ปลดล็อก LTV กู้ 100% สะพัด 5 หมื่นล้านซื้อบ้านหลัง2
บิ๊กอสังหาฯ-กูรู ฟันธง ธปท.ปลดล็อก LTV ที่อยู่อาศัยใหม่กู้ได้ 100% ส่งผลดี ช่วยบ้านหลังที่ 2 -3 กลับมาฟื้น ดีเวล็อปเปอร์เตรียมเทกระจาด คาดปี 65 คึกคักแน่
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีนโยบายปลดล็อกเพดานอัตราเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ จาก 70-90% เป็น 100% รวมถึงการรีไฟแนนซ์ และสินเชื่อ ท็อป-อัพ ถึงสิ้นปี 2565
เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาฯหลังโควิด-19 วงการขานรับชี้เป็นเรื่องที่ดี ช่วยให้ตลาดช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น การระบายสต็อกอาจไหลลื่น จากการขอสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ได้ทันที 100 % ตามมูลค่าสินทรัพย์ โดยไม่ต้องรอเก็บเงินก้อนใหญ่ เป็นนาทีทองคนซื้อบ้านกับผู้ประกอบการที่พร้อมระบายสต็อก ติดเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจให้เริ่มฟื้นตัวได้
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ประเมินว่า ผลการคลายล็อก LTV ครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 ไม่ต่ำกว่า 20% โดยเฉพาะบ้านหลังที่ 2-3 และเร่งการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นในปีหน้า ผู้ประกอบการต้องจัดแคมเปญต่างๆ จะออกมาสมทบอย่างมากมาย
“ช่วงปี2562 ที่เริ่มบังคับใช้ LTV ทำให้กำลังซื้อหายไป 30% และเมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 เมื่อปี 2563 กำลังซื้อหายไปอีก 30% ขณะจีดีพีอสังหาฯ โตเพียง 10%”
ด้านนายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด สะท้อนว่า เกณฑ์ LTV ก่อนหน้านี้มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และต้องการขอสินเชื่อธนาคารพอสมควร ทำให้การตัดสินใจซื้อกลุ่มนี้ล่าช้าหรือชะงักไป เพราะต้องพิจารณาเรื่องของเงินดาวน์ และเงินที่จะเอามาตกแต่ง หรือซื้อของเข้าที่อยู่อาศัยหลังที่ 2
การคลายเกณฑ์ LTV ของธปท.ลงนี้ ผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับสัญญาที่ 2 สามารถได้วงเงินสินเชื่อ 100% ของมูลค่าที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน10 ล้านบาท และได้วงเงิน 100% ของที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินมากกว่า 10 ล้านบาทตั้งแต่สัญญาสินเชื่อที่ 1 นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงสินเชื่อเกี่ยวเนื่องอื่นๆ จากการซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถได้เพิ่มอีก 10% จากมูลค่าที่อยู่อาศัย ซึ่งการปรับเกณฑ์ครั้งนี้จะทำให้การปล่อยสินเชื่อมีบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยให้มีผลถึงสิ้นปี 2565
การผ่อนเกณฑ์นี้อาจจะไม่ได้กระตุ้นกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยมากมายในทันที แต่มีผลต่อบรรยากาศหรือภาพรวมแน่นอน แม้สุดท้ายอยู่ที่การพิจารณาของแบงก์ ขณะที่ผู้ประกอบการคงขยับทำกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ตั้งแต่ปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า โดยเฉพาะกลุ่มของผู้ประกอบการที่มีโครงการสร้างเสร็จแล้วหรือมีกำหนดสร้างเสร็จภายในปี 2565
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่าที่ผ่านมาได้เสนอ รัฐบาล ขอให้ยกเลิกมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือ LTV เพราะธปท.ต้องการสกัดการเก็งกำไรในตลาดคอนโดมิเนียม แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน คนไม่มีกำลังในการเก็งกำไร ดังนั้น จึงเห็นควรให้ยกเลิกเพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อกลับมาดูดซับสินค้าที่ค้างสต๊อกไปได้ เชื่อว่าการปลดล็อกจะช่วยให้ ตลาดอสังหาฯกลับมากระเตื้องขึ้น
ขณะที่นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรี กล่าวว่า ถ้าทางกระทรวงการคลังพิจารณาต่ออายุมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2564 เป็นสิ้นสุดปี 2565 และขยายสิทธิประโยชน์ โดยเพิ่มเพดานสำหรับบ้านราคา 5 ล้านบาทด้วย บวกกับมาตรการผ่อนคลาย LTV ของธปท. ก็จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อตลาดทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสองได้ดียิ่งขึ้น
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า เชื้อโควิด-19 กระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจค่อนข้างมากและยืดเยื้อ แม้เร่งกระจายวัคซีนและเริ่มผ่อนมาตรการจนเปิดประเทศได้เร็วเกินคาด แต่สัญญาณการฟื้นตัวยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และฐานะทางการเงินของบางบริษัท บางเซ็กเตอร์ และครัวเรือนยังมีความเปราะบางอยู่
จังหวะนี้จึงได้ออกมาตรการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสร้างการจ้างงานได้ โดยผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (เกณฑ์ LTV ratio) จากเดิมจำกัดแอลทีวีสัญญาซื้อบ้านหลังที่ 2 และที่ 3 รวมทั้งระดับราคาแพง ซึ่งเป็นมาตรการที่ออกมาปี 2562 ขณะภาคอสังหาริมทรัพย์มีความร้อนแรง น่าห่วงการเก็งกำไรจะมากเกินไปจนเป็นปัญหาระยะยาว
“แต่ช่วงนี้สัญญาณการเก็งกำไรอยู่ในระดับต่ำ และหลายภาคส่วนก็มีวินัยดี ธปท.มีความกังวลน้อยลงในแง่ของความเสี่ยง จึงมีความเหมาะสมที่จะปลดล็อกมาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว”
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการผ่อนคลาย LTV ถือเป็นมาตรการเฉพาะจุด ที่ส่งผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคที่มี supply chain และมีกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องยาว รวมมีสัดส่วน 9.8% ของ GDP (ไม่รวมภาคการเงินและประกัน) และการจ้างงานสูงถึง 2.8 ล้านคนโดยมากกว่า 50% อยู่ในภาคการก่อสร้าง
“หากไม่มีมาตรการออกมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ จะไม่กลับไปเท่ากับระดับก่อนวิกฤติจนกระทั่งถึงปี 2568 จึงต้องกระตุ้นโดยการผ่อนคลายทางภาคการเงินและภาคการคลัง เพื่อให้ภาคอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวได้ก่อนปี 2568”
ขณะที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาต่ออายุ มาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าการประสานมาตรการทางการเงิน และมาตรการทางการคลังครั้งนี้ จะทำให้มีสินเชื่อใหม่ประมาณ 50,000 ล้านบาท คิดเป็น 7% ของมูลค่าการซื้อขายภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 800,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ไชน่า เอเวอร์แกรนด์เอฟเฟ็กต์” ฝนตกในจีน หนาวถึงอสังหาฯเมืองไทย
“ไชน่า เอเวอร์แกรนด์” หนี้ท่วมในจีน ตลาดคอนโดมิเนียมเมืองไทยมีอาการ “ฝนตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้…”
โดยฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในจีนแผ่นดินใหญ่ปะทุขึ้นจากเหตุการณ์ “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์” ยักษ์อสังหาฯที่มีการลงทุนในจีนกับฮ่องกง มีภาระหนี้ท่วมตัว 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9 ล้านล้านบาท และมีสัญญาณของการผิดนัดชำระหนี้ครั้งที่ 3
น่าสนใจว่า “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์เอฟเฟ็กต์” จะเป็นแรงกระเพื่อมทำให้กำลังซื้อลูกค้าจีนที่เป็นผู้ซื้อหลักในตลาดคอนโดฯไทย ได้รับผลกระทบไปด้วยหรือไม่
นายกคอนโดฯมั่นใจไม่กระทบ
“ประชาชาติธุรกิจ” interview distancing กับผู้บริหาร 5 ราย ประเดิมด้วย “ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์” นายกสมาคมอาคารชุดไทย และประธานกรรมการ บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากการสอบถามเอเยนซี่จีนได้รับคำยืนยันว่า
กรณีเอเวอร์แกรนด์ไม่น่าจะมีผลกระทบถึงอสังหาฯประเทศไทย ลูกค้าจีนที่จองและวางเงินดาวน์ห้องชุดยังทำธุรกรรมตามปกติ เพราะคนจีนมีถึง 1,200 ล้านคน มีทั้งลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย, ซื้อเก็งกำไร และผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศ เคยมาเมืองไทย รู้จักเมืองไทย ก็ซื้ออสังหาฯในเมืองไทย
“ในส่วนของริชี่ เพลซฯ มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 10% ของยอดขายรวม และในจำนวน 10% ก็เป็นลูกค้าชาวจีนและฮ่องกง 9% ซึ่งเป็นลูกค้ามีศักยภาพ คนที่จองไว้ก็มีการโอนกรรมสิทธิ์อยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่อาจมีบางคนเดินทางมาไม่ได้ จึงขอกับทางเราว่าถ้าเปิดการบินแล้วจะเข้ามาโอน แต่บางคนก็โอนเงินมาเลย กรณีแบบนี้เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด ไม่ได้เกี่ยวกับเอเวอร์แกรนด์”
“อสังหาฯในประเทศจีนมีภาวะโอเวอร์ซัพพลายน่าจะเกือบ 10 ปีแล้ว และมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการมานานแล้ว ที่สำคัญ ลูกค้าที่ซื้อเอเวอร์แกรนด์เป็นคนละกลุ่มกับคนที่ซื้ออสังหาฯในไทย และเหตุการณ์ผ่านมาเป็นเดือนแล้วก็ยังไม่เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอสังหาริมทรัพย์ไทยโดยตรง”
ในขณะที่บริษัทจีนที่เข้ามาร่วมทุน JV-joint venture พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในเมืองไทย ถ้าบริษัทแม่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเอเวอร์แกรนด์ หรือไม่ได้มีปัญหาในลักษณะคล้ายกัน ต้องไปดูเป็นเคสบายเคส เพราะขนาดเศรษฐกิจของจีนใหญ่กว่าไทย 20 เท่า
ดีเวลอปเปอร์ไทยแข็งแรงขึ้น
“ดร.อาภา” กล่าวด้วยว่า อีกหนึ่งคำถามที่มักจะถูกถามเสมอก็คืออสังหาริมทรัพย์ไทยมีโอกาสเกิดปัญหาเดียวกันกับเอเวอร์แกรนด์ หรือไม่ เพราะเมื่อตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง พอเศรษฐกิจไม่ดี คนที่ทำธุรกิจอสังหาฯมีการขอกู้สูงมาก ปัจจุบันบทเรียนต้มยำกุ้ง 24 ปีที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้กันเยอะในเรื่องของอัตราหนี้สินต่อทุนที่ถูกควบคุมอย่างเข้มข้นไม่ให้สูงเกินhttps://c6d1c770403c7fb452f944f3085462d8.safeframe.googlesyndication.com/safeframe/1-0-38/html/container.html
นอกจากนี้ บริษัท top 10-20 ในตลาดหลักทรัพย์ฯมีหนี้สินต่อทุนต่ำมาก ฉะนั้น พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ (สถานการณ์โควิด) หรือได้รับผลกระทบจากเอเวอร์แกรนด์ อสังหาฯไทยจะล้มหรือไม่ มองว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุเหล่านี้ แต่ถ้าบริษัทไทยจะมีปัญหาเป็นเพราะปัญหาภายในองค์กรของแต่ละบริษัทมากกว่า ซึ่งธุรกิจอสังหาฯต้องมีทุนของตัวเองค่อนข้างสูง กู้ได้แค่ส่วนเดียว
“สำหรับประเทศไทยถือว่าคนจีนเป็นลูกค้าหลักทุกบริษัท ลูกค้าชาวยุโรปไม่มาก สาเหตุที่คนจีนสนใจอสังหาฯไทย เนื่องจากวัฒนธรรมไม่แตกต่างกันมากนัก นับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เมื่อคนจีนเดินทางมาประเทศไทยแล้วรู้สึกคล้ายกับอยู่บ้านเขา ไม่ต้องปรับตัวมาก คนของเราก็มีอัธยาศัยดี ค่าครองชีพก็ไม่แพง”
ปี’65 ลูกค้าจีนกลับมาช้าลง
ถัดมา “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ลูกค้าต่างชาติที่ซื้ออสังหาฯไทยคือชาวจีนเป็นหลัก พอมีวิกฤตเอเวอร์แกรนด์ขึ้นมา ความต้องการเก็งกำไรในตลาดที่เขาไม่คุ้นเคยอย่างประเทศไทย หรือการลงทุนอสังหาฯในตลาดที่เขาคุ้นเคยน้อยกว่า
บริษัทใหญ่อย่างเอเวอร์แกรนด์ยังมีปัญหาได้เลย ก็คงจะทำให้เซนติเมนต์ในการซื้ออสังหาฯของชาวจีนลดลงไปบ้าง แต่ก็เป็นแรงต้านไม่มากนักในเบื้องต้น เชื่อว่าสักพักหนึ่งถ้าสถานการณ์เอเวอร์แกรนด์คลี่คลาย หรือไม่แย่จนเกินไป ก็หวังว่าจะเห็นภาพตลาดอสังหาฯของต่างชาติในไทยได้ดีขึ้น
“ผลกระทบอาจทำให้ลูกค้าต้องศึกษาตัวดีเวลอปเปอร์มากขึ้นว่าความมั่นคงทางด้านการเงินของแต่ละบริษัทเป็นอย่างไร ซึ่งโครงการในเมืองไทยไม่เหมือนเมืองจีนที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ ซึ่งแปลว่าเขาพึ่งพิงในการที่ดีเวลอปเปอร์จะลงทุนในส่วนอื่น ๆ ตามที่สัญญาไว้เพิ่มเติม
เช่น สมมุติบอกว่าจะทำโครงการ 20,000 หลังคาเรือน จะมีโรงเรียนหรือโรงแรมอะไรก็แล้วแต่ การที่ดีเวลอปเปอร์ยังอยู่เพื่อ deliver สิ่งเหล่านั้นอาจสำคัญสำหรับชาวจีน”
“แต่ประเทศไทย โครงการส่วนใหญ่นับว่าเล็กมากถ้าเทียบกับที่เมืองจีน ในไทยเฉลี่ยโครงการละ 200-300 ยูนิต สร้างเสร็จก็จบไปทีละโครงการ ข้อดีคือกฎหมายจัดสรรของไทยค่อนข้างเข้มแข็ง มีการให้วางเงินประกันสาธารณูปโภคไว้ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าดีเวลอปเปอร์มีเงิที่จะทำโครงการแน่นอน
เพราะฉะนั้น ในมุมของลูกค้าชาวไทยที่กำลังซื้อชะลอตัวน่าห่วงกว่าสิ่งที่เห็นในประเทศจีนเยอะเลย เพราะกฎหมายไทยบังคับไว้หมดแล้วมีเงินสำรองไว้แล้ว สาธารณูปโภคที่ดีเวลอปเปอร์สัญญาว่าจะทำ กระทั่งบริษัทมีปัญหาก็น่าจะทำโครงการได้สำเร็จอยู่
แต่จะกระทบด้านลูกค้าชาวจีน และความเชื่อมั่นของชาวจีนและชาวต่างชาติในการมาซื้ออสังหาฯไทย ซึ่งปีนี้ก็ไม่ได้มีชาวต่างชาติมาซื้ออสังหาฯในประเทศไทยอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับ 2-3 ปีก่อน ฉะนั้นเราเชื่อว่ามีผลกระทบน้อยเพราะปีนี้ไม่มีลูกค้าชาวจีนเข้ามาอยู่แล้ว”
“ไตรเตชะ” มองว่า ผลกระทบด้านลบอาจทำให้ลูกค้าชาวจีนกลับเข้ามาในตลาดไทยช้าลง จากเดิมหากไม่มีปัญหาเอเวอร์แกรนด์เกิดขึ้น เชื่อว่าปี 2565 ลูกค้าจีนน่าจะกลับมาซื้ออสังหาฯในไทยแล้ว ตอนนี้จึงขึ้นอยู่กับ impact ของเอเวอร์แกรนด์
ซึ่งตอนนี้ยังฝุ่นตลบอยู่ ยังมองไม่เห็นว่าจะจบอย่างไร ความเชื่อมั่นหายไปแค่ไหน ผลกระทบเอเวอร์แกรนด์ลูกค้าจีนมีความกังวลเยอะ อาจกลับมาซื้อคอนโดฯไทยน้อยลงและช้าลง
มองต่างมุมผลกระทบเอเวอร์แกรนด์จะเป็นโอกาสให้ลูกค้าจีนออกมาซื้ออสังหาฯนอกประเทศมากขึ้น รวมทั้งในไทยด้วยหรือไม่ คำตอบกระชับ ๆ “หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ แต่พูดตรง ๆ ว่าค่อนข้างยาก”
โควิดทุบลูกค้าเก็งกำไร
ผู้บริหารคนที่ 3 “ปิยะ ประยงค์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด ลูกค้าจีนที่ซื้อห้องชุดไว้ก็ยังโอนกรรมสิทธิ์ตามปกติ โดยจ้างเอเย่นต์ชาวจีนมาตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องแล้วรับโอน ผลกระทบที่อาจจะเกิดจากกรณีนี้คงต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่ง รอดูการบริหารจัดการของรัฐบาลจีน
“กรณีเอเวอร์แกรนด์เป็นเหมือนฟองสบู่ในประเทศของเขา ส่วนในประเทศไทยการมีมาตรการ LTV-loan to value ของแบงก์ชาติเมื่อปี 2562 สามารถควบคุมตลาดคอนโดฯได้ค่อนข้างดี ทำให้ช่วยลดปัญหานี้ลงไปได้ เพราะในระยะยาวทำให้มีคนเก็งกำไรน้อย ไม่เกิดฟองสบู่ ช่วงนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นลูกค้าเรียลดีมานด์ เนื่องจากมี LTV บวกกับสถานการณ์โควิด-19 ลูกค้าเก็งกำไรหายไปเยอะ”
โดยพอร์ตลูกค้าชาวจีนของพฤกษาฯมีสัดส่วน 10% ของภาพรวมทั้งบริษัท และมีสัดส่วน 30% ของพอร์ตคอนโดมิเนียม
มองบวกจีนกระจายความเสี่ยง
ถึงคิวของ “ธงชัย บุศราพันธ์” ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) แสดงข้อคิดเห็นในเชิงบวกว่า วิกฤตเอเวอร์แกรนด์ทำให้คนจีนอยากจะ diversify การลงทุนออกนอกประเทศมากขึ้น เพราะเขาคิดว่าการลงทุนในประเทศก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน ดังนั้นก็น่าจะเป็นผลกระทบในแง่บวก
“อสังหาริมทรัพย์ไทยนอกจากราคาถูกแล้ว คนจีนหรือฮ่องกงส่วนใหญ่เหตุผลซื้อคือประเทศไทยน่าอยู่ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเขา สามารถเดินทางได้ง่าย ไทม์โซนไม่เปลี่ยน ค่าครองชีพไม่แพง เฮลท์แคร์ก็ดี ทำให้หลายคนซื้ออสังหาฯในเมืองไทยเป็นบ้านหลังที่ 2”
ทั้งนี้ พอร์ตลูกค้าชาวจีนของโนเบิลฯมีสัดส่วน 80% ของพอร์ตลูกค้าต่างชาติ
จุดขายคอนโดฯไทยแน่นปึ้ก
สุดท้ายกับ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรณีเอเวอร์แกรนด์ไม่ได้กระทบกับบริษัท เพราะมีสัดส่วนลูกค้าชาวจีนเพียง 7-8% ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์ก็ยังไปได้ดีแทบไม่ค่อยมี cancel เลย
“เหตุการณ์ที่เกิดในจีนอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับไทยมากนัก ตลาดจีนเขาอาจมีโอเวอร์ซัพพลาย ราคาอสังหาฯอาจจะแพงขึ้นเร็ว ส่วนห้องชุดไทยราคาถูกลงเรื่อย ๆ เพราะเศรษฐกิจบ้านเราไม่ดี เพราะฉะนั้น คนซื้อก็จะมาซื้อของที่ถูกกว่า”
ส่วนกรณีเอเวอร์แกรนด์จะทำให้เป็นโอกาสของอสังหาริมทรัพย์ไทยหรือไม่นั้น มุมมองคือคนมีเงินในประเทศจีน หรือประเทศอื่น ๆ มีการกระจายการลงทุน กระจายความเสี่ยงอยู่แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยมีจุดขายในการเป็นบ้านหลังที่ 2 หรือเป็น retirement home ที่ดี
โดยมี 3 ปัจจัยดึงดูด “ค่าครองชีพถูก อสังหาฯถูก และค่ารักษาพยาบาลถูก” ซึ่งเป็นจุดขาย และเป็น benefits ของตลาดคอนโดฯเมืองไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
กนอ. เล็งสมุทรปราการ-สมุทรสาคร ตั้งนิคมฯราชทัณฑ์
การนิคมฯ รับลูก ครม. เร่งศึกษาแนวทางจัดตั้ง “นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์” เปิดทางให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่-ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม หาพื้นที่ลงทุน รัฐพร้อมอัดสิทธิประโยชน์เพียบ มุ่งเป้าที่ดินในสมุทรปราการและสมุทรสาคร หวังฝึกทักษะอาชีพ พัฒนาฝีมือแรงงาน ให้โอกาสผู้ต้องขังกลับคืนสังคม
วันที่ 22 ตุลาคม 2564 นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการศึกษาจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมได้ทำการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ฝึกทักษะอาชีพ พัฒนายกระดับฝีมือแรงงาน และสร้างผู้พ้นโทษให้เป็นผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพในอนาคต ลดจำนวนอัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขัง
กลุ่มเป้าหมายคือผู้พ้นโทษ และผู้อยู่ระหว่างพักการลงโทษหรือลดจำนวนวันต้องโทษ โดย กนอ.จะนำแนวทางที่ได้จากข้อเสนอแนะของ ครม.ไปร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางดำเนินงานตามมติ ครม.ต่อไป
เบื้องต้นจากการศึกษารูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสมนั้น จะดำเนินการในลักษณะของการเชิญชวนผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เป็นผู้จัดหาที่ดินของเอกชนและพัฒนาเป็นนิคมฯ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ โดยรัฐสนับสนุนสิทธิประโยชน์ต่างๆ และ กนอ.ทำหน้าที่ตรวจสอบ กำกับดูแล เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ส่วนการคัดเลือกผู้ประกอบธุรกิจจะเน้นนวัตกรรม แรงงานใช้ทักษะฝีมือ และรูปแบบธุรกิจที่ทันสมัย
“กนอ.จะเร่งศึกษาความเป็นไปได้ มาตรการ และสิทธิประโยชน์ เพื่อดึงดูดนักลงทุน อาทิ จัดให้มีบริการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม, การให้บริการอนุมัติ อนุญาต และกำกับดูแลการประกอบกิจการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม, การยกเว้นค่าใช้จ่ายร่วมดำเนินงานนิคมอุตสาหกรรมให้แก่ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม เช่น ค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงาน และการจัดให้มีและให้บริการสิทธิประโยชน์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนควบคุม กำกับดูแล และประสานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของนิคมฯ ให้เป็นไปตามกฎหมาย”
ทั้งนี้ จะให้เอกชนเป็นผู้จัดหาพื้นที่ โดยเน้นศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ และสมุทรสาครก่อน ซึ่ง กนอ.ขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนภาคเอกชนที่สนใจให้มาร่วมลงทุน โดย กนอ.ยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ขนไก่หญิงคู่พาเหรดเข้ารอบ 8 คน แบดเดนมาร์ก โอเพ่น
2 นักตบลูกขนไก่หญิงคู่ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศแบดมินตัน เดนิสา เดนมาร์ก โอเพ่น 2021 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 1000
การแข่งขันแบดมินตันรายการเดนิสา เดนมาร์ก โอเพ่น 2021 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 1000 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,390,000 บาท ที่เมืองโอเดนเซ่ ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 ต.ค.64 เป็นการแข่งขันในรอบ 2 มีนักแบดมินตันลงสนาในช่วงดึกอีก 2 คู่
ประเภทหญิงคู่ รอบสอง “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธารากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มือวางอันดับ 5 ของรายการ คู่มืออันดับ 8 ของโลก พบกับรุ่นน้องอย่าง “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด กับ “อันนา” นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด คู่มืออันดับ 64 ของโลก เกมนี้เป็นคู่ของ กิ๊ฟ กับ วิว ที่ทำได้ดีกว่าไล่ตบชนะไปได้ 2-0 เกม 21-13 และ 21-14 ใช้เวลาแข่งขัน 33 นาที “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กับ “วิว” รวินดา ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบผู้ชนะระหว่าง อเมเลีย แม็กลุนด์ กับ ฟรีกา ราเวน คู่มืออันดับ 24 ของโลกจากเดนมาร์ก หรือ ดู้ หยู กับ ลี เหวินเหม่ย จากจีน
“เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 22 ของโลก พบกับ โจฮันนา แม็กนุสสัน กับ คลาร่า นิสตาด คู่มือ 78 ของโลกจากสวีเดน เกมนี้เป็นคู่ของ “เอิร์ธ” กับ “ปอป้อ” ที่เป็นฝ่ายครองเกมได้เหนือกว่า ช่วยกันทำคะแนนตบเอาชนะ ไปอย่างง่ายดาย 2-0 เกม 21-9 และ 21-8 ใช้เวลาแข่งขัน 31 นาที ,
“เอิร์ธ” พุธิตา กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ ลี โซฮี กับ ชิน ซองชาน คู่มือวางอันดับ 2 รายการ คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากเกาหลีใต้ ชนะ นิต้า วีโอลิน่า มาร์วาล กับ พรูตี ซายาการ์ คู่มืออันดับ 45 ของโลกจากอินโดนีเซีย 15-21, 21-18, 21-15
สำหรับผลการแข่งขันคู่อื่นๆที่น่าสนใจมีดังนี้ ประเภทหญิงคู่ หวง ดองปิง กับ เจียง ยู่ จากจีน ชนะ กาเบรียลล่า กับ สเตฟานี่ สโตเอว่า คู่มือวางอันดับ 7 ของรายการ คู่มืออันดับ 12 ของโลกจากบัลแกเรีย 17-21 21-11 21-17 , หลิว ซวนซวน กับ เซี๊ยะ ยู่ติง คู่มืออันดับ 20 ของโลกจากจีน – อลิซ่า เตอร์โทเซ็นโทโน่ กับ อิมเก้ วานเดอร์ อาร์ คู่มืออันดับ 82 ของโลกจากเนเธอร์แลนด์ 21-10 , 21-11
ประเภทชายคู่ มูฮัมหมัด ฟริคี้ กับ บากัส มูลาน่า คู่มืออันดับ 41 ของโลกจากอินโดนีเซีย ชนะ กิลเดี้ยน มาร์คัส เฟอร์นัลดี้ กับ เคลวิน ซานจาย่า ซูคัลโมโจ คู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 1 ของโลกจากอินโดนีเซีย 17-21,21-17,23-21 , คิม แอสทรุ๊ป กับ อันเดรส ราสมุสเซ่น คู่มือวางอันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 11 ของโลกจากเดนมาร์ก ชนะ ปรามูดย่า กูสุมาวาราดาน่า กับ เยเรเมีย ยาค็อบ แรมบิแทน คู่มืออันดับ 43 ของอินโดนีเซีย 21-15, 21-18 , อากิระ โคกะ กับ ทาอิชิ ซาอีโตะ คู่มืออันดับ 27 ของโลกจากญี่ปุ่น ชนะ อารอน เชี๊ยะ กับ โซ วูยิค คู่มือวางอันดับ 5 รายการ คู่มืออันดับ 8 ของโลกจากมาเลเซีย 21-19, 23-21 , ทาคูโระ โฮกิ กับ ยูโกะ โคบายาชิ คู่มืออันดับ 15 ของโลกจากญี่ปุ่น ชนะ หลี่ หยาง กับ หวัง ฉีหลิน คู่มือวางอันดับ 3 รายการ คู่มืออันดับ 3 ของโลกจากไต้หวัน 21-19,21-17
ประเภทชายเดี่ยว เคนโตะ โมโมตะ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 1 ของโลกจากญี่ปุ่น ชนะ คีดัมบี้ สีกานห์ มืออันดับ 14 ของโลกจากอินเดีย 23-21,21-9 ,โจนาธาน คริสตี้ มือวางอันดับ 6 ของรายการ มือดันดับ 7 ของโลกจาอินโดนีเซีย ชนะ คันตะ ทัตสึนิยะม่า มืออันดับ 13 ของโลกจากญี่ปุ่น 21-11,21-9 , ลี ชุคยิว มืออันดับ 17 ของโลกจากฮ่องกง ชนะ อึ้ง กาลอง อังกัส มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 9 ของโลกจากฮ่องกง 21-16, 18-21, 21-8 โจว เทียนเฉิน มืออันดับ 4 ของรายการ มืออันดับ 4 ของโลกจากไต้หวัน ชนะ ลู่ กวงวซู มืออันดับ 27 ของโลกจากจีน 21-15,21-18
ประเภทหญิงเดี่ยว คริสตี้ กิลมอร์ มืออันดับ 25 ของโลกจากสกอตแลนด์ ชนะ คิม กาอึน มืออันดับ 18 ของโลกจากเกาหลีใต้ 21-18, 20-22, 26-24, เหอ บิงเจียว มือวางอันดับ 6 ของรายการ มืออันดับ 9 ของโลกจากจีน ชนะ ซายากะ ทากาฮาชิ มืออันดับ 15 ของโลกจากญี่ปุ่น 21-14,21-14 , อากเนะ ยามากูชิ มืออันดับ 2 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลกจากญี่ปุ่น ชนะ เกรกลอเรีย มาริสก้า ทุนจุง มืออันดับ 21 ของโลกจากอินโดนีเซีย 21-13, 21-15 , อัน เซยอง มือวางอันดับ 5 รายการ มืออันดับ 8 ของโลกจากเกาหลีใต้ ชนะ อีฟเกยีน่า โคเซทคาย่า มืออันดับ 22 ของโลกจากรัสเซีย 21-9,21-11, เมียร์ บลิทเฟลท์ มืออันดับ 12 ของโลกจากเดนมาร์ก — คาร่า อาซูเมนดี้ มืออันดับ 56 ของโลกจากสเปน
ประเภทคู่ผสม หวัง ยี่ลู่ กับ หวง ดองปิง คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 2 ของโลกจากจีน ชนะ ทอม กีเซล กับ เดลฟิน แดรูรร์ มืออันดับ 10 ของโลกจากฝรั่งเศส 23-21, 21-10 , เฟิง ยานซี่ กับ ดู้ หยู คูามืออันดับ 1807 ของโลกจากจีน ชนะ ชาง ตั๊กชิง กับ อึ้ง วินหยุน มืออันดับ 33 ของโลกจากฮ่องกง 21-15 21-16 , ถัง ชุนมาน กับ ซื่อ หยิงซวด คู่มืออันดับ 11 ของโลกจากฮ่องกง ชนะ ดารุฟ คาปิลา กับ ซิกกี้ เรดดี้ จาดอินเดีย 21-17,19-21,21-11 , ปราวีน จอร์แดน กับ เมลาติ เดวา อ๊อคตาเวียนติ คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากอินโดนีเซีย ชนะ โก๊ะ ซุนฮวด กับ เชวอน เจมี่ไล คู่มืออันดับ 13 ของโลกจากมาเลเซีย 21-14, 21-12 , ยูตะ วาตานาเบ้ กับ อริสะ ฮิกาชิโนะ คู่มือวางอันดับ 4 ของรายการ คู่มืออันดับ 5 ของโลกจากญี่ปุ่น ชนะ รินอฟ ริวัลดี้ กับ พิธา เมนทารี่ คู่มืออันดับ ของโลกจากอินโดนีเซีย 21-13, 22-20
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ปวดเมื่อยเท้า ควรแช่ “น้ำอุ่น” หรือ “น้ำเย็น”
ใครที่ยืนหรือเดินนานๆ อาจจะเคยลองคลายปวดเมื่อยด้วยการเอาเท้าแช่น้ำ ว่าแต่… เราควรแช่เท้าในน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น
ปวดเมื่อยเท้า ควรแช่ “น้ำอุ่น” หรือ “น้ำเย็น”
นพ. กฤษฎิ์ พฤกษะวัน สาขาศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ-เท้าและข้อเท้า โรงพยาบาลเวชธานี ระบุว่า จริงๆ แล้วหากมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเท้า และขาจากการเดิน หรือยืนนานๆ มาตลอดทั้งวัน ควรแช่เท้า และขาใน “น้ำเย็น” เพราะน้ำเย็นจะช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ช่วยลดสารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ จึงทำให้อาการปวดบวมจากการอักเสบของกล้ามเนื้อลดลงได้
โดยคุณหมอให้ข้อสังเกตง่ายๆ ว่า ลองดูพลาสเตอร์ปิดเท้า ปิดขาที่ขายอยู่ตามท้องตลาด มักเป็นแผ่นแปะที่มีฤทธิ์เย็น เพราะจะมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบปวดบวมของกล้ามเนื้อได้ดีนั่นเอง
เราควรแช่เท้าในน้ำอุ่นตอนไหน?
การแช่เท้าในน้ำอุ่นมีประโยชน์ในแง่ของการผ่อนคลาย นอนหลับง่าย เพราะน้ำอุ่นช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นหากอยากผ่อนคลายเพื่อการพักผ่อนนอนหลับให้สบายในตอนกลางคืน ลองแช่เท้าในน้ำอุ่นราว 36-38 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10-15 นาที เช็ดเท้าให้แห้ง หรืออาจจะทาครีมบำรุงสำหรับเท้าด้วย จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ประโยคถามทางภาษาเกาหลี รู้แบบนี้ ไปเกาหลีก็ไม่หลงทางแล้ว
การเดินทางไปเที่ยวเกาหลีตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราสามารถเดินทางไปเที่ยวด้วยตัวเองได้ แต่ในบางครั้งถ้าเราไปเกาหลีด้วยตัวเอง เราก็อาจจะหลงทางได้ วันนี้เราเลยมีประโยคถามทางภาษาเกาหลีมาฝากกัน
ประโยคถามทางภาษาเกาหลี
อันนยองทุกคน วันนี้เราก็กลับมาพร้อมประโยคภาษาเกาหลีง่ายๆ ที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันได้ โดยในวันนี้ประโยคที่เราจะมาแนะนำกันก็คือ ประโยคถามทาง เผื่อใครไปเที่ยวเกาหลีแล้วหลงทาง แถมบังเอิญไปเจออปป้าหน้าหล่อเดินผ่านมา เราก็จะได้ลองใช้ภาษาเกาหลีถามทางอปป้าดู เห็นไหมคะว่าเราจะได้รู้ทาง แถมยังฟินอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่า วันนี้จะมีประโยคอะไรน่าสนใจบ้าง
1. ขอโทษนะคะ ขอถามทางหน่อยค่ะ
ถ้าเราต้องการจะถามทาง เราจะพูดแบบสุภาพได้ว่า 죄송한데 길이 좀 물어불 게요.(เช ซง ฮัน เด คี รึล จม มู รอ บล เก โย) ซึ่งแปลว่า ขอโทษนะคะ ขอถามทางหน่อยค่ะ
ADVERTISEMENThttps://2e16df528fe30879084891a08cb51328.safeframe.googlesyndication.com/safeframe/1-0-38/html/container.html
2. …อยู่ที่ไหนคะ ?
ถ้าเราอยากรู้ว่า สถานที่ที่เราต้องการจะไปอยู่ตรงไหน เราสามารถถามได้ด้วยประโยคที่ว่า …이/가 어디에 있어요? (…อี/กา ออ ดี เอ อิด ซอ โย้) โดยที่ที่จุดเว้นวรรคเอาไว้ให้เราใส่คำศัพท์สถานที่ หรือชื่อสถานที่ลงไป เช่น ถ้าเราจะตามหาสถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งสถานีรถไฟใต้ดินภาษาเกาหลีคือ 지하철역 (ชี ฮา ชอล รยอก) และเมื่อเราลองเอาคำศัพท์มาเติมในช่องว่างก็จะเป็น 지하철역 이 어디에 있어요? (ชี ฮา ชอล รยอ กี ออ ดี เอ อิด ซอ โย้) ซึ่งแปลว่า สถานีรถไฟใต้ดินอยู่ที่ไหนคะ? นั่นเอง
3. …ไปยังไงคะ ?
ถ้าเราอยากรู้ว่าจะเดินทางไปสถานที่หนึ่งๆ อย่างไร เราก็จะต้องถามว่า …에 어떻게 가요? (เอ ออ ตอ เค คา โย้) โดยจุดที่เว้นวรรคเอาไว้ ให้เราใส่คำศัพท์สถานที่ หรือชื่อสถานที่ลงไป เช่นถ้าเราอยากรู้ว่าจะไปเมียงดงอย่างไรก็จะพูดได้ว่า 명동에 어떻게 가요? (มยอง ดง เอ ออ ตอ เค คา โย้ ) ซึ่งแปลว่า เมียงดงไปยังไงคะ หรือว่าเมียงดงไปทางไหนนั่นเองค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก lifestyle.campus-star.com
กรมสรรพากร เตือนอย่าเชื่ออีเมลปลอม อ้างคลิกลิ้งค์รับคืนภาษี คลิกแล้วอาจเสียทรัพย์ได้
กรมสรรพากร เตือนอย่าเชื่ออีเมลปลอม อ้างคลิกลิ้งค์รับคืนภาษี โดยนางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ตามที่มีอีเมลส่งถึงผู้เสียภาษีแจ้งว่า กรมสรรพากรได้โอนเงินคืนภาษี จํานวนหนึ่ง เข้าบัญชีธนาคารทางอินเทอร์เน็ตของผู้เสียภาษี โดยมีเงื่อนไขให้ยอมรับคําขอกองทุนภาษี หลังจากนั้นเงินภาษีจะถูกโอนเข้าบัญชีของผู้เสียภาษีภายใน 1 – 2 วันทําการ นั้น
กรมสรรพากร ขอยืนยันว่าอีเมลดังกล่าวเป็นอีเมลปลอม โปรดอย่าหลงเชื่อและทําตามเป็นอันขาด ซึ่งอาจจะทําให้ท่านสูญเสียทรัพย์สินหรือเกิดความเสียหายได้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
ขอบคุณข้อมูลจาก it24hrs.com/2021
การบูร งานวิจัยและสรรพคุณ 18ข้อ
การบูรคืออะไร
การบูรเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่มีผลึกแทรกอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้และยังสามารถนำลำต้น,ราก,ใบ มากลั่นหรือสกัดจนได้ผลึกดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งแต่เดิมนั้น คำว่า “การบูร” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “Karapur” หรือ “กรปูร” ซึ่งแปลว่า “หินปูน” เพราะโบราณเข้าใจว่าผนึกนี้เป็นพวกหินปูนที่มีกลิ่นหอม ต่อมาชื่อนี้เพี้ยนเป็น “กรบูร” และเป็น “การบูร” ในปัจจุบัน (ผู้เขียนเข้าใจว่า ชื่อการบูรนี้คงถูกเรียกจากผลึกที่ได้แล้วจึงนำมาตั้งชื่อต้นไม้ที่ให้ผลึก) ส่วนลักษณะของผลึกการบูรนั้น มีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดกลมๆเล็กๆ มันวาว สีขาวแห้ง มีกลิ่นหอมเย็นฉุน มักจะจับกันเป็นก้อนร่วน ๆ แตกง่าย หากทิ้งไว้ในอากาศ จะระเหิดไปหมด มีรสร้อนปร่าเมา
สูตรทางเคมีและสูตรโครงสร้าง
ผลึกการบูรมีชื่อสามัญว่า Camphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor เป็นสารประกอบกลุ่มเทอร์พีนที่พบได้จากต้นการบูรมีความไวไฟ มีชื่อตาม IUPAC ว่า 1,7,7-trimethylbicyclo [2.2.1]heptan-2-one และมีชื่ออื่นๆ ได้แก่ 2-bornanone, 2-camphanone bornan-2-one, Formosa มีสูตรเคมี C10H16O มีน้ำหนักโมเลกุล 152.23 ความหนาแน่น 0.990 มีจุดหลอมเหลวที่ 179.75 องศาเซลเซียส (452.9 K) จุดหลอมเหลว 204 องศาเซลเซียส (477K) สามารถละลายน้ำได้ และมีสูตรโครงสร้างดังนี้
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของการบูร
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผลึกการบูรได้มาจากการระเหิดของยางจากเนื้อไม้ของต้นการบูรและการกลั้นหรือสกัด ลำต้น ราก ใบ ต้น การบูร ซึ่งมีข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ของต้นการบูรคือ สมุนไพรการบูร มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า การะบูน การบูร (ภาคกลาง), อบเชยญวน (ไทย), พรมเส็ง (เงี้ยว), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (จีนกลาง) เป็นต้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Camphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora (L.) Spreng. ชื่อวงศ์Lauraceae
ประโยชน์และสรรพคุณการบูร
- แก้ปวด แก้เคล็ดบวม ขัดยอก แพลง แก้กระตุก แก้ปวดข้อ
- แก้ปวดเส้นประสาท
- ช่วยลดคอเลสเตอรอล
- แก้พิษแมลงต่อย
- รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง
- ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ
- แก้ไข้หวัด และขับลม
- บำรุงธาตุ บำรุงกำหนัด
- เป็นยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ
- แก้ปวดท้อง ท้องร่วง ขับน้ำเหลือง แก้เลือดลม
- บรรเทาอาการปวดประจำเดือน และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร
- ช่วยแก้รอยผิวหนังแตกในช่วงฤดูหนาว
- สามารถช่วยไล่ยุงและแมลง
- ใช้รักษาแผล สมานแผล
- ฆ่าเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
- ใช้ไล่แมลง
- ช่วยลดกลิ่นอับ
- แก้อาการเมารถ
ขนาดและปริมาณที่ควรใช้
ในการรักประทานยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันชัดเจนว่าควรบริโภคการบูรเท่าไร ที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายแต่ในด้านการสูดดมมีการคำนวณว่าในสารที่ผสมการบูรเสร็จแล้ว ไม่ควรเกินกว่า 2 ppm ซึ่งหมายความว่า มีปริมาณของการบูร 2 มิลลิกรัมในสารละลาย 1 ลิตร ดังนั้นในการใช้การบูรทั้ง การรับประทานและการสูดดมความต้องระมัดระวังและใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ลักษณะทั่วไปการบูร
เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน และมีการกระจายพันธุ์ไปในแถบ เมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย อินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาไมกา บราซิล สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มกว้างและทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบ ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นและกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อนำมากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนของต้นการบูรจะมีกลิ่นหอม โดยเฉพาะที่ส่วนที่ของรากและโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการปักชำ
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี หรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 5.5-15 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบค่อนข้างเหนียว ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบประมาณ 3-8 มิลลิเมตร แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม และตามเส้นกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ตาใบมีเกล็ดซ้อนเหลื่อมหุ้มอยู่ เกล็ดชั้นนอกเล็กกว่าเกล็ดชั้นในตามลำดับ
ดอกช่อแบบแยกแขนงออกตามเป็นกระจุกบริเวณง่ามใบ ดอกเล็กสีขาวอมเหลืองหรืออมเขียว ก้านดอกสั้นมาก กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ รูปรี ปลายมน ด้านนอกเกลี้ยง ด้านในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วง วงละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 และวงที่ 2 หันหน้าเข้าด้านใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันหน้าออกด้านนอก ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน ต่อมรูปไข่กว้างและมีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิดทั้ง 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน อยู่ด้านในสุด รูปร่างคล้ายหัวลูกศร มีขนแต่ไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม ใบประดับเรียวยาว ร่วงง่าย มีขนอ่อนนุ่ม
ผลรูปไข่ หรือกลม เป็นผลมีเนื้อ ยาว 6-10 มิลลิเมตร สีเขียวเข้ม เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีดำ มีฐานดอกซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผล มีเมล็ด 1 เมล็ด ออกดอกราวเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม
ซึ่งการบูรจากธรรมชาตินั้น เป็นผลึกที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ของต้นการบูร ที่เกิดอยู่ทั่วไปทั้งต้น มักจะอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้ มีมากที่สุดในแก่นของราก รองลงมาที่แก่นของต้น ส่วนที่อยู่ใกล้โคนต้นจะมีการบูรมากกว่าส่วนที่อยู่สูงขึ้นมา ในใบและยอดอ่อนมีการบูรอยู่น้อย และจะมีน้อยกว่าใบแก่ ส่วนการผลิตการบูร จะใช้วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ (ซึ่งอาจไม่สามารถกลั่นการบูรได้เองภายในครัวเรือน เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์ที่เฉพาะ) โดยนำส่วนต่างๆ ของลำต้นและรากการบูรที่มีอายุเกิน 40 ปี มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปกลั่น เมื่อกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหย การบูรจะตกผลึกเป็นก้อนสีขาวๆ แยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหย หลังจากนั้นจึงกรองแยกเอาผลึกการบูร (อาจเอามาทำให้บริสุทธิ์โดยการระเหิด) การบูรที่ได้นี้เรียกว่า refined camphor หรือ resublimed camphor แต่ในประเทศอเมริกา จะใช้ใบและยอดอ่อนของต้นที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปแทน แม้จะให้ปริมาณการบูรน้อยกว่า แต่สามารถตัดใบและยอดอ่อนมากลั่นได้ทุกๆ สองเดือน ในปัจจุบันนี้การบูรเกือบทั้งหมดได้จากวิธีการกึ่งสังเคราะห์จากสารตั้งต้น คือ แอลฟา-ไพนีน (alpha-pinene) ที่ได้จากน้ำมันสน
การบูรยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาหอมต่าง ๆ เช่น ยาหอมเทพจิตร ยาหอมทิพโอสถ ยาประสะไพล ยาธาตุบรรจบ ยาประสะกานพลู ยามันทธาตุ ยาไฟประลัยกัลป์ ยาประสะเจตพังคี ยาธรณีสัณฑะฆาต ยาธาตุอบเชย หรือนำมาใช้ทำน้ำมันไพล ลูกประคบ พิมเสนน้ำ เป็นต้น
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
- รากของต้นการบูรมีน้ำมันหอมระเหย 3% ซึ่งประกอบไปด้วย azulene, cadinene, camphene, camphor, carvacrol, cineol, citronellol, citronellic acid, fenochen, limonene, phellandene, pinene, piperiton, piperonylic acid, safrole และ terpineol ส่วนใบของต้นการบูรพบ camphor และ camperol
- เนื้อไม้ของต้นการบูรเมื่อนำมากลั่นด้วยไอน้ำ จะได้การบูรและน้ำมันหอมระเหยรวมกันประมาณ 1% ซึ่งประกอบด้วย acetaldehyde, betelphenol, caryophyllen, cineole, eugenol, limonene, linalool, orthodene, p-cymol, และ salvene
- ราก กิ่ง และใบ พบน้ำมันระเหยโดยเฉลี่ยประมาณ 3-6% โดยในน้ำมันระเหยจะมีสารการบูรอยู่ประมาณ 10-50% และพบว่าต้นการบูรยิ่งมีอายุมากเท่าไหร่ จะพบว่ามีสารการบูรมากตามไปด้วย โดยพบสาร ต่างๆ เช่น Azulene, Bisabolone, Cadinene, Camphorene, Carvacrol, Safrol เป็นต้น
- ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลองของการบูร โดยนำสารสกัดหยาบจากใบการบูร สกัดด้วย 80% methanol แล้วนำสารสกัดที่ได้ มาผ่านการแยกโดยใช้ hexane และ ethyl acetate (EtOAc) จากการทดลองพบว่าสารสกัด hexane และ EtOAc ขนาด 100 μg/ml ของการบูร สามารถยับยั้งการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้แก่ interleukin (IL)-1b, IL-6 และ tumor necrosis factor (TNF-α) จากเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 cells ของหนู ซึ่งถูกกระตุ้นโดย lipopolysaccharide (LPS) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้ในช่วง 20-70% และสามารถยับยั้งการสร้าง nitric oxide (NO) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ได้ 65% สารสกัดหยาบด้วย 80% methanol และส่วนสกัดย่อย hexane และ ethyl acetate สามารถยับยั้งการสร้าง prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นในขบวนการอักเสบ ในเซลล์ macrophages ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS หรือ IFN-gamma ได้ 70% และสารสกัด hexane และ ethyl acetate ในขนาด 100 μg/ml สามารถยับยั้งการกระตุ้น β1-integrins (CD29) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยับยั้งไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มของโมเลกุล และเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่จะมารวมตัวกันบริเวณที่เกิดการอักเสบ โดยสามารถยับยั้งได้ 70-80% ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบการบูรมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยเกี่ยวข้องกับการยับยั้ง cytokine, NO และ PGE2
- ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียการศึกษาฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Staphylococcus aureus (เป็นเชื้อที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร แผล ฝีหนอง และอีกหลายระบบในร่างกาย) ของสาร camphor ที่สกัดได้จากต้นการบูร และเป็นองค์ประกอบหลักของ essential oil จากต้นการบูร ทดสอบด้วยวิธี agar disk diffusion วัดผลด้วยการวัดค่า inhibition zone พบว่า camphor ในขนาดความเข้มข้น 2% สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. aureus ได้ แต่ไม่มีผลยับยั้งเชื้อ E.coli
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นการบูรด้วยเอธานอล-น้ำ เข้าช่องท้องหนูถีบจักรพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งมากกว่า 1 ก./กก. เมื่อป้นส่วนที่เป็นไขมันให้สุนัขในขนาด 5 ซีซี/กก. ไม่พบพิษ
มีรายงานว่าการรับประทานการบูร ขนาด 3.5 กรัม ทำให้เสียชีวิตได้ และหากรับประทานเกินครั้งละ 2 กรัม จะทำให้หมดสติ และเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ไต และสมอง อาการแสดงเมื่อได้รับพิษ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ กล้ามเนื้อสั่น กระตุก เกิดการชัก สมองทำงานบกพร่อง เกิดภาวะสับสน ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดที่ได้รับ ปกติแล้วร่างกายมีการกำจัดการบูรเมื่อรับประทานเข้าไป ผ่านการเมทาบอลิซึมที่ตับ โดยการบูรจะถูกเปลี่ยนเป็นสารกลุ่มแอลกอฮอล์ โดยการเติมออกซิเจนในโมเลกุล เกิดเป็นสาร campherolแล้วจะจับตัวกับ glucuronic acid ในตับ เกิดเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ และถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่หากได้รับในปริมาณสูงเกินไป ก็จะเกิดการตกค้างจนก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ และไตได้
การสูดดมการบูร ที่มีความเข้มข้นในอากาศมากกว่า 2 ppm (2 ส่วนในล้านส่วน หรือ 2 mg/m3) จะทำให้เกิดอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ได้แก่ การระคายเคืองต่อจมูก ตา และลำคอ ขนาดที่ทำให้เกิดพิษรุนแรงต่อชีวิต และสุขภาพคือ 200 mg/m3ความเป็นพิษของการบูรที่เกิดจากการรับประทาน ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ ชัก หมดสติ หรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจากภาวะระบบการหายใจล้มเหลว โดยขนาดของการบูรที่ทำให้เกิดอาการพิษที่รุนแรง (ชัก หมดสติ) ในผู้ใหญ่ คือ 34 mg/kg
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า การกินน้ำมันการบูรในขนาด 3-5 mL ที่มีความเข้มข้น 20% หรือมากกว่า 30 mg/Kg จะทำให้เสียชีวิตได้ มีรายงาน case report ระบุไว้ว่า มีเด็กหญิงอายุ 3 ปีครึ่ง ทานการบูรเข้าไป โดยไม่ทราบขนาดที่รับประทาน ปรากฏว่ามีอาการชักแบบกล้ามเนื้อเกร็งทั้งตัวโดยไม่มีการกระตุก (generalised tonic seizures) นาน 20-30 นาที ก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า ระดับน้ำตาล ระดับ electrolytes และระดับแคลเซียม มีค่าปกติ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG) พบว่ามีค่าปกติ และมีอาการอาเจียน 1 ครั้ง เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พบสารสีขาว และมีกลิ่นการบูรรุนแรงจากการอาเจียน
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- สตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทานการบูร
- ผู้ที่เป็นโรคท้องผูกริดสีดวงทวารปัสสาวะแสบขัดเป็นเลือดไม่ควรรับประทาน
- น้ำมันการบูรที่มีสีเหลืองหรือน้ำตาลห้ามใช้ เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง
- ความเข้มข้นของกลิ่นการบูรที่มีมากอาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะปอดและตับได้
ขอบคุณข้อมูลจาก disthai.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/10/2564
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,150.00 | 28,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,823.00 | 27,636.68 | 28,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,640.70 | 24,873.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,458.40 | 22,109.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 820.00 | 12,431.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 638.00 | 9,672.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,889.00 | 28,637.24 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/10/2564
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.55 | 31.55 | 33.55 | 32.25 | 32.70 | 31.55 | 31.55 | 31.95 | 32.25 | 31.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.28 | 31.28 | 33.28 | 31.98 | 32.43 | 31.28 | 31.28 | 31.68 | 31.98 | 31.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.04 | 30.04 | 32.04 | 30.74 | 31.19 | – | 30.04 | 30.44 | 30.74 | 30.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 23.84 | 23.84 | – | – | – | – | – | – | – | 23.84 |
เบนซิน 95 | 38.96 | – | – | – | 40.56 | – | 39.46 | 39.36 | – | 38.96 |
ดีเซล B7 | 29.29 | 29.29 | 30.29 | 29.99 | 29.74 | 29.29 | 29.29 | 29.69 | 29.99 | 29.29 |
ดีเซล | 29.29 | 29.29 | 30.29 | 29.99 | 29.74 | 29.29 | 29.29 | 29.69 | 29.99 | 29.29 |
ดีเซล B20 | 29.04 | 29.04 | 30.24 | – | 29.39 | – | 29.04 | 29.44 | – | 29.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 34.26 | 34.46 | 36.74 | 36.36 | – | – | – | – | – | 34.26 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |