มตลาดราคาต่ำยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด ขณะที่บ้านเดี่ยวราคาระดับ 6- 10 ล้านบาท ยังไปได้ดี
ในส่วนของยอดโอนกรรมสิทธิ์ มองว่า ทั้งด้านมูลค่า และหน่วย น่าจะโอนได้เพิ่มขึ้น 4-5% และมีโอกาสเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน หรือมากขึ้นไปแตะที่ 10% ในขณะที่ยอดโอนฯ ที่อยู่อาศัยมือหนึ่ง ตลาดคอนโดฯ ทาวน์เฮาส์ มีการฟื้นตัว แต่ยังอยู่ระดับต่ำกว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19
“ทาง EIC สอบถามไปยังความต้องการของผู้บริโภค พบว่า ผู้บริโภคต้องการบ้านแนวราบเป็นส่วนใหญ่สัดส่วน 40% แต่ระดับราคา จะสนใจอยู่ที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท สะท้อนว่า เทรนด์ผู้ซื้อชอบแนวราบจริง แต่กำลังซื้อ ทำให้ตัดสินใจเลือกคอนโดฯแล้วขยับขยายในภายหลัง โดยตลาดที่มาแรงเติบโตอย่างสูงในปีนี้ คือ ที่อยู่อาศัยมือสองเพราะเป็นราคาที่เข้าถึงได้ ในระดับทำเลใกล้เคียงกับมือสอง ตอบว่าสนใจ เพราะว่าปัจจัยระดับราคาต่ำกว่า บริบท ทำเลเดียวกันพื้นที่ใกล้กัน คอนโดฯ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดเร่งมาสูงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน” นายเชฐวัฒก์ นายเชษฐวัฒก์ กล่าว
ในส่วนของปัจจัยบวก ภาวะเศรษฐกิจในปีหน้า มุ่งหวังจะดีขึ้น เมื่อกำลังซื้อในประเทศฟื้นตัว และหากมีมาตรการกระตุ้นการซื้อขายจากภาครัฐ ผ่านการผ่อนคลายมาตรการสินเชื่อต่อราคาบ้าน (LTV) รวมถึงการต่ออายุลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง ตลอดจนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า จะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านอสังหาฯ
ขณะที่ปัจจัยลบ ที่กดดันทำให้อสังหาฯ ไม่เติบโต คือ อัตราเงินเฟ้อ ที่ยังคงสูง และหนี้ครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน และต้นทุนการก่อสร้าง สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ การมีสต๊อกที่ยังสูงกว่าดีมานด์ และในปีหน้าจะมีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นจะเป็นการเพิ่มจำนวนสะสมสต๊อกในตลาด โดยเฉพาะ ทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาท
โดยเทรนด์ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนและกำลังซื้อประกอบด้วย สังคมผู้สูงวัย เทคโนโลยี การทำงานแบบไฮบริด และการทำธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คือเทรนด์ที่ผู้บริโภคถามหาจากนักพัฒนาฯ (ESG)
เสนาฯ ระบุโอเวอร์ซัพพลายสวนทางกับราคาตลาด
จี้ปรับผังเมือง ทำบ้านมั่นคงให้ชุมชนแออัด
ทางด้าน ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกดั (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า ภาพรวมในปีนี้ความต้องการ(ดีมานด์) ยังคงต่ำกว่าซัพพลาย จึงยังเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ตลาดที่ขายสินค้าได้คือ กลุ่มที่มีระดับราคา 1-2 ล้านบาท ทำให้โครงการในเครือเสนาฯ เริ่มขยายตลาดคอนโด ราคา 1-2 ล้านบาทแทนที่ ทาวน์เฮาส์ ซึ่งต้องยอมรับว่าความต้องการของผู้บริโภคไม่สอดคล้องกับสินค้าที่นักพัฒนาสามารถผลิตเข้าสู่ตลาด เนื่องมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งราคาที่ดิน และราคาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ความสามารถในการซื้อของประชาชน ยังเป็นกลุ่มราคาต่ำ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดไม่เติบโต
ทั้งนี้หากภาครัฐต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลาดอสังหาฯ ทำให้เกิดการกระจายตัวของหัวเมืองทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดราคาที่อยู่อาศัยพัฒนารองรับความต้องการของคนได้ จะต้องมีการปรับเปลี่ยนผังเมือง เพื่อให้เกิดการกระจายการพัฒนาแบ่งเป็นโหมดรอบกรุงเทพฯ ช่วยทำให้เกิดการชะลอราคาที่ดิน ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ
อีกแนวทางหนึ่งคือการหันไปพัฒนาโครงการในชุมชนแออัด เพื่อรองรับกลุ่มคนเป็นชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ ราว 2,700 ชุมชน ซึ่งล้วนแต่อยู่ในทำเลที่ดี ถือเป็นกำลังตลาดแรงงานที่สำคัญที่จะเข้าตอบโจทย์การพัฒนาในเมือง ดังนั้นภาครัฐจึงควรมีการหาแนวทางพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับกลุ่มที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 2 หมื่นบาท หรือ ราคาบ้านที่คนมีรายได้น้อยจะรับได้คือราคาระดับ 3 แสนบาท และสร้างระบบนิเวศน์ที่พัฒนาให้คนเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจ ในเมือง
“การเปลี่ยนผังเมืองน่าจะทำให้เศรษฐกิจ ราคาที่ดินเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมได้ แม้จะไม่สามารถลดราคาที่ดินได้ แต่ก็จะมีส่วนชะลอ และดีกว่าไม่ดำเนินการใดๆ เพราะบ้าน และคอนโด ที่ราคาต่ำกว่าหนึ่งล้านบาทมีตลาด แต่ผู้พัฒนาไม่สามารถพัฒนาได้ ดังนั้นจึงต้องหาแนวทางพัฒนาบ้านที่ให้ใกล้เคียงกลุ่มที่มีรายได้น้อยเข้าถึงให้ได้มากที่สุด” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
ออริจิ้น แนะดึงต่างชาติอาศัย ปั้นไทยศูนย์กลางเวลเนส
แนะปั้นอพาร์ทเมนท์ลีสโฮลตอบโจทย์คนรายได้น้อย
นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ในยุคที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเผชิญกับวิกฤติซ้อนวิกฤติตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19จนถึงสงคราม รัสเซีย ยูเครน รวมถึงขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงทั้งจากสหรัฐ และจีน ซึ่งประเทศไทยจึงต้องวางสมดุลให้เหมาะสม สิ่งสำคัญในยุคปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสังคมผู้สูงวัย ควรใช้จุดแข็งของความเป็นประเทศ ที่มีวัฒนธรรมเปิดรับคนทั่วโลก มีมิตรไมตรีที่ดี ดึงดูดการท่องเที่ยว จึงควรดึงดูดให้คนเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย ทั้งกลุ่มคนทำงานที่มีความเชียวชาญ นักท่องเที่ยว กลุ่มแรงงงาน รวมถึงกลุ่มผู้เกษียณอายุ เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการดึงคนทั่วโลกมามีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต ตลอดจนนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรจับมือกับธุรกิจด้านสุขภาพ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Wellness Destination) ซึ่งไทยควรเปิดกว้างรองรับทุกชาติ ทั้งยุโรป สหรัฐ และจีน โดยเฉพาะจีน ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ในช่วงก่อนโควิด ที่นิยมซื้ออสังหาฯ ในไทย และต้องการเข้ามาเริ่มต้นการลงทุน จนนำไปสู่การเข้ามาอาศัย รักษาพยาบาล และเป็นบ้านหลังที่ 2 จึงควรพัฒนากฎหมายรองรับการถือครองที่อยู่อาศัยระยะยาว
สำหรับตลาดอสังหาฯหลังจากโควิดต้องยอมรับว่าราคาลดลงไปเทียบเท่ากับ 5 ปีที่ผ่านมาแม้ราคาที่ดินจะไม่ปรับตัว โดยเฉพาะที่ดินทำเลใจกลางเมืองเพิ่มขึ้นถึง 20% จึงถือเป็นความท้าทายของธุรกิจอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการ แม้กระทั่งการพัฒนาโครงการแนวราบทำเลชานเมือง ที่ผ่านมาราคาเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) แต่ปัจจุบันราคาขึ้นไปถึง 3-4 หมื่นต่อตร.ม. และยังต้องขยายทำเลที่ไกลออกไปจากเดิม จึงทำให้ไม่สามารถพัฒนาทาวน์เฮาส์ได้ ในระดับราคาที่เคยทำ ผู้ประกอบการจึงอาจจะต้องไปพัฒนาคอนโดฯแทน
ทางออกของผู้ประกอบการ คือการพัฒนาอพาร์ตเมนต์ให้เช่าระยะยาว ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ก็ถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของคนในเมือง ที่สามารถพัฒนาสินค้าในราคา 3 พันบาทต่อเดือนได้ โดยใช้วิธีการเมื่อสร้างเสร็จก็สามารถระดมทุนผ่านการขายเข้ากองรีท เพื่อการระดมทุนและสร้างมูลค่าให้กับโครงการ
ขอบคุณข้อมูลจาก ryt9.com
ไรมอน แลนด์ เปิดบ้าน ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ คอนโดฯ Ultra-luxury หนึ่งเดียวกลางสุขุมวิท 26
ไรมอน แลนด์ หรือ RML ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และซุปเปอร์ลักชัวรี่ เผยโฉม ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ – The Estelle Phrom Phong มูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท ชูครั้งแรกของการส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยเฉพาะชีวิตที่เหนือระดับ ใจกลางถนนสุขุมวิท ภายใต้แนวคิด The Prime Address, The Ultimate Lifestyle ที่สุดของทำเล ใกล้ BTS พร้อมพงษ์และดิ เอ็มโพเรียม เพียง 2 นาที ที่สุดของไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย เผยโครงการมียอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติเกือบประมาณ 40% คาดว่าจะปิดการขายเต็ม Foreign Quota แน่นอน เตรียมโอนส่งมอบห้องให้ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่ Q4 ปีนี้เป็นต้นไป พร้อมยอดโอนกว่า 2,000 ล้านบาท
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 3 ปีนี้ ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากปัจจัยบวกในหลาย ๆ ด้านที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ โดยรวมให้กลับมา โดยเฉพาะกำลังซื้อของชาวต่างชาติที่กลับเข้ามาจากการเปิดประเทศ ซึ่งไรมอน แลนด์มองเห็นโอกาสตรงนี้และมีความพร้อมอย่างมากในการรองรับดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้น
ล่าสุดจึงได้เปิดตัว “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” (The Estelle Phrom Phong) คอนโดมิเนียม ultra-luxury หนึ่งเดียวใจกลางถนนสุขุมวิท มูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งใกล้จะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ชมโครงการและห้องตัวอย่างสุดเอ็กซ์คลูซีฟได้แล้ววันนี้ เตรียมให้ลูกบ้านเข้าตรวจรับมอบห้องเพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป พร้อมเข้าอยู่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ในปีนี้ โดยมั่นใจว่าจะสามารถโอนได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 2,000 ล้านบาท”
ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ซอยสุขุมวิท 26 ซึ่งเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์และที่พักอาศัยในระดับ พรีเมียมของกรุงเทพฯ อีกทั้งเป็นทำเลยอดนิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จึงทำให้ตั้งแต่เปิดตัวโครงการมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 70% โดยเป็นยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติเกือบประมาณ 40% ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น และมั่นใจว่าจะปิดการขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้เต็มโควต้าแน่นอน เห็นได้จากความสำเร็จในยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ผ่านมาหลายโครงการของไรมอน แลนด์ อาทิ โครงการ 185 ราชดำริ, เดอะ ริเวอร์, เดอะ ดิโพลแมท 39, เดอะ ลอฟต์ สีลม เป็นต้น
สำหรับ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไรมอน แลนด์ และโตเกียว ทาเทโมโนะ โดยมีสัดส่วนการลงทุน 51 : 49 เป็นคอนโดมิเนียม ultra-luxury ความสูง 37 ชั้น จำนวน 146 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 16.8 ล้านบาท ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สวนและล็อบบี้ที่ตกแต่งสไตล์ Luxury Zen, สระว่ายน้ำปราศจากคลอรีน, ห้องออนเซ็นแยกชาย-หญิง (Japanese Onsen), สระน้ำลอยตัว (Salt-Water Floatation Pool), ฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายชั้นนำจากแบรนด์ Techno Gym, บริการคอนเซียร์จ 24 ชั่วโมง (Concierge 24 Hrs.), เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส คลาส ลีมูซีน (Mercedes Benz S-Class Limousine Service), ห้องพักรับรองแขกผู้มาเยี่ยมเยือน (Dedicated Guest Room), และโซนสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly) รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ดิ เอ็ม ดิสทริค, โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาลชั้นนำ, โรงแรมระดับ 5 ดาว อีกทั้งโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในจากบริษัทที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมชั้นนำระดับโลก SCDA เน้นความเป็นส่วนตัวสูง เพียง 8 ยูนิตต่อชั้น แบบห้องมีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ 1-4 ห้องนอน พร้อมห้องพิเศษที่มีลิฟต์ส่วนตัว (Private Lift)
สนใจเยี่ยมชมโครงการจริงได้ที่ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท 26 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ โทร. 02-029-1888
Line Official @raimonland
หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.raimonland.com
ขอบคุณข้อมูลจาก terrabkk.com
M-150 มอบเงินรางวัล 1 ล้านบาทให้ คีริน หลังทำลายสถิติประเทศไทย วิ่ง 10 กิโลเมตร
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) โดยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม M-150 ได้จัดงานมอบเงินรางวัล 1 ล้านบาท ให้กับ คีริน ตันติเวทย์ นักวิ่งทีมชาติไทย ที่สำนักงานใหญ่ โอสถสภา รามคำแหง เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (21 ก.ย.)
สำหรับ คีริน สร้างสถิติประเทศในการวิ่งถนนระยะ 10 กิโลเมตร ได้ในงานวิ่งบางแสน 10 หลังทำเวลาได้ 29.47 นาที ทำลายสถิติเดิมของ ณัฐวุฒิ อินนุ่ม ที่เคยทำไว้ บุรีรัมย์ มาราธอน 2018
นายพลาวัสภ์ ภัทรพุทธิเศรษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เอ็มแบรนด์ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้มอบเงินรางวัล ได้เปิดเผยว่า ทาง เอ็ม 150 เราเป็นพลังฮึดสู้ให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งกรีฑาก็เป็นกีฬาที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมชวนคนไทยทั้งประเทศหันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่ง มาร่วมสนุกลุ้นทำลายสถิติประเทศไทยไปด้วยกัน
โดยโครงการ “M-150 Break the Record” จะมอบเงินรางวัล 1 ล้านบาทให้นักวิ่งเฉพาะคนไทยที่สามารถทำลายสถิติประเทศไทยวิ่งบนถนน ระยะมาราธอน 42 กม., ฮาล์ฟ มาราธอน 21 กม. และ 10 กม. ที่จัดขึ้นในประเทศไทย และต้องเป็นรายการเข้าร่วมโครงการ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งแต่ต้องเป็นคนไทยเท่านั้น
ด้าน คีริน ปัจจุบันครองสถิติประเทศไทยอยู่ 10 รายการ รู้สึกดีใจที่ทำลายสถิติได้ แต่ก็รู้สึกดายเช่นกันที่ไม่สามารถจบอันดับ 1 ได้ ส่วนสภาพร่างกายตอนนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งหายเจ็บหลัง กลับมาซ้อมได้ประมาณ 2 เดือน ซึ่งปกติแล้วจะต้องซ้อมประมาณ 4 เดือนถึงจะฟิตเต็มร้อยก่อนมาแข่ง หลังจากนี้จะพักผ่อนอยู่เมืองไทยอีก 4 วันก่อนบินกลับสหรัฐอเมริกา เพื่อกลับไปฝึกซ้อมในประเภทลู่อีกครั้ง ส่วนเป้าหมายต่อจากนี้คือการเตรียมความเพื่อเพื่อทำเวลาไแข่งขันชิงแชมป์โลก, ซีเกมส์และเอเชียนเกมส์ในปีหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ดื่มกาแฟ” ช่วงเวลาไหน ดีต่อสุขภาพมากที่สุด
ช่วงเวลาที่เหมาะสม และดีที่สุดในการดื่มกาแฟ คือช่วงเวลาไหน เพราะอะไร และมีช่วงไหนที่ไม่ควรดื่มกาแฟบ้าง
หลายคนนิยมดื่มกาแฟตอนเช้าตรู่หลังตื่นนอน เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าไปได้ตลอดทั้งวัน รวมถึงดื่มอีกแก้วเล็กๆ ในตอนบ่าย ช่วยให้สมองแล่น ไม่ง่วง จริงๆ แล้วการดื่มกาแฟในแต่ละช่วงเวลาของวัน ส่งผลต่อร่างกายแตกต่างกันหรือไม่
ดื่มกาแฟ” ช่วงเวลาไหน ดีต่อสุขภาพมากที่สุด
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่มกาแฟ เพื่อให้คาเฟอีนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือช่วงเวลาสายๆ ระหว่าง 9.30-11.30 น. เพราะจริงๆ แล้ว ในแต่ละคนแม้ว่าจะมีสุขภาพร่างกายที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการทำงานของ “นาฬิกาชีวิต” ที่คอยส่งสัญญาณผ่านร่างกายบอกเราตลอดว่า เวลาไหนควรตื่น ควรกิน ควรนอน
การทำงานของนาฬิกาชีวิตของเรา มักส่งฮอร์โมน คอร์ติซอล ที่ทำให้เราตื่นตัวออกมาในช่วง 8.00-9.00 น. จึงหมายความว่าร่างกายของเรามีความตื่นตัวเหมือนได้รับคาเฟอีนตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติในช่วงเวลาดังกล่าวโดยที่ไม่จำเป็นต้องดื่มกาแฟ ดังนั้นการดื่มกาแฟในช่วงเวลานี้จึงไม่ค่อยมีประโยชน์นัก
นอกจากนี้ การดื่มกาแฟเพื่อเพิ่มคาเฟอีน กระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าโดยไม่จำเป็น เพราะมีการทำงานของฮอร์โมนคอร์ติซอลอยู่แล้ว เปรียบเสมือนการกินยาทั้งที่ไม่ได้ป่วย อาจทำให้เกิดอาการคล้ายกับ “ดื้อยา” กล่าวคือ เราอาจต้องดื่มกาแฟมากกว่าปกติเพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าหายง่วงขึ้นมานั่นเอง
จึงแนะนำให้ดื่มหลังจากที่การทำงานของฮอร์โมนคอร์ติซอลลดลง คือช่วงเวลาสายๆ 9.30-11.30 น. จะดีกว่า หากตื่นนอนตอน 9.00 น. สามารถทิ้งระยะเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ให้ระดับการทำงานของฮอร์โมนคอร์ติซอลลดต่ำลงก่อน แล้วค่อยดื่มกาแฟได้
ไม่ควรดื่มกาแฟตอนท้องว่าง
นอกจากเวลาที่เหมาะสมในการดื่มกาแฟจะเป็นช่วงสายๆ แล้ว การดื่มกาแฟขณะท้องว่างก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน ข้อมูลจาก อ.ดร. อมรรัตน์ อรุณนวล ภาควิชาโภชนศาสตร์เขตร้อน และวิทยาศาสตร์อาหาร ระบุว่า ปกติแล้วกระเพาะอาหารของคนเรามักมีการหลั่งกรดที่มีชื่อว่า ไฮโดรคลอริก ทำให้กระเพาะอาหารมีสภาวะเป็นกรด ซึ่งจะไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ที่อยู่ในกระเพาะอาหาร กาแฟที่มีคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากเราดื่มกาแฟในช่วงที่ท้องว่าง อาจทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากขึ้น
แม้ว่ากรดไฮโดรคลอริก ที่มีหน้าที่สร้างสภาวะเป็นกรดให้กับกระเพาะอาหาร จะไม่ได้ทำลายกระเพาะอาหารโดยตรง เพราะปกติแล้วกระเพาะอาหารจะมีการสร้างเมือกออกมาเพื่อเคลือบผิวกระเพาะ ไม่ให้กรดทำลายผิวกระเพาะโดยตรงได้ แต่หากร่างกายของเราหลั่งกรดออกมามากเกินไป อาจเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
ดังนั้น ระหว่างดื่มกาแฟตอนที่ท้องยังว่างอยู่ ควรหาอาหารหรือขนมรองท้องก่อนหรือขณะดื่มกาแฟไปด้วย เช่น ขนมปัง แซนวิช กล้วย แต่จะดีที่สุดหากกินอาหารก่อนดื่มกาแฟ เพราะจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารลงไปได้มาก
ดื่มกาแฟอย่างไร ส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุด
- เลือกดื่มกาแฟแก้วแรกในช่วงเวลาสายๆ คือช่วง 9.30-11.30 น.
- กินอาหารรองท้องก่อนดื่มกาแฟ
- สามารถจิบกาแฟทีละเล็กละน้อยไปตลอดทั้งวันได้ ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณคาเฟอีนในแต่ละช่วงเวลาน้อย และไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกายมากนัก
- ไม่ควรดื่มกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวัน เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่า
- ไม่ควรดื่มกาแฟแก้วสุดท้ายในช่วงเวลาหลัง 16.00 น. เป็นต้นไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเวลานอนหลับ (ทำให้นอนไม่หลับ) ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รวมมิตรคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ ‘หมวดร่างกาย’
คำศัพท์เกี่ยวกับร่างกาย (Body Parts)
คำศัพท์ | ความหมาย | คำศัพท์ | ความหมาย |
body | ร่างกาย | hair | ผม |
head | ศีรษะ | face | ใบหน้า |
eye | ตา | forehead | หน้าผาก |
eyeball | ลูกตา | skull | กระโหลกส่วนศีรษะ |
eyelid | เปลือกตา | brain | สมอง |
eyelash | ขนตา | earlobe | ติ่งหู |
ear | หู | cheek | แก้ม |
nose | จมูก | lips | ริมฝีปาก |
nose bridge | ดั้ง/สันจมูก | tooth | ฟัน |
nostril | รูจมูก | gum | เหงือก |
mouth | ปาก | chin | คาง |
tongue | ลิ้น | larynx | กล่องเสียง |
uvula | ลิ้นไก่ | windpipe | หลอดลม |
jaw | กราม/ขากรรไกร | gullet | หลอดอาหาร |
throat | ลำคอ | thyroid gland | ต่อมไทรอยด์ |
neck | คอ | shoulder | ไหล่ |
Adam’s apple | ลูกกระเดือก | collarbone | กระดูกไหปลาร้า |
chest | อก | arm | แขน |
armpit | รักแร้ | elbow | ข้อศอก |
blood | เลือด | lymph | น้ำเหลือง |
heart | หัวใจ | liver | ตับ |
lung | ปอด | spleen | ม้าม |
kidney | ไต | gall | น้ำดี |
bile | ถุงน้ำดี | diaphragm | กระบังลม |
bowels | ลำไส้ | large intestine | ลำไส้ใหญ่ |
small intestine | ลำไส้เล็ก | muscle | กล้ามเนื้อ |
sinew | เส้นเอ็น | pore | รูขุมขน |
mustache | หนวด | beard | เครา |
skeleton | โครงกระดูก | bone | กระดูก |
spine | กระดูกสันหลัง | disk | หมอนรองกระดูก |
marrow | ไขกระดูก | waist | เอว |
wrist | ข้อมือ | trunk | ลำตัว |
palm | ฝามือ | rib | ซี่โครง |
thumb | นิ้วหัวแม่มือ | abdomen | บริเวณท้อง |
middle finger | นิ้วกลาง | belly | ท้อง |
little finger | นิ้วก้อย | navel | สะดือ |
knuckle | ข้อนิ้ว | hand | มือ |
ring finger | นิ้วนาง | finger | นิ้วมือ |
nail | เล็บ | forefinger | นิ้วชี้ |
vagina | อวัยวะเพศหญิง | penis | อวัยวะเพศชาย |
buttocks | บั่นท้าย | pelvis | กระดูกเชิงกราน |
leg | ขา | nerve | เส้นประสาท |
shin | แข้ง | diaphragm | กระบังลม |
ankle | ข้อเท้า | appendix | ไส้ติ่ง |
foot | เท้า | bladder | กระเพาะปัสสาวะ |
knee | เข่า | anus | ทวารหนัก |
thigh | ต้นขา/ขาอ่อน | heel | ส้นเท้า |
calf | น่อง | toe | นิ้วเท้า |
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
รถเกียร์ออโต้หยุดติดไฟแดงควรใช้เกียร์อะไร?
การใช้เกียร์อย่างถูกต้องในขณะหยุดรถติดไฟแดง นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้แล้วนั้น ยังช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองลงได้อีกต่างหาก แถมยังเป็นการยืดอายุการใช้งานเกียร์ทางอ้อมอีกด้วย แล้วทราบหรือไม่ว่าขณะหยุดรถติดไฟแดงควรใช้ตำแหน่งเกียร์ใด?
หากรถหยุดนิ่งไม่เกิน 30 วินาที – สามารถใส่เกียร์ D พร้อมกับการเหยียบเบรกเพื่อป้องกันรถไหล จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์จากการสลับไปมาระหว่างเกียร์ N และ D บ่อยเกินไป
หากรถหยุดนิ่งมากกว่า 30 วีนาทีขึ้นไป – ควรสลับไปเป็นเกียร์ N ควบคู่ไปกับการดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลง และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการเผลอปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรกได้อีกด้วย
กรณีที่รถมีฟังก์ชัน Auto Brake Hold จะเป็นการเหยียบเบรกค้างไว้แทนผู้ขับขี่โดยอัตโนมัติ ช่วยป้องกันรถไหลและลดอาการเมื่อยล้าได้ อย่างไรก็ดี หากใช้ฟังก์ชันดังกล่าวควบคู่กับตำแหน่งเกียร์ D ควรระมัดระวังการแตะแป้นคันเร่ง เพราะอาจทำให้ระบบปลดการทำงานโดยไม่ตั้งใจได้
ส่วนเกียร์ P ควรใช้เมื่อถึงจุดหมายแล้วเท่านั้น เพราะรถบางรุ่นอาจปลดล็อกประตูทุกบานโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ P อาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีค่าได้
เพียงปฏิบัติตามนี้ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน แถมยังเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันขณะรถติดได้อีกด้วยล่ะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘บ้านคน | บ้านหมา’ สถาปัตยกรรมที่มนุษย์ไม่ใช่ศูนย์กลาง
จากความต้องการให้สุนัขมีที่อยู่ ที่วิ่งเล่น และมีชีวิตที่ดีดังมนุษย์ EKAR Architects ออกแบบ ‘บ้านคน | บ้านหมา’ หรือ ‘DOG / HUMAN’ ให้เป็นที่รับฝากดูแลและทำความสะอาดสุนัข “โดยดึงเอาความรู้สึกที่เคารพต่อสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพียงการมองแค่ตนเองนำมาเป็นหัวใจหลักในการเริ่มต้นออกแบบ”
สถาปัตยกรรมเพื่อการตระหนักถึงสิ่งอื่น
ไอเดียการออกแบบโครงการนี้เกิดขึ้นจากการศึกษาประวัติของพื้นที่บริเวณใกล้เคียง
ด้านสถาปัตยกรรมจังหวัดนครปฐมที่ตั้งของโครงการมีอาคารทรงหลังคาจั่วชายคาต่ำที่ยื่นยาวเพื่อบังแดดและฝน ในแง่วิถีชีวิต บริเวณนั้นมีการประกอบอาชีพทางปศุสัตว์มาแต่เดิม
นำมาสู่แนวคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์กับธรรมชาติ
EKAR แปลงแนวคิดนี้เป็นสถาปัตยกรรมด้วยการใช้ความสูง-ต่ำและยาว-สั้น ที่ไม่เท่ากัน กำหนดขอบเขตและสร้างขอบเขตการใช้งานพื้นที่ตามความเหมาะสมของแต่ละกิจกรรม เพื่อให้ผู้ใช้งานมีความตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งอื่นผ่านการใช้งานในแต่ละพื้นที่
เจ้าของโครงการได้ใกล้ชิดกับแขกและกิจการของตนด้วยพื้นที่ภายในที่แบ่งเป็นสองฝั่งซ้ายขวา
น้ำฝนที่ตกลงมาบนหลังคาได้ไหลลงผืนดินแบบไม่ถูกคั่นด้วยรางน้ำ
และที่น่าสนใจคือมิติของภาพที่สร้างประสบการณ์ให้มนุษย์ได้เข้าใกล้เพื่อเข้าใจมุมมองของสุนัขได้มากที่สุด
ใช้ชีวิตระดับเดียวกันกับสุนัข
การเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับผู้อื่นเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการทำความเข้าใจเขา ดังสำนวนที่ให้ “put yourself in someone’s shoes – ไปอยู่ในรองเท้าของคนอื่น”
EKAR ดีไซน์ บ้านคน | บ้านหมา โดยเล่นกับความสูง-ต่ำของหลังคาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามาอยู่ในอาคารไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือต้นไม้นานาพรรณ
ในระดับการใช้งานของ “มนุษย์” เราจะไม่สามารถมองเห็นกิจกรรมอื่นของสุนัขได้
มนุษย์ต้องย่อตัวหรือลงไปนั่งในระดับเก้าอี้เท่านั้น จึงจะเห็น (และรู้สึก?) ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับสุนัข
ยังมีรายละเอียดอื่นอีกที่แสดงให้เห็นว่าสถาปัตยกรรมที่มนุษย์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางมีรูปร่างเป็นอย่างไร เช่นฐานเสาทรงโค้งที่รองรับกับสรีระของสุนัขที่สุด นี่จึงเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับศึกษาแนวทางการออกแบบ “ที่มนุษย์ไม่ได้เป็นศูนย์กลาง”
Project : DOG / HUMAN
Area : 700 sq.m.
Land Area : 1,532 sq.m.
Owner : Norawee Wainipitapong
Location : Nakhon Pathom, Thailland
Completion : 2022
Architect : EKAR
Interior Architect: EKAR
Design Team : Ekaphap Duangkaew ,
Tirayon Khunpukdee,
Sorapat Maneewong
Landscape Architect : Landscape Architects49
Contractor : GRD + RHive Design and Consultant
Photography : Rungkit Charoenwat
Construction Cost : 14 MB
ภาพและข้อมูลจาก https://www.facebook.com/ekar.architects/posts/pfbid032Nr3g8KCAdrhkSVAuTBt7U6R8GVhdo1M28eFfTTeAe3vs4nrgr1RNL5n1FnCjCsQl
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/09/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,300.00 | 29,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,898.00 | 28,773.68 | 29,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,708.20 | 25,896.31 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,518.40 | 23,018.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 854.00 | 12,946.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 664.00 | 10,066.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,967.00 | 29,819.72 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/09/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.45 | 34.45 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.45 | 34.45 | 34.45 | 34.95 | 34.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.18 | 34.18 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.18 | 34.18 | 34.18 | 34.68 | 34.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.34 | 33.34 | 33.84 | 33.84 | 33.84 | – | 33.34 | 33.34 | 33.84 | 33.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 31.94 | 31.94 | – | – | – | – | – | – | – | 31.94 |
เบนซิน 95 | 41.86 | – | – | – | 42.81 | – | 42.36 | 42.36 | – | 41.86 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 36.44 | 35.44 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 36.44 | 35.44 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 36.44 | – | 35.44 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 46.16 | 45.16 | 45.66 | – | – | – | – | 43.66 |
แก๊ส NGV | 43.66 | 43.66 | – | – | – | – | – | – | – | 43.66 |