สาระน่ารู้ประจำวันที่ 23 กันยายน 2568

“แสนสิริ” ผนึก “ไทยเวย์” ปักหมุดอสังหาฯไทยบนแผนที่โลก

แสนสิริเปิดเกมรุกตลาดต่างชาติเต็มสูบ ส่ง 2 คอนโดใหม่ ‘WIDEN’ และ ‘XELF’ สู่สายตานักลงทุนทั่วโลก ร่วมกับ “ไทยเวย์” ผ่านตัวแทนขายครอบคลุมเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง

ไปรยา บุนนาค ประธานผู้บริหารฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจตลาดต่างประเทศ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  เผยว่า บริษัทได้มองเห็นศักยภาพในตลาดต่างชาติอย่างชัดเจน และเชื่อว่าอสังหาฯ ไทยยังมีที่ว่างให้เติบโตความเชื่อมั่นนี้ ไม่ได้มาจากเพียงแค่สถิติหรือข้อมูลเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนจากผลลัพธ์เชิงประจักษ์ เช่น โครงการ VIA61 ที่สามารถปิดยอดขายโควต้าต่างชาติได้โดยไม่ต้องมีห้องตัวอย่างให้เข้าชมด้วยซ้ำเป็นบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อแบรนด์แสนสิริ

เสริมทัพด้วย “ไทยเวย์” เชื่อมตลาดทั่วโลก

การร่วมมือครั้งนี้กับ ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ไม่ใช่เพียงแค่การขยายฐานลูกค้า แต่คือการใช้ “เครือข่ายตัวแทนขายระดับโลก” ในการเข้าถึงตลาดสำคัญ ทั้ง จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และตะวันออกกลางการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้รอยต่อ สอดคล้องกับเป้าหมายของแสนสิริในการก้าวสู่การเป็น “ผู้นำตลาดต่างชาติ” อย่างแท้จริง โดยไม่จำกัดอยู่เพียงตลาดเอเชียเท่านั้น

2 คอนโดใหม่ ลุยตลาดพรีเมียม

โครงการใหม่ที่เปิดตัวครั้งนี้ คือ WIDEN และ XELF คอนโดมิเนียมทำเลศักยภาพที่เจาะตลาดทั้งกลุ่มครอบครัว และนักลงทุนรุ่นใหม่

WIDEN by Sansiri ทำเล “นางลิ้นจี่” ห่างจากสาทรเพียง 5 นาทีโครงการร่วมทุนกับ โตคิว ดีเวลลอปเม้นท์ (ประเทศไทย) ห้องขนาดใหญ่ เป็นส่วนตัว เพียง 215 ยูนิตจุดขาย วิวโค้งน้ำบางกระเจ้า / ที่จอดรถ 105% / เลี้ยงสัตว์ได้ราคาเริ่มต้น 8.9 – 49.9 ล้านบาท

XELF by Sansiri

ทำเล “พระราม 4 – สุขุมวิท 36” ใกล้ BTS ทองหล่อร่วมทุนกับ มิตซุย ฟูโดซัง เอเชีย ดีไซน์หลากหลาย Simplex / Loft เพดานสูง 4.7 เมตรจุดขาย วิวโค้งน้ำ / การออกแบบเพื่อคนรุ่นใหม่ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท

“เรามั่นใจว่า ด้วยความเชี่ยวชาญของไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ และแบรนด์แสนสิริที่ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าต่างชาติมายาวนาน จะทำให้ 2 โครงการนี้สามารถปิดยอดขายโควต้าต่างชาติได้เต็มจำนวน”

การเปิดเกมรุกตลาดต่างชาติของแสนสิริในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขายคอนโดฯ แต่คือการนำอสังหาฯ ไทยไปยืนอยู่ในสายตานักลงทุนระดับโลก ด้วยคุณภาพ ทำเล และกลยุทธ์การตลาดเชิงลึก ที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและการลงทุนในระยะยาว

“อสังหาฯไทยยังน่าจับตาในเวทีโลก โดยเฉพาะในฐานะบ้านหลังที่สอง หรือทรัพย์สินเพื่อปล่อยเช่า ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 6%”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เปิด4อันดับทำเลทอง ต่างชาตินิยมซื้อคอนโดไทยในกทม.สูงสุด   

  • 4 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ชาวต่างชาตินิยมซื้อคอนโดมากที่สุด ได้แก่ ใจกลางเมือง, รัชดา-ลาดพร้าว, อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ และบางนา-เทพารักษ์
  • ทำเลใจกลางเมือง (สีลม, สาทร, วัฒนา) เป็นอันดับหนึ่งที่ชาวต่างชาติซื้อคอนโดมากที่สุดถึง 2,159 หน่วย โดยผู้ซื้อมาจากหลากหลายประเทศ
  • ทำเลรัชดา-ลาดพร้าวเป็นอันดับสอง โดยมีสัดส่วนการซื้อของชาวต่างชาติสูงถึง 67.9% ของยูนิตที่ขายได้ทั้งหมดในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและเมียนมา
  • ภาพรวมในปี 2567 ชาวต่างชาติซื้อคอนโดมือหนึ่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลคิดเป็น 18% ของจำนวนยูนิตที่ขายได้ทั้งหมด

หลังจากช่วงโรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา (พ.ศ.2563-2564) ต่างชาติก็กลับมาซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกันเป็นอันมาก เช่นเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 ในขณะที่กำลังซื้อของไทยโดยรวมตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) เปิดเผยผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่สำรวจล่าสุดถึงสิ้นปี 2567 พบว่า  ต่างชาติซื้อห้องชุดถึง 5,748 หน่วย จากการขายห้องชุดทั้งหมด 31,897 หน่วยที่เปิดขายโดยบริษัทพัฒนาที่ดิน (ไม่รวมห้องชุดมือสอง) หรืออาจกล่าวได้ว่า 18% ของห้องชุดมือหนึ่งทั้งหมดที่มีการซื้อขายกันในปี 2567 ซื้อโดยชาวต่างชาติ

แม้ต่างชาติจะซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในราคาที่สูงกว่าไทยก็ยังถือว่าไม่มากนัก ในกรณีของประเทศมาเลเซีย มีข้อกำหนดว่าต่างชาติจะซื้อห้องชุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ต้องมีราคาไม่ต่ำกว่า 2 ล้านริงกิต หรือ 16 ล้านบาท หรือในอินโดนีเซียก็กำหนดให้ซื้อในราคาไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท

ประเทศไทยก็ควรกำหนดราคาขั้นต่ำที่ต่างชาติจะซื้อได้ เพื่อว่าต่างชาติจะได้ไม่มาแย่งซื้อห้องชุดกับคนไทยที่มีฐานะด้อยกว่า หรือไทยอาจกำหนดคล้ายกับออสเตรเลีย ที่ให้ต่างชาติซื้อบ้านได้เฉพาะบ้านมือหนึ่ง บ้านมือสองห้ามซื้อ เพื่อจะได้ไม่ทำให้ชาวออสเตรเลียเสียโอกาส

ทำเลที่ต่างชาติซื้อมากที่สุดได้แก่คือ ทำเล รัชดา-ลาดพร้าว ทำเล อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ ทำเล บางนา-เทพารักษ์ และทำเล  ใจกลางเมือง โดยพบว่า

อันดับที่ 1ทำเล ใจกลางเมือง รวมสีลม สาทร บางรัก พหลโยธิช่วงต้น วัฒนา คลองเตย เป็นต้น โดยมีชาวต่างชาติซื้อมากถึง 2,159 หน่วยจากทั้งหมด 8,216 หน่วย รวมมูลค่า 25,140 ล้านบาท จากมูลค่าที่มีผู้ซื้อรวม 80,221 ล้านบาท หรือ 31.3% โดยผู้ซื้อมาจากหลากหลายประเทศ ทั้งประเทศตะวันตกและประเทศในเอเชีย

อันดับที่ 2 ทำเล รัชดา-ลาดพร้าว ต่างชาติซื้อ 1,974 หน่วย จาก 2,907 หน่วยที่มีผู้ซื้อไป กรณีนี้หมายความว่าชาวต่างชาติซื้อห้องชุดในทำเลนี้ถึง 67.9% ของห้องชุดที่ขายได้ทั้งหมด ในแง่ของมูลค่า ชาวต่างชาติซื้อไปถึง 8,452 ล้านบาท จาก 11,523 ล้านบาท หรือ 73.3% ของทั้งหมด และกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาซื้อในพื้นที่นี้ก็เป็นคนจีน และเมียนมา

อันดับที่ 3 ทำเล อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ โดยชาวต่างชาติซื้อไป 536 หน่วยจากทั้งหมด 1,847 หน่วย หรือ 29% ของทั้งหมด มูลค่ารวมที่ชาวต่างชาติซื้อเป็นเงิน 2,445 ล้านบาท จากทั้งหมด 4,890 หน่วย หรือ 50% ทำเลนี้ก็มีคนจีนมาซื้อมากเป็นพิเศษเช่นกัน

ทำเลที่ 4บางนา-เทพารักษ์ ต่างชาติซื้อ 486 หน่วย หรือ 13.4% ของทั้งหมด รวมมูลค่า 1,620 ล้านบาท หรือ 15.2% ของทั้งหมด โดยในทำเลนี้ กลุ่มผู้ซื้อยังเป็นคนจีนและชาวเมียนมารัฐบาลควรกำหนดให้ต่างชาติซื้อห้องชุดในพื้นที่ที่กำหนดไว้เป็นสำคัญ

เพื่อจะได้ไม่ไปซื้อเปะปะ เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติด้วย ที่สำคัญ ห้องชุดที่ขายให้ชาวต่างชาติควรมาจากการจับฉลาก ไม่ควรให้ชาวต่างชาติอยู่รวมกันในชั้นหรือห้องติดๆ กันเพราะจะเป็นการแยกกลุ่มย่อย  ในประเทศสิงคโปร์ ชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน มาเลย์หรืออินเดีย ก็ต้องจับฉลากเพื่อให้การอยู่อาศัยปะปนกัน เพื่อการผสานทางวัฒนธรรมด้วย

กรณีที่ต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างมีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน เช่น

1. มุ่งขยายอิทธิพลสู่นอกประเทศและเป็นการส่งออกประชากรไป มายึดหัวหาด ในประเทศต่างๆ ไม่เว้นกระทั่งแอฟริกาและอเมริกาใต้

2. รัสเซียและยูเครนด่าง ‘หนีตาย‘ จากสงคราม หนีการเกณฑ์ทหารและตั้งใจมาตั้งรกรากในประเทศไทย

3. กรณีเมียนมา ชาวเมียนมาร์ในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ต่างพยายามหนีมาอยู่ประเทศไทยและเพื่อนบ้านอื่นเพราะมองว่าระบบเผด็จการทหารทำให้ประเทศของตนไร้อนาคตอย่างสิ้นเชิง เป็นต้น

การซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติจากกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ อาจเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ตัวเลขต่อไปนี้

1. ชาวต่างชาติซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในปี 2567 เป็นเงิน 39,640 ล้านบาท

2. ประมาณการณ์ว่าหากรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นด้วย เช่นบ้านแนวราบมูลค่าก็อาจเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% เพราะชาวต่างชาติส่วนมากจะซื้อห้องชุดเป็นสำคัญ โดยค่าเงินจะเพิ่มขึ้นเป็น 51,532 ล้านบาท

3. การซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในจังหวัดภูมิภาคด้วย ซึ่งส่วนมากจะเป็นจังหวัดหลักด้านการท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ หัวหิน หาดใหญ่ เป็นต้น มูลค่าก็อาจเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50% เป็นเงินรวมกันประมาณ 87,604 ล้านบาท หรืออย่างมากไม่เกิน 100,000 ล้านบาท

4. เมื่อเทียบกับการขายที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเป็นเงินประมาณ 1 ล้านล้านบาท ต่างชาติก็ซื้อเป็นเพียง 10% เท่านั้น

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ขายให้กับชาวต่างชาติ อาจกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เท่าที่ควรหรือไม่มีประสิทธิผลนั่นเองอย่างไรก็ตามหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยอสังหาริมทรัพย์ควรส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ รวมทั้งการก่อสร้างสาธารณูปโภคประเภทต่างๆ และควรมีการจัดเก็บภาษีการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติเช่นนานาอารยประเทศ ได้แก่

1. เก็บภาษีการซื้อบ้านและห้องชุดของชาวต่างชาติ ในอัตราประมาณ 10% ถึง 20% ทั้งนี้ในยุโรปจัดเก็บเกือบ 20% ฮ่องกง 30% และสิงคโปร์ 60% จะได้นำเงินมาพัฒนาประเทศ

2. จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับบ้านและห้องชุดตามราคาตลาดเฉพาะชาวต่างประเทศเฉกเช่นคนไทยต้องเสียภาษีในการไปซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศ โดยจัดเก็บประมาณ 1% ของราคาตลาดทุกปี

 3. การจัดเก็บภาษีกำไรจากการขายต่อ Capital Gain Tax ประมาณ 10% ถึง 20% ของส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อกับราคาที่ขายตามราคาตลาด

4. ภาษีกองมรดก ประมาณ 10% ของมูลค่ากองมรดก เป็นต้น

มีการจัดเก็บภาษีตามนานาอารยะประเทศเช่นนี้ ทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แม้จะไม่มากนักก็ตาม

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ก.ย.“ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 31.78 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยงเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด ขณะที่ตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งลดดอกเบี้ยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้น ซึ่งกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23ก.ย.2568 ที่ระดับ  31.78 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า นับตั้งแต่ช่วงบ่ายวันก่อนหน้า เงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้น สวนทางกับที่เราประเมินไว้พอสมควร

แม้ว่าจะเผชิญแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ตามที่เราได้ประเมินไว้ก็ตาม โดยปัจจัยสำคัญที่หนุนเงินบาท ยังคงเป็นการทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ รวมถึง การพลิกกลับมาอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์

อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า เงินบาท (รวมถึงเงินดอลลาร์) ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด

ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย อย่างที่ตลาดคาดหวัง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หนุนการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งจะกลับมากดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้

ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด แม้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวัง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงมั่นใจต่อมุมมองการลดดอกเบี้ยของเฟดที่ได้ประเมินไว้ ซึ่งอาจยิ่งกดดันเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ให้ปรับตัวลดลง หนุนราคาทองคำและเงินบาทได้

เราประเมินว่า แม้ราคาทองคำอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แต่ในเชิงเทคนิคัลและสถิติ เราพบว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจชะลอลงและเข้าสู่ช่วงการพักฐาน (Correction) ได้

หากราคาทองคำ (XAUSUD) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,800-3,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะเป็นโซนที่ราคาทองคำปรับตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว อย่าง เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เกิน 20% ซึ่งมักจะเกิดการพักฐาน ทำให้เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท หากเกิดขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด

นอกจากนี้ เราคงมองว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจยังคงเดินหน้าทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมบ้าง ส่วนผู้เล่นต่างชาติบางส่วนก็ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อเงินบาท เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทและทำให้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก

อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงกลับเข้าสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลงอีกครั้ง เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ Trend-Following

อีกทั้ง เราพบว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ทยอยประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรม Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) เพิ่มเติม จากบรรดาผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งอาจเร่งการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.70-31.90 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.76-31.83 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่า สลับกับการทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ และการทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำ (XAUUSD)

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง (เพิ่มสถานะ Short THB) โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งมีมุมมองเชิงลบต่อเงินบาทมากขึ้น หลังมีกระแสข่าวทางรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมออกมาตรการลดการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ซึ่งในช่วงก่อนหน้าได้มีการพูดถึง มาตรการในการลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นำโดย Oracle +6.3%, Apple +4.3% และ Nvidia +3.9% ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.70% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.44%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.13% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็พอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +2.2% ส่วนหุ้นกลุ่มยา อย่าง Roche +2.3% ก็ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการเข้าแข่งขันในตลาดยาลดน้ำหนักที่กำลังเติบโตได้ดี

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ กอปรกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งส่วนใหญ่ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.15% โดยเราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง

หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่า ก่อนสลับมาอ่อนค่าลง ตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งให้ความเห็นต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่แตกต่างกัน โดยในส่วนของ Stephen Miran (Board of Governor คนใหม่) ก็ยังคงสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด เพื่อลดความเสี่ยงต่อตลาดแรงงาน

ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดอีก 3 ท่าน กลับส่งสัญญาณระมัดระวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม หลังอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 97.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.3-97.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และความต้องการถือทองคำ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการเงินเฟด (ที่อาจถูกแทรกแซงโดยการเมืองมากขึ้น) รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025)

ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แถวโซน 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ก็มีส่วนชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนกันยายน ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยจะเริ่มจาก ฝั่งยูโรโซน (รับรู้ในช่วง 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ฝั่งอังกฤษ (รับรู้ช่วง 15.30 น.) และฝั่งสหรัฐฯ (รับรู้ในช่วง 20.45 น.)

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดัชนี PMI ดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ ประธานเฟด Jerome Powell (ในช่วงราว 23.35 น.) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 31.78-31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.27 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก แต่สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งกลับมาเผชิญแรงกดดัน หลังเจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณเชิง dovish ซึ่งสะท้อนโอกาสของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี กรอบการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปอย่างจำกัดเพราะยังคงเห็นแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติในช่วงเช้าวันนี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.65-31.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลข PMI (เบื้องต้น) สำหรับเดือนก.ย. ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


มีแค่ 3 คำที่ใช้ทับศัพท์ว่า “โอลิมปิค” ที่เหลือคือ “โอลิมปิก” ทั้งหมด เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า คำว่า Olympic ควรทับศัพท์เป็น “โอลิมปิก” หรือ “โอลิมปิค” กันแน่?

ตามหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่กำหนดไว้ว่า ตัวอักษร C เมื่อตกเป็นตัวสะกดหรือตัวการันต์ ให้ใช้ ก ไก่ เช่น cubic = คิวบิก ดังนั้น คำว่า Olympic จึงควรสะกดว่า โอลิมปิก

แต่เรื่องไม่ได้ง่ายแบบนั้นเสียทีเดียว…

คำว่า “โอลิมปิค” (สะกดด้วย ค ควาย) มีการจดทะเบียนใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 ใน 3 หน่วยงาน ก่อนที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาจะประกาศหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2532 เสียอีก

ตามหลักการทับศัพท์ หากคำใดถูกใช้ต่อเนื่องมายาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทย และมีบันทึกอยู่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแล้ว ก็ให้ใช้ต่อไปตามเดิม รวมถึงชื่อที่มีการจดทะเบียนเป็นทางการ หรือคำวิสามานยนามที่ใช้สืบต่อกันมา

เพจ National Olympic Committee of Thailand (คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์) ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่า คำว่า “โอลิมปิค” (ค ควาย) เป็น ชื่อเฉพาะ ที่ได้รับการจดทะเบียนไว้ และสามารถใช้ได้กับหน่วยงาน 3 แห่งเท่านั้น ได้แก่

1. คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

2. มูลนิธิโอลิมปิคแห่งประเทศไทย

3. สถาบันวิทยาการโอลิมปิคไทย

สำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวถึง คณะกรรมการโอลิมปิกนานาชาติ, การแข่งขันกีฬา, กิจกรรม หรือบทความเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก คำที่ถูกต้องคือ “โอลิมปิก” (สะกดด้วย ก ไก่) ซึ่งถือเป็นรูปแบบมาตรฐาน

บทสรุป

เราใช้ โอลิมปิค (ค ควาย) เฉพาะ 3 หน่วยงานที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น ส่วนการใช้งานอื่นๆ ทั้งหมด ให้ใช้ โอลิมปิก (ก ไก่)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


PMS และ PMDD แตกต่างกันยังไง? รู้ทันอาการ แบบไหนควรปรึกษาแพทย์

สำหรับผู้หญิงหลายคน อาการปวดท้อง, อารมณ์แปรปรวน, หรืออ่อนเพลียในช่วงก่อนมีประจำเดือนเป็นเรื่องปกติที่คุ้นเคยกันดี ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่า “กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน” (Premenstrual Syndrome – PMS) แต่ในบางกรณี อาการอาจมีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก จนอาจเข้าข่ายภาวะที่เรียกว่า “Premenstrual Dysphoric Disorder – PMDD” ซึ่งร้ายแรงกว่าและต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง

บทความนี้จะสรุปให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง PMS และ PMDD เพื่อให้คุณผ้หญิงสามารถสังเกตอาการและเข้าใจภาวะของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

PMS (Premenstrual Syndrome) คืออะไร?

PMS คือกลุ่มอาการทางร่างกายและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนการมีประจำเดือน อาการจะดีขึ้นเมื่อประจำเดือนมา และจะหายไปภายใน 2-3 วันหลังจากนั้น โดยอาการที่พบได้บ่อย ดังนี้

  • อาการทางร่างกาย: ปวดท้อง, ปวดหัว, เจ็บเต้านม, ตัวบวม, ท้องอืด, อ่อนเพลีย, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, หิวบ่อย, สิวขึ้น
  • อาการทางอารมณ์: หงุดหงิดง่าย, อารมณ์แปรปรวน, วิตกกังวลเล็กน้อย, เศร้าเล็กน้อย, อยากอาหารมากขึ้น

อาการเหล่านี้มักจะมีความรุนแรงในระดับที่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย, การพักผ่อนให้เพียงพอ, หรือการทานอาหารที่มีประโยชน์ และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง

PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder) คืออะไร?

PMDD เป็นภาวะที่มีความรุนแรงกว่า PMS มาก โดยเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนเช่นกัน แต่มีอาการที่รุนแรงจนส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิต การทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

  • อาการทางอารมณ์: เป็นอาการหลักที่สังเกตได้ชัดเจน โดยจะมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง, สิ้นหวัง, วิตกกังวล, อารมณ์หงุดหงิดโกรธเคืองง่าย, รู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หรือแม้กระทั่งมีความคิดทำร้ายตัวเอง
  • อาการทางร่างกาย: อาจมีอาการร่วมกับ PMS เช่น อาการปวดหัว, ปวดเมื่อยตามร่างกาย, หรืออ่อนเพลีย แต่จะมีความรุนแรงที่มากกว่า
  • ผลกระทบ: อาการของ PMDD จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำงาน, เรียน หรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้อย่างปกติ

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์?

หากคุณมีอาการที่เข้าข่าย PMDD หรืออาการของ PMS เริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที โดยแพทย์อาจแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน, การใช้ยาต้านอาการซึมเศร้า, หรือการทำจิตบำบัด

PMS และ PMDD เป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกัน แต่มีความแตกต่างกันในด้านความรุนแรงและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การทำความเข้าใจในความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกจุดและรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะการตระหนักรู้ในปัญหาสุขภาพของตัวเองคือจุดเริ่มต้นของการรักษาที่ดีที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เมื่อหุ่นยนต์เหนือมนุษย์ (AGI) แตกแถว | ประเทศไทย iCare

หุ่นยนต์เป็นความฝันของมนุษย์มานานแล้ว และความฝันนี้ก็สะท้อนในภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ เช่น ภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สที่นำเสนอหุ่นตัวเล็กน่ารัก “อาร์ทูดีทู” เชี่ยวชาญด้านเครื่องกล

และหุ่นยนต์สีทอง “ซีซีพีโอ” ที่เชี่ยวชาญด้านภาษา หรือล้ำหน้าไปกว่านั้นเป็นหุ่นยนต์เหนือมนุษย์แล้ว เช่น คนเหล็ก หรือหุ่นยนต์ตัวร้ายที่เป็นแม่ข่ายของหุ่นยนต์ที่ทำลายล้างมนุษย์ทั้งหมดคือสกายเน็ต 

หุ่นยนต์เหล่านี้ล้วนอยู่ในจินตนาการของมนุษย์ แต่ว่าอีกไม่นานก็เริ่มจะเป็นความจริงแล้ว ดูจากข่าวสารต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยนำหุ่นยนต์มาแข่งเตะฟุตบอลแข่งกัน

ในช่วงทศวรรษที่ 1980 มีความคิดกันว่าคอมพิวเตอร์จะทำงานยากๆ ที่ต้องใช้ตรรกะ ส่วนงานง่ายๆ เช่น การเดินเหิน การมองเห็นกลับยากมากสำหรับเครื่องจักรกลหรือหุ่นยนต์ คำกล่าวนี้เรียกกันว่า Moravec Paradox แต่การพัฒนาของ AI เติบโตรวดเร็วเหนือความคาดการณ์ของ Moravec นักวิชาการเจ้าพ่อหุ่นยนต์ กล่าวคือ ภายใน 10-15 ปีข้างหน้าอาจจะมีหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์มาให้ดูแล้ว 

AI คือ ส่วนที่เป็นสมองของหุ่นยนต์และการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) ทำให้ AI สามารถสื่อสารกับมนุษย์ สามารถตรวจจับสีหน้าของคู่สนทนา และสร้างบทสนทนาที่เห็นอกเห็นใจแปลภาพเป็นคำพูดและสร้างภาพจากข้อความได้

ในส่วนของหุ่นยนต์เองก็เริ่มวิ่งขึ้นบันไดและตีลังกาได้แล้ว เมื่อเอามารวมกันคาดว่าอีกไม่นานก็จะเห็นหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์จะออกมาอวดโฉมและก็พัฒนาเป็นหุ่นยนต์เหนือมนุษย์ในที่สุด

โดยทั่วไปแล้ว AI ในปัจจุบันจะทำงานเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ทำงานด้านภาษาทำงานด้านรูปภาพ แต่ AGI (Artificial General Intelligence) เป็น AI ขั้นสูงที่มีความสามารถเหมือนมนุษย์ในหลายด้านหรือทุกด้าน สามารถเข้าใจภาษา ศิลปะ หรือแม้แต่จริยธรรมขั้นต้น เรียนรู้ศิลปวิทยาได้หลายสาขา สามารถแก้ปัญหาเองได้ และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้

ถ้าโลกมี AGI แล้วมนุษย์จะเป็นอย่างไร เนื่องจาก AGI เหนือกว่าปัญญาประดิษฐ์ปัจจุบันมากก็จะสามารถทดแทนแรงงานมนุษย์ในเกือบทุกอาชีพ หุ่นยนต์เหนือมนุษย์จะไม่แค่ทำงานอันตรายและงานหนักเช่นในปัจจุบัน แต่จะสามารถเป็นครู หมอ วิศวกร ศิลปิน นักประพันธ์ ดาราภาพยนตร์ รวมทั้งผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ได้เองทั้งหมด

ปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์จึงเป็นการท้าทายความเป็นมนุษย์โดยตรงว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วคุณค่าของมนุษย์จะเหลืออะไร แรงงานส่วนใหญ่จะกลายเป็นชนชั้นไร้ประโยชน์ (useless class) อย่างที่ Yuval Harari นักเขียนชื่อดังที่เขียนหนังสือเรื่อง Sapiens และ Homo Deus เคยว่าไว้

ส่วนฉากทัศน์อนาคตที่เลวร้ายที่สุดของระบบ AGI เหนือมนุษย์ที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ Skynet ในภาพยนตร์เรื่องคนเหล็ก ซึ่งจ้องที่จะทำลายล้างมนุษย์เพื่อเป็นเจ้าโลก

ถึงแม้ปัญญาประดิษฐ์มนุษย์เหนือมนุษย์จะมีความสามารถเสมือนหรือมากกว่ามนุษย์ในเรื่องของความรู้ (knowledge) ต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีปัญญา (wisdom) เพราะปัญญาเป็นความรู้ที่ต้องผ่านประสบการณ์จริงผ่านความรู้สึกผิดชอบชั่วดี จริยธรรม ในบริบทของสังคมมนุษย์

แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์อาจจะถูกฝึกสอนให้เข้าใจหลักจริยธรรมได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจ เปรียบเทียบ ให้ความสำคัญคุณค่าต่าง ๆ ในทำนองเดียวกับที่มนุษย์ทำได้หรือในทำนองที่สอดคล้องกับสิ่งที่มนุษย์จะทำ

อะไรทำให้เกิดปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์อยู่นอกการควบคุมและกำกับของมนุษย์ หรือเรียกได้ว่า พวกปัญญาประดิษฐ์แตกแถว (misaligned AGI) การแตกแถวอาจเกิดจากการที่ผู้พัฒนาโปรแกรมไม่ได้เขียนเป้าหมายให้ระบบปัญญาประดิษฐ์อย่างชัดเจนหรือรอบคอบ โดยไม่ได้สื่อสารหรือส่งมอบค่านิยมที่ถูกต้องของมนุษย์ได้เพียงพอและครบถ้วน 

หรือระบบที่ออกแบบ AGI อาจมีช่องโหว่ให้ปัญญาประดิษฐ์เป็นอิสระจากการควบคุมได้หรือปัญญาประดิษฐ์ไม่มีความรู้สึก ไม่ความเห็นอกเห็นใจแบบมนุษย์ ไม่เข้าใจ ไม่รับรู้บริบททางศีลธรรม หรือเกิดจากการที่ปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์สามารถที่จะพัฒนาตนเองอย่างรวดเร็วจนมนุษย์ตามไม่ทัน

Sam Altman CEO ของบริษัทโอเพ่นเอไอผู้พัฒนา Chat GPT กล่าวว่า “We are in a race between AI progress and our ability to manage it.”

ในปัจจุบันบริษัทที่พัฒนา AI ยอมรับว่า ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์บางครั้งก็รวดเร็วเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์อาจพัฒนาตัวเองจนสามารถมีเจตจำนงของตัวเอง ซึ่งเจตจำนงหรือเป้าหมายของปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์อาจแตกต่างหรือไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของมนุษย์ 

เช่น เราต้องการให้ปัญญาประดิษฐ์เป็นผู้รับใช้มนุษยชาติ แต่กลับอยากเป็นเจ้านายเรา หรือปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์อาจจะถูกพัฒนาโดยผู้ไม่หวังดีหรือผู้ที่ต้องการควบคุมโลก หรือปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์ให้ความสำคัญกับการพิทักษ์โลก แต่เห็นว่ามนุษย์เป็นผู้ทำลายล้างโลกตัวจริง ดังนั้นจึงควรกำจัดมนุษย์เสียให้หมด หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก็คือจุดจบของอารยธรรมมนุษย์

จริง ๆ แล้วปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ Ray Kurzweil นักอนาคตนิยมและนัก วิทยาศาสตร์เจ้าของทฤษฎี Singularity ที่ประยุกต์ใช้กับ AI คาดการณ์ว่า ในราว ค.ศ.2045 มนุษย์และเครื่องจักรจะเข้าสู่จุดที่ AI มีสติปัญญาเหนือมนุษย์ และทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน แต่อย่างไรก็ดีก็มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มตรงกันข้ามที่ไม่เห็นด้วยและ บางคนคิดว่าอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี นักวิชาการและผู้ประกอบการก็เห็นว่า ควรจะ “กันไว้ดีกว่าแก้” โดยมีผู้เสนอหลักฐานจริยธรรมสากล ไว้ 5 ข้อด้วยกันคือ 1. ปัญญาประดิษฐ์ต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ (beneficence) ต่อมนุษยชาติ 2.ต้องไม่ก่ออันตราย (Non-maleficence)

3. เคารพในเสรีภาพของมนุษย์ (Autonomy) 4. มีความเป็นธรรม(Justice) 5. โปร่งใสอธิบายได้ (Explicability) และควรมีกฎหมายระดับประเทศและระดับนานาชาติกำกับอีกด้วย 

ในสหภาพยุโรปก็ได้เริ่มมีกฎหมายกำกับ AI ตามระดับความเสี่ยงแล้ว ดังนั้น เรื่องปัญญาประดิษฐ์เหนือมนุษย์จึงไม่ใช่แค่จินตนาการ ส่วนมนุษย์ตัวเป็นๆ อย่างเราก็ต้องเตรียมตัวเรียนรู้ทักษะใหม่ รู้คิด รู้สร้างสรรค์ รู้เท่าทัน AI ไม่ให้ตกอยู่ใน “ชนชั้นไร้ประโยชน์” ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


วิธีการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ หรือแบบสุภาพ Formal Language

หลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ Formal Language

การใช้ภาษาอังกฤษในทางธุรกิจและการทำงาน มีส่วนสำคัญในการสร้างประสิทธิภาพและความมั่นใจระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยจำเป็นต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักการ มีความจริงจัง และเป็นแบบแผน เพื่อช่วยป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด ทำให้มีความสุภาพเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

โดยจะมีหลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน

เข้าใจว่าสถานการณ์ไหนควรใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ

ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์ก่อนว่าสถานการณ์การใดบ้างที่เราควรใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการ

  • การนำเสนองาน
  • การสัมภาษณ์งาน
  • การพูดในที่สาธารณะ
  • งานเขียนเชิงวิชาการ
  • เอกสารทางการ
  • เอกสารทางกฏหมาย
  • อีเมลธุรกิจ

การใช้ภาษาที่ชัดเจนสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา

ในการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการควรเลือกใช้คำศัพท์ และเรียบเรียงประโยคที่สื่อความหมายได้ชัดเจนไม่เกิดความสับสนให้แก่ผู้ฟัง หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

รูปแบบการใช้แกรมม่าในประโยค

ในการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการการใช้แกรมม่าโดยทั่วไปจะมีความซับซ้อนและยาวกว่าการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทั่วไป

  • Have you seen my glasses? [Formal]
    Seen my glasses?
  • I am sorry to have kept you waiting [Formal]
    Sorry to keep you waiting

วิธีการเลือกใช้สรรพนามในประโยค

ภาษาอังกฤษทางการจะใช้คำที่มีความเป็นส่วนบุคคลน้อยลง เช่น เราจะเลือกใช้ “ We ” เป็นสรรพนามแทนที่ “ I ”

  • We can assist in the resolution of this matter. Contact us on our help line number [Formal]
    I can help you solve this problem. Call me!
  • We regret to inform you that……[Formal]
    I’m sorry, but….

รูปแบบคำศัพท์ที่เลือกใช้

การใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการจะมีการเลือกใช้คำศัพท์ที่มีระดับภาษาสูงขึ้น ตัวอย่าง เช่น

  • เลือกใช้คำว่า Discuss แทนคำว่า talk
  • เลือกใช้คำว่า Generate แทนคำว่า make
  • เลือกใช้คำว่า Inform แทนคำว่า tell
  • เลือกใช้คำว่า Illustrate แทนคำว่า show
  • เลือกใช้คำว่า Provide แทนคำว่า give

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


บรอกโคลี กินยังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด? หลายคนทำผิดมาตลอด

บรอกโคลี (broccoli) เป็นผักที่มีประโยชน์มาก แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า การหั่นทิ้งไว้ 40 นาที ก่อนปรุง จะช่วยให้เราได้รับสารอาหารเต็มที่มากที่สุด

ในบรอกโคลีมีสารสำคัญชื่อ ซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วย ขับสารพิษในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันโรคต่างๆ ทั้งโรคสมองเสื่อม และมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม ปอด และต่อมลูกหมาก

แต่สารซัลโฟราเฟนไวต่อความร้อน ถ้าปรุงทันที สารนี้จะสลายไป ทำให้เหลือไว้เพียงความอร่อยและใยอาหารบางส่วนเท่านั้น

วิธีทำให้สารซัลโฟราเฟนในบรอกโคลี ยังอยู่แม้โดนความร้อน

  • ล้างบรอกโคลีให้สะอาด
  • หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 40 นาที

ทำไมต้องรอ 40 นาที ?

เมื่อหั่นบรอกโคลี เซลล์ในเนื้อผักจะเกิดการแตกตัว สารตั้งต้นชื่อ กลูโคราฟานิน จะทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ ไมโรซิเนส และสร้าง ซัลโฟราเฟน ขึ้นมาเต็มที่ หลังจากนั้นพอปรุงด้วยความร้อน สารซัลโฟราเฟนจะไม่สลาย เราจึงได้รับประโยชน์เต็มๆ

เคล็ดลับนี้ยังใช้ได้กับ ผักตระกูลกะหล่ำอื่นๆ เช่น กะหล่ำดอก ด้วย

คำแนะนำง่ายๆ คือ ครั้งหน้าก่อนทำอาหาร ลองหั่นบรอกโคลีทิ้งไว้ 40 นาที แล้วค่อยปรุง รับรองว่าได้ประโยชน์เต็มจานแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a56,300.0056,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,639.0055,167.2457,200.00
ทองรูปพรรณ 90%3,275.1049,650.52n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,911.2044,133.79n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,637.5524,825.26n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,273.6519,308.53n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,770.9857,168.06n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9541.2449.8141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า