ราคาอสังหาฯขาขึ้น!แรงผลักดันต้นทุนพุ่งยกแผง
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ EIC ระบุว่าปี 2567 อสังหาฯ จะเผชิญ 5 ปัจจัยกดดัน การฟื้นตัวของกำลังซื้อ และยังเข้าสู่โหมดราคาอสังหาฯขาขึ้น!จากแรงผลักดัน’ต้นทุน’พุ่งยกแผง แต่ขณะเดียวกันหลายคนก็มองว่าเป็น’โอกาส’ในการขยายตลาดต่างจังหวัดและมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลใหม่
เชษฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center : EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ระบุว่าแนวโน้มตลาดอสังหาฯในปีนี้และปี 2567 จะเริ่มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ปัจจัยสนับสนุนหลักคือการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยในปีนี้ตัวเลขจีดีพีน่าจะโตสูงกว่าปีก่อนหน้า และปี 2567 ก็เชื่อว่ายังโต ทำให้กำลังซื้อในประเทศฟื้น และยังได้แรงหนุนจากกำลังซื้อจากต่างชาติกลับเข้ามา
ส่วนปัจจัย “กดดัน” มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ภาวะหนี้ครัวเรือน ค่าใช้จ่ายที่สูง , อัตราดอกเบี้ยที่แม้ว่าปัจจุบันไม่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด แต่ถ้าเทียบในช่วงโควิดก็อยู่ในระดับที่สูงขึ้นเป็น “อุปสรรค”สำคัญต่อการเข้าถึงสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับปานกลาง -ล่าง ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก
ขณะเดียวกัน “ต้นทุน” ก็กดดันผู้ประกอบการ ซึ่งมาจากวัสดุก่อสร้าง ราคาที่ดิน รวมถึงค่าแรง ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาลใหม่ ส่งผลให้ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในปีหน้าอยู่ในช่วงขาขึ้น! เพราะยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามต้นทุนก่อสร้าง โดยเฉพาะราคาที่ดินที่ขยับขึ้นตามการประเมินราคาที่ดินและผังเมืองใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาเปิดโครงการระดับกลางบนมากขึ้นตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อ
นอกจากนี้ยังมี 5 ประเด็นสำคัญ ที่ต้องจับตาใกล้ชิด ประเด็นแรก คือการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ซึ่งมีปัจจัยทางเศรษฐกิจกดดัน หนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ ซึ่งกดดันกำลังซื้อ โดยเฉพาะ กลุ่มระดับปานกลาง-ล่าง และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดย EIC คาดว่า น่าจะปรับขึ้นอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.5% และจะยืนอยู่ที่ระดับนี้อย่างน้อยถึงสิ้นปี 2567
ประเด็นที่สอง ต้นทุนที่สูง แม้ว่าปัจจุบันราคาเหล็กจะลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูง ขณะที่ปูนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไปถึงปีหน้า
ประเด็นที่สาม “โอกาส” ในตลาดต่างจังหวัด ซึ่งผู้ประกอบการหลายราย สนใจทำตลาดมากขึ้น จากการที่ตลาดในกรุงเทพฯ หนาแน่นขึ้น การแข่งขันรุนแรงขึ้น แต่ต่างจังหวัดยังมีพื้นที่รองรับอีกมาก ไม่เฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยว แต่รวมถึงจังหวัดรอง จากโครงสร้างการลงทุนของภาครัฐในระบบคมนาคมผ่านเมืองรองค่อนข้างมาก เช่น ภาคอีสาน มีอุดรธานี อุบลราชธานี หรือในภาคใต้ มีชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ที่น่าสนใจ ส่วนที่อื่นๆ เชน พิษณุโลก นครสวรรค์ กาญจนบุรี
ทังนี้ผลจากการสำรวจของ EIC พบว่า ความต้องการซื้อเพื่ออยู่ยามเกษียณเป็นอันดับต้นๆ หรือซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง เช่น กาญจนบุรี เชียงราย หรือโคราช สูงกว่า หัวหินหรือภูเก็ต สังเกตได้ว่าผู้ประกอบการเริ่มพัฒนาโครงการแล้ว
ประเด็นที่สี่ มาตรการกระตุ้นของรัฐบาลใหม่จะมีมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ซึ่งช่วงโควิดการออกมาตรการกระตุ้นช่วยให้คนตัดสินใจซื้อค่อนข้างมาก โดยเฉพาะมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน และลดค่าจดจำนอง สำหรับบ้าน ทาวน์โฮม และคอนโด 0.01% ช่วย “พยุง” ตลาดไม่ให้ติดลบ ในแง่การโอนลดลงไปได้มาก จนถึงปลายปีนี้ลดเหลือแค่1% เท่านั้น อนาคตอาจขยายเพดานระดับราคา จากเกิน 3 ล้านบาทมาอยู่ที่ 5 ล้านบาทหรือไม่
และประเด็นที่ห้า ผังเมืองกทม.ใหม่ ที่จะประกาศใช้ในปี 2568 จะสนับสนุนการขยายตัวของเมืองออกไปโดยเฉพาะชั้นกลางและชานเมือง โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่กำลังก่อสร้าง และทยอยสร้างในระยะต่อไป เพิ่มโอกาส ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯได้มากขึ้น เช่น ทำเลเตาปูน ราษฎร์บูรณะ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะกระตุ้นการขยายตัวของฝั่งตะวันตก ซึ่งพัฒนาไปค่อนข้างมาก เป็นการกระตุ้นการพัฒนาในเขตชั้นกลาง ชานเมืองในระยะต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
จับตา!สต็อกบ้านค้างรอระบาย’ทาวน์เฮ้าส์’อัตราดูดซับต่ำ
จากภาวะหนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของคนซื้อ ส่งผลให้สต็อกบ้านค้างเพื่อรอระบายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังดีเวลลอปเปอร์แห่กันเปิดตัวบ้านเดี่ยว บ้านแฝดรวมทั้งทาวน์เฮ้าส์ ที่มีอัตราดูดต่ำเนื่องจากกำลังซื้อฟื้นตัวช้ากว่าตลาด
เชษฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC)เผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี2566- 2567 ว่า การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการการฟื้นตัวแบบค่อนเป็นค่อยไป เนื่องมาจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังเติบโตต่ำ โดยมีปัจจัยกดดันคือภาวะหนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ที่เป็นตัวฉุดทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ราคาที่ดิน ค่าแรง ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนอสังหาฯ สูงขึ้น จึงทำให้ราคาเพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคยังมีภาระและรายได้ไม่เติบโตตาม
“ราคาที่คนสนใจและยังซื้อ คือคอนโดฯไม่เกิน 3 ล้านบาท สะท้อนว่าอสังหาฯ การฟื้นตัวออ่างค่อยเป็นค่อยไป ดูจากความต้องการในปีที่ผ่านมา คนนิยมคอนโดฯเพิ่มขึ้น ที่ตอบโจทย์ขายได้ดี คือ 1 ล้านบาท แต่หากทำเลกรุงเทพฯ ชั้นกลางก็ราคา 2-3 ล้านบาท”
เชษฐวัฒก์ กล่าวว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยในปีนี้ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ภาพรวมทำให้เติบโต 3% คาดว่าโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้จะชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ผ่านมา โดยอัตราการขายคอนโดฯเติบโตได้ดีกว่า แนวราบ เฉลี่ยในช่วง 7-8 เดือน ที่ผ่านมาขายได้ 30% หรือ สัดส่วน 1 ใน 3 ของโครงการ คาดว่าภาพรวมจะทยอยกลับมาฟื้นตัวในปี 2567 ส่วนแนวราบ ทาวน์เฮาส์ คาดว่าจะมีการจำหน่ายไม่มากนัก แต่ที่ขายดีคือ กลุ่มทาวน์เฮาส์มือ 2 เพราะราคาจับต้องได้ ด้านหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ ที่อยู่อาศัยในปี 2566 นี้ยังอยู่ภาวะ “ทรงตัว” ทั้งในกรุงเทพฯ -ปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด ขณะที่หากแยกเป็นคอนโดฯ ยังมีการขยายตัวได้ดี ทั้งมือ 1 และมือ 2 คาดว่าจะดีขึ้นในปี 2567
ทางด้านกำลังซื้อต่างชาติ หลังจากมีมาตรการฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงกับทำให้มีการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ในไทยเพิ่มขึ้น เพราะมีปัจจัยหลายด้านที่เป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ และ แรงจูงใจจากภาครัฐ ซึ่งเหตุการณ์ที่ชาวจีนเคยซื้ออสังหาฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 ในปี 2560-2561 นั้นคาดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่อาจจะมีชาวต่างชาติประเทศอื่นที่สนใจ เข้ามาซื้ออสังหาฯ ในเมืองท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น
ภาพรวมสต๊อกคงค้างในตลาดยังมี แม้จะมีการชะลอเปิดตัวโครงการออกไป รวมถึงมีการจัดโปรโมชั่นระบายสต็อกมากขึ้น แต่หน่วยเหลือขายสะสม ในปี 2566 นี้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากแนวราบที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝดเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา แต่มีอัตราดูดซับทาวน์เฮาส์ยังต่ำ เนื่องจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าตลาด แต่ยังคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสฟื้นตัวดีในต่างจังหวัด ทำให้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดเมืองรอง ที่มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา และในพื้นที่เขตการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC)
“สิ่งที่ต้องติดตามซึ่งจะมีผลต่อมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ คือ การลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ที่จะกระตุ้นให้เกิดการโอนมากขึ้น ในพื้นที่กรุงเทพ เช่นเดียวกันกับช่วงโควิด , ผังเมืองใหม่ ที่จะส่งผลต่อการขยายพื้นที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบริเวณรถไฟฟ้า ในสายใหม่ๆ โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก ของกรุงเทพฯ อาจจะเป็นปัจจัยส่งผลทำให้ตลาดกลับมาคึกคักได้”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
สบน.ย้ำไม่ออกพันธบัตรรัฐบาลล้นตลาด เร่งฟิกซ์ดอกเบี้ย รับยีลด์ขาขึ้น
สบน.ย้ำไม่ได้ออกพันธบัตรรัฐบาลมากเกินจนล้นตลาด ชี้ทำเพื่อสอดคล้องการขาดดุล และหนี้เก่าที่ครบกำหนด เชื่อเหมาะสม ตลาดรองรับได้ พร้อมลุยฟิกซ์ดอกเบี้ย รับมือยีลด์ขาขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 10 ปี กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด 21 ก.ย. 66 พุ่งแตะระดับ 3.19% สูงสุดของปี โดยตลาดนักลงทุนแสดงความกังวล หลังกระทรวงการคลัง เผยแผนออกพันธบัตรรัฐบาลรวม 1.25 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มขึ้นจาก 1.078 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 66 ในงาน มาร์เก็ต ไดอะล็อก
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ในปีงบ 67 สบน. วางกรอบการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 160,000 ล้านบาท เพื่อให้วงเงินการออกพันธบัตรสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการขาดดุลงบประมาณ และการเติบโตของมูลค่าหนี้ที่ครบกำหนด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามปกติในแต่ละปี เพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาดตราสารหนี้
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลไม่ได้ออกมากจนเกินไป จนทำให้เกิดภาวะล้นตลาด โดย สบน. มีการพิจารณาแล้ว เชื่อมั่นว่ามีความเหมาะสมและตลาดสามารถรองรับได้เพียงพอ
ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่มีการปรับตัวสูงนั้น เกิดจากหลายปัจจัย เช่น การปรับขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายในต่างประเทศ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน รวมถึงนักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนอื่นเพิ่มและไม่ได้เกิดจากการออกพันธบัตรรัฐบาลเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ที่ผ่านมาผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปี ในช่วงปี 65 ก็เคยมีผลตอบแทนสูงกว่าในปัจจุบันมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร อาจทำให้คลังมีต้นทุนการระดมทุนสูงขึ้นบ้าง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกที่ขณะนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ สบน.ได้พยายามวางแผนปรับโครงสร้างการก่อหนี้ ให้เป็นอัตราผลตอบแทนแบบคงที่ แทนดอกเบี้ยลอยตัว เช่น ในปีนี้จากแผนที่ต้องกู้ทั้งหมด สบน.จะมีการออกเป็นพันธบัตรรัฐบาลเกินกว่าครึ่ง ซึ่งจะช่วยบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และลดภาระของรัฐบาลได้
นอกจากนี้ ด้วยการที่ภาคการคลังของไทย ที่ยังแข็งแกร่ง และมีทุนสำรองระหว่างประเทศระดับสูง โดยเมื่อเดือนก.ค.66 บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ เพิ่งได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ที่ บีบีบีบวก และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และจะช่วยเพิ่มความมั่นใจต่อนักลงทุน สนใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอยู่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หนึ่งเดียวจากไทย! ตัวเลขชี้ชัด “ชัชชุอร” ติดโผตัวท็อปสถิติด้านนี้ในศึกคัดโอลิมปิก 2024
เก็บตกสถิตินอกสนามของวอลเลย์บอลหญิงรายการโอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก ที่แข่งขันกันทั้งหมด 24 ทีม กระจายไป 3 สนาม ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น และ โปแลนด์
อย่างที่แฟนกีฬาลูกยางชาวไทยทราบดีว่า ทัพนักตบสาวของเรากำลังสู้ศึกอยู่ที่โปแลนด์ โดยใน 3 นัดแรกพ่ายให้กับทีมแกร่งอย่าง เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา และ อิตาลี แต่ในนัดล่าสุดพวกเธอสวมหัวใจสิงห์เอาชนะเจ้าถิ่น โปแลนด์ ได้อย่างช็อกโลก 3-2 เซต ก่อนจะมีลุ้นเฮนัดที่สองช่วงหัวค่ำวันนี้ ในการพบกับ สโลวีเนีย
ในด้านของสถิติหลังผ่าน 4 นัดแรก จากการเปิดเผยของเว็บไซต์ Volleyball World ที่แยกย่อยเป็นด้านต่างๆ 7 ทักษะ อันได้แก่ ทำแต้ม, ทำเกมบุก, บล็อก, เสิร์ฟ, เซต, ขุดลูกตบ และรับบอลเสิร์ฟ นั้น ปรากฏว่ามี 1 นักกีฬาสาวไทยที่ติดโผเข้ามาเพียงหนึ่งเดียว
ซึ่งผู้เล่นดังกล่าวก็คือ “บุ๋มบิ๋ม” ชัชชุอร โมกศรี หัวเสาตัวเก่งวัย 23 ปี ที่รั้งอันดับ 8 จากผู้เล่นทั้งหมด 24 ชาติ และเป็นสาวจากทวีปเอเชียคนเดียวที่ติด 10 อันดับแรก ในด้าน “รับบอลเสิร์ฟยอดเยี่ยม” จากการรับได้สำเร็จ 25 ครั้ง คิดเป็น 26.88% ส่วนอันดับ 1 ของด้านนี้คือ เคลซีย์ โรบินสัน จอมเก๋าทีมชาติสหรัฐอเมริกาที่รับได้สำเร็จ 40 ครั้ง คิดเป็น 41.67% นั่นเอง
สำหรับ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย จะลงสนามพบกับ ทีมชาติสโลวีเนีย ในวันศุกร์ที่ 22 กันยายนนี้ ถ่ายทอดสดทางช่อง Workpoint 23 เวลา 19:30 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“นอน” มากเกินไป ส่งผลเสียอย่างไรต่อร่างกายบ้าง
จากที่เป็นคนนอน 6-8 ชั่วโมงตามปกติ กลายเป็นคนที่ต้องนอน 9-10 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นแล้วถึงจะรู้สึกหายง่วง หากเพิ่งจะเป็นแบบนี้ในช่วงปี หรือเดือนที่ผ่านมา อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากผลข้างเคียงจากภาวะเครียด หรือซึมเศร้าได้
แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือหมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท กล่าวถึงระยะการนอนที่เหมาะสมไว้ในพอดแคสต์ Single Being EP.49 ว่า National Sleep Foundation ของสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ระยะการนอนที่เหมาะสมสำหรับคนวัย 18-64 ปี คือ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน จึงจะทำให้มีสุขภาพที่ดี หมอหลายท่านแนะนำให้นอนราว 7-8 ชั่วโมงจะดีที่สุด แต่จำนวนชั่วโมงในการนอนอาจเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เช่น มีบางคนที่มี “ยีนส์นอนน้อย” จนทำให้สามารถนอนแค่เพียง 4-5 ชั่วโมงก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ง่วงไม่เพลีย
แต่คนที่นอนมากกว่า 9 ชั่วโมงขึ้นไป ไม่ว่าจะเข้านอนเวลาไหนก็ตาม แต่หากนับเวลานอนแล้วมากกว่า 9 ชั่วโมง จะเรียกว่าเป็นการนอนที่ “มากเกินไป”
สาเหตุของการนอนมากเกินไป
การที่ใครสักคนจะนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงขึ้นไปถึงจะรู้สึกหลับเต็มตื่น ไม่ง่วงเพลีย อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยเหล่านี้
- พันธุกรรม พบว่า 2% ของประชากรทั้งหมดอาจมีพฤติกรรมการนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงตั้งแต่เด็ก สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี
- ผลข้างเคียง หรืออาการจากโรคที่เป็นอยู่ เช่น โรคอุดกั้นทางเดินหายใจระหว่างนอน (นอนกรน และหยุดหายใจขณะนอน) โรคลมหลับ (ง่วงนอนตลอดทั้งวัน)
- นอนไม่อยากตื่น อาจเป็นหนึ่งในอาการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือโรคเครียด
“นอน” มากเกินไป ส่งผลเสียอย่างไรต่อร่างกายบ้าง
การนอนมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคอันตรายเหล่านี้
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วนลงพุง
- โรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคซึมเศร้า
- ปวดหลัง
- ปวดศีรษะ
วิธีปรับเวลานอนให้ดีต่อสุขภาพ
- ตั้งเวลาเข้านอน และตื่นนอนไม่เกิน 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- เข้านอน และตื่นนอนเวลาเดิมทุกวัน รวมถึงเสาร์อาทิตย์ เลื่อนเวลาได้ไม่เกิน 30 นาที
- ไม่กินอาหารเย็นดึกจนเกินไป (เพราะต้องกินข้าวเย็นก่อนนอนอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง)
- ไม่กินอาหารเย็นมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้เรานอนดึกเกินไป รวมถึงคุณภาพในการนอนไม่ดีเท่าที่ควร
- งดใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจออาจทำให้เราไม่ง่วง รบกวนคุณภาพในการนอนได้
- ผ่อนคลายความเครียดก่อนเข้านอน ด้วยการทำกิจกรรมเบาๆ เช่น อาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือเนื้อหาสบายๆ ฟังเพลงช้าๆ เบาๆ
- ตอนเช้าให้เปิดผ้าม่านให้แสงสว่างเข้ามาในห้อง ใครที่ตื่นยากอาจนอนเปิดผ้าม่านเอาไว้ก็ได้
- สัมผัสกับแสงแดดในตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายกระตุ้นนาฬิกาชีวภาพของเราให้ทำงาน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- เลี่ยงนอนกลางวันมากเกินไป ไม่นอนกลางวันเกิน 20-30 นาที และหลีกเลี่ยงการนอนกลางวันหลัง 16.00 น.
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ตั้งเป้าหมายตั้งแต่ก่อนนอนว่า ในวันรุ่งขึ้นจะทำอะไร เลือกกิจกรรมที่อยากทำ หรือหาจุดประสงค์ของการตื่นนอนในทุกๆ วันว่าเราอยากมีชีวิตอยู่เพื่อใคร เพื่อทำอะไร
หากเพิ่งเริ่มมีพฤติกรรมในการนอนมากเกินไปไม่นาน ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไปต่างประเทศต้องรู้ ! ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ เมื่อเข้าโรงพยาบาล
1.My child is running a fever and we need help immediately.
ลูกของผมมีไข้ขึ้นสูง เราต้องการความช่วยเหลือทันทีครับ
2.How long has he had a fever?
เด็กมีไข้มานานแค่ไหนแล้วคะ?
3.He has had a fever for the last few hours and hasn’t eat.
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนครับ แล้วก็ไม่ยอมกินอะไรเลย
4.When did the pain start and does it still hurt now?
เริ่มปวดตอนไหนคะ? แล้วตอนนี้ยังปวดอยู่มั้ย?
5.About 2 weeks ago and yes, it still hurts.
ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนค่ะ และตอนนี้ยังปวดอยู่ค่ะ
6.Have you had a flu shot in the past year?
เคยได้รับวัคซีนมาก่อนมั้ยคะ?
7.My knee hurts as well. I think it is injured.
ปวดหัวเข่าด้วย ผมคิดว่าผมได้รับบาดเจ็บ
8.I think I am suffering from side-effects from medication I am taking.
ผมคิดว่าผมบาดเจ็บเพราะผลข้างเคียงจากการรักษา
9.How long have you had these problems?
คุณมีปัญหามานานแค่ไหนแล้ว?
10.For about 3 days. I think I am allergic to an ingredient in the medicine I am taking.
ประมาณ 3 วัน ผมคิดว่าผมแพ้ยา
11.What medicine are you taking? Show me your medicine.
คุณใช้ยาอะไรครับ? ขอผมดูหน่อย
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
เปลี่ยนอีกแล้ว!!! Facebook ปรับโลโก้ใหม่ ให้เข้มและชัดกว่าเดิม
วันนี้อยู่ดีๆ Meta จะปล่อยอัปเดตความเปลี่ยนแปลงของ Facebook ตั้งแต่โลโก้ใหม่ที่มีความน่าสนใจและฝั่งของ Application ก็มีให้กดอัปเดตทั้ง iOS และ Android
ซึ่งการอัปเดตของทั้งฝั่ง iOS และ Android ต่างกัน โดย iOS จะมีการปรับเรื่อง Apps Crash หรือ Apps ค้างแล้วปิดเองซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อมีการอัปเดตระบบปฏิบัติการใหม่ได้เช่นเดียวกัน
แต่อีกเปลี่ยนไปด้วยคือ โลโก้ของ Facebook จากเดิมที่จะเป็นโลโก้สีน้ำเงิน ให้เป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้นกว่าเดิม และปรับโลโก้ f ใหม่ให้โดดเด่นและใหญ่ขึ้น โดยเกิดจากการเลือก Font ใหม่ที่มีชื่อว่า Facebook Sans ที่คิดมาเอง
แถมอีกนิดยังมีการเปลี่ยน Reaction ให้มีความเข้มขึ้น (ในหน้าเว็บเปลี่ยนรูปแบบให้ชัดเจน) ดังนั้นถ้าใครเข้า Facebook แล้วสังเกตมีอะไรที่เปลี่ยนไปไม่ต้องตกใจนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไขมันดี คืออะไร อาหารที่มีไขมันดี มีอะไรบ้าง
ใครที่เริ่มจะไดเอต ลดน้ำหนัก มักเริ่มจากการลดไขมัน อะไรมันๆ จะไม่ทาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไม่ถูกนะคะ แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่เราควรจะลดคือ แป้ง และน้ำตาลต่างหาก แต่ถึงกระนั้นอาหารมันๆ ที่มาจากการผัดกาดทอด ก็ควรลดด้วยอยู่ดี
แต่ไม่ใช่ว่าอาหารมันๆ ทุกอย่างจะไม่ดีต่อร่างกายนะคะ เพราะจริงๆ แล้ว ไขมันมีทั้งชนิดดี และชนิดเลว ไขมันชนิดดีมีอะไรบ้าง แล้วทำไมเราควรทานไขมันดี มาศึกษากันค่ะ
ไขมันดี คืออะไร?
ไขมันดี เราเรียกว่า HDL ส่วนไขมันเลวเราเรียกว่า LDL เจ้าไขมันเลวนี่แหละที่เป็นตัวการของโรคต่างๆ อย่างที่ทราบกันโดยทั่วไปคือ โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด ที่นำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากภายในร่างกายจะแย่แล้ว ยังเป็นไขมันที่ทำให้เราเป็นโรคอ้วนอีกด้วย
ส่วนไขมันดี หรือ HDL ที่ว่าเป็นไขมันดี ก็เพราะมันไม่ใช่ตัวการสำคัญของโรคต่างๆ เหมือนไขมันเลว แต่ยังเป็นตัวที่คอยเก็บคราบไขมันตามผนังหลอดเลือดออกไป แล้วขับออกจากร่างกายผ่านตับ และน้ำดีอีกด้วย
เพราะฉะนั้นรู้หรือยังว่าทำไมเราจำเป็นที่จะต้องทานไขมันดีเข้าไปในร่างกายบ้าง
อาหารที่มีไขมันดี มีอะไรบ้าง
อาหารที่มีไขมันดีมีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ที่เราอยากแนะนำให้ทานกัน มีดังนี้
1. น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกเป็นอาหารชนิดแรกๆ ที่เราอยากแนะนำให้คนไทยได้ทานกัน เพราะคนไทยจะถนัดการใช้น้ำมันชนิดอื่นทำอาหารเสียมากกว่า แต่อันที่จริงแล้วน้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีให้กับร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี น้ำมะกอกชนิด Extra Virgin, Virgin ควรนำมาทานสดๆ ผสมกับน้ำสลัด โดยไม่ผ่านความร้อน แต่หากอยากนำมาใช้ประกอบอาหารร้อนแทนน้ำมันพืช น้ำมันปาล์ม ควรเลือกเป็นน้ำมันมะกอกชนิด Extra Light Olive Oil หรือ Olive Pomace Oil ที่ทนต่อความร้อนได้แทน
2. น้ำมันเมล็ดฟักทอง
อีกหนึ่งตัวเลือกหากใครไม่ชอบน้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดฟักทองมีกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 สูง มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้ดียิ่งขึ้น และดีต่อสุขภาพของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร
3. อัลมอนด์
เห็นเป็นของทานเล่นอร่อยๆ แบบนี้ มีประโยชน์มากมาย เพราะอัลมอนด์ช่วยเพิ่มไขมันดี และลดไขมันเลวโดยตรงเลยทีเดียว ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด และหัวใจ และยังมีวิตามิน และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกเพียบ เช่น วิตามินอี โฟเลต แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฯลฯ บ่ายๆ แทนที่จะหยิบขนมหวานเข้าปาก ลองทานเมล็ดอัลมอนด์ 1 กำมือดูนะคะ
4. หอมหัวใหญ่
ใครที่ไม่ชอบทานหอมหัวใหญ่อาจจะต้องลองคิดดูใหม่ เพราะหอมหัวใหญ่เป็นอีกหนึ่งอาหารสำคัญที่ช่วยลดปริมาณไขมันเลว และเพิ่มไขมันดีให้กับร่างกาย ช่วยกำจัดคอลเสเตอรอลที่อยู่ตามผนังหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี และยังช่วยไม่ให้เลือดแข็งตัว จนอุดตันเส้นเลือดอีกด้วย จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และอัมพาตได้
5. อะโวคาโด
คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับอะโวคาโดมากขึ้น และราคาก็เริ่มย่อมเยา เพราะประเทศไทยเริ่มมีการปลูกอะโวคาโดทานเอง (หากซื้อใกล้แหล่งปลูกจะถูกมากกว่าตามห้างสรรพสินค้าที่สินค้านำเข้า) อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีไขมันดีสูงมาก นอกจากจะช่วยลดคอเลสเอรอลที่ไม่ดีในร่างกายได้แล้ว อะโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง แต่น้ำตาลต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่อยากจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก และผู้ป่วยเบาหวานก็ทานได้ดี
6. ปลาทะเลน้ำลึก
น่าจะเคยได้ยินกันว่าปลาทะเลน้ำลึกมีโอเมก้า-3 อยู่ด้วย นอกจากจะช่วยบำรุงสมอง พัฒนาสมองในด้านการจำแล้ว ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และเพิ่มไขมันชนิดดีให้กับร่างกายได้อีกด้วย ปลาทะเลน้ำลึกที่อยากแนะนำ ได้แก่ แซลมอน แมคเคอเรล ทูน่า และซาร์ดีน
นอกจากนี้ไขมันดียังพบได้ในถั่วต่างๆ เช่น แมคคาเดเมีย พิสตาชิโอ และน้ำมันต่างๆ เช่น น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันคาโนลา ลองสับเปลี่ยนหมุนเวียนทานไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เราได้รับไขมันดี พร้อมกับคุณค่าทางสารอาหารอื่นๆ ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/09/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,850.00 | 32,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,128.00 | 32,260.48 | 33,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,915.20 | 29,034.43 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,702.40 | 25,808.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 958.00 | 14,523.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 745.00 | 11,294.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,205.00 | 33,427.80 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/09/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 40.45 | 40.45 | 41.55 | 40.45 | 40.85 | 40.45 | 40.45 | 40.45 | 40.45 | 40.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 40.18 | 40.18 | 41.28 | 40.18 | 40.58 | 40.18 | 40.18 | 40.18 | 40.18 | 40.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 38.14 | 38.14 | 39.24 | 38.14 | 38.54 | – | 38.14 | 38.14 | 38.14 | 38.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.79 | 37.79 | – | – | – | – | – | – | – | 37.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.44 | 49.34 | 51.34 | 49.34 | – | – | – | – | – | 45.44 |
เบนซิน 95 | 48.24 | – | – | – | 49.81 | – | 48.74 | 48.39 | – | 48.24 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.24 | 42.34 | 49.44 | 42.34 | 41.64 | – | – | – | – | 40.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |