กระทรวงการคลัง เปิดช่องกทม.เช็คบิลบิ๊กทุนปลูกกล้วยเลี่ยงภาษีที่ดิน
กระทรวงการคลัง เปิดทางกทม. ใช้ดุลยพินิจไล่ถลุง บิ๊กทุนหลบเลี่ยงภาษีที่ดิน นำที่ดินกลางเมือง ทำการเกษตร ปลูกกล้วย มะม่วง ลดภาระค่าใช้จ่าย
กรุงเทพมหานคร(กทม.)มีนโยบาย เร่งจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ติดปมปัญหาใหญ่ ของ กฎระเบียบข้อบังคับกฎหมายของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย ที่เปิดช่องให้ นักลงทุนสามารถ พลิกแพลง นำที่ดินรกร้างไม่ทำประโยชน์ พลิกโฉมเป็นสวนกล้วยที่ดินเกษตรกรรม เพื่อต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ต่ำลง
ทั้งที่ที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาแพง ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง ผังเมืองกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นพื้นที่สีแดงประเภทพาณิชยกรรมและ เหมาะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ขณะฝั่งของเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ต่างมองว่า เมื่อกฎหมายเปิดช่องถือว่าไม่ผิด กติกา อีกทั้งไม่มีการนำกฎหมายผังเมือง มาเป็นตัวยึดโยงในการเรียกเก็บภาษี
ปมดังกล่าวส่งผลให้ นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทำหนังสือหารือไปยัง คณะกรรมการวิฉิจฉัยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กระทรวงการคลัง เพื่อหารือว่าสามารถออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร กำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีให้สูงขึ้น ตามเกณฑ์โซนสีผังเมืองได้หรือไม่ คำตอบที่ได้รับ คณะอนุกรรมการวินิจฉัย ฯกระทรวงการคลัง เสียงส่วนใหญ่ระบุซัดว่า
หากกทม.จะดำเนินการในลักษณะดังกล่าวสามารถทำได้แต่ ต้อง ไม่เกินเพดาน ที่อัตราโครงสร้างภาษีกำหนด ของอัตราเกษตร หรือไม่เกิน 0.15% และต้องถือปฎิบัติ ให้เท่าเทียบกันทั้ง 50เขต เพื่อป้องกันการลักลั่น อย่างไรก็ตาม นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และกรรมการผู้จัดการบริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์จำกัด(มหาชน) เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า
กทม.ต้องการเรียกเก็บภาษีที่ดินที่ใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะผิดประเภท ตามผังเมืองโฟกัสเฉพาะ โซนไข่แดง ย่านศูนย์กลางธุรกิจ พื้นที่สีแดง(ประเภทพาณิชยกรรม) เท่านั้น อย่าง เขตวัฒนา ปทุมวัน บางรักฯลฯ ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ดินดังกล่าวมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
ไม่เหมาะที่จะนำมาปลูกพืชทำเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันมีให้เห็นเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่านักลงทุนดังกล่าว อาจจะมีเจตนาหลบเลี่ยงภาษีที่ชัดเจน ซึ่งกทม.สามารถปรับเพิ่มอัตราการเรียกเก็บภาษีได้ ตามดุลยพินิจ
ด้านนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ฐานะประธาน คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ออกมา ยืนยันว่ากทม.และท้องถิ่นอื่นสามารถดำเนินการจัดเก็บเพิ่มได้โดยใช้ดุลพินิจ เรียกเก็บภาษี จากที่ดินเกษตรเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ได้ ตลอดเวลา
หากเห็นว่าที่ดินแปลงนั้นเจ้าของมีเจตนาหลบเลี่ยงภาษีที่ดิน ทำเป็นแปลงปลูกพืชเกษตร ปล่อยให้หญ้าขึ้นรก ไม่มีผลผลิต ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้คณะอนุกรรมการฯส่งข้อหารือของกทม. มายังคณะกรรมการฯก่อนกรณีที่มีการปลูกพืชการเกษตรในที่รกร้างว่างเปล่าใจกลางเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
“หลักการของการจัดเก็บภาษีดังกล่าว กฎหมายได้ให้อำนาจของแต่ละท้องถิ่นในการใช้ดุลพินิจ ซึ่งหากพบว่าเจ้าของที่ดิน ที่เคยปล่อยให้รกร้างแต่มีการนำปลูกพืชเกษตรเพื่อต้องการเลี่ยงภาษีนั้น ท้องถิ่นก็สามารถใช้ดุลพินิจในการเข้าไปจัดเก็บภาษีได้ เรื่องนี้ ในหลักการต้องดูที่เจตนาด้วย แม้ว่าจะมีการปลูกพืชเกษตรในที่รกร้างว่างเปล่า แต่ถ้าเจตนาเลี่ยงภาษี ทางท้องถิ่นก็ต้องใช้ดุลพินิจในการพิจารณาว่า จะมีการจัดเก็บภาษีหรือไม่ โดยวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บภาษีที่รกร้างว่างเปล่า ก็เพราะต้องการให้เกิดการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์มากขึ้น”
อย่างไรก็ตามกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งกำหนดจัดเก็บภาษีที่ดินที่รกร้างว่างเปล่าไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรในอัตราที่สูงกว่าที่ดินประเภทอื่นๆ นั้น ก็เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์ในที่ดิน
หากเป็นที่ดินรกร้างไม่ว่าอยู่ที่ใดในประเทศ แล้วเจ้าของที่ดินนำที่ดินแปลงนั้นไปทำการเกษตร ตามข้อกำหนด ซึ่งจะต้องมีต้นไม้ในพื้นที่กี่ต้นต่อไร่ หากเป็นไปตามข้อกำหนดก็ต้องถือว่าที่ดินแปลงนั้นได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตร
ทั้งนี้ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้กำหนดอัตราภาษีสูงสุด ที่จะให้อำนาจท้องถิ่นในการจัดเก็บภาษีตัวนี้ ตามประเภทที่ดินดังนี้ คือ ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อัตราเพดานอยู่ที่ 0.15 % ของมูลค่าที่ดิน
ที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย เพดานอยู่ที่ 0.3% ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินประเภทอื่นนอกเหนือจากเกษตรกรรม และที่อยู่อาศัย เช่น ที่ดินที่ใช้ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมถึงที่ดินรกร้างว่างเปล่า มีเพดานอยู่ที่ 1.2%
โดยคณะกรรมการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะกำหนดอัตราภาษีแนะนำ แต่ละประเภทที่ดิน ให้เป็นแนวทางให้ท้องถิ่นจัดเก็บ ซึ่งท้องถิ่นสามารถจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราแนะนำหรือสูงกว่าก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเพดานที่กำหนด ในกรณีที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ได้ทำประโยชน์ตามสมควรแก่สภาพนั้น
กฎหมาย ยังกำหนดอีกว่า หากที่ดินแปลงใดปล่อยไว้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า และถูกเสียภาษีในอัตราที่รกร้างว่างเปล่าแล้ว ยังไม่ได้นำที่ดินแปลงนั้นมาใช้ประโยชน์ ยังคงปล่อยไว้ให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่านั้น ในทุก 3 ปี จะปรับอัตราภาษีเพิ่มอีก 0.3% หากไม่ได้ทำประโยชน์อะไรอีก ก็จะปรับขึ้นภาษีไปเรื่อยๆ แต่สูงสุดจะต้องไม่เกิน 3%ของราคาประเมิน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยสูง” ฉุดคนชะลอซื้อ ‘บ้านหลังที่สอง’
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เผย “เงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยสูง” ฉุดคนชะลอซื้อ ‘บ้านหลังที่สอง’ หวังภาครัฐช่วยลดดอกเบี้ย จูงใจซื้อบ้าน ยุคเงินเฟ้อ
22 ก.ย.2565 – “การเงิน” ถือเป็น ความท้าทายหลักเมื่อคิดซื้อบ้าน การซื้อที่อยู่อาศัยแม้จะมีราคาสูงและระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน แต่ถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้านที่ส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกระทบมาสู่ผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดการขาดสภาพคล่องทางการเงินตามไปด้วย
ข้อมูลจากผลสำรวจ CHAMBER BUSINESS POLL: “สถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2565” ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ปีนี้คนไทยมีหนี้สินถึง 99.6% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับจากที่มีการสำรวจมาตั้งแต่ปี 2550
สอดคล้อง มุมมองของ ของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ซึ่งระบุว่า ผลแบบสอบถามฯ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่าผู้บริโภคถึง 4 ใน 5 (80%) ยังคงต้องเผชิญความท้าทายจากปัญหาการเงินเมื่ออยากมีบ้าน โดยความท้าทายอันดับต้น ๆ มาจากการหาแหล่งเงินกู้ในการซื้อที่อยู่อาศัย (54%) และยื่นขอกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ยากขึ้น (44%) ดังนั้น คนซื้อบ้านในยุคนี้จึงจำเป็นต้องวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งประเมินภาระค่าใช้จ่ายให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ
“เงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยสูง” ฉุดคนชะลอซื้อบ้านหลังที่สอง
ซึ่งนอกเหนือจากผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่องแล้ว ในปีนี้ยังมีความท้าทายจากสถานการณ์เงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเข้ามาสร้างความกังวลให้ผู้บริโภคอีกระลอก
ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ที่ 7.86% ถือเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 14 ปี ซึ่งส่งผลให้ค่าครองชีพของผู้บริโภคปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อ กนง. มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงยิ่งสร้างความกังวลใจและกระทบกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยไม่น้อยเมื่อต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่แล้วและวางแผนซื้อบ้านหลังที่สองเพิ่มในอีก 1 ปีข้างหน้า มากกว่าครึ่ง (59%) เผยว่าจะชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับอีก 58% ที่เลือกชะลอแผนการซื้อไปก่อนเช่นกันหากเงินเฟ้อยังไม่กลับสู่ระดับปกติ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินปัจจุบันและรอประเมินสถานการณ์ในอนาคต
หวังภาครัฐช่วยลดดอกเบี้ย จูงใจซื้อบ้านยุคเงินเฟ้อ
แม้ปีนี้คนหาบ้านจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อตั้งแต่ต้นปี แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แล้ว พบว่าช่วงเวลานี้ยังคงเป็นโอกาสที่ดีในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย โดยข้อมูลจากแบบสอบถามฯ เผยว่าผู้บริโภคมากกว่า 4 ใน 5 คาดว่าอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และราคาที่อยู่อาศัยจะมีการปรับเพิ่มขึ้นภายใน 1 ปีข้างหน้า ดังนั้น การมีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ จากภาครัฐจึงเปรียบเสมือนประตูที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น
เมื่อเจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนที่คนหาบ้านคาดหวังจากภาครัฐท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูงในตอนนี้ พบว่า กว่า 3 ใน 5 (62%) ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มเติมอีก ขณะที่มากกว่าครึ่ง (58%) ต้องการให้มีมาตรการลดดอกเบี้ยทั้งสินเชื่อบ้านที่กู้ใหม่และที่มีอยู่ ตามมาด้วยคาดหวังว่าจะมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก (44%) เพื่อส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ราคาทองวันนี้ (23 ก.ย. 65) ขยับขึ้น 50 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 30,050 บาท
ราคาทองคำประจำวันนี้ (23 ก.ย. 2565) ขยับขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับราคาสุดท้ายเมื่อวานนี้ โดยราคาขายออกทองรูปพรรณ อยู่ที่ 30,050 บาท อ้างอิงข้อมูลล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ ที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ เมื่อเวลา 9.28 น.ที่ผ่านมา
ทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 29,450 บาท ขายออกที่ราคาบาทละ 29,550 บาท ตามประกาศครั้งที่ 1
สำหรับทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้ออยู่ที่บาทละ 28,925.28 บาท และขายออกที่ราคา 30,050 บาท ขณะที่ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 1,671.00 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
สรุปราคาทองคำ วันที่ 23 ก.ย. 2565
ประกาศครั้งที่ 1
ทองแท่ง
• รับซื้อ บาทละ 29,450 บาท
• ขายออก บาทละ 29,550 บาท
ทองรูปพรรณ
• รับซื้อ บาทละ 28,925.28 บาท
• ขายออก บาทละ 30,050 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ล้วงข้อมูล 5 ทีมคู่แข่งร่วมสายของทีมลูกยางสาวไทย ในศึกชิงแชมป์โลก 2022
อีกเพียงไม่กี่วัน วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 19 ทีประเทศเนเธอร์แลนด์ และโปแลนด์ ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
โดยการแข่งขันในรอบแรกทีมนักตบลูกยางสาวไทยจะอยู่ในกลุ่ม B ร่วมกับ เจ้าภาพร่วมโปแลนด์, ตุรกี, สาธารณรัฐโดมินิกัน, เกาหลีใต้ และโครเอเชีย ซึ่งในวันนี้เราจะไปวิเคราะห์แต่ล่ะทีมที่ทีมชาติไทยจะต้องเจอในรอบแรกกัน
ตุรกี
ตัวแทนจากทวีปยุโรป ที่หลังจากได้ “จิโอวานนี่ กุยเดตติ” เข้ามากุมบังเหียนก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งทีมชั้นนำของโลกได้แล้ว จากการที่ลีกวอลเลย์บอลในประเทศตุรกีถูกประเมินว่าเป็น 1 ใน 3 ลีกที่ดีที่สุดของโลก ทำให้มีนักกีฬาระดับโลกหลั่งไหลเข้ามาเล่นในลีก ซึ่งก็เป็นผลดีกับนักกีฬาของตุรกีเองที่จะได้เรียนรู้ และพัฒนาฝีมือกับผู้เล่นระดับนี้ตลอดเวลา
ในรอบแรกของศึกชิงแชมป์โลกครั้งนี้ ตุรกี ก็ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์ในสาย B ผู้เล่นที่โดดเด่นของทีมชุดนี้ก็จะเป็น “เซร่าห์ กูเนส” บอลเร็วเจ้าของตำแหน่ง MVP ของลีกตุรกีปีล่าสุด และ “เอบรา คาราคูร์ต” บีหลังหัวชมพูจอมว้าก ที่แฟนวอลเลย์บอลไทยน่าจะจดจำได้เป็นอย่างดีจากการพบกันครั้งล่าสุดในศึกเนชั่นส์ ลีก 2022 รอบไฟนัลส์ ที่คาราคูร์ต นำทีมตุรกี เอาชนะทีมชาติไทยไปได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย 3-1 เซ็ต และในรายการชิงแชมป์โลกครั้งนี้ สาวไทยจะต้องเปิดสนามพบกับตุรกี ในวันเสาร์ที่ 24 กันยายน เวลา 18.00 น.
โปแลนด์
หนึ่งในชาติเจ้าภาพร่วม ภายใต้การคุมทีมของ “สเตฟาโน่ ลาวารินี่” โค้ชมากฝีมือชาวอิตาลี ที่คุมทีมเกาหลีใต้ดับฝันสาวไทยในรอบคัดเลือกวอลเลย์บอลโอลิมปิก 2020 และพาทีมเกาหลีใต้จบอันดับ 4 ในโอลิมปิกเมื่อปีที่ผ่านมา โปแลนด์ชุดนี้ก็จะนำทัพมาโดย “โยอันนา โวลอสซ์” มือเซตตัวเก๋า และ “แมกดาเลน่า สตีเซียค” บีหลังร่างโย่ง ที่หายจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าและได้กลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง
แต่ในศึกชิงแชมป์โลกครั้งนี้ทีมโปแลนด์ก็จะไม่มีดาวดังอย่าง มัลวินา สมาเซ็ก ที่ยังคงไม่มีชื่อติดทีมชาติในปีนี้ โปแลนด์เป็นทีมที่นักกีฬามีรูปร่างสูงใหญ่ และเป็นอีกหนึ่งทีมที่ไทยเล่นได้ด้วยยาก จากความแตกต่างของรูปร่าง ล่าสุดที่เจอกันคือ วอลเลย์บอลเนชั่นส์ ลีก 2022 รอบแรก ที่ไทยพ่ายไปอย่างหวุดหวิด 2-3 เซ็ต
สำหรับในรายการนี้ ไทย จะพบกับโปแลนด์ ในนัดที่สอง วันพุธที่ 28 กันยายน เวลา 01.30 น. (คืนวันอังคารที่ 27 ก.ย. เวลาตีหนึ่ง สามสิบนาที)
เนื่องจากที่รัสเซียถูกนานาชาติแบนจากเหตุการณ์สงครามรุกรานยูเครน ทางสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ก็ได้ตัดสิทธิ์รัสเซียของจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกเช่นเดียวกัน โดยได้พิจารณาให้โครเอเชียเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้แทน ในอดีตที่ผ่านมาลูกยางสาวโครแอตได้เข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์โลกมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 1998, 2010 และ 2014 โดยผลงานที่ดีที่สุดที่ทำได้คือ อันดับ 6 จากทั้งหมด 16 ทีม
ในปี 2018 แฟนวอลเลย์บอลหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินขื่อทีมชาติโครเอเชียมากเท่าไรนัก แต่ต้องบอกว่ามาตรฐานของทีมวอลเลย์บอลหญิงทวีปยุโรปนั้นสูงมาก มีหลายทีมที่ฝีมือใกล้เคียงกัน ทำให้บางทีมยังไม่มีโอกาสได้โชว์ฝีมือในระดับโลกมากนัก ซึ่งโครเอเชียก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ทีมชุดนี้ก็เป็นที่น่าจับตามองพอสมควรจากการที่ได้ “เฟร์ฮัท อัคบาส” โค้ชชื่อดังชาวตุรกีมาคุมทีม โดยอัคบาสผ่านประสบการณ์มากมาย เคยเป็นผู้ช่วยของโค้ชชั้นนำของโลกอย่าง หลาง ผิง, จิโอวานนี่ กุยเดตติ มาก่อน ในส่วนของตัวผู้เล่นเด่นๆ ก็จะมี “ซาแมนทา ฟาบริซ” บีหลังมากประสบการณ์ ที่ผ่านลีกชั้นนำอย่างตุรกี และรัสเซียมาแล้ว โดยทีมชาติไทยจะมีโปรแกรมลงสนามพบกับโครเอเชีย ในวันพุธที่ 28 กันยายน เวลา 19.00 น.
เกาหลีใต้
อีกหนึ่งคู่รักคู่แค้นของทีมชาติไทย หนึ่งในตัวแทนจากทวีปเอเชีย ที่กำลังอยู่ในช่วงถ่ายเลือด อย่างที่เราทราบดีกันว่าหลังจากจบการแข่งขันโอลิมปิกครั้งล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา 3 หัวใจหลักของทีมชาติเกาหลีใต้อย่าง คิม ยอง คยอน, หยาง โฮจิน และคิม ซูจี ได้ประกาศเลิกเล่นทีมชาติ เมื่อรวมถึงปัญหาเรื่องอื้อฉาวของ 2 แฝด ลี ดายองและลี แจยอง
ในปีนี้เกาหลีใต้ยังประสบปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บจนต้องสับเปลี่ยนตัวผู้เล่นไปมาอีกมากมาย จนทำให้ผลงานในศึกเนชั่นส์ ลีก นั้นย่ำแย่จนแพ้รวด 12 นัด เก็บมาได้เพียงแค่ 3 เซ็ต ทำให้โค้ชคนใหม่ของทีม “เซซ่าร์ เฮอร์นันเดส กอนซาเลส” อยู่ในความกดดันอย่างหนักที่จะต้องสร้างผลงานในศึกชิงแชมป์โลกครั้งนี้ให้ดี เพราะถ้าหากว่าเกาหลีใต้แพ้รวดอีก อาจจะทำให้อันดับโลกหลุดไปต่ำกว่าอันดับที่ 24 ซึ่งจะส่งผลให้เกาหลีใต้หมดสิทธิ์ในการคัดเลือกไปโอลิมปิก 2024 ในทันที ก็คงเป็นงานหนักของกัปตันทีมคนใหม่ “พัค จองอา” อย่างแน่นอน
ในส่วนของผลการพบกันครั้งล่าสุด ไทย เอาชนะเกาหลีใต้ 3-0 เซ็ต ในรายการเนชั่นส์ ลีก 2022 โดยในศึกชิงแชมป์โลกทั้งคู่จะลงสนามพบกันในวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน เวลา 19.00 น.
สาธารณรัฐโดมินิกัน
ตัวแทนจากทวีปอเมริกาเหนือ, กลาง และกลุ่มประเทศแคริบเบียน (NORCECA) สาธารณรัฐโดมินิกัน ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์โลก ในฐานะแชมป์ของโซน NORCECA โดมินิกัน ถือว่าเป็นทีมขาประจำของการแข่งขันวอลเลย์บอลระดับโลก ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันเกือบทุกรายการ
ผู้เล่นของโดมินิกัน มีความโดดเด่นด้วยรูปร่างและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ตีหนัก เป็นจุดเด่นของทีมนี้ โดยในศึกชิงแชมป์โลกครั้งนี้ น่าจับตามองรายชื่อผู้เล่นของโดมินิกันเป็นอย่างมาก ผู้เล่นมากประสบการณ์หลายคน ได้กลับมารับใช้ทีมชาติอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น “เบธาเนีย เดอ ลาครูซ” หัวเสาระดับตำนานของทีม และ “เบรนด้า คาสตินโญ่” สุดยอดตัวรับอิสระอีกคนหนึ่งของโลก โดมินิกันเป็นอีกหนึ่งทีม ที่สร้างปัญหาให้กับทีมชาติไทยทุกครั้งที่ลงสนามพบกัน
โดยการพบกันครั้งล่าสุดในรายการวอลเลย์บอลเนชั่นส์ ลีก 2022 สาวไทย ก็พ่ายไป 1-3 เซ็ต ส่วนในรายการนี้ ไทย จะพบกับโดมินิกัน เป็นนัดสุดท้ายของรอบแรก ในวันที่ 1 ตุลาคม เวลา 19.00 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
หญิงวัยหมดประจำเดือน เสี่ยง “หลอดเลือดหัวใจตีบ”
ทำไมผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ถึงมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้น โดยปกติผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจตีบมากกว่าผู้หญิงในวัยอื่น และเพราะความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้นได้ตามอายุ โดยผู้หญิงจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นหลังหมดประจำเดือน ดังนั้นการใส่ใจดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
พญ.กรองอร ภิญโญลักษณา อายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า ภาวะของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือผู้หญิงวัยทอง คือ ภาวะที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนอย่างถาวร ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การที่ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี อายุเฉลี่ย 50 ปีหรือระหว่างอายุ 45-55 ปี จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการที่รังไข่หยุดทำงาน คือ อายุมากกว่า 40 ปี จากการผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง ซึ่งสามารถเกิดได้ในคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี
อันตรายของวัยหมดประจำเดือน
โดยปกติรังไข่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิงอย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีผลต่ออวัยวะทั่วร่างกาย เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนรังไข่จะหยุดทำงานทำให้สร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้ลดลง นำไปสู่อาการต่างๆ ของวัยหมดประจำเดือน ได้แก่ รู้สึกร้อนวูบวาบ มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย อารมณ์แปรปรวน ในบางคนมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ซึ่งอาการมักเกิดในช่วง 3-4 ปีก่อนและหลังหมดประจำเดือน โดยช่วงเวลาและความรุนแรงอาจแตกต่างกันในแต่ละคน และในบางคนอาจไม่มีอาการเลย นอกจากนี้ยังอาจพบโรคที่เกิดจากภาวะการขาดฮอร์โมนเพศหญิงได้ เช่น โรคกระดูกพรุน ช่องคลอดแห้ง ปัสสาวะลำบาก เป็นต้น
ทำไม ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ถึงเสี่ยง “หลอดเลือดหัวใจตีบ”
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น เพราะโดยปกติฮอร์โมนเพศหญิงจะช่วยลดระดับไขมันไม่ดีและเพิ่มระดับไขมันที่ดีในเลือด ป้องกันไม่ให้ไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายยืดหยุ่น เมื่อขาดฮอร์โมนเพศหญิงจึงส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวหรืออุดตันได้ทั่วร่างกาย รวมไปถึงหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ภาวะหลอดเลือดตีบเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย โดยอาการที่เกิดจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของหลอดเลือดที่ตีบในอวัยวะนั้นๆ เช่น หลอดเลือดหัวใจ จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางร้าวไปแขนซ้าย กราม หรือไหล่ รู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก เกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง จะมีอาการแขนขาอ่อนแรงเป็นซีก มุมปากตก พูดไม่ชัด หรือถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงขา จะมีอาการปวดขาเวลาเดิน
วิธีป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบ
การป้องกันหลอดเลือดตีบคือควรตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำ ตรวจเช็กสุขภาพหัวใจ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สำหรับทางด้านหัวใจ แนะนำให้ออกกำลังกายแบบหนักปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ งดสูบบุหรี่ หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ฯลฯ ควรดูแลควบคุมโรคให้ได้ตามเกณฑ์ของข้อบ่งชี้
โดยการตรวจเช็กหลอดเลือดตีบ สามารถตรวจภาวะหลอดเลือดแข็งตัวหรืออุดตันในอวัยวะต่างๆ ได้แก่
- หลอดเลือดหัวใจ ตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Scan หรือ CAC)
- หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ใช้การตรวจหลอดเลือดใหญ่ที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid Duplex Ultrasound)
- หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงส่วนปลาย อย่างขา แขน ใช้การตรวจสมรรถภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Ankle Brachial Index : ABI) ถ้าอาการไม่รุนแรงมากจะรักษาด้วยการให้ทานยาลดไขมันเพื่อลดหรือป้องกันไม่ให้ตีบเพิ่มขึ้นหรือสำหรับหลอดเลือดหัวใจ
ยาลดไขมันสามารถป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ รวมถึงการกินยาต้านเกล็ดเลือดและยาตัวอื่นๆ ถ้าหากมีอาการที่รุนแรง สำหรับหัวใจต้องรักษาด้วยการทำบอลลูนใส่ขดลวด (Stent) หรือผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุพพลภาพและเสียชีวิต ช่วยลดอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยการรักษาผู้ป่วยจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจพิจารณา
อย่างไรก็ตามเมื่อคุณผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง ควรพึงระวังภาวะที่อาจจะเกิดขึ้นตามข้อมูลข้างต้น หมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ตรวจเช็กสุขภาพเพื่อป้องกันและดูแลโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องต่างๆ รวมไปถึงโรคหัวใจหากมีได้อย่างถูกวิธี
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อธิบายรสชาติอาหารให้ตรงใจ ต้องพูดคำไหนถึงจะดี?
หากจะให้อธิบายเรื่องรสชาติของอาหาร คำศัพท์หลักๆ ที่เราน่าจะรู้จักกันอยู่แล้วเช่น Delicious = อร่อย, Sweet = หวาน, Salty = เค็ม หรือ Spicy = เผ็ดจัดจ้าน เป็นต้น แต่เอ๊ะ! ถ้าเราอยากจะอธิบายรสชาติแบบถึงพริกถึงขิงถึงเครื่องเทศมากกว่านี้ บอกถึงรสชาติที่หวานนุ่มละมุนมากกว่านี้ล่ะจะพูดยังไงดี อย่ารอช้าตามมาดูคำศัพท์คูลๆ เกี่ยวกับการบรรยาย “รสชาติอาหาร” ไปพร้อมกับเราเลย
Tangy
อาหารที่มีรสเข้มข้นโดดเด่นจัดจ้านชัดเจน เช่น ต้มยำที่มีรสเปรี้ยวเค็มนำอย่างโดดเด่น
Peppery
อาหารที่เผ็ดๆ แบบรสพริกไทย
Hot
อาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อน หรือมีพริกเป็นส่วนประกอบ
Piquant
รสชาติเผ็ด จัดจ้าน อารมณ์ประมาณอาหารประเภทยำต่างๆ
Brackish
อาหารที่มีรสเค็ม
Savoury
รสออกเค็มๆ เผ็ดๆ ไม่มีรสหวาน แต่ออกมาแล้วอร่อย
Acidic
เปรี้ยวมากๆ เปรี้ยวคล้ายๆ กรดอ่อนๆ
Tart
รสเปรี้ยวนิดๆ
Acerbic
รสชาติเปรี้ยวๆ ฝาดๆ
Rich
อาหารที่รสชาติเข้มข้นที่เต็มไปด้วย รสของเนย นม ครีม และไข่ เช่น ขนมปัง แยมโรล เป็นต้น
Creamy
รสแบบครีมๆ หอมมัน
Cheesy
รสเนย หรือจะใช้เรียกแทนรสเลี่ยนก็ได้
Nutty
อาหารที่ให้รสชาติ หรือมีส่วนประกอบคล้ายถั่ว
Sharp
รสขมที่ขมมากๆ
Bitter
รสขม
Bitter-Sweet
ขมๆ หวานๆ อารมณ์ประมาณดาร์กช็อคโกแลต
Mellow
รสหวานฉ่ำ แบบผลไม้หวานๆ
Luscious
รสชาติหอมหวาน หวานฉ่ำ ใช้อธิบายรสชาติของขนมหวาน หรือขนมเค้ก
Insipid
อาหารรสจืดชืด ไม่มีรสชาติอะไรเลย
Tasteless
อาหารที่ไม่มีรสชาติ
Watery
รสจืดๆ จางๆ เหมือนใส่น้ำเยอะเกินไป
Bland
จืดๆ ไม่มีรสชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
การใช้ Biometric พิสูจน์ตัวตน ในยุคที่เราถูกขโมยตัวตนง่าย ๆ
ทุกวันนี้ คุณตั้งค่าปลดล็อกสมาร์ตโฟนและแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในเครื่องของคุณด้วยวิธีใด? จริง ๆ ค่อนข้างเชื่อว่าตั้งแต่ที่สมาร์ตโฟนยี่ห้อต่าง ๆ มีฟังก์ชัน “ปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือ” หรือ “ปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้า”
หลายคนก็เลือกที่จะใช้วิธีการสแกนอวัยวะเหล่านี้ของตนเองเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ส่วนตัว มากกว่าที่จะมานั่งจำ password จำรหัส pin หรือแม้แต่จำการวาด pattern เพราะการสแกนนั้นง่ายและรวดเร็วกว่ามาก เราสามารถเข้าสู่หน้าจอโทรศัพท์ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ทั้งยังไม่ต้องจำรหัสอะไรด้วย เว้นเสียแต่ระบบจะล็อกไม่ให้ใช้วิธีการสแกน เนื่องจากเกิดข้อผิดพลาดในการพยายามปลดล็อกหลายครั้ง ถึงจะต้องมาระลึกชาติว่า password เครื่องคืออะไร
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการใช้เทคโนโลยี Biometric ในชีวิตประจำวันที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยในหลาย ๆ ด้าน นอกเหนือจากฟังก์ชันการปลดล็อกของสมาร์ตโฟน เทคโนโลยีนี้ก็ถูกนำมาใช้ในด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ที่ใกล้ตัวมาก ๆ อีกอย่างก็คือในงานฝ่ายบุคคลของบริษัทต่าง ๆ (สแกนลายนิ้วมือเข้างาน) และการทำโปรแกรมเงินเดือน
เทคโนโลยี Biometric คืออะไร
หากพิจารณาตามศัพท์ จะพบว่าคำว่า Biometric ประกอบขึ้นจากคำว่า bio ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิต และคำว่า metric ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะที่สามารถถูกวัดค่าหรือประเมินจำนวนได้ เมื่อนำ 2 คำนี้มารวมกัน หมายถึงเทคโนโลยีในการใช้คุณลักษณะหรือพฤติกรรมบางอย่างในสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และสามารถเทียบวัดหรือนับจำนวนได้ มาผนวกเข้ากับหลักการทางสถิติ เพื่อประโยชน์ในการแยกแยะ จดจำ ยืนยัน และระบุตัวตนของแต่ละบุคคล โดยมีตัวระบุเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 20 แบบเลยทีเดียว โดยสามารถแบ่งกว้าง ๆ ออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกันคือ
- ลักษณะทางกายภาพ เช่น ลายนิ้วมือ เส้นเลือดในฝ่ามือ ฝ่ามือ จอตา ม่านตา ใบหน้า DNA และกลิ่น
- ลักษณะทางพฤติกรรม เช่น เสียง ลายเซ็น และการพิมพ์
ข้อมูล Biometric จะเป็นลักษณะทางกายภาพของคนแต่ละคน เช่น ลายนิ้วมือ ลักษณะของใบหน้า ม่านตา เสียง นอกจากนี้ยังรวมถึงพฤติกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลด้วย ทำให้ปัจจุบันนี้ เราใช้ประโยชน์จาก Biometric เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ยืนยันหรือพิสูจน์ตัวตนบุคคล โดยนำลักษณะทางกายภาพ เช่น ลายนิ้วมือ รูม่านตา และโครงสร้างใบหน้า หรือพฤติกรรมเฉพาะของแต่ละบุคคล เช่น ลักษณะการเดิน การเคลื่อนไหวของมือ เสียงพูด มาใช้ในการจำแนก โดยมีการตรวจสอบลักษณะทางกายภาพเข้ากับเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
ความที่เป็นข้อมูลที่เป็นลักษณะเฉพาะ จึงเป็นเอกลักษณ์ที่มนุษย์ไม่มีใครมีเหมือนกัน แม้แต่ฝาแฝดกันก็มีลักษณะเฉพาะตัวของตัวเองแบบที่แฝดอีกคนมีไม่เหมือน เช่น ลายนิ้วมือและม่านตา ฝาแฝดมีไม่เหมือนกัน ต่อให้พิจารณาด้วยสายตา เห็นว่ารูปร่างหน้าตาภายนอกคล้ายกันมากจนเกือบจะเหมือน แต่จริง ๆ ไม่เหมือนกัน Biometric จะแยกได้ ทำให้ Biometric เป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูง ปลอมแปลงได้ยาก ป้องกันการสูญหาย และมีความถูกต้องแม่นยำสูง จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อป้องกันข้อมูลหรือทรัพย์สินที่ต้องการความปลอดภัยสูง
อย่างไรก็ดี เคยเกิดกรณีที่โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังเจ้าหนึ่ง ซึ่งใช้เทคโนโลยี Face ID ในการปลดล็อกด้วยใบหน้า ทว่า Face ID ก็สร้างเรื่อง เนื่องจาก “แยกฝาแฝดไม่ออก” จึงยอมให้แฝดอีกคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน Face ID สามารถปลดล็อกเครื่องเข้าไปใช้งานได้ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
จึงเป็นที่น่าสนใจ ว่าจริง ๆ แล้ว Face ID สามารถบอกความแตกต่างของใบหน้าที่คล้ายกันได้มากน้อยแค่ไหนกันแน่ ถ้าหากระบบ Face ID ไม่สามารถแยกใบหน้าของฝาแฝดออก นั่นเท่ากับว่าความปลอดภัยของเทคโนโลยี Face ID อาจจะน้อยกว่าระบบความปลอดภัย Biometric อื่น ๆ อย่างการสแกนลายนิ้วมือหรือการสแกนม่านตาหรือเปล่า
ข้อมูล Biometric ไม่ได้เป็นส่วนตัวขนาดนั้น
ปัจจุบัน เราจะพบว่ามีการนำเทคโนโลยี Biometric มาใช้ประโยชน์กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะประโยชน์ด้านการพิสูจน์/ยืนยันตัวบุคคล และด้านการป้องกันข้อมูลหรือทรัพย์สินที่ต้องการความปลอดภัยสูง อย่างที่เราได้ใช้ประโยชน์กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน ก็อย่างเช่นการปลดล็อกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ และการเข้าสู่ระบบการทำธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกลักลอบและปลอมแปลงข้อมูล ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาเทคโนโลยี Biometric ให้มีความแม่นยำมากขึ้น ลดข้อผิดพลาดลง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ควรระวังก็คือ ข้อมูล Biometric ไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวขนาดนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ส่วนใหญ่แล้วเราเป็นคนอัปโหลดภาพเซลฟี่ “ใบหน้า” ลงโซเชียลมีเดียด้วยตนเอง เวลารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็ถ่ายคลิปไปด้วยซึ่งเห็น “ท่าทางการเดิน” และได้ยิน “เสียง” ของเราชัดเจน นอกจากนี้ตลอดชั่วชีวิตของคนเราก็มีเอกสารหลายร้อยฉบับที่มี “ลายเซ็น” ของเรา ถ้าจะว่ากันตามจริงก็คือ ข้อมูล Biometric เหล่านี้อาจถูกเข้าถึงได้ง่ายมากและเข้าถึงจากที่ไหนก็ได้ เพราะเราเป็นคนสร้างตัวตนพวกนี้ขึ้นมาบนโลกออนไลน์ (โลกเสมือน) ด้วยตัวเราเอง
กับคนธรรมดา ๆ อาจทำอะไรกับข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มากนัก แต่สำหรับอาชญากรไซเบอร์ทั้งหลาย ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่ การที่เรามีตัวตนอยู่บนอินเทอร์เน็ต คุณสมบัติทางกายภาพทั้งหมดของเราอาจเข้าถึงได้โดยอาชญากรผ่านทางภาพถ่ายและวิดีโอที่เราเป็นคนอัปโหลดไว้ และระดับแฮกเกอร์ก็อาจจะนำข้อมูลภาพใบหน้าที่ชัดเจนที่สุดของเราไปสแกนเข้าระบบอะไรสักอย่างก็ได้ หรือภาพถ่ายชู 2 นิ้ว หากแฮกเกอร์ซูมภาพเห็นลายนิ้วมือเราอย่างชัดเจน ก็อาจจะนำภาพลายนิ้วมือของเราไปสแกนเข้าระบบอะไรที่ไหนก็ได้เหมือนกัน กรณีนี้เคยมีข่าวเตือนเมื่อไม่นานมานี้
ตั้งแต่มีการนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าหรือสแกนใบหน้ามาใช้งาน ช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดช่องโหว่ในการปลอมแปลง ทำนองว่าไม่สามารถใช้ภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวจากวิดีโอมาสแกนเพื่อปลดล็อกได้ แต่ในความเป็นจริง เหล่าแฮกเกอร์ไม่ได้มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีเหล่านี้น้อยไปกว่าคนที่พยายามปิดกั้นช่องโหว่ไม่ให้เกิดการปลอมแปลง ดีไม่ดีอาจจะเป็นคนเดียวกันก็เป็นได้ ลักษณะเดียวกันกับคำพูดติดตลกเมื่อนานมาแล้ว ว่าคนที่สร้างไวรัสคอมพิวเตอร์ขึ้นมากับคนที่สร้างโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอาจเป็นคนเดียวกัน เป็นคนทำให้มีไวรัสขึ้นมา แล้วก็สร้างยาต้านไวรัสเอง เมื่อติดไวรัสแล้วก็จะมารักษาและซื้อยาต้านไป
ยกตัวอย่างเดิมที่เทคโนโลยี Face ID จากแบรนด์โทรศัพท์มือถือเจ้าดัง เคยการันตีไว้ว่าเทคโนโลยีนี้มีความปลอดภัยสูงมาก มีโอกาสเพียง 1 ใน 1,000,000 เท่านั้น ที่จะเกิดข้อผิดพลาด แม้ว่าผู้ใช้จะสวมหมวก ใส่วิก ใส่แว่น แต่งหน้า ไว้เครา ก็ยังคงสามารถสแกนได้ด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่จดจำหน้าเราเอาไว้แล้ว และไม่สามารถใช้รูปถ่ายหรือวิดีโอมาสแกนปลดล็อกได้ ขณะที่ระบบ Touch ID มีโอกาสผิดพลาดสูงถึง 1 ใน 50,000 แต่จะว่าไป ข้อผิดพลาดที่แย่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับ Face ID ก็คือแยกใบหน้าของฝาแฝดยังไม่ออกเลย!
เพราะฉะนั้น แฮกเกอร์ที่เก่ง ๆ อาจจะพยายามทำลายการป้องกัน “ไม่สามารถใช้รูปถ่ายหรือวิดีโอมาสแกนปลดล็อกได้” ลง แล้วใช้รูปถ่ายหรือวิดีโอที่มีใบหน้าเรามาสแกนปลดล็อกได้ในภายหลัง ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไรสำหรับอาชญากรไซเบอร์ ตัวเราอาจเป็นเจ้าของลายนิ้วมือ ใบหน้า หรือเสียงก็จริง แต่ไม่ใช่เราคนเดียวหรอกที่จะเข้าถึงองค์ประกอบส่วนบุคคลที่เป็นเอกลักษณ์เหล่านั้นได้ ในเมื่อเราเป็นคนอัปโหลดตัวตนส่วนหนึ่งของตัวเองลงอินเทอร์เน็ตเองกับมือ!
ดังนั้น คิดให้รอบคอบก่อนเลือกใช้ข้อมูล Biometric เพราะมันไม่เหมือนกับการโดนแฮกรหัสผ่านที่เราสามารถเข้าไปเปลี่ยนรหัสได้เมื่อความเสียหายมาเยือน แต่ข้อมูล Biometric เราเปลี่ยนไม่ได้ตลอดชีวิต หากถูกขโมยแล้ว ก็เท่ากับว่าเราถูกขโมยตัวตนไปทั้งชีวิต เป็นความเสียหายที่ไม่อาจกู้คืนได้เลยตลอดชีวิต
สะดวกแต่ปลอดภัยจริง ๆ หรือ
Biometric ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวประเภท “ข้อมูลชีวภาพ” ซึ่งก็คือ “ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการนำลักษณะเด่นทางกายภาพหรือทางพฤติกรรมของบุคคลมาใช้ทำให้สามารถยืนยันตัวตนของบุคคลนั้นที่ไม่เหมือนกับบุคคลอื่นได้” ตามมาตรา 26 พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นข้อมูลเฉพาะตัวของบุคคลโดยแท้ หากถูกเปิดเผยโดยมิชอบ จะมีความเสี่ยงในการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมโดยง่ายรวมถึงการถูกขโมยตัวตน กฎหมายจึงระบุชัดเจนว่า “ห้าม” เก็บรวบรวมโดยปราศจากความยินยอมโดย “ชัดแจ้ง” จากเจ้าของข้อมูล
ช่วงแรก ๆ ที่เทคโนโลยี Biometric ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย หลายคนก็เข้าใจว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว เพราะมีเพียงตัวเราเท่านั้นที่จะมีใบหน้าแบบนี้ มีม่านตาแบบนี้ มีลายนิ้วมือแบบนี้ มี DNA แบบนี้ ที่จะนำไปสแกนหรือยืนยันตัวตนเพื่อปลดล็อก เข้าสู่ระบบ หรืออะไรอื่น ๆ ได้ มันมีความเป็นข้อมูลส่วนตัวสูงมาก
แต่เมื่อได้ใช้งานจริง เราก็เริ่มเห็นแล้วว่ามันยังมีช่องโหว่อยู่มาก ที่ต้องอาศัยทั้งการปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีในการอุดช่องโหว่นั้น เพื่อให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพขึ้น อีกทั้งในเรื่องของข้อกฎหมายในการคุ้มครองข้อมูลเหล่านี้ ที่อาจถูกลักลอบแอบนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและสร้างความเสียหาย
ยกตัวอย่างการใช้ลายนิ้วมือหรือใบหน้าในการปลดล็อกโทรศัพท์ซึ่งมักจะมีข้อมูลส่วนตัวของเรา ดูเหมือนจะปลอดภัยเพราะมีแค่เราเท่านั้นที่จะใช้อวัยวะของตัวเองสแกนปลดล็อกโทรศัพท์ส่วนตัว ทว่าสิ่งที่เราอาจเคยเห็นในละครหรือภาพยนตร์ก็คือ เวลาที่ตัวละครหลับลึกหรือถูกทำให้หมดสติ ตัวละครผู้ไม่หวังดีสามารถจับเอานิ้วของเจ้าของเครื่องมาสแกนปลดล็อกโทรศัพท์เครื่องนั้นได้อย่างง่ายเพียงเสี้ยววินาที หรือบังคับให้ทำหน้าตรง ๆ เอาโทรศัพท์มาจ่อหน้า เครื่องก็ปลดล็อกให้แล้ว
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นการตั้งล็อกด้วย password ธรรมดา ๆ หรือใช้วิธีวาด pattern เอา แล้วไม่เคยบอกใครว่ารหัสปลดล็อกคืออะไร ก็คงไม่ง่ายนักที่จะปลดล็อกโทรศัพท์เครื่องนั้นในเสี้ยววินาที การเดาสุ่มไปเรื่อย ๆ ใส่รหัสผิดเกินจำนวนครั้ง อาจทำให้เครื่องล็อก ถูกจำกัดการเข้าถึงไปเลยพักใหญ่ ๆ ก็ได้
อย่างไรก็ดี กรณีที่ผู้ไม่หวังดีไม่มี Biometric ของเรา มันก็ช่วยให้เราปลอดภัยจากระบบรีโมต (Remote) หรือการควบคุมอุปกรณ์ระยะไกลได้มากเช่นกัน กรณีถูกแฮกการเข้าใช้งานแอปฯ ธนาคาร มิจฉาชีพควบคุมเครื่องของเราผ่านการส่งลิงก์แปลก ๆ มาหาเรา ซึ่งอาจมีพวกสปายแวร์หรือคำขออนุญาตเปิดการรีโมตแนบมา การใช้ password หรือ pin หรือ pattern จะถูกดักจับผ่านการสอดแนม แต่ไม่สามารถทำงานผ่าน Biometric ได้ เพราะมีเพียงเราคนเดียวที่จะสแกนอวัยวะของตนเองผ่านอุปกรณ์ที่เราตั้งค่าเท่านั้น
เป็นความจริงที่ข้อมูล Biometric ที่เราใช้เปิดแอปฯ และปลดล็อกอุปกรณ์ มีความปลอดภัยสูงในกรณีส่วนใหญ่ เพราะมันมีความเป็นข้อมูลส่วนตัวสูงมาก แต่ก็อย่างว่าว่าข้อมูลตัวตนของเราบนอินเทอร์เน็ตเป็นข้อมูลที่อาจถูกแฮกได้ และวิธีการเหล่านี้จะซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ฉะนั้น มันอาจจะดีกว่าที่เราจะยอมลดความสะดวกสบายลงสักนิด แล้วเปิดการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น ทั้งใช้ Biometric พร้อมด้วยรหัสผ่านที่รัดกุม รหัสคือสิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เน้นไปที่การสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งและคาดเดายากมาช่วยเสริมความปลอดภัยจะดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มหัศจรรย์ต้นสาบเสือ! สมุนไพรไทยที่มากด้วยสรรพคุณ ที่คุณควรรู้
สาบเสือ สรรพคุณ ใกล้ตัวที่คุณต้องรู้
สาบเสือ(Bitter bush) จากวัชพืช กลายเป็นยา
ประเทศไทยอุดมไปด้วยสมุนไพร แต่คนไทยเองยังไม่ค่อยรู้จักหรือให้ความสำคัญมากนัก สาบเสือ(Bitter bush) เป็นสมุนไพรอีกหนึ่งชนิด ที่เผิน ๆ ดูเหมือนวัชพืช ที่เราพบได้ทั่วไปและไม่มีประโยชน์ แต่จริง ๆ แล้วสาบเสือมีประโยชน์ที่น่าทึ่งหลายอย่าง
ลักษณะทั่วไปที่พบ
สาบเสือ เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในเขตร้อนเกือบทุกประเทศ เป็นไม้ล้มรุก สูงได้ประมาณ 1-2 เมตร ชอบแสงแดดจัด ดอกสาบเสือ สามารถใช้เป็นดรรชนี วัดสภาพความแห้งแล้งได้อีกด้วย หากอากาศไม่แล้งพอสาบเสือก็จะไม่ออกดอกค่ะ สำหรับประเทศไทยคงไม่ต้องเดา เราได้เห็นดอกสาบเสือกันเกือบทั้งปี เนื่องจากอากาศบ้านเราค่อนข้างร้อน
การใช้เป็นยา
สาบเสือ สมุนไพรที่ใช้ได้ทั้งภายนอกและภายใน ลำต้น ใบ ดอก ราก ล้วนมีคุณค่าทางยาช่วยรักษาโรคได้มากมาย อาทิ ใช้รักษาโรคไต ใช้ห้ามเลือด และแก้ไข้ป่า
1.ช่วยลดโรคไต
สาบเสือมีคุณสมบัติช่วยลดอาการโรคไตขั้นแรกได้ โดยใช้ส่วนลำต้นและใบ หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแห้ง ก่อนนำไปคั่วด้วยไฟอ่อน เมื่อเริ่มได้กลิ่นหอมก็ถือว่าใช้ได้ แล้วนำไปพักให้เย็น
วิธีการรับประทาน คือนำไปชงเป็นชา ดื่มวันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ทุกวัน
2.ช่วยห้ามเลือด
มีผลการวิจัยที่ทดสอบประสิทธิภาพการห้ามเลือดของใบสาบเสือ พบว่าสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากพบสารบางชนิดที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ใครที่เป็นแผลเล็ก ๆ อาทิ หกล้ม หรือโดนมีดบาด ลองใช้ใบสาบเสือเป็นตัวช่วยในการห้ามเลือดดูนะคะ
วิธีใช้ใบสาบเสือห้ามเลือด
นำใบสาบเสือ ตำผสมกับปูน ใช้พอกห้ามเลือด ปิดแผล รวมถึงใช้เป็นยาสมานแผลใบสาบเสือ ตำผสมกับเกลือ พอกที่แผล ใช้ห้ามเลือดใบ และดอก นำไปตำจนได้น้ำออกมา ใช้น้ำที่ได้ห้ามเลือด ได้เช่นกัน
3.แก้ไข้ป่า
รากใบสาบเสือใช้เป็นส่วนประกอบรักษาไข้ป่าได้ โดยนำรากสาบเสือ รากมะนาว รากย่านาง ต้มรวมกัน แล้วใช้ดื่ม
สาบเสือ ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การรักษาโรคเท่านั้น กลิ่นฉุนของสาบเสือก็ยังสามารถใช้เป็นยาฆ่าแมลงได้อีกด้วย ได้เห็นประโยชน์มากมายขนาดนี้แล้ว จากวัชพืชธรรมดาที่เรามองข้ามอย่าง สาบเสือ คงจะมีค่าขึ้นมาบ้างนะคะ วันไหนพอมีเวลาว่าง ลองสังเกตบริเวณรอบบ้านดู คุณอาจจะพบแหล่งสมุนไพรชั้นเยี่ยมอยู่ใกล้ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก winnews.tv
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/09/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,450.00 | 29,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,908.00 | 28,925.28 | 30,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,717.20 | 26,032.75 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,526.40 | 23,140.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 859.00 | 13,022.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 668.00 | 10,126.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,977.00 | 29,971.32 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/09/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.68 | 34.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.84 | 33.84 | 33.84 | 33.84 | 33.84 | – | 33.84 | 33.84 | 33.84 | 33.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.24 | 32.24 | – | – | – | – | – | – | – | 32.24 |
เบนซิน 95 | 42.36 | – | – | – | 42.81 | – | 42.86 | 42.86 | – | 42.36 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.64 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.64 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.64 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 45.36 | 45.16 | 45.16 | – | – | – | – | 43.66 |
แก๊ส NGV | 43.66 | 43.66 | – | – | – | – | – | – | – | 43.66 |