“วีบียอนด์”มองอสังหาฯโอกาสเติบโตสูงตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
“วีบียอนด์”มองอสังหาฯโอกาสเติบโตสูงตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขยายการเดินทางเมืองรองหัวเมืองใหญ่ อีอีซี
นายวรเดช รุกขพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีบียอนด์ดีเวลอปเม้นท์จำกัด เสวนา Session lll :Property Focus:สินทรัพย์มั่นคง ลงทุนมั่งคั่ง ในงานสัมมนาWEALTH FORUM ลงทุนอย่างไรให้รวย#ปี3 จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจและเนชั่นกรุ๊ป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ โดยระบุว่า
อสังหาริมทรัพย์เครื่องยนต์สำคัญที่ทุกรัฐบาลใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องจะได้อานิสงค์ทั้งอิฐหินดินทราย วัสดุก่อสร้าง และยังเชื่อว่า ในปี2566 เข้าสู่โหมดของการเลือกตั้งทางการเมืองจะหยิบประเด็นมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ แม้ปัจจุบันมาตรการต่างๆเช่นการผ่อนคลายแอลทีวี (อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้าน ) เงินเฟ้อการปรับอัตราดอกเบี้ย
ในทางกลับกัน ตลาดดังกล่าวได้ผ่านจุดต่ำสุดและเป็นนาทีทองการลงทุน ที่ดีที่สุดในภูมิอาอาเซียน และเป็น ฮับ การเดินทางอยู่อาศัยที่ไม่แพ้ใครในโลก นอกจากการให้ผลตอบแทนที่ดีแล้วยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยง แต่การปรับดอกเบี้ยนโยบาย ที่ช้ากว่าต่างประเทศส่งผลกระทบเงินไหลออก จากประเทศทำให้มีผลต่อตัวเลขการเติบโตของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอสังหาฯยังเติบโตต่อเนื่องตามความต้องการผู้บริโภค การลงทุนของผู้ประกอบการ ทั้งราคาที่ดินและบ้านทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว ราคาปรับตัวสูงต่อเนื่อง ส่วนทางเศรษฐกิจ และการลงทุนประเภทอื่น ที่ยังผันผวน
ที่สำคัญ จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐขยายเส้นทางรถไฟฟ้าในกทม.และปริมณฑล การลงทุน โครงการขนาดใหญ่ ไปยังภูมิภาค สร้างโอกาสการเดินทางการทำงานไปสู่เมืองรองทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ราคาที่ดินขยับตัวแรงทำเลศรีราชา ปัจจุบันไร่ละ 5ล้านบาท อนาคตสามารถขยับเป็น50ล้านบาท 100ล้านบาทต่อไร่
ขณะความชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยในทำเลทางภาคเหนือภาคใต้ หัวเมืองใหญ่ เช่นเชียงใหม่ ภูเก็ต ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุนของผู้ประกอบการ
“จังหวัดที่ต่างชาติลงใจเข้ามาลงทุนคืออีอีซี เรามีท่าเรือแหลมฉบังรับส่งสินค้า มีภาคแรงงาน รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา ทำให้เกิดการจ้างงาน การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นตามมา เพราะความต้องการที่อยาอาศัย ขณะบริษัทได้สร้างแพลตฟอร์ม ง่ายๆให้เกิดหมุนเวียนการลงทุนที่ง่ายขึ้นเพียงแค่คลิกที่ปลายนิ้ว”
สำหรับบริษัท วีบียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด ได้จัดประชุมคณะกรรมการบริษัท โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติการแปรสภาพ จากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อ “บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)” และมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “V Beyond Development Public Company Limited”
พร้อมประกาศผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2565 ธุรกิจมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 106% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตรา 36 บาท/หุ้น
โดยเตรียมนำหลักทรัพย์ของ “วีบียอนด์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเสนอเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่เป็น 415,000,000 บาท (สี่ร้อยสิบห้าล้านบาท) โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 230,000,000 หุ้น (สองร้อยสามสิบล้านหุ้น) มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 0.50 บาท (ห้าสิบสตางค์) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
“ในปี 2566 “วีบียอนด์” มีแผนจะขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยีและ Property tech อีกหลายส่วน และคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘เค.อี. กรุ๊ป’ ประเมิน ท่องเที่ยวไทยฟื้น หนุนรีเทลโต โอกาส ลงทุน กองรีทอสังหา
‘อัลไล รีท แมนเนจเมนท์’ กลุ่ม เค.อี. กรุ๊ป ประเมิน ปี 2566 ปีทอง ภาคการท่องเที่ยวไทย หนุน อสังหาฯประเภท รีเทล (ศูนย์การค้า) รายได้ฟื้นตัวดี แนะ เป็นโอกาส ของนักลงทุน เข้าลงทุน กองรีท พอร์ตคุณภาพ มีรายได้ประจำต่อเนื่อง เชื่อ ลงทุนอสังหาฯ เอาชนะ เงินเฟ้อ – ดอกเบี้ยได้ดี
นาย กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลไล รีท แมนเนจเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารงานสินทรัพย์ทั้งด้านรีเทล – สำนักงาน ฯลฯ เครือ เค.อี. กรุ๊ป กล่าวถึง แนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในเวที Property Focus : สินทรัพย์มั่นคง ลงทุนมั่งคั่ง งาน สัมมนา WEALTH FORUM ลงทุนอย่างไรให้รวย #ปี3 ซึ่ง จัดโดย สื่อในเครือ เนชั่นกรุ๊ป ว่า แม้ปัจจุบัน ภาพรวมอสังหาฯ ถูกกดดันจากหลายปัจจัยลบรุมเร้า เช่น อัตราดอกเบี้ยสูง และ เงินเฟ้อ ทำให้ เห็นการลงทุนในกลุ่มโครงการที่พักอาศัยหดตัวลง
แต่ สำหรับปี 2565 นั้น เห็นโอกาส และ การฟื้นตัวในตลาดกลุ่ม พื้นที่ค้าปลีก (รีเทล) และ อสังหาฯเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศ หลังโควิด-19 ทำให้ผู้เช่าพื้นที่กลับเข้ามาในตลาด เพื่อรองรับการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ซึ่งในหมวดการลงทุนอสังหาฯ ประเภท กองทรัสต์ หรือ กองรีท น่าจะเป็นโอกาสของผู้ที่อยากลงทุน และ ต้องการกระแสเงินสด เพราะการซื้อรีท คล้ายกับการซื้อหุ้น ไม่ต้องลงทุน โดยใช้เงินเยอะๆ เหมาะกับคนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขยับ และ มีภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น โดยเฉพาะ การเลือกลงทุนในกอง ที่มีพอร์ต ศูนย์การค้า – รีเทล เป็นหลัก เพราะเป็น อสังหาฯประเภทมีรายได้ประจำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ปี 2566 ซึ่งถูกประเมินว่า จะเป็นปีทองของภาคการท่องเที่ยวไทย ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน ยิ่งจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับอสังหาฯประเภทนี้ โดยเฉพาะ ศูนย์การค้าในเมือง ที่เจาะนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก รวมถึง โซน เลียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา และ ราชพฤกษ์ เพราะมีการเกิดขึ้นของโครงการที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์จำนวนมาก หนุนธุรกิจพื้นที่ค้าปลีก ในละแวกดังกล่าว
เช่นเดียว กับ แนวโน้มการเติบโตของอสังหาฯ เชิงพาณิชยกรรม เช่น คลังสินค้า – โกดัง และ โลจิสติกส์ จากการเติบโตของธุรกิจดาวรุ่ง อีคอมเมิร์ซ และ การย้ายฐานการผลิตเข้ามาเป็นจำนวนมากของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะ ในโซน อีอีซี จะส่งผลให้อสังหาฯ กลุ่มนี้ เติบโตอย่างน่าสนใจ ขณะ กลุ่มอาคารสำนักงานนั้น อาจต้องพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจาก หลายบริษัท ยังมีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้าน อีกทั้ง คาดปีหน้า จะมีซัพพลายที่แล้วเสร็จใหม่ๆ เข้ามาในตลาดอีกมหาศาล โดยภาพรวม ผลตอบแทนการลงทุนกองรีทประเภทนี้จะอยู่ที่ 7-8% ต่อปี
” ความท้าทายในปี 2566 คือ เงินเฟ้อ , ดอกเบี้ย แต่ที่ผ่านมา มีข้อมูลยืนยัน ได้ว่า ประเภทสินทรัพย์ ที่เติบโตได้ดีในช่วงเวลาแบบนี้ ก็คือ อสังหาฯ ซึ่งนับว่าเป็นโอกาส สำหรับนักลงทุน ที่สนใจในกองรีท ผลตอบแทน 7-8% เพราะศูนย์การค้า เป็นหมวดที่มีรายได้ประจำต่อเนื่อง และมีโอกาสจากภาคท่องเที่ยวของต่างชาติฟื้น ”
ทั้งนี้ กองทรัสต์ ALLY เป็นพอร์ตใหญ่สุดในกลุ่มพื้นที่ค้าปลีก มีผลงานเป็นที่ยอมรับ โดยปี 2566 นั้น มีแผนเข้าไปเข้าลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ 3-4 โครงการ เพื่อสร้างโอกาสให้นักลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มรีเทล ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง จากซัพพลายใหม่ที่ไม่ได้มากเหมือนอสังหาฯประเภทอื่นๆ และ โอกาสจากการเปิดประเทศ ฟื้นการท่องเที่ยวที่มีมากขึ้นอย่างที่ระบุข้างต้น
รวมถึง การขยับไปลงทุนร่วมกับดีเวลลอปเปอร์อื่นๆ ในหมวด บ้านและคอนโดด้วย หลังจากเล็งเห็นเทรนด์ที่เริ่มกลับมา โดเฉพาะ ตลาดบน ที่ดีมานด์ แข็งแกร่ง จากคนไทย ต่างชาติ จีน /และ กลุ่มราคาเข้าถึงได้ จากความต้องการของดีมานด์ส่วนใหญ่ในไทย ซึ่งทั้งหมด จะเน้น การคัดเลือกสินทรัพย์ ที่มีทำเลที่ตั้งดี , แวดล้อมกำลังซื้อสูง ประชากรเยอะ และ คุณภาพของสินทรัพย์ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 36.29 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทผันผวนสูงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้Options ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.29 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”กว่ากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.23 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทเริ่มเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ที่หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น (ซึ่งในขณะเดียวกันก็กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง)
ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน ก็มีโอกาสกดดันให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ในฝั่ง Emerging Markets เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้สกุลเงินในฝั่งเอเชียเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง สอดคล้องกับทิศทางของค่าเงินหยวนจีน
นอกจากนี้ เรามองว่า ควรติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด สาย “Hawkish” อย่างใกล้ชิด เนื่องจากความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดกลุ่มดังกล่าว อาจส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ โดยต้องจับตาประเด็นสำคัญ ว่า เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้จริงหรือไม่ และเฟดจะมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยไปถึงจุดไหน (Terminal Rate) โดยมุมมองของตลาดต่อจุดสูงสุดของดอกเบี้ยเฟดจะมีผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
หากตลาดกลับมากังวลว่าเฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้สูงกว่า 5.00% ไปมาก เราอาจเห็นการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไทย ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรการถือบอนด์ระยะยาวของไทยมากขึ้นและเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินบาทในวันก่อนหน้าจะเร็วและแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แต่แนวโน้มที่บรรดาผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์รวมถึงสกุลเงินต่างประเทศในจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 36.30-36.40 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจพอช่วยชะลอแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้บ้าง แต่หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว เราประเมินว่า แนวต้านสำคัญต่อไปจะอยู่ในช่วง 36.50 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.15-36.40 บาท/ดอลลาร์
ความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างทยอยลดสถานะการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Apple -2.2%, Alphabet -1.9%, Amazon -1.8% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.09%
ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.39% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil และ Chevron -1.0%) หลังราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ต่างปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลความต้องการใช้พลังงานที่อาจลดลง จากผลกระทบของการระบาด COVID-19 ในจีน รวมถึงแนวโน้มที่กลุ่ม OPEC+ อาจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิต
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.06% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Anglo American -2.3%, BP -3.8% ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อาทิ หุ้นกลุ่ม Healthcare อย่าง Novartis +1.7%, Sanofi +1.3% สะท้อนมุมมองของผู้เล่นที่ระมัดระวังตัวมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่แนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง จนอาจแตะระดับสูงกว่า 5.00% ที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน Sideways ใกล้ระดับ 3.83%
เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามมุมมองของตลาดต่อจุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายเฟด (Terminal Rate) ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า นักลงทุนไม่ควรไล่ราคาซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่ยีลด์ปรับตัวลดลง และควรรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยซื้อ เพื่อเตรียมพอร์ตการลงทุนในพร้อมรับมือแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนักในปีหน้า โดยจุดที่จะทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด คือ การประชุมเฟดเดือนธันวาคม ซึ่งเฟดจะประกาศคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ใหม่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ที่หนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1007.8 จุด
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลง ใกล้โซนแนวรับแถว 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า การปรับตัวลดลงของราคาทองคำอาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้และช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (ส่วนใหญ่เป็น FOMC Voting Members) โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งมีมุมมองสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่ผ่านมา หรือ มีมุมมอง “Hawkish” อาทิ James Bullard, Esther George และ Loretta Mester หลังจากที่ล่าสุด เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนการชะลออัตราการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่ยังคงมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดควรดำเนินต่อไป จนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.17-36.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ
แม้เงินบาทจะขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยหลังเปิดตลาดเช้านี้ แต่ยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ และต้องระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างวัน เนื่องจากสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียยังคงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า จากการที่ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโควิดและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.15-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย ทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะเงินหยวน และสัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Under Armour จัดศึก “Curry 3-Point Competition” เฟ้นหามือชู้ตสามแต้มเบอร์หนึ่งเมืองไทย
Under Armour และ Curry Brand จัด Curry 3-Point Competition การแข่งขันชู้ตบาสสามแต้ม ศึกประลองความแม่น เฟ้นหามือชู้ตสามแต้มเบอร์หนึ่งเมืองไทย
ต่อยอดความสำเร็จจากการแข่งขัน Curry 3 ON 3 Thailand 2022 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุด Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) ผู้นำแบรนด์เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา และ Curry Brand จัด Curry 3-Point Competition การแข่งขันชู้ตบาสสามแต้มประลองความแม่น ชิงของรางวัลมูลค่ารวม 45,000 บาท ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ณ ศูนย์การค้า เมกา บางนา เพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของ Curry Flow 10 รองเท้าบาสเกตบอลรุ่นใหม่ล่าสุด และฉลองชัยชนะให้กับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ (Stephen Curry) ตำนานนักบาสผู้พลิกโฉมวงการบาสเกตบอลไปตลอดกาล เจ้าของแชมป์ NBA 4 สมัยและคว้าตำแหน่งผู้เล่น MVP ใน NBA Finals ได้อย่างไร้ข้อกังขา ที่เป็นหนึ่งในนักกีฬาคนสำคัญของทาง Under Armour
การแข่งขันจะเป็นการแข่งขันชู้ตลูกบาสให้เข้าห่วงให้ได้คะแนนสูงสุด ภายในเวลาที่จำกัด และผู้เข้าแข่งขันที่มีคะแนนมากที่สุด 16 คนของแต่ละรุ่นจะได้เข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ โดยการแข่งขันในครั้งนี้ เปิดโอกาสให้กับ 2 รุ่นการแข่งขัน ได้แก่ รุ่นเยาวชนอายุ 15 – 18 ปี และรุ่นบุคคลทั่วไปที่มีอายุ 19 – 35 ปี ผลสรุปการแข่งขัน มีผู้ชนะจาก 2 รุ่นการแข่งขันทั้งหมด 6 คน ได้แก่ ภานุพันธุ์ อำภาคำ รางวัลชนะเลิศรุ่นเยาวชนอายุ 15 – 18 ปี ได้รับของรางวัลมูลค่า 30,000 บาท ชนมภูมิ ยินดีฉาย รางวัลรองชนะเลิศรุ่นเยาวชนอายุ 15 – 18 ปี ได้รับของรางวัลมูลค่า 10,000 บาท กันตชาติ คุ้มถนอม รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สองรุ่นเยาวชนอายุ 15 – 18 ปี ได้รับของรางวัลมูลค่า 5,000 บาท อำนวยพร แก้วจรัสวิไล รางวัลชนะเลิศรุ่นบุคคลทั่วไปที่มีอายุ 19 – 35 ปี ได้รับของรางวัลมูลค่า 30,000 บาท อุดมโชติ เทียมเลิศ รางวัลรองชนะเลิศรุ่นบุคคลทั่วไปที่มีอายุ 19 – 35 ปี ได้รับของรางวัลมูลค่า 10,000 บาท อภิเดช พุ่มเพรา รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สองรุ่นบุคคลทั่วไปที่มีอายุ 19 – 35 ปี ได้รับของรางวัลมูลค่า 5,000 บาท
ภายในงานยังมีการกิจกรรมพิเศษ ที่ได้รับเกียรติจาก Friend of Brand ของ Under Armour ประเทศไทย อย่าง มีน – นิชคุณ ขจรบริรักษ์ พร้อมด้วยสี่นักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติไทย แคท – พิมพ์โชษิตา ทรัพย์เย็น เตเต้ – อรรถพล ลีลาพิพัฒน์กุล โบ๊ต – ณัฐวร บรรจถรณ์ อาร์ม – อรรถพงษ์ ลีลาพิพัฒน์กุล มาร่วมโชว์ลีลาการชู้ตสามแต้มสร้างสีสันให้แก่ผู้ชมและแฟนคลับที่มาร่วมงาน
และเพื่อตอกย้ำและสานต่อความมุ่งมั่นของทาง Under Armour ประเทศไทย ในการส่งมอบโอกาสทางการกีฬาให้แก่เยาวชนไทย Under Armour ประเทศไทย ได้มีการมอบทุนสนับสนุนด้านการกีฬาให้แก่เยาวชนจากโรงเรียนคลองปลัดเปรียง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท เพื่อให้โรงเรียนและนักเรียนสามารถนำทุนสนับสนุนด้านการกีฬานี้ไปใช้ประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเล่นกีฬาและพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกสนามต่อไปในอนาคต พร้อมจัดกิจกรรมพิเศษสอนเทคนิคการเล่นบาสเกตบอลพื้นฐานให้กับเหล่าเยาวชน และการแสดงสตรีทแดนซ์พิเศษ เพื่อสร้างสีสันและเปิดโอกาสให้กับเหล่าเยาวชนได้แสดงความสามารถ
โดยกิจกรรมทั้งหมด เป็นการสานต่อและตอกย้ำถึงแคมเปญ Gift of the Game ซึ่งเป็นแคมเปญในระดับโลกของ Under Armour และความริเริ่มของ Curry Brand ที่จะสร้างโอกาสในการเข้าถึงกีฬา รวมถึงขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เยาวชนและนักกีฬารุ่นเยาว์ทั่วโลกมีส่วนร่วมกับกีฬา ทั้งนี้ ทาง Under Armour ประเทศไทยได้มีการเดินหน้าผลักดันและมอบโอกาสให้เยาวชนไทยได้ทั้งในและนอกสนามกีฬาอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2022 ที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นการเฉลิมฉลองการมาถึงของ Curry Flow 10 รองเท้าบาสเกตบอลรุ่นใหม่ล่าสุด และ สีล่าสุด Iron Sharpens Iron ที่ได้วางจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ
ติดตามกิจกรรมและเส้นทางการขจัดอุปสรรคสู่การเล่นกีฬาทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ผ่านโซเชียลมีเดียของ Under Armour หรือคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามของ Under Armour ในปี 2022
สามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Under Armour และโปรโมชันพิเศษก่อนใครได้ที่ช่องทางต่อไปนี้
• เฟซบุ๊ก www.facebook.com/UnderArmourThailand
• อินสตาแกรม www.instagram.com/underarmourth
• เว็บไซต์ www.underarmour.co.th
• Line Official Account @underarmourth
• ร้านค้าทางการของ Under Armour บน Lazada
• ร้านค้าทางการของ Under Armour บน Shopee
• #UnderArmourTH
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 สัญญาณอันตราย “ปวดศีรษะ” แบบไหน เสี่ยง “เส้นเลือดสมองโป่งพอง”
ปวดศีรษะอย่างรุนแรงเฉียบพลัน เสี่ยงเส้นเลือดสมองโป่งพอง ควรรีบพบแพทย์
กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เตือน ปวดหัวอย่างรุนแรง และเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ทันเวลาอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
สาเหตุของเส้นเลือดสมองโป่งพอง
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เส้นเลือดสมองโป่งพองเป็นภาวะของผนังหลอดเลือดอ่อนแรงลงจึงเกิดอาการโป่งพอง เกิดได้ทั้งหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดำ โดยส่วนมากที่พบมักจะเป็นหลอดเลือดแดง เมื่อเส้นเลือดโป่งพองถึงจุดหนึ่งก็จะมีการแตก ซึ่งทำให้เกิดภาวะที่สำคัญ คือ เลือดออกในช่องใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นอะแร็คนอยด์ ซึ่งภาวะนี้เป็นอันตรายถึงพิการหรือนำไปสู่การเสียชีวิตได้
สาเหตุของการเกิดเส้นเลือดสมองโป่งพอง เช่น
- ความผิดปกติแต่กำเนิด หรือโรคทางพันธุกรรม
- เส้นเลือดแข็งตัวและเสื่อม
- ภาวะการติดเชื้อ
- มีการอักเสบในร่างกาย
- เนื้องอกบางชนิด
- อุบัติเหตุ
เป็นต้น
ประเภทของเส้นเลือดสมองโป่งพอง
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า เส้นเลือดสมองโป่งพองแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- เส้นเลือดสมองโป่งพองแบบยังไม่แตก ทำให้อาการที่ไปกดทับเส้นประสาทข้างเคียง หรือมีขนาดใหญ่มากกว่า 2.5 เซนติเมตร อาจทำให้เกิดอาการชักหรืออ่อนแรงได้
- เส้นเลือดสมองโป่งพองแบบแตกแล้ว เมื่อมีการแตกเลือดที่ออกมาจะทำให้ความดันในกะโหลกสูงขึ้น ถ้าร่างกายหยุดเลือดไม่ได้ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตทันที แต่ถ้าเลือดหยุดได้ ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ด้วยเลือดออกในชั้นต่างๆของสมอง เช่น เลือดออกในช่องใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นอะแร็คนอยด์ หรือเลือดออกในเนื้อสมอง เป็นต้น
อาการเส้นเลือดสมองโป่งพอง
อาการเส้นเลือดสมองโป่งพองที่พบได้บ่อยที่สุดคือ
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง มักเป็นทันทีทันใด
- คลื่นไส้อาเจียน
- หมดสติ หรือเสียชีวิต
- คอแข็ง หรือปวดร้าวบริเวณใบหน้า จากการถูกกดทับเส้นประสาท
- มีอาการชัก จากการอุดตันของหลอดเลือด
การวินิจฉัยอาการเส้นเลือดสมองโป่งพอง
การวินิจฉัยโรคแพทย์ จะส่งตรวจ
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง
- การตรวจหลอดเลือดในสมอง ซึ่งจะมี 3 ทางเลือก เพื่อหาความผิดปกติของหลอดเลือดได้แก่
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมกับการฉีดสารทึบแสง (CTA)
- ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับการฉีดสารทึบแสง (MRA)
- การฉีดสารทึบแสงเข้าทางเส้นเลือด
- การเจาะหลังใช้เมื่อต้องการพิสูจน์ภาวะเลือดออกมาช่องใต้เยื่อหุ้มสมองอะแร็คนอยด์ กรณีที่มองไม่เห็นใน CT Scan แพทย์จะทำการรักษาผู้ป่วยโดยการผ่าตัด และรังสีร่วมรักษาโดยอุดหลอดเลือด ในบางกรณีต้องใช้การรักษาทั้ง 2 แบบร่วมกัน
วิธีป้องกันอาการเส้นเลือดสมองโป่งพอง
เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการโตหรือแตกของเส้นเลือดโป่งพอง ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคได้แก่ ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ และปัจจัยต่างๆ ที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบทั้งร่างกาย
โรคเส้นเลือดสมองโป่งพองเป็นภัยเงียบที่ไม่อาจทราบได้ล่วงหน้า ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือถ้ามีอาการผิดปกติ หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรงที่สุด อย่ารอช้าควรรีบมาพบแพทย์โดยทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Asleep และ Sleep แตกต่างกันยังไง?
ถ้าหากพูดถึงคำว่า “นอน” ในภาษาอังกฤษ ทุกๆ คน ก็คงทราบกันดี ว่ามันคือคำว่า “sleep”
แต่หลายๆ คน อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับคำว่า “asleep” ซักเท่าไหร่ เดี๋ยววันนี้เรามาดูกันค่ะ ว่าสองคำนี้มันแปลว่าอะไรกันแน่ และมีวิธีใช้ที่แตกต่างกันยังไง มาดูกันเลย
“Asleep” (Adjective) เป็นคำคุณศัพท์ ที่แปลว่า “นอนหลับ / กำลังจะหลับ”
ตัวอย่างเช่น
– My son is asleep.
ลูกชายของฉันกำลังนอนหลับอยู่
– Please be quiet. The twin baby girls are asleep.
โปรดทำเสียงเบา ทารกแฝดหญิงกำลังนอนหลับอยู่
(Asleep เป็น Adjective อยู่หลัง V.to be)
Falling asleep
แปลได้ทั้ง ง่วงนอน / กำลังจะนอน / ผล็อยหลับไป
– My daughter is falling asleep.
ลูกสาวของฉันง่วงนอนแล้ว
– The class is so boring. Some students fall asleep at their desks.
วิชาเรียนน่าเบื่อมาก นักเรียนบางคนเริ่มหลับที่โต๊ะของตัวเอง
ในขณะที่ “Sleep” (Verb / Noun) เป็นคำกริยาหรือคำนามก็ได้ ซึ่งแปลว่า “นอน”
ตัวอย่างเช่น
– My dog is sleeping in his cage.
สุนัขของฉันกำลังนอนอยู่ในกรง
– I’m so tired, and I could “sleep” for a week.
ฉันเหนื่อยมาก และฉันสามารถนอนได้ทั้งอาทิตย์เลย.
– I had a good sleep last night.
เมื่อคืนฉันหลับสบายมาก
– I didn’t get much sleep last night.
ฉันไม่ได้นอนมากนักเมื่อคืนนี้
เพิ่มเติม อีกคำหนึ่งที่ใช้บ่อยเว่อร์ นั่นก็คือ คำว่า “Sleepy” (Adjective) เป็นคำคุณศัพท์ ซึ่งแปลว่า “ง่วงนอน”
ตัวอย่างเช่น
-I was sleepy in the class today.
ฉันง่วงมากเลยตอนนั่งเรียนวันนี้
-It’s almost midnight but I am not sleepy.
เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ฉันไม่ง่วงเลย
-The nice weather makes me sleepy.
อากาศดีๆทำให้ฉันง่วงนอน
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ใต้ผิวดาวอังคารยุคโบราณ อาจเต็มไปด้วยจุลินทรีย์มีชีวิต
รายงานการศึกษาด้านอวกาศชิ้นหนึ่งโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยออกมาเมื่อต้นเดือนตุลาคมระบุว่า ดาวอังคารในยุคโบราณอาจมีโลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยจุลินทรีย์ขนาดเล็กมาก ซึ่งนักวิจัยชี้ว่า หากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีอยู่จริง ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศไปอย่างสิ้นเชิงจนอาจก่อให้เกิดยุคน้ำแข็งบนดาวอังคาร และนำไปสู่การจบชีวิตของพวกมันในที่สุด
บอริส ซอเทอเรย์ หัวหน้าทีมการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตพื้น ๆ อย่างจุลินทรีย์ “อาจทำให้ตัวมันเองตาย” และว่า รายงานชิ้นนี้ “ดูค่อนข้างหมดหวัง แต่ผมคิดว่า ก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจติดตามอยู่ … ข้อมูลพวกนี้ท้าทายให้พวกเราลองคิดดูใหม่เกี่ยวกับวิถีที่โลกของสิ่งมีชีวิตและดาวเคราะห์หนึ่ง ๆ มีปฏิสัมพันธ์กัน”
ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Astronomy ซอเทอเรย์และทีมของเขากล่าวว่า ได้ใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศเพื่อประเมินความสามารถในการอยู่อาศัยบนเปลือกของดาวอังคารเมื่อประมาณ 4 พันล้านปีก่อน โดยเชื่อว่าในตอนนั้นดาวอังคารเต็มไปด้วยน้ำและมีสภาพที่เป็นมิตรต่อการอยู่อาศัยที่ดีกว่าในปัจจุบัน
พวกเขาคาดการณ์ว่า ในตอนนั้น จุลินทรีย์ที่อาศัยไฮโดรเจนเพื่อดำรงอยู่และปล่อยก๊าซมีเทนออกมาอาจจะอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวดาวอังคารที่ความลึกลงไปราวหลายสิบเซนติเมตร ที่ถูกปกคลุมด้วยสิ่งสกปรกต่าง ๆ และน่าที่จะมากพอในการช่วยป้องกันพวกมันจากกัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ โดยซอเทอเรย์มองว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้น่าที่จะจับกลุ่มกันอยู่ในทุกจุดบนดาวอังคารที่ปราศจากน้ำแข็ง เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกในยุคแรก ๆ
ซอเทอเรย์ยังกล่าวต่อว่า ในช่วงต้นของดาวอังคาร สภาพอากาศที่คิดว่าเป็นแบบอบอุ่นและชื้นค่อย ๆ ย่ำแย่ลง หลังจากไฮโดรเจนจำนวนมากถูกดูดออกจากชั้นบรรยากาศที่อุดมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเมื่ออุณหภูมิปรับลดจนเกือบติดลบ 200 องศาเซลเซียส สิ่งมีชีวิตตามพื้นผิวต้องพยายามเอาชีวิตรอด โดยการฝังตัวเองลงในชั้นดินที่ลึกลงไป
ในทางตรงกันข้าม เหล่าจุลินทรีย์บนพื้นโลกอาจเป็นตัวช่วยรักษาสภาวะอบอุ่นไว้ เนื่องจากชั้นบรรยากาศของโลกที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญ
คาเว พาเลวาน จากสถาบันเซติ (SETI Institute) ชี้ว่า แบบจำลองสภาพภูมิอากาศของดาวอังคารในอนาคต ควรที่จะพิจารณาการศึกษาข้างต้นของนักวิจัยฝรั่งเศสไว้ด้วย
ทั้งนี้ พาเลวาน นำทีมทำการศึกษาอีกชิ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ระบุว่า ดาวอังคารเกิดมาพร้อมกับมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิอบอุ่นเป็นเวลานานหลายล้านปี โดยในตอนนั้น สภาพบรรยากาศของดาวอังคารน่าจะหนาแน่นและส่วนใหญ่เป็นไฮโดรเจน ซึ่งทำหน้าที่เป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักความร้อน ก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังระดับความสูงที่มากขึ้นและหายไปในอวกาศในที่สุด
พาเลวาน อธิบายว่า การศึกษาของฝรั่งเศสได้ตรวจสอบผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่อาจได้รับผลจากจุลินทรีย์ ในช่วงที่บรรยากาศของดาวอังคารถูกครอบคลุมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้น จึงไม่สามารถนำไปใช้กับยุคก่อนหน้าได้
“สิ่งที่การศึกษาของนักวิจัยฝรั่งเศส กล่าวไว้อย่างชัดเจนคือ ถ้าสิ่งเหล่านี้มีชีวิตบนดาวอังคาร” ในยุคก่อนหน้านั้น “พวกมันก็จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาพอากาศที่เป็นอยู่” พาเลวานกล่าวเสริม
ทีมนักวิจัยชาวฝรั่งเศสแนะนำด้วยว่า สถานที่ที่จะพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ น่าที่จะอยู่บริเวณที่ราบ Hellas Planita ซึ่งยังไม่เคยถูกสำรวจ หรือบริเวณ Jezero Crater ทางตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบ Isidis Planita ของดาวอังคาร ซึ่งปัจจุบัน ยานสำรวจ Perseverance ขององค์การนาซ่ากำลังรวบรวมหินเพื่อส่งกลับมาทำการศึกษาบนโลกอยู่
ซอเทอเรย์ เผยว่า สิ่งถัดไปที่เขาต้องการทำ คือพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของจุลินทรีย์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ใต้พื้นผิวของดาวอังคาร โดยเขาตั้งคำถามทิ้งท้ายว่า “หากทุกวันนี้ ดาวอังคารยังมีจุลินทรีย์ที่สืบเชื้อสายมาจากชีวภาคในยุคดึกดำบรรพ์ พวกมันจะอยู่ตรงจุดไหน”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
SCG HOME รวมนวัตกรรมที่อยู่อาศัยและบริการเรื่องบ้านครบวงจร เจาะกลุ่มรีโนเวต-สร้างใหม่ ภายในงานบ้านและสวนแฟร์ 2022
SCG HOME ขนทัพสินค้าและบริการเรื่องบ้านครบวงจรร่วมงานบ้านและสวนแฟร์ 2022 เปิดพื้นที่แก้ปัญหาทุกเรื่องบ้านตั้งแต่การสร้าง ซ่อมแซม ปรับปรุง ต่อเติมและดูแลรักษาบ้าน ตอบโจทย์คนรักบ้านด้วยการช้อปสินค้าและบริการเรื่องบ้านในราคาพิเศษ ให้คุณช้อปง่าย ได้ทุกสิ่ง เรื่องการทำบ้าน
คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า บูธสินค้าและบริการครบวงจรของ SCG HOME ภายในงานบ้านและสวนแฟร์ 2022 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากคนรักบ้านที่สนใจการสร้างบ้าน ซ่อมแซม ปรับปรุง ต่อเติมและการดูแลรักษาบ้าน ตอบโจทย์ความเป็นผู้นำเรื่องนวัตกรรมที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร โดยภายในงานปีนี้ได้นำสินค้านวัตกรรมและโซลูชันภายใต้แบรนด์เอสซีจีที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ เพื่อให้บ้านสวย ทันสมัย มาจัดแสดงและเลือกซื้อสินค้าได้ โดยมีสินค้าทั้งภายในและภายนอกบ้าน อาทิ หลังคาเซรามิกเอสซีจี นวัตกรรมพิมพ์ลายด้วยเทคโนโลยีระบบดิจิทัล สร้างความหรูหราของบ้านด้วยดีไซน์ไร้ขีดจำกัด, หลังคาเมทัลรูฟ ลดร้อน ไร้เสียงรบกวนด้วยนวัตกรรมเคลือบสีหลังคาที่ทันสมัยที่สุด, DECAAR by SCG โซลูชันฟาซาดตกแต่งภายนอกแบบครบวงจร, ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี ให้มากกว่ากันความร้อน ปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, รั้วสำเร็จรูป เอสซีจี รุ่น HYBRICK ดีไซน์โมเดิร์น ทันสมัย ติดตั้งง่ายประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ และ SCG Active AIRflow System โซลูชันเพื่อบ้านเย็น เป็นต้น
นอกจากนี้มาพร้อมสินค้าและบริการอื่นๆ ภายใต้เครือเอสซีจี ตอกย้ำความเป็นที่สุดของเรื่องบ้านภายในงานอย่างครบครัน อาทิ CPAC Green Solution งานบริการคอนกรีตพร้อมช่างมืออาชีพตั้งแต่การตกแต่ง ต่อเติมหรือซ่อมแซม, COTTO กระเบื้องและสุขภัณฑ์หลากหลายดีไซน์, BAUEN by SCG บริการรีโนเวตบ้านแบบครบวงจรให้บ้านสวยมีสไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว, HomeSmile บริการ Home Improvement ครอบคลุมงานปรับปรุงต่อเติม งานซ่อมแซมอื่นๆ บริการเพิ่มคุณภาพการอยู่อาศัยและบริการดูแลบ้านครบวงจร, SCG HEIM บริการสร้างบ้านครบวงจรที่ทุกหลังผลิตในโรงงานด้วยหุ่นยนต์ เทคโนโลยีสร้างบ้านจากญี่ปุ่น, SCG HOME CLINIC คลินิกหมอบ้าน ที่พร้อมให้คำปรึกษาทุกเรื่องบ้าน จากทีมสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญของ SCG HOME และนวัตกรรมใหม่ล่าสุด HOME VISUALIZATION (แบบบ้านจำลองเสมือนจริง) ที่สัมผัสบรรยากาศบ้านทั้งภายในและภายนอกที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งทั้งหมดนี้ยกทัพมาให้บริการตลอด 10 วันเต็มในการจัดงานบ้านและสวนแฟร์ปีนี้
“งานบ้านและสวนในปีนี้มีลูกค้ามาร่วมชมงาน ปรึกษาและรับบริการที่บูธ SCG HOME มากกว่าปีก่อนๆ โดย SCG HOME ได้รวบรวมสินค้าและบริการพร้อมตอบโจทย์ที่ลูกค้าต้องการแบบมาที่เดียวครบจบทุกเรื่องบ้าน เพื่อเป็นตัวเลือกแรกในการเข้ามาใช้บริการ เพราะลูกค้าเชื่อว่าเราแก้โจทย์และให้คำแนะนำได้ตรงกับความต้องการตามไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของลูกค้า ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เรารับฟังเสียงลูกค้าทุกคน นำมาวิเคราะห์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งสินค้าและบริการ” คุณนิธิ กล่าว
นอกจากนี้เอสซีจีได้เป็นผู้สนับสนุนรางวัลบ้านและสวน AWARDS’22 ในประเภทบ้าน Well-Being ที่ใส่ใจองค์รวมของสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเอสซีจีที่จะช่วยยกระดับการอยู่อาศัยของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น โดย คุณปรวรรณ มหัทธนะสุข Customer and Brand Management Director บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้มอบรางวัลชนะเลิศประเภทบ้าน Well-Being อีกด้วย
ลูกค้าที่สนใจสินค้าและบริการ สามารถสอบถามโปรโมชันพิเศษจาก SCG HOME เพื่อคนทำบ้าน ได้ที่ SCG HOME Contact Center 02 586 2222 หรือร้าน SCG HOME ทั่วประเทศ และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCGHOME.com
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/11/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,750.00 | 29,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,927.00 | 29,213.32 | 30,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,734.30 | 26,291.99 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,541.60 | 23,370.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 867.00 | 13,143.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 674.00 | 10,217.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,997.00 | 30,274.52 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/11/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.45 | 35.45 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.75 | 35.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.18 | 35.18 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.48 | 35.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.34 | 34.34 | 34.64 | 34.64 | 34.64 | – | 34.34 | 34.34 | 34.64 | 34.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.54 | 33.54 | – | – | – | – | – | – | – | 33.54 |
เบนซิน 95 | 42.86 | – | – | – | 43.61 | – | 43.36 | 43.31 | – | 42.86 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 35.24 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 35.24 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | – | 35.24 | – | 34.94 | 34.94 | 34.64 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.46 | 44.46 | 44.46 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |