สาระน่ารู้ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565

ครั้งแรกของไทย ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า’ บ้านคลัสเตอร์ ครอบครัวใหญ่

เดอะฟอเรสเทียร์ อภิมหาโปรเจ็กต์ เมืองแห่งอนาคต ฮอตฉุดไม่อยู่ ยอดขายรวมทะยาน 2.2 หมื่นลบ. ขณะ 1 ธ.ค. สิ้นสุดการรอคอย เปิดตัววิลล่า แนวคิดใหม่ครั้งแรกของไทย ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า’ บ้านคลัสเตอร์ สำหรับครอบครัวใหญ่หลายเจเนเรชั่น พื้นที่โบนัสความสุข สนนราคา 185-310 ล้านบาท

ภายใต้ความคลุมเครือ ไม่สามารถ หาคำตอบได้ชัด ว่า ‘ความสุขครอบครัว’ ในยุคปัจจุบัน มีความหมายแท้จริงอย่างไร แต่งานวิจัยหลายบทเกี่ยวข้อง ระบุ …การใช้เวลาและการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ภายใต้พื้นที่ ที่พักอาศัยที่เพียงพอ มีขอบเขตส่วนตัว และ ส่วนกลาง ท่ามกลางแวดล้อมที่ดี ส่งผลสุขภาพใจของทุกคนในบ้านแข็งแรงนั้น ถือ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้นำไปสู่ความสุขครอบครัวได้เช่นกัน 

สำหรับในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ถูกพลิกโฉมครั้งใหญ่ ผ่านบริบท การอยู่ร่วมกันในสถาปัตยกรรมที่พักอาศัย มีความน่าสนใจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เมื่อ 1 ธันวาคม นี้แล้ว อภิมหาโปรเจ็กต์โครงการที่พักอาศัยที่มีมูลค่าสูงสุดในไทย อย่าง ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ จะเปิดตัวไฮไลท์สำคัญ  ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า’ ซึ่งเป็นบ้านแนวคิดใหม่ ของครอบครัวใหญ่หลายเจเนเรชั่น  แนวคิด ‘บ้านคลัสเตอร์’ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเมืองไทยอีกด้วย

เปิดตัว ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า’ 

“เป็นแนวคิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของครอบครัวคนไทยที่เคยเป็นมา ที่หลายเจเนเรชั่นในครอบครัว มักจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน และไปมาหาสู่พบปะกันอยู่เสมอ” 

คือ  ภาพฉาย เปิดมุมมองของผู้พัฒนาโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ ซึ่ง นายชาคริต หัสสรังสี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ระบุว่า หลังจาก เดอะฟอเรสเทียส์ ได้เปิดแบรนด์ระดับลักชัวรี่ต่างๆ ซึ่งรวมถึงโครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ ไปแล้ว ล่าสุด บริษัท พร้อมแล้วที่จะเปิดวิลล่าหลังแรกของ โครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ ซึ่งเป็นโครงการแนวคิดใหม่ของการออกแบบบ้าน ผ่านการพัฒนาวิลล่าหลายหลัง ให้ถูกเชื่อมต่อถึงกัน เพื่อให้ครอบครัวขยายที่ประกอบไปด้วยสมาชิกหลายเจเนอเรชั่นสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยการอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวของตัวเอง

วิถีชีวิตของคนสังคมเมือง เร่งรีบ ,ทำงานหนัก ส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและกิจกรรมภายในบ้านที่เปลี่ยนไป กลายเป็นแกนหลัก สร้างสมดุล ของการพัฒนา วิลล่าหลังแรก ของ ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า’ สอดคล้อง  คำอธิบายเพิ่มเติมของผู้พัฒนาโครงการดังกล่าว ว่า โครงการนี้ เป็นแนวคิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น หลังจากเล็งเห็น ความจำเป็นของวิถีชีวิตคนเมืองสมัยใหม่ การทำให้การใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็นมา กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ  

มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า  จึงมุ่งช่วยส่งเสริมให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ผ่านลักษณะ บ้านเดี่ยวกึ่งวิลล่าหลังใหญ่ ที่ถูกออกแบบ โดย Foster + Partners ให้มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 – 1,700 ตารางเมตร ตั้งกระจายตัวอยู่บนที่ดินพื้นที่ 26 ไร่ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูส ขนาด 398 ไร่ อสังหาฯภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งแนวคิดนี้ ได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดี และตอนนี้ทางโครงการพร้อมแล้วที่จะเชิญครอบครัวที่สนใจเข้าชมบ้านจริงได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป

‘บ้านคลัสเตอร์’โครงการแรกของไทย

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวครัว ทำให้ความสัมพันธ์ของคนต่างเจน หละหลวม ไม่เหนียวแน่น ถูกแก้โดย การออกแบบ วิลล่าแต่ละหลัง ให้มี 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน โดยแต่ละครอบครัว สามารถเลือกซื้อบ้านที่ต่างแบบกัน แล้วเชื่อมต่อกันเป็นคลัสเตอร์ของบ้านต่างขนาดกันไป ที่สามารถไปมาหาสู่ถึงกันได้ด้วยการเดินเพียงสั้นๆ จากบ้านสู่บ้าน ในขณะที่บ้านแต่ละหลังถูกออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัว แบ่งอาณาบริเวณของแต่ละบ้าน ด้วยแนวต้นไม้และฉากตามธรรมชาติอื่นๆ เพื่อให้มีความเป็นส่วนตัว

“วิลล่าหลังใหญ่ที่สุดมีห้องรับประทานอาหารและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งครอบครัวที่มีสมาชิกทุกเพศทุกวัย สามารถมารวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันได้ในบ้านหลังเดียว โดยบางวิลล่าสามารถนั่งล้อมโต๊ะทานข้าวกันพร้อมกันได้ถึงยี่สิบคน หรือมากกว่านั้น”

ผู้บริหาร MQDC ยังระบุว่า นอกจากนี้ การสร้างบ้านสไตล์คลัสเตอร์ที่บ้านมากกว่าหนึ่งหลังเชื่อมต่อถึงกัน แทนที่จะสร้างบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่มากๆ เพียงหนึ่งหลังแล้วให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในนั้น ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดโอกาสให้คนในแต่ละเจเนอเรชั่นสามารถออกแบบเลย์เอาต์และการตกแต่งภายในบ้านของตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการ และสไตล์ที่แตกต่างกันตามแบบฉบับของตัวเองได้ด้วยเช่นกัน 

วิลล่าของครอบครัว สนนราคา 185-310 ลบ.

ขณะ นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส MQDC กล่าวเสริมว่า  ‘มัลเบอรี่ โกรฟ’  เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในอาณาบริเวณที่ใกล้ชิดติดกัน เทียบเป็น ‘โบนัสเวลา’ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวที่เพิ่มขึ้น  ครอบครัวช่วยกันเลี้ยงเด็กๆ  หรือ ดูแลพ่อแม่ที่อายุมากแล้วได้สะดวกสบายมากขึ้น  เด็กๆ จะไม่รู้สึกว่าถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว เพราะจะมีสมาชิกในครอบครัวที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ส่วนปู่ย่าตายายที่เกษียณแล้วก็จะรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น สดใส เพราะมีลูกหลานอยู่ใกล้ๆ

ทั้งนี้ วิลล่าขนาดใหญ่พิเศษของโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 310 ล้านบาท ส่วนวิลล่าขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,200 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 220 ล้านบาท ในขณะที่บ้านขนาดกลางเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,000 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 185 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ส่วนลักชัวรี่อื่นๆ ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อาทิ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ วิลล่า โครงการที่พักอาศัยซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกในประเทศไทย รวมทั้งโรงแรมซิกเซนส์ ที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2567 ด้วย

ฉุดไม่อยู่ เดอะฟอเรสเทียร์ ยอดขายทะยาน 2.2หมื่นล.

กล่าวมาถึงตรงนี้ ปฎิเสธไม่ได้ ว่า มิติองค์ประกอบสำคัญที่ทยอยเปิดตัวออกมาเรื่อยๆ ของโปรเจ็กต์ยักษ์ระดับตำนาน อย่าง ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ และถูกตอกย้ำด้วย แนวคิด ของ มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ทำให้คำเปรียบ ที่ว่าเป็น ‘โครงการที่อยู่อาศัยต้นแบบระดับโลกแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง เพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น’ ไม่ไกลเกินจริง เช่นเดียวกับ ความโดดเด่นของทำเลที่ตั้ง เนื่องจากอยู่บนพื้นที่เชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วบนถนนบางนา-ตราด กม. 7อีกทั้ง เป็นโครงการที่ได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จนถึงขณะนี้ โครงการได้รับรางวัลจากทั่วโลกแล้วมากกว่า 40 รางวัล ด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นในการอยู่อาศัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และ ความยั่งยืน

โดยหัวเรือคนสำคัญ นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC ยังเผยข้อมูลสำคัญว่า นั่นทำให้โครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่งรวมถึงโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ที่ทำยอดขายได้แล้วกว่า 5,500 ล้านบาท ในขณะที่โครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ขณะภาพรวม โครงการต่างๆ ทั้งหมดมียอดขายรวมกันถึง 22,000 ล้านบาทแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ ทาง MQDC ก็ได้รับอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติม สำหรับโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นจำนวนเงินกว่า 19,000 ล้านบาทจากธนาคาร 4 แห่ง หลังจากที่โครงการมีความคืบหน้าก้าวสำคัญๆ

” เรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่เห็นว่าหลายครอบครัวตั้งใจซื้อที่อยู่อาศัยโครงการต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์เพื่ออยู่จริง และการก่อสร้างโครงการก็กำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว” 

ทั้งนี้ องค์ประกอบสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษอย่างหนึ่งของโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ ป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่บริเวณใจกลางโครงการ พร้อมทางเดินยกระดับที่ทอดยาวทะลุผืนป่ายาว 1.6 กิโลเมตร นอกจากโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบแล้ว เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยพื้นที่สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์และการพักผ่อนของครอบครัว ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ Family Center ตลาด สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงานอีกด้วย 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เงินเยนร่วง 30% ปลุก ‘เศรษฐีไทย’ ลงทุนอสังหาฯญี่ปุ่น ควัก 17 ล. ถือครอง 100%

เอเยนฯ ดัง ‘ริชมอนทส์’ ปลุก ‘เศรษฐีคนไทย’ ลงทุนอสังหา ในญี่ปุ่น หลัง ท่องเที่ยวฟื้น เงินเยนอ่อนค่า ในประวัติการณ์ ชูโปรเจ็กต์ยักษ์ ‘นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท’ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ในเมืองฮอกไกโด ราคาเริ่ม 17 ล้าน ถือครองกรรมสิทธิ์ 100% คาดคนไทยสนใจไม่ต่ำกว่า 10 ยูนิต

22 พ.ย.2565 – ท่ามกลาง การถกเถียง เรื่องการเปิดช่องให้ ‘ชาวต่างชาติ’ สามารถเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ พบที่ผ่านมา มีคนไทย ระดับบน หรือ ที่เรียกว่า ‘เศรษฐีเงินเย็น ขยับเข้าไปลงทุน และ ถือครองกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ในเมืองต่างๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง จากความเปิดกว้างของกฎหมาย 

เช่นเดียว กับ ประเทศญี่ปุ่น ที่คนต่างชาติ สามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อสังหาฯได้ แบบ 100% โดยไม่มีข้อจำกัดการลงทุน เสียเพียง ภาษีที่อยู่อาศัย หรือ Property Tex ราว 0.04% ของราคาประเมินรายปีเท่านั้น ทำให้ คนไทยบ้านเรา เริ่มสนใจเข้าไปลงทุน และอยากเข้าไปถือครองกรรมสิทธิ์มากขึ้น 
 

คนไทยเที่ยวญี่ปุ่น สนลงทุนอสังหาฯหรู ติด Top6 ยอดลงทะเบียน

สอดคล้อง คำยืนยัน ของ นายเปรม นารูลา ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาทางด้านการตลาดและการขายอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก ที่เปิดเผยว่า แม้การเข้าไปซื้ออสังหาฯในประเทศญี่ปุ่น โดยคนไทย จะเกิดขึ้นได้ไม่นาน และ ปัจจุบันยังมีสัดส่วนน้อยถ้าเทียบกับกลุ่มผู้ซื้อชาติอื่นๆ แต่ อสังหาฯญี่ปุ่น รูปแบบการซื้อ-ขาย มีความเฉพาะตัว ไม่ต่างจากอสังหาฯในเมืองไทย ซึ่งความสนใจอยากซื้อ เกิดขึ้นตามหลัง เมื่อได้เข้าไปท่องเที่ยวสัมผัส และเกิดความชื่นชอบอยากอยู่อาศัย 

ทั้งนี้ ปัจจัยเร่งสำคัญ ในขณะนี้ คือ การซื้ออสังหาฯในญี่ปุ่น กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะไม่มีเงื่อนไขการเข้าไปลงทุน หรือ มีโควต้าข้อจำกัดเหมือนประเทศอื่นๆ 

โดยสัญญาณที่น่าสนใจ คือ คนไทยนิยมเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากหลังจาก ญี่ปุ่นเปิดประเทศ จนกลายเป็น เดสซิเนชั่น อันดับต้นๆของคนไทย ขณะที่ผ่านมา มีคนไทยได้เข้าไปซื้ออสังหาฯในญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยการตลาดที่ไม่คึกคัก และการเปิดตัวโครงการน้อย ทำให้ตลาดนี้ไม่ค่อยหวือหวา

อย่างไรก็ดี หลังจากบริษัท ชิมลางเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย ผ่านการนำเสนอ โครงการ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ที่ นิเซโกะ ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เมืองสกี รีสอร์ท ที่สวยติดอันดับน่าท่องเที่ยว 1 ใน 3 ของโลก เพื่อเชิญชวนให้คนไทยผู้สนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นมีโอกาสเป็นเจ้าของ พบสัญญาณตอบรับดี โดยจากการเปิดขายอย่างไม่เป็นทางการ มีเศรษฐีไทย ซื้อแล้ว 1 ยูนิต ในราคาเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อตร.ม. หรือ ราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท อีกทั้ง ยังมีคนไทยลงทะเบียนสนใจเป็นจำนวนมาก ติด TOP 6 ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติทั้งหมด 

“ภาพรวมบริษัทตั้งเป้ายอดขายในช่วง 3 เดือนแรกของการเปิดตัวโครงการ ไว้ราว 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอาจมีสัดส่วนผู้ซื้อคนไทยสูง 15-30% เพราะเทียบการซื้ออสังหาฯ 17 ล้านบาท ไม่ได้ต่างจากคอนโดฯหรูใน กทม.เท่าไหร่นัก คาดน่าจะได้รับการตอบรับอย่างสูง หลังจากมีคนไทยคว้าไปแล้ว 1 ยูนิต”

สำหรับ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 22 ไร่ แบ่งเป็นส่วนของอาคารที่พักและวิลล่า 5 หลัง มีพื้นที่สวนล้อมรอบโครงการ 50% มีรูปแบบการบริหารงานแบบรีสอร์ท โดยแบรนด์ New World Hotels & Resorts บริษัทในเครือ Rosewood Hotel Group เป็นผู้บริหาร โครงการ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท ประกอบด้วย อาคาร 11 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และบนดิน 9 ชั้น ลักษณะห้องพักแบ่งเป็นห้องสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 39.43 – 64.48 ตารางเมตร จำนวน 49 ห้อง ห้องขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 63.46-99.87 ตารางเมตร จำนวน 68 ห้อง ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 96.70-158.63 ตารางเมตร จำนวน  79 ห้อง ขนาด 3 และ 4 ห้องนอน พื้นที่ 145.14-310.26 ตารางเมตร จำนวน 17 ห้อง และห้องเพนท์เฮาส์ เดอลุกซ์ สวีท พื้นที่ 193.01-332.74 ตารางเมตร จำนวน 6 ห้อง รวมจำนวนห้องพักในอาคารทั้งหมด 219 ห้อง ทั้งยังมี วิลล่า ที่อยู่บริเวณสวนนิเซโกะ มีความเป็นส่วนตัวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวน 5 หลัง 

ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรีสอร์ท จัดให้มีส่วนของที่จอดรถในร่มและกลางแจ้งบริเวณชั้น 1 ภายในอาคาร บริเวณชั้น 2 จัดเป็นส่วนของเอนเตอร์เทนเม้นต์เซ็นเตอร์ ชั้น 3 เป็นส่วนของโถงต้อนรับและห้องสกีวัลเลย์ ส่วนบริเวณชั้น 11 ชั้นบนสุดบริเวณโถงต้อนรับ ประกอบไปด้วย บาร์ล็อบบี้, บาร์เลาจ์, บาร์บริเวณระเบียง ออกแบบให้สามารถชมทัศนียภาพบรรยากาศของวิวเมืองและภูเขาโยเท มองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา ทั้งยังมีร้านอาหารที่เปิดให้บริการทั้งวัน และจุดเด่นที่เป็นไฮไลต์ คือ สระว่ายน้ำกลางแจ้งแบบสกายพูลความยาว 25 เมตร สระออนเซ็นขนาดใหญ่ในร่มและสระออนเซ็นกลางแจ้ง

ศูนย์ฟิตเนส ห้องคิดส์รูมสำหรับเด็ก ๆ และครอบครัวที่มาพักผ่อนในช่วงเวลาพิเศษ โดยทุกห้องสามารถมองเห็นวิวของเมืองนิเซโกะ ได้อย่างสวยงาม ยิ่งในฤดูสกีที่มีหิมะปกคลุมแทบทั้งเมืองยิ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก ในส่วนของผู้สนใจโครงการฯ บริษัทได้ออกแบบการขายออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ซื้อเพื่อครอบครองและเพื่อการลงทุน โดยคนไทยสามารถซื้อและถือครองเป็นเจ้าของได้ 100% ราคาเริ่มต้นที่ 17 ล้านบาท (66.5 ล้านเยน) สำหรับห้องสตูดิโอ ขนาดใหญ่  โดยจะเปิดขายในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งจะบริหารงานโดย New World Hotels & Resorts ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับ 5 ดาว ภายใต้เครือ Rosewood การันตีผลตอบแทนระยะเวลา 3 ปี ขั้นต่ำ 5% และเจ้าของสามารถเข้าพักได้จำนวน 28 วัน ในรอบระยะเวลา 1 ปี (14 วันในฤดูหนาว และ 14 วันในฤดูอื่น)

เงินเยนเทียบเงินบาทอ่อนค่ารอบ 30 ปี หนุนการลงทุน 

ขณะนายทิม สเคพวิงตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท จำกัด  กล่าวเสริมว่า ในฐานะ เป็นตัวแทนบริหารการขายและการตลาดอย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวในประเทศไทย เล็งเห็นโอกาสของคนไทย ในการเข้าไปลงทุนโปรเจ็กต์ใหญ่ ‘นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท’  เพราะนอกจากจะมีความน่าสนใจจากตำแหน่งที่ตั้งโครงการที่ดีในเมืองนิเซโกะ และการออกแบบโครงการที่สวยงามจากบริษัทผู้ออกแบบชั้นนำแล้ว 

ปัจจัยของการที่สกุลเงินเยนอ่อนค่าลงมาเมื่อเที่ยบกับเงินบาทไทย ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงมามากที่สุดในรอบ 30 ปี จะเป็นโอกาสทำให้ผู้ที่สนใจซื้อ หรือ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เป็นจังหวะดีให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ญี่ปุ่นได้ในราคาเหมาะสม แม้ว่าหลายคนยังมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งยังมีอัตราการเติบโตในระดับต่ำ แต่เมื่อพิจารณาข้อดี ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่มีความมั่นคง ปลอดภัย เศรษฐกิจเติบโตไม่หวือหวา ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนจึงมีความสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนมาก เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศญี่ปุ่นยังมีการเดินทางได้สะดวก และระยะเวลาเดินทางไม่มากจากประเทศไทย

“เราศึกษาโครงการฯ นี้ ร่วมกับผู้ประกอบการมาระยะหนึ่งแล้ว ยิ่งภายหลังช่วงโควิดที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ เราเชื่อมั่นว่านักท่องเที่ยวจะกลับไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเหมือนเดิมและเพิ่มจำนวนมากขึ้น จากความอัดอั้นที่ไม่ได้ไปเยือนญี่ปุ่นมาหลายปี ทั้งญี่ปุ่นมีภูมิประเทศและวัฒนธรรมที่สวยงาม เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยและทั่วโลก ขณะที่การเดินทางสะดวก สามารถไปเที่ยวเองได้ โดยญี่ปุ่นมีฟรีวีซ่าให้คนไทย 14 วัน ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่ครองใจนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนั้น การที่ค่าเงินเยนอ่อนลงยิ่งเพิ่มกำลังซื้อให้คนไทย อยากไปเที่ยวและอยากลงทุนในประเทศญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น” 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัท มีฐานลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งทั่วโลก ทำยอดขายต่อปี 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดอสังหาฯใหญ่อยู่ในสหรัฐ แต่ ตลาดยุโรป และ เอเชีย มีการเติบโตของฐานลูกค้าที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ คนไทย การันตีจากยอดขายโครงการหรูหลายๆแห่งในไทย เช่น เดอะแบงค็อก ทองหล่อ , มิวนีค สุขุมวิท , บันยันทรี เรสซิเดนซ์ และ เดอะริทซ์ – คาร์ลตัน เรซสิเดนเซล เป็นต้น ทำยอดขายรวมต่อปี ราว 3 พันล้านบาท หรือ เฉลี่ย ยูนิตละ 35 ล้านบาท แสดงถึง ความแข็งแกร่งของคนไทยระดับบน 

 ‘ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท ‘ สกีรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดในนิเซโกะ 

ด้าน นายเพียว ซิน ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท กล่าวว่า นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท เป็นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเมืองนิเซโกะ จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของญี่ปุ่น มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมากตลอดทั้งปี จากผลสำรวจจำนวนนักท่องเที่ยวของเมือง พบอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 20% ปรากฏตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็น 1 ใน 10 อันดับของนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนจังหวัดฮอกไกโดมากที่สุด โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตก เป็นฤดูเล่นสกี เมืองนิเซโกะที่เป็นที่รู้จักว่าเป็นเมืองสกีที่สวยงาม เพราะที่นี่ยังมีภูเขาโยเท (Mt.Yotei) ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดภูเขาไฟที่มีทัศนียภาพสวยงามได้สมญานามว่า ฟูจิน้อย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฮอกไกโด ความสวยงามของเมืองนี้ถูกจัดอันดับเป็นเมืองสกี รีสอร์ท ที่น่าท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกอีกด้วย ปัจจุบันโครงการ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท อยู่ระหว่างการก่อสร้าง กำหนดจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมปี 2567

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง เตือนระมัดระวังแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าที่เริ่มเพิ่มมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยมากขึ้น และการปรับขึ้นของหุ้นไทยอ่อนแรงลง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.13 บาทต่อดอลลาร์

 นายพูน  พานิชพิบูลย์   กลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่า เงินบาทจะแข็งค่าสวนทางกับแนวโน้มที่เราคาดการณ์ไว้ (คาดว่ามาจากแรงขายของผู้เล่นในตลาด อาทิ

ผู้ส่งออกในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 36.30 บาทต่อดอลลาร์) และบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดก็อาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง แต่เราคงมุมมองเดิมว่า ควรระมัดระวังแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทที่เริ่มเพิ่มมากขึ้น โดยเราเห็นแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น (นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยก็เริ่มมีสัญญาณอ่อนแรงลง)


 นอกจากนี้ ควรจับตารายงานดัชนี PMIs ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ เพราะหากออกมาดีกว่าคาดไปมาก ก็อาจทำให้ตลาดมองว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก อาจจะหนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หรือ “Good news could be Bad news for the market” (อนึ่ง หากออกมาแย่ไปมาก ก็อาจทำให้ตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งก็จะช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้)

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดควรระมัดระวัง รายงานการประชุมเฟดล่าสุด ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดผันผวนได้ในช่วงระหว่างที่รับรู้และตีความรายงานการประชุมดังกล่าว โดยประเด็นสำคัญที่ตลาดจะให้ความสนใจ คือ จุดสูงสุดของดอกเบี้ยเฟดจะอยู่ที่เท่าใด หลังประเด็นอัตราการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เริ่มชัดเจนมากขึ้นว่า เฟดอาจชะลออัตราการเร่งขึ้นดอกเบี้ยลงเหลือ +0.50%

 
ทั้งนี้ เราประเมินว่า โซนแนวต้านของเงินบาทยังอยู่ในช่วง 36.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าบรรดาผู้ส่งออกต่างรอจังหวะทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ในขณะที่โซนแนวรับก็จะอยู่ในช่วง 35.90 บาทต่อดอลลาร์ โดยเราคาดว่าผู้นำเข้าอาจทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนตามภาระที่ต้องจ่าย

 
การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.95-36.20 บาท/ดอลลาร์

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อีกครั้ง หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด สาย “Hawkish” ไม่ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (แต่ยังคงสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ) กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานผลการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลดลงสู่ระดับ 3.76% หนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนกลับเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ 

และหุ้นสไตล์ Growth ที่ปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า อาทิ Nvidia +4.7%, Apple +1.5% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq และดัชนี S&P500 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.36% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +2.9% และ Chevron +2.6%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent หลังซาอุฯ ออกมายืนยันว่ายังไม่ได้หารือกับบรรดาสมาชิกกลุ่ม OPEC+ ในประเด็นการเพิ่มกำลังการผลิตตามที่มีข่าวออกไปก่อนหน้า
 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.73% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ (Equinor +4.5%, Total Energies +4.4%) นอกจากนี้ การส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายที่ไม่ชัดเจนของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ของยุโรปยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ อาทิ ASML +1.2%
 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลง -0.2% สู่ระดับ 107.2 จุด อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด 

ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมของเฟดล่าสุด ทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways และผันผวนมากขึ้นในช่วงตลาดรับรู้รายงานการประชุมเฟดดังกล่าวได้ อนึ่ง การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยพยุงให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ไม่ได้ปรับตัวลดลงไปมาก จากแรงขายทำกำไรในช่วงตลาดเปิดรับความเสี่ยง ทำให้ราคาทองคำย่อตัวลงเล็กน้อย ใกล้โซนแนวรับแถว 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์
 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Global Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดคาดว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.9 จุด และ 47.7 จุด (ดัชนี น้อยกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)


 สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง จากผลกระทบของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และภาวะเงินเฟ้อ/ค่าครองชีพสูง รวมถึงภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ

โดยผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะระดับดอกเบี้ยสูงสุดของเฟด หรือ Terminal Rate หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างออกมาสนับสนุนอัตราการขึ้นดอกเบี้ยที่อาจชะลอลงจากช่วงก่อนหน้า (จาก +0.75% เหลือ +0.50%)
 

ในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปอาจยังคงซบเซาต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูง รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน

โดยภาพดังกล่าวจะสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของยูโรโซนที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 46 จุด และ 48.1 จุด ตามลำดับ เช่นเดียวกันกับฝั่งอังกฤษ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการก็อาจปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 45.7 จุด และ 48 จุด  ตามลำดับเช่นกัน
 

ส่วนในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า การค้าระหว่างประเทศของไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจโตเพียง 5.5%y/y ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ยังโตกว่า +10%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) ในเดือนตุลาคมอาจกลับมาขาดดุลถึง -1.4 พันล้านดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.10-36.13 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.09 บาทต่อดอลลาร์ฯ 


ภาพรวมการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชียมีทิศทางปะปน ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน เนื่องจากตลาดอยู่ระหว่างรอติดตามรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 1-2 พ.ย. (FOMC minutes) เพื่อประเมินสัญญาณเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 


สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.90-36.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนต.ค. และทิศทางฟันด์โฟลว์ของไทย ผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ และดัชนี PMI ขั้นต้นเดือนพ.ย. ของยูโรโซนและสหรัฐฯ ส่วนปัจจัยจากฝั่งสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แชมป์เก่าสุดแกร่ง! ฝรั่งเศส รัวแซงถล่ม ออสเตรเลีย 4-1 นำฝูงบอลโลก กลุ่มดี

การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มดี ระหว่าง “ตราไก่” ฝรั่งเศส พบ ออสเตรเลีย ที่สนามอัล ยานูบ สเตเดี้ยม, กาตาร์ เมื่อวันคืนอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2565

เปิดเกมมาแค่ 9 นาที ออสเตรเลีย ออกนำ 1-0 จากจังหวะเปิดบอลยาว แม็ทธิว เล็คกี้ เก็บบอลได้ก่อนเปิดเข้าเขตโทษให้ เคร็ก กู๊ดวิน วิ่งกดด้วยซ้ายซุกตาข่ายเข้าไป

นาทีที่ 27 “ทัพตราไก่” ครองเกมกดดันหนัก เตโอ เอร์นานเดซ เก็บบอลได้หน้าเขตโทษก่อนเปิดโค้งเข้าเขตโทษให้ อาเดรียง ราบิโอต์ เติมมาโขกจมตาข่าย ฝรั่งเศส ตีเสมอ 1-1

นาทีที่ 32 ฝรั่งเศส แซงนำ 2-1 จากจังหวะที่ เนธาเนียล แอ็ตกินสัน จ่ายบอลพลาดโดน อาเดรียง ราบิโอต์ ฉกพาบอลเข้าเขตโทษก่อนเปิดให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ซัดโล่งๆ ไม่เหลือ พร้อมหมดครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังนาทีที่ 68 “แชมป์เก่า” ยังเดินเกมได้ยอดเยี่ยม อุสมาน เดมเบเล่ เก็บบอลได้ริมเส้นฝั่งขวาก่อนตักเข้าเขตโทษให้ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ โหม่งชนเสาเข้าไป ฝรั่งเศส หนีเป็น 3-1

นาทีที่ 72 คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ใช้ความเร็วกระชากขึ้นมาทางฝั่งซ้ายก่อนเปิดให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ โหม่งจ่อๆ ตุงตาข่าย ฝรั่งเศส ทิ้งเป็น 4-1 และเป็นประตูที่สองของเจ้าตัว

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม ฝรั่งเศส รัวแซงเอาชนะ ออสเตรเลีย 4-1 เก็บสามแต้มสำคัญ พร้อมทั้งขึ้นนำเป็นจ่าฝูงกลุ่มดี

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
ฝรั่งเศส (4-1-2-3) : อูโก้ โยริส – แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, อิบราฮิมา โกนาเต้, ลูกัส แอร์กน็องเดซ – โอเรเลียง ชูอาเมนี่ – อาเดรียง ราบิโอต์, อองตวน กรีซมันน์ –  อุสมาน เดมเบเล่, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, คีลิยัน เอ็มบัปเป้
ออสเตรเลีย (4-1-2-3) : แม็ทธิว ไรอัน – เนธาเนียล แอ็ตกินสัน, แฮร์รี ซูตทาร์, ไคล์ โรวล์ส, อาซิซ เบฮิช – อารอน มอย – ไรลี่ย์ แม็คกรี, แจ็คสัน เออร์ไวน์ – แม็ทธิว เล็คกี้, มิทเชลล์ ดุ๊ค, เคร็ก กู๊ดวิน
ผู้ตัดสิน : วิกเตอร์ โกเมส

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มีเสมหะในลำคอตลอดเวลา เสี่ยงโรคอันตราย

รศ. นพ. ปารยะ   อาศนะเสน
สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา 
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ถ้าท่านมีปัญหา สเลด หรือเสมหะในคอ (chronic secretion in the throat) ตลอด เป็นๆหายๆ เป็นเดือน หรือเป็นปี จะทำอย่างไรดี  บทความนี้มีคำตอบสเลด หรือ คือสารคัดหลั่งที่ร่างกายสร้างออกมา จากต่อมสร้างสารคัดหลั่ง ที่อยู่ในเยื่อบุทางเดินหายใจ  การที่มีเสมหะ หรือสเลดในคอเรื้อรัง อาจเกิดจากโรค หรือภาวะบางอย่างดังนี้

 1. โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis) และจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ (non-allergic rhinitis) 

เนื่องจากเยื่อบุของผู้ป่วยโรคนี้มีความไวผิดปกติ (hyperreactivity of nasal mucosa)  เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งระคายเคืองต่างๆ จะกระตุ้นต่อมสร้างน้ำมูกในจมูก ซึ่งอาจไหลออกมาทางจมูกส่วนหน้า หรือไหลลงคอ(postnasal drip)  ซึ่งน้ำมูกที่ไหลลงคอ ก็จะกลายเป็นสเลด หรือเสมหะในคอนั่นเอง ซึ่งมักจะมีสีขาวใส หรือขุ่น  ยกเว้นเวลาเช้า เมื่อผู้ป่วยตื่นขึ้นมา อาจมีสีเหลืองขุ่นได้เนื่องจากมีการคั่งค้างของน้ำมูก หรือเสมหะ อยู่ในจมูก หรือคอเป็นระยะเวลานาน

 2. โรคไซนัสอักเสบ (rhinosinusitis) 

 3. โรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease: GERD) 

เมื่อกรดไหลขึ้นมาที่คอหอยจากหลอดอาหาร จะกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะในลำคอให้ทำงานมากขึ้น ทำให้มีเสมหะในลำคอได้  นอกจากนั้นกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาที่คอ จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุลำคอ  ทำให้กลไกในการกำจัดเสมหะของเยื่อบุลำคอผิดปกติไป ทำให้มีเสมหะค้างอยู่ที่ลำคอได้  นอกจากนั้น ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอ และกล่องเสียง (laryngopharyngeal reflux) กรดไหลย้อนที่ออกไปนอกหลอดอาหาร อาจไปถึงเยื่อบุจมูกทางด้านบน และกระตุ้นต่อมสร้างน้ำมูกในโพรงจมูกให้ทำงานมากขึ้นทำให้มีน้ำมูก หรือมีเสมหะไหลลงคอได้

 4. การใช้เสียงผิดวิธี (muscle misuse dysphonia) 

การที่ใช้เสียงในการพูดมาก มักทำให้ผู้พูดต้องหายใจทางปาก คล้ายกับการออกกำลังกายให้เหนื่อย ซึ่งจะมีการหายใจทั้งทางจมูก และปาก   จมูกซึ่งมีหน้าที่ปรับอากาศที่หายใจเข้าไปให้ชื้น และอุ่นขึ้น  และกรองสารระคายเคืองต่างๆในอากาศก่อนเข้าสู่ลำคอ จึงไม่ได้ทำหน้าที่   ทำให้อากาศที่ผ่านลำคอ แห้ง และเย็น ร่างกายอาจปรับตัว โดยสร้างเสมหะในคอขึ้นมามากขึ้น เพื่อทำให้ผนังคอชุ่มชื้นขึ้น  นอกจากนั้น สารระคายเคืองต่างๆในอากาศ อาจเข้าไปสัมผัสกับลำคอโดยตรง และไปกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะให้ทำงานมากขึ้นได้

 5. โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis) และโรคหืด (asthma) 

โรคทั้งสองดังกล่าวนี้ มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมของผู้ป่วยโรคนี้มีความไวผิดปกติ (hyperreactivity of bronchial mucosa)  เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งระคายเคืองต่างๆ จะกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะในเยื่อบุหลอดลม ทำให้มีเสมหะในหลอดลม หรือคอตลอดได้

 6. การติดเชื้อเรื้อรังบริเวณคอ (chronic infectious pharyngitis) 

เช่นจากเชื้อรา, เชื้อวัณโรค, เชื้อซิฟิลิส, เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส  ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุลำคอ ซึ่งอาจกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะในลำคอให้ทำงานมากขึ้น ทำให้มีเสมหะในลำคอได้ 

 7. การระคายเคือง และ/หรือการบาดเจ็บเรื้อรังบริเวณลำคอ (chronic irritative and/or traumatic pharyngitis) 

เช่น  การสัมผัสสารเคมี, มลพิษ, สารระคายเคือง เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารเคมี  มลพิษ หรือสารระคายเคืองมาก, การสูบบุหรี่, การดื่มเหล้า  เบียร์  หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์, การไอ, การอาเจียนที่บ่อยและเรื้อรัง, เนื้องอกในลำคอ, พังผืด หรือแผลเป็นในลำคอ หรือแม้แต่การที่อยู่ในห้อง หรือสถานที่ที่มีอากาศเย็นมาก อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือการบาดเจ็บเรื้อรังบริเวณลำคอ หรืออาจกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะในคอ ให้ผลิตเสมหะออกมามากกว่าปกติได้

จะเห็นว่ามีสาเหตุที่ทำให้เกิดเสมหะในคอมากมาย  การรับประทานยาละลายเสมหะ จึงเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ซึ่งยาละลายเสมหะที่ดีที่สุดจริงๆแล้วคือน้ำ ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเสมหะในคอ ควรมาพบแพทย์หู คอ จมูก เพื่อซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และส่งการสืบค้นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้การวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุของเสมหะในคอที่ถูกต้อง  ซึ่งการรักษาเสมหะในคอนั้น รักษาตามสาเหตุ

อ่านบทความเพิ่มเติม >>>>> SIRIRAJ E-PUBLIC LIBRARY
ขอบคุณเนื้อหาจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สรุปแล้วมันต่างกันไหม You and I กับ You and me

“you and I กับ you and me” ทั้ง 2 รูปแบบนี้มันก็มีความหมายเหมือนกัน ที่หมายถึง คุณกับฉัน แล้วมันใช้ต่างกันมั้ยน้า? ทำไมเวลาจะใช้เลือกใช้ไม่ถูกเลย? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจทางภาษาเรื่องนี้กัน!!!



การที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้ เพื่อนๆ จะต้องรู้จักกับคำสรรพนาม (Pronoun) ในภาษาอังกฤษกันก่อน ซึ่งมันก็คือ คำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อป้องกันการเรียกซ้ำคำนามเดิมบ่อยๆ นั่นเองเพราะ คำสรรพนามนั้นมีมากมายหลายชนิด และเจ้าชนิดของคำสรรพนามนี่แหละ ที่ทำให้ “you and I กับ you and me” นี้แตกต่างกัน 

You and I

เป็นสรรพนามที่แสดงถึง ” ประธานของประโยค ” ที่หมายถึง ฉันกับคุณ เมื่ออยากใช้ จึงจะต้องมาใช้เป็นประธานของประโยคเสมอ เช่น

  • You and I are going to the party together. 
    คุณกับฉันจะไปงานปาร์ตี้ด้วยกัน
  • You and I had got the same detention. 
    คุณกับฉันได้รับการกักบริเวณแบบเดียวกัน
  • You and I were the representatives of the company. 
    คุณกับฉันได้เป็นตัวแทนของบริษัท

สิ่งที่ควรระวัง เมื่อเป็นประธานของประโยค You จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น และ I ก็ต้องใช้ตัวพิมพ์ใหญ่เสมอเช่านกัน ห้ามลืมนะ!

แล้วเมื่ออยากใช้ you and me ล่ะ?

เมื่อด้านบนเป็นประธานของประโยค ไม่ต้องสงสัยเลย “you and me” นั้น เป็นสรรพนามที่แสดงถึง ” กรรมของประโยค ” ที่เป็นคน หมายถึง ฉันกับคุณ เมื่อเป็นคนที่ถูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในประโยคนั่นเอง เช่น

  • The sun is shining on you and me.
    พระอาทิตย์กำลังส่งแสงลงมาที่คุณกับฉัน
  • Mom will take you and me to meet her friends tomorrow.
    แม่จะพาแกกับฉันไปเจอเพื่อนแม่ พรุ่งนี้ 
  • They gave you and me a present.
    พวกเขาได้ให้ของขวัญแก่คุณกับฉัน

ซึ่งเมื่อเป็นกรรมของประโยคแล้ว จะถูกกระทำโดยประธาน และไม่สามารถอยู่ในรูปตัวพิมพ์ใหญ่ได้นะคะ เพราะไม่ได้อยู่ขึ้นต้นประโยคนั่นเองค่ะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


‘ทีเอสเอ็มซี’ รุกผลิตชิปไฮเทคในแอริโซนา

บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ TSMC ประกาศแผนผลิตชิป 3 นาโนเมตร ที่โรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา แต่แผนการดังกล่าวยังไม่ได้สรุปชัดเจนในตอนนี้ ตามการเปิดเผยของมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง TSMC ในวันจันทร์ ตามรายงานของรอยเตอร์

มอร์ริส ชาง ผู้ก่อตั้ง TSMC บอกกับผู้สื่อข่าวที่กรุงไทเปในวันจันทร์ หลังกลับจากประชุมเอเปคที่ประเทศไทยว่า โรงงานผลิตชิป 3 นาโนเมตรจะมีขึ้นในโรงงานเดียวกับที่ผลิตชิป 5 นาโนเมตร ในรัฐแอริโซนา “สำหรับชิป 3 นาโนเมตร TSMC มีแผนแล้วในตอนนี้ แต่แผนการดังกล่าวยังไม่ได้ข้อสรุปโดยสมบูรณ์ .. แต่จะเป็นโรงงานเดิมในแอริโซนา ในเฟสสอง โดยโรงงานผลิตชิป 5 นาโนเมตรในเฟสหนึ่ง และชิป 3 นาโนเมตรในเฟสสอง” ชาง กล่าว

ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก วางแผนก่อตั้งโรงงานในรัฐแอริโซนา ด้วยงบลงทุน 12,000 ล้านดอลลาร์ และเมื่อปีก่อน รอยเตอร์รายงานว่า TSMC มีแผนสร้างโรงงานผลิตชิปเพิ่มเติมในรัฐนี้ โดยจะเป็นโรงงานขั้นสูงที่สามารถผลิตชิป 3 นาโนเมตร ที่มีประสิทธิภาพและความเร็วสูงกว่า 5 นาโนเมตร

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัท TSMC ไม่ได้ให้ความเห็นต่อท่าทีของผู้ก่อตั้งกับทางรอยเตอร์ในช่วงเวลาที่รายงานข่าวนี้

ไต้หวันในฐานะบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ได้รับความสนใจทั้งจากสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทุ่มมาตรการส่งเสริมการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อดึงฐานการผลิตชิปให้ย้ายมาตั้งฐานในประเทศหรือใกล้เคียงให้ได้มากที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


10 ประโยชน์ และข้อควรระวังของ “รางจืด”

วันก่อนเห็นโพสจากคนทั่วไปในเฟซบุ๊คแฟนเพจหนึ่ง เขียนถึงประโยชน์ของ รางจืด ว่าใช้ป้อนสุนัขที่โดนวางยาเบื่อ แล้วรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด ทำให้เราเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า รางจืดที่ว่า มีประโยชน์มากมายขนาดไหน ใช้ถอนพิษได้เชียวหรือ ถ้าใครสงสัยเหมือนกัน ลองมาอ่านประโยชน์ของรางจืดกันดูนะคะ

10 ประโยชน์ดีๆ ของ รางจืด

  1. แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
  2. ถอนพิษไข้ ลดไข้
  3. พอกบาดแผล ให้บาดแผลหายไวขึ้น โดยเฉพาะแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
  4. ลดพิษจากการบริโภคสารพิษเข้าไปได้ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ยาเบื่อ
  5. ลดพิษจากสัตว์มีพิษ เช่น แมงดาทะเล ปลาปักเป้า
  6. บรรเทาอาการผื่นแพ้ต่างๆ
  7. ช่วยลด และเลิกการใช้สารเสพติดได้ เพราะมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายสารเสพติดบางชนิด ใช้ควบคู่ไปกับการรักษากับผู้ป่วยที่ต้องการเลิกยาเสพติดได้
  8. แก้อาการเมาค้าง แก้พิษจากแอลกอฮอล์จากการดื่มมากเกินไป
  9. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมเบาหวาน และความดันโลหิตได้ดี
  10. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านมะเร็ง

ข้อควรระวังในการทานรางจืด

ถึงแม้สรรพคุณจะดีขนาดนี้ แต่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา หรือ อย. ประกาศว่า ไม่อนุญาตให้ใช้รางจืดเป็นอาหารหรือส่วนประกอบในอาหาร รวมทั้งเครื่องดื่ม เพราะ อย. ระบุว่ามีงานวิจัยบางชิ้นพบว่า หากกินเป็นเวลานานอาจทำให้ระบบเลือด ตับ ไตทำงานผิดปกติได้

หากอยากทานรางจืดให้ได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ ไร้อาการข้างเคียง ไม่ควรกินในปริมาณความเข้มข้นที่สูงเกินไป และไม่ควรทานติดต่อกันนานจนเกินไป หรือควรทานสลับหมุนเวียนไปกับอาหาร หรือชาสมุนไพรประเภทอื่น เพื่อให้ได้สารอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/11/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,650.0029,750.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,921.0029,122.3630,250.00
ทองรูปพรรณ 90%1,728.9026,210.12n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,536.8023,297.89n/a
ทองรูปพรรณ 50%864.0013,098.24n/a
ทองรูปพรรณ 40%672.0010,187.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,991.0030,183.56n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/11/2565


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.4535.4535.7535.7535.7535.4535.4535.4535.7535.45
แก๊สโซฮอล์ 9135.1835.1835.4835.4835.4835.1835.1835.1835.4835.18
แก๊สโซฮอล์ E2034.3434.3434.6434.6434.6434.3434.3434.6434.34
แก๊สโซฮอล์ E8533.5433.5433.54
เบนซิน 9542.8643.6143.3643.3142.86
ดีเซล B734.9434.9435.2435.2435.2434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล34.9434.9435.2435.2435.2434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.2435.2434.9434.9434.6434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6644.4644.4644.4634.94
แก๊ส NGV16.5916.5916.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า