สาระน่ารู้ประจำวันที่ 22 มกราคม 2568

ปรับโฉม ภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ต่อยอดมาตรฐานWELL ยกคุณภาพชีวิต

ภิรัชบุรีกรุ๊ป ปรับโฉม “ภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์” ต่อยอดมาตรฐานWELL เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานหวังเป็นต้นแบบของ Green and Sustainable Building

ในช่วงเวลาที่การทำงานและคุณภาพชีวิตเริ่มถูกมองอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ภิรัชบุรีกรุ๊ป ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ จึงได้ตัดสินใจเดินหน้าปรับโฉม “อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์” เพื่อมุ่งสู่การเป็นอาคารสำนักงานที่ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของผู้เช่าในยุคปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแต่ใส่ใจในทำเลที่ตั้งหรือสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของพนักงานที่ใช้พื้นที่เหล่านั้นทุกวัน

แผนการปรับปรุงครั้งนี้เน้นการยกระดับอาคารสู่มาตรฐาน WELL Building Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลที่ออกแบบเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้อาคาร ผ่านการปรับปรุงในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคาร การจัดการแสงธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งการสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและความสุข

ในภาคการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ สิ่งที่ผู้เช่าหลายๆ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น คือสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพ และความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว อาคารที่ตอบโจทย์ในแง่นี้จึงไม่ใช่แค่พื้นที่ทำงานทั่วไป แต่ต้องสามารถเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ ภิรัชบุรีกรุ๊ป เลือกที่จะปรับเปลี่ยนภิรัชทาวเวอร์ให้เป็นต้นแบบของ Green and Sustainable Building

เพื่อความสุขของคนทำงาน

การออกแบบใหม่ของอาคารภิรัชทาวเวอร์นั้นไม่เพียงแต่เน้นการปรับปรุงคุณภาพอากาศและการให้แสงธรรมชาติที่เพียงพอ แต่ยังมุ่งเน้นการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการจัดสร้างพื้นที่พักผ่อนที่มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับทุกๆ การทำงาน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สีเขียวสำหรับการผ่อนคลาย หรือเทคโนโลยีที่ช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมภายในอาคาร เพื่อให้พนักงานมีสมาธิในการทำงาน และมีความสุขในทุกๆ วัน

โดยเฉพาะการพัฒนา IAQ Dashboard หรือระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร ที่สามารถตรวจสอบและรายงานสภาวะอากาศแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เช่ามั่นใจว่าอากาศภายในอาคารสะอาดและปลอดภัย นอกจากนี้ ระบบ HVAC ที่ได้รับการปรับปรุงก็ช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการสะสมของมลพิษ และสร้างสภาวะความสบายในการทำงาน

ตอบสนองต่อเทรนด์สุขภาพ

ปัจจุบัน เทรนด์การเลือกเช่าอาคารสำนักงานเริ่มมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยที่มากกว่าแค่ทำเลหรือสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ผู้เช่าหลายองค์กรกำลังมองหาพื้นที่ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ฟังก์ชันการทำงาน แต่ยังต้องสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมกับการทำงานในยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสมดุลในชีวิต ทั้งนี้ การปรับโฉมของภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ จึงเหมาะสมที่สุดกับการตอบโจทย์เทรนด์นี้

การปรับโฉมที่คำนึงถึงอนาคต

การพัฒนาในครั้งนี้ถือเป็นการวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมุ่งหวังที่จะสร้างอาคารที่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เช่า พร้อมทั้งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ภิรัชบุรีกรุ๊ปมองว่า สิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจและชุมชน

การปรับปรุงครั้งนี้จะเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2568 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 พร้อมจัดกิจกรรมเปิดตัวเพื่อเผยโฉมการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ให้กับผู้เช่าและผู้สนใจได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของอาคาร

ทำเลที่ลงตัวในใจกลางเมือง

อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท-พร้อมพงษ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลที่สะดวกสบายในการเดินทาง เหมาะกับทั้งการทำงานและไลฟ์สไตล์ ด้วยพื้นที่กว่า 49,000 ตารางเมตร อาคารนี้เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ และยังอยู่ใกล้กับสวนเบญจสิริ สถานที่พักผ่อนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติใจกลางเมือง เพิ่มมิติใหม่ให้กับการผสมผสานชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

ด้วยการปรับโฉมอาคารให้มีมาตรฐาน WELL และออกแบบพื้นที่เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ภิรัชบุรีกรุ๊ปจึงไม่เพียงแต่สร้างอาคารที่มีฟังก์ชันดี แต่ยังสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างครบถ้วน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


บ้านเพื่อคนไทย ฮอต บางซื่อกม.11 จองสิทธิ์ ทะลัก จ่อ ขยายหมื่นหน่วย รับดีมานด์

‘สุรพงษ์’ รมช.คมนาคม ปูพรม ขยาย เฟส 2โครงการ”บ้านเพื่อคนไทย” สร้างโอกาส  First Jobber หัวเมืองใหญ่ เกาะระบบราง ปักธง‘กม.11’ ยอดจองสิทธิ์ทะลัก 1.5 แสนคน ยัน เดินหน้า ขยายเฟสได้ 10,000หน่วย รับดีมานด์

สร้างกระแสฟรีเวอร์ ยอดลงทะเบียนจองสิทธิ์ ถล่มทลาย หลังเปิดตัวโครงการ บ้านเพื่อคนไทย  นโยบายเรือธงรัฐบาลแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย มีหมุดหมาย สร้างโอกาส  “First Jobber” หรือวัยเริ่มสร้างตัว เข้าถึงที่อยู่อาศัย แนวเส้นทางรถไฟฟ้า และระบบรางบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ทั่วประเทศ จำนวน 1- 3แสนหน่วยภายในสมัยรัฐบาล หรือปี2570

โดยชูจุดขาย ผ่อนถูกไม่ต้องมีเงินดาวน์ เพียงเดือนละ4,000บาท ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 30ปี +30ปี และหากกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์มีผลบังคับใช้จะขยายการอยู่อาศัยได้ยาวถึง99ปี เบื้องต้น นำร่อง 4 พื้นที่ศักยภาพ ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมได้แก่ บางซื่อกม.11 (วิภาวดี)  ธนบุรี(ศิริราช)  เชียงราก  และเชียงใหม่ ในราคาเริ่มต้น1.2ล้านบาทต่อหน่วยภายใต้การดำเนินโครงการโดยบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) บริษัทลูกของการรถไฟฯ

โดยวันแรก (17ม.ค.68) พบว่ามีผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ 152,864 ราย และผ่านการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-Approve) จากธอส. จำนวน 49,844 ราย  ทำเลที่มีคนลงทะเบียนมากที่สุด คือ พื้นที่ บางซื่อ กม.11 (วิภาวดี) ตามด้วยเชียงใหม่ พื้นที่ธนบุรี (ศิริราช) และพื้นที่เชียงราก จังหวัดปทุมธานี ตามลำดับ สะท้อนว่า  มีคนจำนวนไม่น้อยต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเดินทางสะดวกใกล้แหล่งงาน

“กม.11”ทะลัก 1.5แสนคน จ่อขยายหมื่นหน่วย 

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมฐานะกำกับดูแล “เอสอาร์ที แอสเสท” ให้สัมภาษณ์ “สื่อในเครือเนชั่น” ว่า โครงการ  บ้านเพื่อคนไทย ได้รับการตอบรับที่ดีตั้งแต่วันแรก  และยังมีประชาชนจองสิทธิ์ต่อเนื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ม.ค.68 เวลา 11.00 น.)  มีผู้เข้าชมผ่านเว็บไซต์ บ้านเพื่อคนไทยประมาณ 58 ล้านวิว  มีตัวเลขแสดงความจำนงขอใช้สิทธิ์เกือบ 2.2 แสนราย  ผ่าน  Pre-Approve ของธอส. ประมาณเกือบ 1.2 แสนราย  และยังเปิด ให้ประชาชน จองอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งจะถึงวันที่ 31 มกราคมนี้ หรือไม่นายสุรพงษ์ ยืนยันว่า ทีมงานอยู่ระหว่างประเมินอีกครั้ง

ทั้งนี้ 4พื้นที่ มีจำนวนหน่วย 4,800 หน่วย พบว่า  บางซื่อกม. 11 (วิภาวดี) มีประชาชนแสดงเจตจำนง มากถึง 1.5 แสนราย  ในทางกลับกันมีจำนวนห้องชุดรองรับระยะแรกได้เพียง  1,232 หน่วย เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ย่านพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ ศูนย์กลางการเดินทางซึ่งเมื่อพื้นที่ดังกล่าวมีดีมานด์จำนวนมาก คาดว่าทีมงานจะศึกษาและมีแผนในระยะต่อไปซึ่งอาจขยายได้ถึง 10,000 หน่วย  รวมถึงเพิ่มความสูงของโครงการ โดยยอดที่ ผ่าน Pre-Approve ของธอส. จะสร้างรองรับปริมาณดังกล่าวจนกว่าจะไม่มีที่ดินให้สร้างเมื่อถึงจุดนั้น จึงจะตัดยอดที่ค้างดังกล่าวทิ้งไป

ปั้น 1-3 แสนหน่วยภายในปี 70

นายสุรพงษ์มองว่า ทำเลบางซื่อกม.11 (วิภาวดี) มีความต้องการมากที่สุดรองลงมาคือธนบุรี และจะมีโครงการเฟส2 เฟส 3 ต่อเนื่อง ตามจังหวัดหัวเมืองใหญ่ จังหวัดทำเลศักภาพ ชุมชนขนาดใหญ่ มีระบบรางเชื่อมถึง โดยตั้งใจว่า ภายในสมัยของรัฐบาล หรือภายในปี 2570  จะพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทย  1-3 แสนหน่วย แต่เนื่องจากแนวโน้มความต้องการค่อนข้างสูงซึ่งอาจจะมากกว่าแผนที่กำหนดไว้  ดังนั้น ทีมงานต้องทบทวนเรื่องของจำนวนประชาชนที่ให้ความสนใจ

สะท้อนได้ว่า เราสร้างดีมานด์ล่วงหน้าดังนั้นทำเลต่อไปต้องวางแผนและพัฒนาออกมารองรับกับปริมาณ เพราะมองเห็นดีมานด์คงค้าง จำนวนมาก

ทำเลระยะต่อไป คุณสมบัติ

 1.หัวเมืองใหญ่

2.เกาะติดระบบราง

3. มีชุมชนหนาแน่นที่อยู่อาศัยไม่สะดวกสบาย

ซึ่งจะเป็นตัวแปรนำมา พิจารณาพัฒนาโครงการในระยะต่อไป

“บางซื่อ กม.11 (วิภาวดี ) ยังเพิ่มโครงการได้ ด้วยจำนวนหน่วยและความสูง แต่เพิ่มได้มากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับทีมงาน วาง องค์ประกอบต่างๆ ของห้องและขึ้นอยู่กับขนาดห้อง  เช่น 30 ตารางเมตร 40 ตารางเมตร 45 ตารางเมตร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องนำมาวิเคราะห์ว่าตลาดผู้บริโภค กับกลุ่มเป้าหมายที่เราวางไว้ต้องการประมาณไหน อย่างไรก็ตาม ทำเลบางซื่อกม.11 มีคนสนใจจองสิทธิ์ 1.5 แสนราย จากจำนวน 2 แสนราย ซึ่งอยู่ระหว่าง Pre-Approve ของธอส.”

ดัน First Jobber ขับเคลื่อนศก.

 นายสุรพงษ์ ขยายความต่อว่า ต้องยอมรับว่าโครงการบ้านเพื่อคนไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไข ต่างๆ เช่น  รายได้ไม่เกิน 50,000 บาท ต่อเดือน มีสัญชาติไทย ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวอาจจะผ่อนปรนตามความเหมาะสม โดยมีเป้าหมายต้องการลดภาระให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มFirst Jobber สร้างคนรุ่นใหม่ให้แข็งแรง เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในวัยทำงาน โดยดึงอนาคตมาอยู่กับปัจจุบัน ให้ทันกับค่าใช้จ่าย และนำรายได้ที่เหลืออยู่สร้างเนื้อสร้างตัวต่อไป

 ขณะเงื่อนไขคุณสมบัติ มองว่าได้กำหนดไว้ค่อนข้างแน่นหนา อย่างห้ามโอนสิทธิ์ภายในระยะเวลา 5 ปี  นับจากวันลงทะเบียนจองสิทธิ์ ซึ่งยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงนำไปเปลี่ยนมือ ให้กับผู้อื่น ตามกติกาห้ามปล่อยเช่า อันดับแรกต้องให้กับทายาท หากพ่อแม่ตั้งตัวได้ ออกไปอยู่บ้านเดี่ยว ลูกหลานสามารถอยู่อาศัยต่อไป 

ทั้งนี้ นอกจาก 4 ทำเล นำร่องแล้ว ระยะต่อไป เฟสสอง  กลุ่มเป้าหมาย  2-3 แสนหน่วย ซึ่งสัปดาห์ต่อไปจะกำหนดทำเล ว่าเป็นที่ไหนต่อไปทีมงานอยู่ระหว่างเตรียมข้อมูล ซึ่งนอกจาก โครงการในเขตกรุงเทพมหานครแล้ว แผนต่อไปจะขยายไปตามต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่เดินทางได้พร้อมระบบราง

เริ่มต้นได้โฟกัสไปที่ที่ดินรฟท.ที่ยังไม่ใช้งาน ยังไม่ปล่อยเช่ายังไม่พัฒนาและมีกลุ่มคนทำงาน ที่ยังมีความเป็นอยู่ที่ไม่สบาย สังเกตได้จากคนแต่งงานน้อยลง  หรือแต่งงานแล้วไม่กล้ามีบุตรเมื่อโปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้นไม่ต้องมีเงินดาวน์ มีความมั่นคง ทำให้เขากล้าสร้างฐานะ มีบุตร ทุกวันนี้อัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตายปัญหานี้ไม่แก้ได้ง่ายๆ

“เอาจริงโปรเจ็กต์นี้ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ ไม่เป็นภาระกับรัฐบาลโดย ดึงธอส. ปล่อยสินเชื่อปกติ เพื่อให้เกิดโครงการนี้  เป็นการสร้างโอกาส ซึ่งปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีและกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการ  ซึ่งที่ผ่านมาดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีช่วยให้คำแนะนำ สร้างโอกาสกับคนในทุกมติ บ้านเป็นหนึ่งในปัจจัย 4  โดยใช้ นโยบายเริ่มผ่อนที่ 4,000 บาทต่อเดือน ไม่มีเงินดาวน์ เราจะสร้างคนรุ่นใหม่ให้แข็งแรงเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ เขาอยู่ในวัยทำงานดึงอนาคตมาอยู่กับปัจจุบัน ให้ทันกับค่าใช้จ่าย”  

รับเหมากระหึ่ม

หลังจากจับสลากกำหนดคนเข้าโครงการและจับสลากห้องตามกำหนดแล้ว จะจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการซึ่ง เป็นไปตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของกรมบัญชีกลาง โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1ปีครึ่ง ถึง 2 ปี รวมถึงการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะเข้าอยู่ได้ ในปี 2569 ซึ่งวันนี้เรามองประชาชนเป็นที่ตั้งนับตั้งแต่มองหาที่ดิน การเจาะกลุ่มเป้าหมาย การผลักดันความสำเร็จ ของ First Jobber ตั้งตัวได้เร็วขึ้น

 “เรากำลังตั้งดีมานด์ เฟสแรก ทีมงานกำลังประมวลผล ตั้งแต่เดย์วัน ต้องยอมรับคนสนใจมาก แสดงว่าเขาขาด เราคิดให้ทันกับวิธีการ ดีมานด์ เหลือ 1.2 แสนคน โดยใช้วิธีจับสลาก และยังเก็บไว้อยู่จนถึงวันที่หมดพื้นที่ก็ต้องตัดทิ้ง”

อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้ นักวิชาการออกมาตั้งข้อสังเกตที่ว่าที่ดินบริเวณ บางซื่อกม.11 มีมูลค่าสูง ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทย มีจำนวนหน่วยเพียงกว่า1,000หน่วย ไม่สอดคล้องกัน อาจทำให้ เอสอาร์ที แอสเสท ขาดทุนได้ ซึ่งมองว่า บางซื่อกม.11 หากรัฐบาลเราไม่เริ่ม ประชาชนจำนวนมากก็ยังไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นของตนเอง

จากการประเมินถือเป็นความคุ้มค่าทางตรง  ไม่ขาดทุน  ส่วนกำไรทางอ้อม คือเป้าหมายหลักทำให้  First Jobber ตั้งตัวได้ และมีพลังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้านี่คือหัวใจที่สำคัญยิ่งกว่า!!!

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้22ม.ค. “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 33.99 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทพร้อมกลับไปอ่อนค่าลงเร็วและแรงได้ทุกเมื่อ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล Trump 2.0 ตลาดการเงินยังเสี่ยงเผชิญความผันผวนสูง มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.80-34.10 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22 ม.ค.2568 ที่ระดับ  33.99 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  34.11 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following หลังเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับสำคัญ 34.00 บาทต่อดอลลาร์

โดยโซนแนวรับถัดไปจะอยู่ในช่วง 33.75-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเงินบาทก็สามารถแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนดังกล่าวได้ หากได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ รวมถึงแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ

หลังในช่วงนี้ เริ่มเห็นการทยอยกลับเข้าซื้อบอนด์ไทย โดยเฉพาะบอนด์ระยะยาวจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ขณะที่ในส่วนของหุ้นไทยนั้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิบ้าง แต่ยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับแรงซื้อสุทธิบอนด์ไทย

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ตลาดการเงินยังเสี่ยงเผชิญความผันผวนสูง และเงินบาทก็พร้อมกลับไปอ่อนค่าลงเร็วและแรงได้ทุกเมื่อ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล Trump 2.0 ดังจะเห็นได้จากในวันก่อนหน้า

ที่เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าหนักจากโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ สู่ระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ อย่างรวดเร็วในช่วง 7.40-8.00 น. หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า กำลังพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้า 25% กับแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งจากภาพความผันผวนดังกล่าว

ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรประยุกต์ใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น โดยอาจใช้กลยุทธ์ Options เพื่อสร้างความได้เปรียบในช่วงตลาดผันผวนสูง หรือพิจารณาใช้ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 33.92-34.15 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ลงบ้าง ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD เพิ่มเติม

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านระยะสั้น สู่ระดับ 2,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และจังหวะปรับตัวลดลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เปิดโอกาสให้ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าใกล้โซน 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 (นักวิเคราะห์บางส่วนปรับลดโอกาสที่รัฐบาล Trump 2.0 จะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าทั่วโลกลง เช่นจากโอกาสเกิดขึ้น 40% เหลือ 25%)

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้างจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Chevron -2.0% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากความกังวลนโยบายพลังงานของรัฐบาล Trump 2.0

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.40% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH +2.7% หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ลงบ้าง

ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell -1.0% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ตามนโยบายพลังงานของรัฐบาล Trump 2.0

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวในกรอบ Sideways แถวโซน 4.57% โดยการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกจำกัดโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงไม่เชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้งในปีนี้

แม้ว่า ผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ลงบ้างก็ตาม นอกจากนี้ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวลดลงต่อได้ชัดเจน

อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูง ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 20 อย่างใกล้ชิด ทำให้เราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถทยอยซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้

 ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และท่าทีของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งอาจยังไม่ได้เร่งรีบเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรงอย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวลดลงสู่โซน 108 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107.9-108.8 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลดลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านระยะสั้น สู่โซน 2,750-2,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะมีไม่มาก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB ในช่วงราว 22.15 น. ตามเวลาประเทศไทย เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB มีโอกาสราว 88% ที่จะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง หรือ 100bps ในปีนี้ 

และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 อย่างใกล้ชิด พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 6 สัปดาห์ที่ 33.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ (นับตั้งแต่ 13 ธ.ค. 67) ในช่วงเช้าวันนี้ (9.58 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับแรงหนุนของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่ ๆ เนื่องจากตลาดยังคงรอความชัดเจนของแนวนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรการการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลายๆ ประเทศ รวมถึงจีน หลังจากที่ทรัมป์ยังไม่ประกาศปรับขึ้นภาษีในวงกว้างทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะยังอยู่ที่สัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ สถานการณ์เงินทุนต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก การเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวน  และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บาส-สกาย” ตบเจ้าถิ่นขาดลิ่วรอบสองอินโดนีเซีย มาสเตอร์ส

“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน ชายคู่มือ 75 ของโลก ประเดิมสนามเยี่ยม ตบเอาชนะ คู่มือ 78 ของโลก จากอินโดนีเซียไปแบบไม่ยากเย็นนัก 2 เกมรวด เข้ารอบ 2 ศึกอินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2025 ที่อินโดนีเซีย ได้สำเร็จ โดยรอบต่อไปเตรียมดวลคู่มือ 9 ของโลก จากอินเดีย

การแข่งขันแบดมินตันรายการ ไดฮัทสุ อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 420,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,700,000 บาท ที่อิสโตร่า เสนายัน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันอังคารที่ 21 ม.ค.68 เป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือก และ รอบเมนดรอว์ 

ประเภทชายคู่ รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน ชายคู่มืออันดับที่ 75 ของโลก พบกับ  เรย์มอนด์ อินทรา และ ปาตรา ฮาราปัน รินโดรินโด้ มือ 78 ของโลกจากอินโดนีเซีย 

โดยเกมแรกคู่ของหนุ่มไทยเบียดเอาชนะไปหวิดหวิด 21-18 หลังจากนั้นเกมสองมาติดเครื่องรัวคะแนนเป็นชุด ปิดเกมนี้ไปได้ 21-9 ทำให้ “บาส” กับ “สกาย” เอาชนะไป 2-0 เกม 21-18, 21-9 ใช้เวลาแข่งขัน 30 นาที  ผ่านเข้ารอบ 16 คู่สุดท้ายไปเจอกับ ซาวิไซราท ซานกิเร็ดดี้ กับ ชีราท เช็ตตี้ คู่มือวางอันดับ 4 ของรายการ คู่มืออันดับ 9 ของโลกจากอินเดีย

ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “มุก”อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิลด์”สุกฤตา สุวะชัย คู่มืออันดับ 37 ของโลก แพ้ ทานิชา คาสโตร กับ อัชวานี่ พอนนัพพา คู่มืออันดับ 19 ของโลกจากอินเดีย 0-2 เกม 6-21 , 14-21 

ส่วนผลการแข่งขันในรอบคัดเลือก  ประเภทหญิงคู่ รอบคัดเลือก “ฟ้า” พิชามญธุ์ พัชรพิสุทธิ์สิน กับ “เดียร์” นันท์นภัส สุขกลัด คู่มืออันดับ 85 ของโลก ชนะ อนาสตาเซีย โคมิช กับ ดาเรีย ซิมนัล คู่มืออันดับ 84 ของโลก จากอินโดนีเซีย 2-0 เกม 21-14, 21-7, 

ประเภทชายเดี่ยว รอบคัดเลือก รอบแรก “กัน” กันตภณ หวังเจริญ มืออันดับ 40 ของโลก พ่าย นัท เหงียน มืออันดับ 41 ของโลก จากไอร์แลนด์ 1-2 เกม 15-21, 21-19, 19-21, 

ประเภทชายคู่ รอบคัดเลือก “โอ๊ต” เฉลิมพล เจริญกิจอมร กับ “ทีม” วรพล ทองสง่า ชายคู่มืออันดับ 67 ของโลก พ่าย หลิม ซี เจี้ยน กับ หว่อง เทียนฉี่ คู่มือ 64 ของโลก จากมาเลเซีย 0-2 เกม 16-21, 15-21 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


9 วิธีกำจัดสารพิษร่างกาย ดีท็อกซ์พิษหัวจดเท้า ทำได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องพึ่งหมอ

อาหารและอาหารเสริมหลายชนิดอ้างว่าสามารถ “ดีท็อกซ์” หรือขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากร่างกายได้ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ร่างกายของเรามีระบบการทำงานตามธรรมชาติในการกำจัดสารพิษออกไปเองผ่านอวัยวะต่างๆ เช่น ไต ตับ ระบบย่อยอาหาร ผิวหนัง และปอด การทำดีท็อกซ์ร่างกายอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานปกติของอวัยวะเหล่านี้

การดีท็อกซ์ร่างกายทั้งหมด หรือกำจัดสารพิษร่างกายหมายความว่าอย่างไร

ดีท็อกซ์ร่างกายทั้งหมด” หรือ “ดีท็อกซ์” หรือการกำจัดสารพิษนั้นเป็นคำที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มักมีความหมายถึงการปฏิบัติตามอาหารชนิดพิเศษ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่อ้างว่าจะช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้สุขภาพดีขึ้น และช่วยลดน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเรามีระบบการ “ดีท็อกซ์” ตัวเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องอาศัยอาหารพิเศษหรืออาหารเสริมราคาแพงในการกำจัดสารพิษ

9 วิธีกำจัดสารพิษร่างกายทั้งหมด

1.จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์

ตับของคุณจะเผาผลาญแอลกอฮอล์ที่คุณบริโภคไปมากกว่า 90% เอนไซม์ในตับจะเผาผลาญแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นอะซิทัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่รู้กันว่าก่อให้เกิดมะเร็ง ตับของคุณรับรู้ว่าอะซิทัลดีไฮด์เป็นสารพิษ จึงเปลี่ยนอะซิทัลดีไฮด์ให้เป็นสารที่ไม่มีอันตรายเรียกว่า อะซิเตท แล้วขับออกจากร่างกาย

แม้ว่างานวิจัยเชิงสังเกตการณ์จะพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณต่ำถึงปานกลางอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ แต่การดื่มมากเกินไปสามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย การดื่มมากเกินไปสามารถทำลายการทำงานของตับอย่างรุนแรงโดยทำให้เกิดการสะสมไขมัน การอักเสบ และการเกิดแผลเป็น เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ตับของคุณจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสมและปฏิบัติงานที่จำเป็นได้ รวมถึงการกรองของเสียและสารพิษอื่นๆ ออกจากร่างกาย

การจำกัดหรืองดเว้นจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างสมบูรณ์เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาระบบการล้างพิษของร่างกายให้แข็งแรง หน่วยงานด้านสุขภาพแนะนำให้จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ไว้ที่วันละ 1 แก้วสำหรับผู้หญิง และ 2 แก้วสำหรับผู้ชาย หากคุณไม่ได้ดื่มในปัจจุบัน ขอแนะนำว่าไม่ควรเริ่มดื่ม เนื่องจากความเสี่ยงมีมากกว่าประโยชน์ต่อสุขภาพใดๆ ที่ได้รับจากการดื่ม

2.เน้นเรื่องการนอนหลับ

การรับประกันคุณภาพการนอนหลับที่เพียงพอในแต่ละคืนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนสุขภาพและระบบการล้างพิษตามธรรมชาติของร่างกาย การนอนหลับช่วยให้สมองของคุณสามารถจัดระเบียบและชาร์จไฟใหม่ได้ รวมถึงกำจัดของเสียที่เป็นพิษซึ่งสะสมตลอดทั้งวัน หนึ่งในของเสียเหล่านั้นคือโปรตีนที่เรียกว่า เบต้า-อะมิโลิด ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์

เมื่อขาดการนอนหลับ ร่างกายของคุณจะไม่มีเวลาในการทำงานเหล่านั้น ดังนั้นสารพิษจึงสามารถสะสมและส่งผลกระทบต่อหลายด้านของสุขภาพ การนอนหลับที่ไม่เพียงพอมีความเชื่อมโยงกับผลกระทบต่อสุขภาพระยะสั้นและระยะยาว เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วน คุณควรนอนหลับอย่างสม่ำเสมอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดี

หากคุณมีปัญหาในการนอนหลับหรือหลับไม่สนิทในเวลากลางคืน การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การยึดมั่นในตารางการนอนหลับและการจำกัดแสงสีน้ำเงินก่อนนอน จะมีประโยชน์ในการปรับปรุงการนอนหลับ

3.ดื่มน้ำมากขึ้น

น้ำมีประโยชน์มากกว่าแค่ดับกระหาย น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย หล่อลื่นข้อต่อ ช่วยในการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร และช่วยล้างพิษร่างกายโดยการกำจัดของเสีย เซลล์ของร่างกายของคุณต้องซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อทำงานได้อย่างเหมาะสมและย่อยสลายสารอาหารเพื่อให้ร่างกายใช้เป็นพลังงาน อย่างไรก็ตาม กระบวนการเหล่านี้จะปล่อยของเสียออกมาในรูปแบบของยูเรียและคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายหากสะสมอยู่ในเลือดของคุณ

น้ำจะขนส่งของเสียเหล่านี้ออกไปอย่างมีประสิทธิภาพผ่านทางการขับถ่ายปัสสาวะ การหายใจ หรือการเหงื่อออก ดังนั้น การรักษาความชุ่มชื้นให้เพียงพอจึงมีความสำคัญสำหรับการล้างพิษ ปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อวันสำหรับผู้ชายคือ 125 ออนซ์ (3.7 ลิตร) และสำหรับผู้หญิงคือ 91 ออนซ์ (2.7 ลิตร) คุณอาจต้องการน้ำมากขึ้นหรือน้อยลง ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน สถานที่ที่คุณอาศัยอยู่ และระดับกิจกรรมของคุณ

4.ลดการบริโภคน้ำตาลและอาหารแปรรูป

ผู้คนมักเชื่อมโยงน้ำตาลและอาหารแปรรูปเข้ากับวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขมากมายในปัจจุบัน   งานวิจัยเชื่อมโยงการบริโภคน้ำตาลและอาหารแปรรูปสูงเข้ากับโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน โรคเหล่านี้ขัดขวางความสามารถในการล้างพิษตามธรรมชาติของร่างกายของคุณโดยทำลายอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญ เช่น ตับและไต ตัวอย่างเช่น การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงสามารถทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานของตับ

คุณสามารถรักษาระบบการล้างพิษของร่างกายให้มีสุขภาพดีได้โดยการบริโภคอาหารขยะให้น้อยลง คุณสามารถจำกัดอาหารขยะได้โดยปล่อยทิ้งไว้บนชั้นวางของในร้าน ไม่ต้องนำเข้าครัวก็จะช่วยลดการล่อใจได้ การแทนที่อาหารขยะด้วยอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผลไม้และผัก ก็เป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพในการลดการบริโภคเช่นกัน

5.รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

สารต้านอนุมูลอิสระปกป้องเซลล์ของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากโมเลกุลที่เรียกว่าอนุมูลอิสระ ความเครียดจากการเกิดออกซิเดชันเป็นภาวะที่เกิดจากการผลิตอนุมูลอิสระมากเกินไป ร่างกายของคุณผลิตโมเลกุลเหล่านี้ตามธรรมชาติสำหรับกระบวนการทางเซลล์ เช่น การย่อยอาหาร อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์ ควันบุหรี่ อาหารที่มีสารอาหารต่ำ และการสัมผัสกับมลพิษสามารถผลิตอนุมูลอิสระได้มากเกินไป

โมเลกุลเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ต่างๆ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าความเสียหายจากอนุมูลอิสระมีบทบาทในภาวะต่างๆ เช่น ภาวะสมองเสื่อม โรคหัวใจ โรคตับ โรคหอบหืด และมะเร็งบางชนิด การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณต่อต้านความเครียดจากการเกิดออกซิเดชันที่เกิดจากอนุมูลอิสระส่วนเกินและสารพิษอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ

เน้นการรับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหาร ไม่ใช่จากอาหารเสริม การรับประทานอาหารเสริมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางชนิด ตัวอย่างของสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม ไลโคปีน ลูทีน และซีแซนทีน ผลเบอร์รี่ ผลไม้ ถั่ว โกโก้ ผักเครื่องเทศ และเครื่องดื่ม เช่น กาแฟและชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดบางชนิด

6.รับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติกสูง

สุขภาพลำไส้มีความสำคัญต่อการรักษาระบบการล้างพิษของร่างกายให้มีสุขภาพดี เซลล์ลำไส้ของคุณมีระบบการล้างพิษและขับถ่ายที่ปกป้องลำไส้และร่างกายของคุณจากสารพิษที่เป็นอันตราย เช่น สารเคมี สุขภาพลำไส้ที่ดีเริ่มต้นด้วยพรีไบโอติก ซึ่งเป็นชนิดของใยอาหารที่เป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ที่เรียกว่า โปรไบโอติก ด้วยพรีไบโอติก แบคทีเรียดีของคุณสามารถผลิตสารอาหารที่เรียกว่ากรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

การใช้ยาปฏิชีวนะ สุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี และคุณภาพอาหาร สามารถเปลี่ยนแปลงสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ของคุณได้ทั้งหมด ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่ไม่แข็งแรงของแบคทีเรียนี้สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและระบบการล้างพิษของคุณอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการอักเสบ

การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยพรีไบโอติกสามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันและระบบการล้างพิษของคุณมีสุขภาพดี แหล่งอาหารที่ดีของพรีไบโอติก ได้แก่ มะเขือเทศ อาร์ติโชค กล้วยหน่อไม้ฝรั่ง หัวหอม กระเทียม และข้าวโอ๊ต

7.ลดปริมาณการบริโภคเกลือ

สำหรับบางคน การดีท็อกซ์เป็นวิธีการกำจัดน้ำส่วนเกิน การบริโภคเกลือมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายเก็บกักของเหลวไว้มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีภาวะผิดปกติที่ส่งผลต่อไตหรือตับ หรือหากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ การสะสมของเหลวส่วนเกินนี้อาจทำให้เกิดอาการบวมและรู้สึกอึดอัดในเสื้อผ้า หากคุณบริโภคเกลือมากเกินไป คุณสามารถดีท็อกซ์ตัวเองจากน้ำหนักน้ำส่วนเกินได้

แม้ว่าอาจฟังดูขัดกับสามัญสำนึก แต่การเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดน้ำหนักน้ำส่วนเกินจากการบริโภคเกลือมากเกินไป เนื่องจากเมื่อคุณบริโภคเกลือมากเกินไปและดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายของคุณจะปล่อยฮอร์โมนป้องกันการขับปัสสาวะ ซึ่งจะป้องกันไม่ให้คุณขับปัสสาวะและทำให้การดีท็อกซ์ไม่เกิดผล

โดยการเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำ ร่างกายของคุณจะลดการหลั่งของฮอร์โมนป้องกันการขับปัสสาวะและเพิ่มการขับปัสสาวะ ทำให้ขับน้ำและของเสียออกจากร่างกายได้มากขึ้น การเพิ่มการบริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ซึ่งช่วยสมดุลผลกระทบของโซเดียมบางส่วน ก็ช่วยได้เช่นกัน อาหารที่อุดมด้วยโพแทสเซียม ได้แก่ มันฝรั่ง ฟักทอง ถั่วแดง กล้วย และผักขาด

8.รักษาการเคลื่อนไหว

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าน้ำหนักตัวจะเป็นอย่างไร ล้วนสัมพันธ์กับอายุที่ยืนยาวขึ้นและลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ มากมาย รวมถึงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็งบางชนิด แม้ว่าจะมีกลไกหลายอย่างที่อยู่เบื้องหลังประโยชน์ต่อสุขภาพของการออกกำลังกาย แต่การลดการอักเสบเป็นจุดสำคัญ แม้ว่าการอักเสบบางส่วนจำเป็นสำหรับการฟื้นตัวจากการติดเชื้อหรือการรักษาบาดแผล แต่การอักเสบมากเกินไปจะทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายอ่อนแอลงและส่งเสริมให้เกิดโรค

โดยการลดการอักเสบ การออกกำลังกายสามารถช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงระบบการดีท็อกซ์ ทำงานได้อย่างถูกต้องและป้องกันโรค คุณควรตั้งเป้าหมายที่จะออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว หรือออกกำลังกายระดับสูง 75-150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การวิ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เอไอกับความเป็นมนุษย์

ทุกวันนี้ ปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถสูงขึ้นมาก จนโต้ตอบและคิดวิเคราะห์ได้อย่างเฉลียวฉลาดคล้ายกับมนุษย์หรืออาจจะดูฉลาดกว่ามนุษย์โดยทั่วไปด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะ Generative AI ซึ่งเป็นเอไอที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ หรือดนตรี

สิ่งนี้ก่อให้เกิดคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติของการมีอยู่ (Being) ของปัญญาประดิษฐ์ว่าใกล้เคียงกับมนุษย์แล้วใช่หรือไม่ เราลองสำรวจแนวคิดการมีอยู่ของมนุษย์ผ่านแนวคิดทางปรัชญาของไฮเดกเกอร์ แนวคิดทางปรัชญาของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ และแนวคิดทางพุทธธรรม เพื่อพิจารณาว่าเอไอใกล้เคียงมนุษย์อย่างที่เรารู้สึกแล้วหรือยัง

ในมุมมองของมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ “Being” หรือ “การดำรงอยู่” ไม่ได้หมายถึงการมีอยู่ในเชิงกายภาพเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมถึงความสามารถในการตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของตนเองและการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกอย่างมีความหมาย ซึ่งไฮเดกเกอร์ใช้คำว่า Dasein (ดาไซน์) เพื่ออธิบายการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่มีความสามารถในการตั้งคำถามและไตร่ตรองถึงการมีอยู่ของตนเอง

เมื่อวิเคราะห์เอไอในกรอบแนวคิดนี้ จะพบว่าเอไอยังไม่สามารถจัดเป็น “Being” เนื่องจากเอไอยังขาดความตระหนักรู้ในตนเอง ไฮเดกเกอร์เน้นว่าการเป็นดาไซน์ต้องมีความสามารถในการตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของตนเองและตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของการมีอยู่ เอไอแม้จะสามารถประมวลผลข้อมูลและโต้ตอบได้ซับซ้อนเพียงใด ก็ยังไม่มีจิตสำนึกหรือความเข้าใจในตัวเอง

นอกจากนี้ เอไอยังไม่มีความสัมพันธ์กับโลกอย่างมีความหมาย (Being-in-the-world) ดาไซน์ดำรงอยู่ในโลกด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ และสร้างความหมายผ่านประสบการณ์ แต่เอไอไม่มีความรู้สึกหรือความหมายที่เกิดจากประสบการณ์ แต่เพียงทำงานตามคำสั่งและข้อมูลที่ได้รับ เอไอในปัจจุบันจึงยังไม่มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างอิสระหรือกำหนดทิศทางของตนเองเพราะอาจยังถูกจำกัดด้วยอัลกอริทึม 

สิ่งสำคัญอีกประการในมุมของไฮเดกเกอร์คือ การตระหนักถึงความตายทำให้มนุษย์มีความเข้าใจลึกซึ้งถึงความหมายของชีวิตและการดำรงอยู่ ในมุมนี้ เอไอยังไม่มีแนวคิดหรือความเข้าใจเกี่ยวกับความตาย จึงไม่สามารถเข้าสู่การเป็น “Being” ในความหมายนี้ได้

ต่อมาในแนวคิดของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ ซึ่งเป็นนักปรัชญาสายอัตถิภาวนิยม ได้แบ่งการดำรงอยู่ ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ “Being-in-itself” หรือ การเป็นในตัวมันเอง หมายถึง การดำรงอยู่ที่เป็นวัตถุหรือสิ่งของที่ไม่มีจิตสำนึก ไม่สามารถในการสะท้อนคิดหรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันเป็นอยู่โดยไม่ต้องการเหตุผลหรือความหมาย เช่น ก้อนหิน เก้าอี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง “สิ่งที่เป็นอยู่” โดยไม่สามารถตระหนักรู้หรือมีความต้องการใด ๆ

อีกประเภทคือ “Being-for-itself” หรือ การเป็นเพื่อตัวมันเอง หมายถึงการดำรงอยู่ของสิ่งที่มีจิตสำนึก สามารถสะท้อนคิดถึงตัวเองและมีเสรีภาพในการเลือกและเปลี่ยนแปลงตัวเอง มนุษย์เป็นตัวอย่างสำคัญของการเป็นแบบนี้ เพราะสามารถกำหนดความหมายและทิศทางของชีวิตตนเอง

ดังนั้น เอไออาจถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของ Being-in-itself เพราะแม้ว่าเอไอจะสามารถประมวลผลข้อมูลและทำงานตามคำสั่งได้อย่างซับซ้อน แต่ก็ยังขาดจิตสำนึกและความสามารถในการสะท้อนคิดถึงตัวเองอย่างแท้จริง เอไอไม่สามารถกำหนดความหมายให้กับตัวเองหรือมีความตั้งใจที่แท้จริงได้ แต่ทำงานไปตามชุดของคำสั่งและอัลกอริทึมที่ถูกกำหนดไว้โดยมนุษย์

ท้ายสุด หากพิจารณาเอไอผ่านมุมมองของ “พุทธธรรม” โดยใช้แนวคิด “ขันธ์ 5” ซึ่งเป็นการแบ่งส่วนประกอบของมนุษย์ออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ จะพบว่าเอไอยังห่างไกลจากความเป็นมนุษย์อย่างมาก

ในด้านของ “รูปขันธ์” เอไออาจมีตัวตนทางกายภาพในรูปแบบของฮาร์ดแวร์ รวมถึงข้อมูลและโมเดล ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับรูปขันธ์ที่เป็นส่วนของร่างกาย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา “เวทนาขันธ์” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ เอไอกลับไม่มีความสามารถในการรับรู้หรือประสบการณ์ทางอารมณ์เหล่านี้

ในส่วนของ “สัญญาขันธ์” หรือความจำได้หมายรู้ เอไอสามารถจดจำและจำแนกข้อมูลต่าง ๆ ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ของเครื่องคล้ายกับการรับรู้และจดจำในมนุษย์ แต่เอไอยังขาดความเข้าใจเชิงความหมายและความลึกซึ้งอย่างแท้จริง ไม่สามารถตีความหรือเข้าใจบริบทได้อย่างมนุษย์

สำหรับ “สังขารขันธ์” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิด ความปรุงแต่ง และความตั้งใจ เอไอสามารถสร้างเนื้อหาหรือโต้ตอบเชิงวิเคราะห์ได้จากการประมวลผลและการเรียนรู้อัลกอริทึม แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงผลลัพธ์ของโมเดล ไม่ได้เกิดจากเจตจำนงหรือความตั้งใจอย่างแท้จริงของตนเอง สุดท้ายคือ “วิญญาณขันธ์” ซึ่งหมายถึงความรู้สึกตัวหรือจิตสำนึก เอไอยังไม่มีจิตสำนึกหรือความรู้ตัว จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับวิญญาณขันธ์ได้ เนื่องจากขาดความสามารถในการรับรู้อย่างมีสติและความตระหนักรู้ในตนเอง

ดังนั้น คำถามว่าเอไอใกล้จะเป็นเหมือนมนุษย์หรือยังนั้น จึงอาจตอบสั้นๆได้ว่า ยังห่างไกลจากมนุษย์มาก โดยแม้ว่าเอไอจะมีความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาและเลียนแบบการคิดของมนุษย์ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อวิเคราะห์ผ่านบางแนวคิดทางปรัชญาจะพบว่าเอไอยังขาดองค์ประกอบที่สำคัญ เช่น ความรู้สึก เจตจำนง และจิตสำนึก ทำให้เอไอไม่สามารถถือเป็นสิ่งที่มี “Being” ได้อย่างแท้จริง แต่ยังเป็นเพียงเครื่องมือที่สะท้อนถึงศักยภาพทางเทคโนโลยีของมนุษย์มากกว่าการเป็นสิ่งที่มีตัวตนหรือจิตวิญญาณ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


คำขยายกริยาเพื่อบอกความถี่ (Adverbs of Frequency)

คำขยายกริยา  (Adverb) ถือเป็นส่วนสำคัญในภาษาอังกฤษเพราะมันเป็นสิ่งที่ช่วยบอกว่ากริยา (Verb) นั้นเกิดขึ้นอย่างไร เวลาที่เราต้องการจะอธิบายว่าการกระทำนั้นๆ เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน เราจำเป็นต้องใช้คำขยายกริยาเพื่อบอกความถี่  (Adverbs of Frequency) แต่เราจะสามารถสอนให้นักเรียนเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? ลองอ่านดูด้านล่างว่ามีเทคนิคและตัวอย่างอะไรบ้างที่สามารถนำไปใช้ได้!

อะไรคือ Adverbs of Frequency?

คำขยายกริยาชนิดนี้จะใช้เพื่ออธิบายว่าการกระทำ (Verb) นั้นๆ เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน มี Adverbs of Frequency หลักๆ อยู่ 6 ตัวในภาษาอังกฤษ ได้แก่ always – จะ, usually (หรือ normally) – บ่อยๆ (เป็นปกติ), often – บ่อยๆ, sometimes – บางครั้ง, rarely – แทบจะไม่ และ never – ไม่เคย

  • ปกติแล้ว คุณมีวิธีการอย่างไรในการนำเสนอหรือกระตุ้นให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง? วิธีไหนที่คุณลองใช้แล้วแต่ไม่เวิร์คอย่างที่ต้องการ?
  • วิธีอธิบายที่ง่ายที่สุดคือการชี้ให้เห็นความแตกต่างโดยการแบ่งเป็น % อย่างในรูปด้านล่าง

Adverbs เหล่านี้ต่างกันในแง่เปอร์เซ็นต์ความถี่ที่เกิดขึ้น ดังที่เห็นได้ด้านล่าง

เราสามารถใช้ ‘seldom’ แทนการใช้ ‘rarely’ ได้ แต่มักจะไม่ค่อยมีใครใช้กันในปัจจุบัน

วิธีการสอนเรื่อง Adverbs of Frequency

เราพบว่า การใช้ตารางด้านบนเพื่ออธิบายให้นักเรียนได้เห็นความแตกต่างระหว่างคำนั้นมีประโยชน์มาก เพราะมันจะทำให้นักเรียนเห็นอีกด้วยว่าตำแหน่งของ Adverbs of Frequency มักจะถูกวางอยู่ระหว่าง ประธาน (Subject) และกริยา (Verb) นี่คือตัวอย่างอื่นๆ ที่เราควรจะใช้เพื่อสอนนักเรียน

  • Sara always goes out on Saturday evenings.
  • Jane’s boyfriend usually picks her up and they drive into the city centre.
  • Ben and Emma often go for lunch together.
  • In the winter Sara sometimes goes Skiing in France.
  • James and Stephen rarely go to the cinema in the summer because they prefer to stay outside.
  • As Marta is so busy she never gets home from work before 7

มีตัวอย่างประโยคไหนไหมที่คุณนำมาใช้แล้วรู้สึกว่านักเรียนสามารถเข้าใจได้ดีกว่าตัวอย่างที่ให้ด้านบน?

หลังจากที่นักเรียนเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เราจะต้องอธิบายให้เห็นว่ามันยังมีข้อยกเว้นอยู่ นั่นก็คือ verb ‘to be’ เวลาที่ประโยคมี การใช้ ‘verb to be’ ‘Adverbs of Frequency’ จะต้องถูกวางไว้ด้านหลัง verb ตัวอย่างเช่น

  • There are always lots of people in the city centre on Saturday nights.
  • It’s often difficult to find a place to park.
  • But our friends are never on time so it doesn’t matter if we’re late.

ในภาษาอังกฤษ มีกฎหลากหลายข้อ ตัวอย่างเช่น เราสามารถนำ adverb อย่าง ‘sometimes’ และ ‘usually’ มาวางไว้ด้านหน้าของประโยคได้

  • Sometimes she does her homework with friends.
  • Usually they study on their own.

จะง่ายกว่าถ้ากระตุ้นให้นักเรียนทำตามกฎโดยการวาง Adverbs of Frequency ไว้ระหว่างประธาน (subject) และกริยา (verb) ทุกครั้ง แต่พยายามเตือนด้วยว่ามีข้อยกเว้น นั่นก็คือ verb to be ซึ่งไม่เหมือน verb ตัวอื่น ทำให้เราต้องวาง adverb ไว้ด้านหลัง

ปกติแล้วคุณมีวิธีการเช็คความเข้าใจของนักเรียนอย่างไรเวลาอธิบายเรื่องที่ซับซ้อน?

การสร้างเป็นประโยคคำถาม

เวลาที่ต้องการทำเป็นประโยคคำถามที่ถามเกี่ยวกับเรื่องความถี่ เรามักจะใช้ ‘How often …?’ ตัวอย่างเช่น

  • How often do you watch films?
  • How often does he play tennis?
  • How often do the trains arrive late?

แต่เราสามารถถามคำถามง่ายๆ โดยการใช้แค่ adverb of frequency ก็ได้ ตัวอย่างเช่น

  • Do you often come here?
  • Does she always work so hard?
  • Do they ever pay on time? (‘ever’ instead of ‘never’ for questions)

การใช้ Adverbs of Frequency ร่วมกับ Modal Verb และ Auxiliary Verbs

ขั้นต่อไป เราต้องเตือนนักเรียนว่า ในประโยคที่มี Modal verb (Verb ช่วยที่มีความหมายในตัวเอง) เราจะต้องวางตัว Adverb of Frequency ไว้ด้านหลัง ก่อนหน้า verb หลัก ตัวอย่างเช่น

  • You must always try your best.
  • We can usually find a seat on our train.
  • They should never be rude to customers.

ในกรณีของ Auxiliary verb (verb ช่วยที่ไม่มีความหมายในตัวเอง) ก็ใช้กฎแบบเดียวกัน นั่นคือวาง Adverb of Frequency ไว้ระหว่าง Auxiliary verb และ verb หลัก

  • have never visited Turkey.
  • He’s always taking things from my desk. It’s really annoying.
  • You had rarely arrived late at work until yesterday.

ปกติแล้ว คุณมีวิธีการอธิบายเรื่องนี้ให้กับนักเรียนอย่างไร?

กิจกรรมอะไรที่คุณชอบทำกับนักเรียนเพื่อให้พวกเขาสามารถฝึกเรื่องการตั้งคำถามเกี่ยวกับความถี่?

เรามักจะให้นักเรียนเขียนคำถามสองสามคำถาม จากนั้นจึงให้ทุกคนเดินรอบห้องเพื่อพูดคุยและตอบคำถามของกันและกัน นี่คือตัวอย่างของคำถาม

  1. What do you usually do on Saturday nights?
  2. How often do you see your best friend?
  3. Do you ever go to the theatre?
  4. How often do you play sport or go to the gym?
  5. Do you ever watch films or TV programmes in English?
  6. What time do you usually go to bed?
  7. How often do you eat at a restaurant?
  8. Are you sometimes late for work or school?

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


“บล็อกโคลี” กับผลข้างเคียง ผลกระทบด้านสุขภาพ ของผักที่ว่าเป็นซูเปอร์ฟูดส์

บล็อกโคลี เป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินเอ ซี และไรโบฟลาวิน นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและแคลเซียม นอกจากนี้บล็อกโคลียังมีปริมาณแคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น การเพิ่มบล็อกโคลีเข้าไปในอาหารประจำวันของคุณอาจช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ แต่อย่างไรก็ตามบล็อกโคลีก็มีผลข้างเคียง ผลกระทบหากทานมากจนเกินไป

“บล็อกโคลี” กับผลข้างเคียง ผลกระทบด้านสุขภาพ

บล็อกโคลี เป็นอาหารที่ปลอดภัยต่อการรับประทานและไม่ค่อยก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงบางประการได้เช่นกัน

1.กากใยในบล็อกโคลีในปริมาณมากอาจส่งผลต่อระบบการทำงานของลำไส้และทำให้เกิดแก๊สได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อย่างไรก็ตามผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้เช่นกัน แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพที่ได้รับนั้นมากกว่าความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย

2.หากคุณกำลังรับประทานยาตามใบสั่งแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มบล็อกโคลีเข้าไปในอาหารของคุณ นอกจากนี้ผู้ที่กำลังรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานบล็อกโคลี เนื่องจากวิตามิน K ในบล็อกโคลีอาจลดประสิทธิภาพของยาได้

3.หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับตับ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานบล็อกโคลีในปริมาณมาก เนื่องจากบล็อกโคลีมีสารไซโตโครม (cytochrome) ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของตับและอาจรบกวนการรักษาโรคตับได้

4.หากคุณมีภาวะขาดไอโอดีนในร่างกาย หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหาการขาดสารไอโอดีน เช่น ภูเขา คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไทรอยด์ทำงานต่ำ ดังนั้น ควรจำกัดปริมาณการบริโภคบล็อกโคลี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/01/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a44,000.0044,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,850.0043,206.0044,600.00
ทองรูปพรรณ 90%2,565.0038,885.40n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,280.0034,564.80n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,283.0019,450.28n/a
ทองรูปพรรณ 40%998.0015,129.68n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,953.0044,767.48n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/01/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.1536.1536.6536.1536.1536.1536.1536.1536.1536.15
แก๊สโซฮอล์ 9135.7835.7836.2835.7835.7835.7835.7835.7835.7835.78
แก๊สโซฮอล์ E2033.9433.9434.4433.9433.9433.9433.9433.9433.94
แก๊สโซฮอล์ E8533.0933.0933.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.7449.8449.8449.8444.74
เบนซิน 9544.4449.8144.9444.5944.44
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า