‘เอพี ‘ ระเบิดศึกตลาด ‘ทาวน์โฮม’ รุกเปิดใหม่ 29 โครงการ พุ่ง 6เท่า
บมจ.เอพี (AP) เขย่าวงการอสังหาฯ แรง ดัน 29 โครงการเปิดใหม่ กว่า 2.5 หมื่นล้าน มูลค่าพุ่ง 6 เท่าตัว เปิดศึก ชิงแชร์ลูกค้า ‘ทาวน์โฮม’ ดันแบรนด์เก่ง พลีโน่ ,บ้านกลางเมือง เจาะตลาด ดันเป้ายอดขาย 3.8 หมื่นล้าน
22 มิถุนายน 2565 – แนวโน้มตลาด ‘ ที่อยู่อาศัย’ โดยเฉพาะการเร่งตัวของดีมานด์ทาวน์โฮม ภายใต้สถานการณ์โควิด19 ทำให้ตลาดดังกล่าวมีการแข่งขันที่รุนแรงน่าจับตามอง แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเบอร์ใหญ่ อย่าง ‘เอพี ไทยแลนด์’ กลับกลายเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่พลาดไม่ได้
เอพี ปักธง โครงการทาวน์โฮมใหม่ พุ่ง 6 เท่าตัว
ล่าสุด นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า “จากทิศทางการดำเนินธุรกิจที่เอพีปักธงปี 2565 เป็นที่สุดของปีกับการเดินหน้าฝ่าทุกข้อจำกัด ในส่วนของกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เป้าหมายใหญ่ในการส่งมอบชีวิตดีๆ ที่ลูกค้าสามารถเลือกเองได้ พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมในเมืองอย่างต่อเนื่อง ผ่านแผนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งหมด 29 โครงการ มูลค่ารวม 25,200 ล้านบาทนับเป็นการเปิดโครงการใหม่สูงที่สุด มูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 6 เท่า
ซึ่งนอกจากจะเป็นการเปิดใหม่ทดแทนโครงการเก่าที่ประสบความสำเร็จและปิดการขายไปจำนวนมาก ยังเป็นการบุกเบิกสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สู่การสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้กับวงการ
“บริษัทวางโรดแมปการพัฒนาภายใต้แกน ‘UNLOCK VERTICAL LIFE พื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่เลือกเองได้’ พลิกทุกข้อจำกัดนำเสนอความเป็นที่สุดในทุกมิติ ผสานสุนทรียะเข้ากับการใช้ชีวิตวิถีใหม่อย่างสมบูรณ์ มุ่งสู่เป้าทาวน์โฮมเอพี ตัวเลือกแรกที่ดีที่สุด ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ในระดับราคาที่คุ้มค่าที่สุด ตอบรับกับ ดีมานด์จริง บนสุดยอดทำเลทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล”
เปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ ส่ง ‘บ้านกลางเมือง’ 3 ชั้น เป็นตัวท็อป
ทั้งนี้ บริษัทจะเดินหน้าเจาะตลาด ผ่าน 20 แบบบ้านใหม่ จาก 6 แบรนด์ โดยมีไฮไลต์ต่อยอดความสำเร็จ ‘บ้านกลางเมือง’ แบรนด์ทาวน์โฮมในเมืองอันดับหนึ่งด้วย Market Share ยอดขายสูงสุดต่อเนื่อง หัวหอกหลักบุกตลาดทาวน์โฮมระดับบน (B Segment) ชูจุดต่างเหนือตลาดนำเสนอ ‘แบบบ้านที่คุณออกแบบเองได้’ ครั้งแรกในอุตสาหรรมอสังหาฯ กับทาวน์โฮมที่มอบประสบการณ์เหนือความคาดหมาย เพิ่ม “อิสระ” ให้ลูกค้าได้ออกแบบสเปซฟังก์ชันในบ้าน ได้ตรงความต้องการจริงของแต่ละครอบครัว
ซึ่งการพลิกโฉมครั้งนี้ จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ ที่จะไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่ยัง Empower ให้ผู้อาศัยได้เลือกใช้ชีวิตตามความต้องการมากกว่าเดิม รวมไปถึงการขยายขอบเขตหัวใจสำคัญของบ้าน พื้นที่ส่วนพักผ่อน รับประทานอาหารและครัวขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 นวัตกรรมดีไซน์สเปซใหม่ เพิ่มความเหนือกว่าทั้งความเป็นส่วนตัวและมุมมองเปิดโล่งให้กับสมาชิกในบ้านได้ทุกช่วงเวลา
ชั้น 3 ดีไซน์พิเศษรองรับสเปซ Penthouse Master Bedroom ขนาดใหญ่หรือเลือกเลย์เอาต์ดีไซน์ Master Bedroom ได้ถึง 2 ห้อง โดยทาวน์โฮมบ้านกลางเมือง ดีไซน์ใหม่ 3 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 167 ตารางเมตร จะนำร่องแฟล็กชิพแรกที่บ้านกลางเมือง พหลโยธิน – วิภาวดี ราคาเริ่มต้น 4.99 – 9 ล้านบาท และบ้านกลางเมือง ลาดพร้าว 101 สเตชั่น ราคาเริ่ม 5.99 ล้านบาท
หวนเปิด บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ในรอบ 7 ปี
ขณะปีนี้ เอพีเตรียมเผยโฉมใหม่การกลับมาของแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง คลาสเซ่’ ในรอบ 7 ปี ที่จะเข้ามารุกตลาดบ้านลักชัวรีใจกลางเมือง (A Segment) ทาวน์โฮมดีไซน์เล่นระดับ 3.5 ชั้น และ 3 ชั้น หน้ากว้าง 8 เมตร พื้นที่ใช้สอย 259 ตารางเมตร ชูที่สุดของสเปซฟังก์ชันพื้นที่ส่วนตัว ตอบรับการอยู่อาศัยแบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมพื้นที่พักผ่อนดีไซน์เชื่อมต่อในแนวตั้งด้วยเพดานสูงกว่า 6 เมตร (Double – Volume Living) เปิดมุมมองให้ผู้พักอาศัยทุกหลังสามารถผ่อนคลาย เติมเต็มทุกประสบการณ์ของคำว่าบ้านใจกลางเมือง นำร่องแรกในทำเลสุขุมวิท 77 จำนวน 120 หลัง ราคาเริ่ม 14.9 ล้านบาท
” ในส่วนของการรักษาการเติบโตในกลุ่มตลาดทาวน์โฮม 2 ชั้น (C+ Segment) ภายใต้แบรนด์ ‘พลีโน่’ ชูจุดขายบ้านหลังแรกที่ดีที่สุด โดยในไตรมาสแรกได้เปิดตัวแบบบ้านใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ พลีโน่ วิภาวดี – ดอนเมือง และพลีโน่ ราชพฤกษ์ – สาทร นำเสนอทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ หน้ากว้าง 7 เมตร พื้นที่ใช้สอย 132 ตารางเมตร ขยายทุกสเปซฟังก์ชัน โดยได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีมาก การันตีให้เห็นดีมานด์ลูกค้ายังคงมีต่อเนื่อง โดยเอพีเล็งปูพรมเพิ่ม 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,730 ล้านบาท “
ส่ง พรีโน่ บุกตลาดปริมณฑล
ผู้บริหารเอพี ยังระบุว่า บริษัทยังมีแผนขยายตลาดทาวน์โฮม 2 ชั้นกระจายเพิ่มโซนปริมณฑล หลังมองเห็นช่องว่างตลาดทาวน์โฮม C Segment ทำเลปริมณฑล จากการสำรวจตลาดพบว่าแบบบ้านทาวน์โฮมที่เสนอขายไม่สอดรับกับชีวิตวิถีใหม่ที่ลูกค้าคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตในบ้าน
จึงนำมาสู่การพัฒนาเปิดแบรนด์ใหม่ล่าสุด “พลีโน่ ทาวน์” ภายใต้จุดขาย “พื้นที่ความสุขทั้งชีวิต” นำเสนอทาวน์โฮม 2 ชั้นดีไซน์ใหม่ หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 107 ตารางเมตร เน้นฟังก์ชันครบ พร้อมการออกแบบพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย พื้นที่ส่วนกลาง ครบครันพร้อมฟิตเนสเปิด 24 ชั่วโมง แพ็กเกจราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายตอบอินไซต์ลูกค้าที่มองหาทาวน์โฮมใหม่สำหรับเริ่มต้นชีวิต
โดยในปีนี้เตรียมบุกใหญ่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,530 ล้านบาท เจาะครอบคลุม ทุกทำเลศักยภาพใกล้เมือง อาทิ โซนกรุงเทพฯ ตะวันออก – บางนา เทพารักษ์ โซนกรุงเทพฯ ตะวันตก – ปิ่นเกล้า พุทธมณฑล สาย 5 นนทบุรี และโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ – ลำลูกกา และรังสิตคลอง 5 เป็นต้น
ดีมานด์บ้านแฝดขยาย 29%
ขณะเดียวกัน ยัง เตรียมขยายแชร์ตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นเพิ่มขึ้น เอพีประสบความสำเร็จในการบุกเบิก ตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นในเมือง ผ่านแบรนด์ “บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น” ครองแชมป์เบอร์หนึ่งผู้นำตลาดด้วยการตอบรับจากลูกค้าและสามารถสร้างยอดขายสูงสุดต่อเนื่อง โดยจากการสำรวจตลาดล่าสุดพบแนวโน้มสินค้าบ้านแฝดในเมืองยังคงเป็นสินค้าที่เคลื่อนไหวดีตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (2563 – 2564) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 29% จากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยใหญ่ขึ้น ทำเลเมือง ในราคาที่คุ้มค่า
สำหรับการบุกตลาดในครั้งนี้ เอพีพร้อมนำประสบการณ์การพัฒนาสู่การต่อยอดแนวคิดในการออกแบบพื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่เลือกเองได้ นำเสนอสินค้าบ้านแฝดซีรีย์ใหม่ ผ่านแบรนด์ “บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น” บ้านแฝดดีไซน์ใหม่ 3 ชั้น หน้ากว้าง 9.8 เมตร พื้นที่ใช้สอย 218 ตารางเมตร และ “แกรนด์ พลีโน่” บ้านแฝดดีไซน์ใหม่ 2 ชั้น หน้ากว้าง 11.4 เมตร พื้นที่ใช้สอย 145 ตารางเมตร โดยจะขยายจำนวนโครงการและบุกเพิ่มเข้าไปในทำเลใหม่ๆ นำร่อง 4 ทำเลแรก ปิ่นเกล้า – บรมราชชนนี – ศาลายา – บางนา และพหลโยธิน – วิภาวดี
“สำหรับตลาดอสังหาฯ แนวราบครึ่งปีหลัง เอพีมองว่ายังคงเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจและ มีแนวโน้มการเติบโตไปได้อีก สะท้อนจากยอดขายที่แข็งแกร่งจากสินค้าแนวราบเครือเอพี 5 เดือน ที่ผ่านมา มูลค่า 16,810 ล้านบาท เติบโต 23% จากปีก่อนหน้า และคิดเป็น 45% ของเป้ายอดขายแนวราบทั้งปี (38,000 ล้านบาท) การันตีถึงดีมานด์ลูกค้าที่มองหาบ้านแนวราบหลังใหม่ที่มีต่อเนื่องในทุกเซกเมนต์ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ยังท้าทาย ”
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทสามารถสร้างยอดขายสินค้าแนวราบได้แล้วทั้งสิ้น มูลค่า 16,810 ล้านบาท เติบโต 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 45% จากเป้ายอดขายแนวราบทั้งปีที่ 38,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ยอดขายพุ่ง! SC เปิดเกมเร่ง ลุยเปิดโครงการใหม่ มูลค่า 2.2 หมื่นล.
SC Asset สวนกระแสเศรษฐกิจ เผยบ้านและคอนโดเปิดใหม่ขายดี หนุนยอดขายรวมเกือบ 6 เดือน 11,500 ลบ. มั่นใจทั้งปีทะลุเป้า 22,000 ลบ. ขณะครึ่งปีหลัง จ่อเปิดใหม่อีก 15 โครงการ มูลค่ากว่า 22,500 ลบ.
นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้นำและส่งมอบ Living Solutions คุณภาพมาตรฐานสูง เปิดเผยว่า “ จากสถานการณ์กว่า 2 เดือนที่ผ่านมาของไตรมาส 2/2565 บ้านทุกระดับราคาและคอนโดใหม่ของ SC ขายดีมากสวนกระแสเศรษฐกิจ
โดยจากที่บริษัทได้รุกเปิดโครงการแนวราบและแนวสูงตามแผนธุรกิจทุกแห่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการแนวราบที่เปิดใหม่ ได้แก่ บ้านนิวซีรี่ส์สไตล์โมเดิร์น ราคา 5-30 ล้านบาท ใน 7 ทำเล มูลค่าโครงการรวม 9,800 ล้านบาท ได้แก่ บางนา-ศรีนครินทร์ , รามคำแหง-วงแหวน , ประชาชื่น , แจ้งวัฒนะ , ติวานนท์-รังสิต, รามอินทรา- วัชรพล และ ปิ่นเกล้า-ศาลายา
สำหรับครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดแนวราบทุกระดับราคาอีก 15 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 22,500 ล้านบาท โดยทุกโครงการมีดีไซน์แนวคิดใหม่ และเตรียมเปิดตัวบ้านเกมเมอร์สำหรับตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมกับคอนโดมิเนียมระดับ Luxury บนถนนสุขุมวิท ทำเลรถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัท มีโครงการเพื่อขาย 55 โครงการ มูลค่า 34,000 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าบริษัทจะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้รวมที่ 22,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
นายอรรถพล กล่าวว่า “ ถึงแม้ปีนี้จะเป็นอีกปีที่ท้าทาย แต่เรามั่นใจสามารถรับมือกับความผันผวนของสถานการณ์ได้ ภายใต้ความแข็งแกร่งทางการเงิน และความเชื่อมั่นของลูกค้าในเรื่องของ แบรนด์ และคุณภาพมาตรฐานสูง ทั้งสินค้าและการบริการทั้งก่อน-หลังการขาย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” ตลาดการเงินโดยรวมอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตลาดการเงินโดยรวมอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.13% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเผชิญความผันผวนโดยราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ปรับตัวขึ้น ก่อนที่จะย่อตัวลง หลังจากที่ประธานเฟดได้เน้นย้ำในการแถลงต่อสภาคองเกรสว่า เฟดมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ โดยเฟดเพิ่มจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งอัตราการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดได้รับ (Data Dependent) นอกจากนี้ ประธานเฟดยังได้ระบุว่า แม้ว่าการชะลอตัวหนักของเศรษฐกิจหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะไม่ใช่เป้าหมายที่เฟดต้องการจากการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อคุมเงินเฟ้อ แต่ก็อาจเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งมุมมองดังกล่าว สอดคล้องกับประมาณการของบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่เริ่มปรับเพิ่มโอกาสเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวหนักและเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในปีหน้า อาทิ Citigroup มองโอกาสเกิดถึง 50% ส่วน Goldman Sachs ให้โอกาสเกิดราว 30% ทำให้ผู้เล่นในตลาดการเงินยังคงกังวลกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน กดดันให้ผู้เล่นยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ อาทิ Conocophillips-6.3%, Chevron -4.4% หลังรัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมที่จะหาทางระงับการจัดเก็บภาษีน้ำมันในระยะสั้น เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง และทางรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เตรียมที่จะหารือกับกลุ่มบริษัทโรงกลั่นน้ำมันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.70% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนัก ตามการขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง หลังเงินเฟ้อในฝั่งอังกฤษก็พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังคงจำเป็นที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ รวมถึงประธานเฟดที่เน้นย้ำการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และหุ้นกลุ่มพลังงานตามการปรับตัวลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ Glencore -6.9%, BP -3.1%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 3.15% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนัก ซึ่งหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) นอกจากนี้ การปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่องก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันบอนด์ยีลด์ระยะยาว อนึ่ง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังคงมีโอกาสผันผวนต่อจนกว่า ตลาดจะมั่นใจว่าเฟดจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง จนทำให้ จุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายเฟด หรือ Terminal Rate สูงกว่าที่ตลาดมองไว้แถว 4.00%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 104.2 จุด ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินฝั่งยุโรป จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หลังเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่สูงมาก ทั้งนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นมาใกล้ระดับ 1,840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง แต่เราคงมองว่า ราคาทองคำอาจปรับตัวเป็นขาขึ้นได้ยาก และมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways จนกว่าตลาดจะมีความมั่นใจในแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดก่อน
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามการแถลงต่อสภาคองเกรสของประธานเฟด (Powell’s Testimony) ในวันที่สอง ว่าจะมีการเปิดเผยมุมมองของประธานเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินเฟดเพิ่มเติมจากวันก่อนหน้าหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) จากประเทศหลักๆ เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวต่อเนื่องในอัตราที่ชะลอลงจากผลกระทบของปัญหาเงินเฟ้อสูงและนโยบายการเงินของเฟดที่เข้มงวดมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing PMI) เดือนมิถุนายน ที่อาจลดลงสู่ระดับ 56 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ส่วนภาคการบริการอาจขยายตัวดีขึ้นในช่วงไฮซีซั่นของการเดินทางท่องเที่ยว โดยดัชนี PMI ภาคการบริการ อาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.7 จุด
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดมองว่า ภาคการผลิตและการบริการของอังกฤษก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนมิถุนายน อาจลดลงสู่ระดับ 53.7 จุด และ 53 จุด ตามลำดับ เช่นเดียวกันกับภาคการผลิตและการบริการของยูโรโซนก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงเช่นกัน ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนมิถุนายน อาจลดลงสู่ระดับ 53.8 จุด และ 55.5 จุด ตามลำดับ
ขณะที่ในฝั่งญี่ปุ่นนั้น เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากการทยอยฟื้นตัวของจีน ทำให้ ตลาดมองว่า ภาคการผลิตของญี่ปุ่นอาจขยายตัวดีขึ้นในเดือนมิถุนายน โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5 จุด นอกจากนี้ การทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จะหนุนการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53 จุด
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา จากการอ่อนค่าต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ แต่เรามองว่าในระยะสั้นนี้ เงินบาทยังคงมีแนวโน้มผันผวนและมีโอกาสอ่อนค่าในช่วงระหว่างวันไปทดสอบโซนแนวต้านแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ในระหว่างวันได้ไม่ยาก เนื่องจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนักอาจยังคงกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสเดินหน้าขายหุ้นไทยต่อได้บ้าง อย่างไรก็ดี แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทจากการขายหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติ อาจถูกชะลอไว้ได้บ้าง จากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจทยอยเข้าซื้อบอนด์ไทย ตามจังหวะการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ทั่วโลกและมุมมองของผู้เล่นบางส่วนที่คาดว่าระดับบอนด์ยีลด์ไทย ณ ปัจจุบันได้สะท้อนภาพการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยไปมากแล้ว
นอกจากนี้ แรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอาจมาจากธุรกรรมแลกซื้อเงินเยนญี่ปุ่น หลังจากที่เงินเยนญี่ปุ่นได้อ่อนค่าลงมาพอสมควร เมื่อเทียบกับเงินบาท โดยล่าสุด เงินเยนอ่อนค่ามาที่ระดับ 25.80 บาทต่อ 100 เยน อีกครั้ง ทั้งนี้ แรงหนุนฝั่งแข็งค่าก็อาจจะมาการโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำได้เช่นกัน หลังราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นแตะโซนแนวต้าน ทำให้เราคงมองว่า แนวต้านสำคัญของเงินบาทจะยังอยู่ในโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ได้
อนึ่ง ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.25-35.50 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สัปดาห์นี้ลุ้นระทึก กรีฑาลุ้นตั๋วไปชิงแชมป์โลก, “ศรีสะเกษ” ชิงเข็มขัด WBC, “พาณิภัค” คั่วแชมป์เอเชีย
ลุ้นเชียร์นักกีฬาไทยสัปดาห์นี้ กรีฑาลุ้นตั๋วไปชิงแชมป์โลก, ศรีสะเกษชิงเข็มขัด WBC, พาณิภัค คั่วแชมป์เอเชีย
มวยสากลอาชีพ “แหลม” ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น จะได้ขึ้นเพื่อทวงเข็มขัดแชมป์โลกในรุ่น 115 ปอนด์ ของสภามวยโลกอีกครั้ง
งานนี้ “แหลม” ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น มาในฐานะผู้ท้าชิงรองแชมป์โลกอันดับ 1 จะขึ้นชกกับ เจสซี โรดริเกซ เจ้าของแชมป์โลก วัย 22 ปี ชาวสหรัฐ เชื้อสายเม็กซิกัน จะชกกันในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ที่เท็ค พอร์ต อารีนา เมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเช้าวันที่ 26 มิถุนายนตามเวลาประเทศไทย ช่องไทยรัฐทีวี 32 ถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป
เทควันโดชิงแชมป์เอเชีย “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ขยับขึ้นไปเล่นรุ่น 53 กก. นำทัพจอมเตะไทยไปแข่ง ความน่าสนใจกติกาครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง โดยเฉพาะวิธีการนับคะแนนจะไม่ชนะด้วยแต้ม แต่จะตัดสินแพ้ชนะกันในรูปแบบ 2 ใน 3 ยก
นอกจากนี้ ทีมกรีฑาไทย วิ่งผลัด 4×100 เมตร กับโอกาสสุดท้ายที่ประเทศคาซัคสถาน กับรายการควอลิฟายชิงแชมป์โลก ในสัปดาห์นี้มีอีกหลายชนิดกีฬาที่น่าสนใจ มีอะไรบ้างติดตามพร้อมกันได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อันตรายจาก “โซเดียมในเลือดสูง” คนกินเค็มต้องระวัง
กินเค็ม ไม่ได้เสี่ยงแค่โรคไต แต่อาจไปถึงขั้น “โซเดียมในเลือดสูง” ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมากไม่แพ้กัน
ภาวะโซเดียมในเลือดสูง คืออะไร
ภาวะโซเดียมในเลือดสูง หรือ Hypernatremia เป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณโซเดียมในเลือดเกินค่ามาตรฐาน นั่นคือ สูงกว่า 145 mmol/L (Millimoles/Liter) หรือ 145 mEq/L (Milliequivalent/Litre) ซึ่งค่าปกติจะอยู่ในช่วงประมาณ 135 – 145 mmol/L
สาเหตุของภาวะโซเดียมในเลือดสูง
ส่วนใหญ่ภาวะนี้เกิดจาก
- การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น เกลือ น้ำปลา กะปิ น้ำปลาร้า ซอสถั่วเหลือง เครื่องปรุงต่างๆ เป็นต้น
- ดื่มน้ำน้อยเกินไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยดื่มน้ำหรือผู้สูงอายุที่มีไข้สูง
- ร่างกายเสียน้ำเป็นปริมาณมาก แต่ไม่ค่อยเสียเกลือแร่ เช่น ในผู้ป่วยโรคลมแดด หรือผู้ป่วยแผลไฟไหม้รุนแรง (ผู้ป่วยบางรายเกิดภาวะเกลือโซเดียมในเลือดต่ำ)
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดเช่น ยาขับปัสสาวะกลุ่มที่ขับน้ำออกจากร่างกายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยขับโซเดียมออก
- เป็นผู้ป่วยท้องเสียจากการสวนอุจจาระ
- เป็นผู้ที่ได้รับอาหารทางสายให้อาหาร
- ได้รับสารอาหารหรือยาทางหลอดเลือดดำต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
- เป็นผู้ป่วยโรคเบาจืด หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อระดับโซเดียมในเลือด เช่น โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน เป็นต้น
- ผลข้างเคียงจากเนื้องอกสมองบางชนิด
- ออกกำลังกายหักโหม เหงื่อออกมากและได้น้ำชดเชยไม่เพียงพอ (บางรายเกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ)
- ทารกได้รับนมแม่ไม่เพียงพอหรือดื่มนมผงที่มีส่วนผสมของโซเดียมเป็นปริมาณมาก
อาการของผู้ป่วยภาวะโซเดียมในเลือดสูง
- กระหายน้ำ หิวน้ำมาก
- ปัสสาวะน้อยผิดปกติ
- อ่อนเพลีย
- ปวดศีรษะ
- ปากแห้ง ตาแห้ง ผิวแห้ง
- หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว
- หงุดหงิดง่าย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- สำหรับเด็กทารก มักมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หงุดหงิดง่ายผิดปกติ ร้องกวน งอแง หรือง่วงซึม
- ในกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจเกิดอาการซึม สับสน กล้ามเนื้อกระตุกหรือหดเกร็ง และชัก
อันตรายของภาวะโซเดียมในเลือดสูง
ปกติแล้ว ภาวะโซเดียมในเลือดสูงเป็นภาวะพบได้น้อย พบได้ในทั้ง 2 เพศและในทุกวัย แต่พบได้บ่อยกว่าในเด็กอ่อนและในผู้สูงอายุโดยเฉพาะกลุ่มที่สุขภาพไม่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยโซเดียมในเลือดสูง ไม่ได้รับการรักษาอาจมีผลกระทบต่อสมอง มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น มีเลือดออกในสมอง สมองบวม และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
การรักษาภาวะโซเดียมในเลือดสูง
แพทย์อาจพิจารณาวิธีรักษาภาวะโซเดียมในเลือดสูงแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวิธีรักษาจากแพทย์ และ/หรือควบคู่ไปกับการดูแลตัวเอง ดังนี้
วิธีรักษาภาวะโซเดียมในเลือดสูง โดยแพทย์
- ให้น้ำเกลือเข้าทางกระแสเลือดโดยตรง
- ตรวจเลือดหรือตรวจปัสสาวะ จนกว่าปริมาณโซเดียมและของเหลวในเลือดจะกลับสู่สภาวะสมดุล
- ลดปริมาณโซเดียมจากอาหารและเครื่องดื่มที่บริโภค
- รักษาโรคหรืออาการผิดปกติต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุนำไปสู่ภาวะโซเดียมในเลือดสูง
วิธีรักษาภาวะโซเดียมในเลือดสูงด้วยตัวเอง
ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้รักษาอาการด้วยตัวเองได้ โดย
- ดื่มน้ำเปล่า เพื่อช่วยให้ระดับของเหลวและโซเดียมในร่างกายกลับมาสู่สภาวะสมดุล
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะโซเดียมในเลือดสูง เช่น งดกิจกรรมที่ทำให้เสียเหงื่อ งดใช้ยาขับปัสสาวะที่ทำให้ร่างกายเสียน้ำในปริมาณมาก เป็นต้น
วิธีป้องกันภาวะโซเดียมในเลือดสูง
- ไม่รับประทานอาหารที่มีโซเดียมในปริมาณมาก นั่นคือ อาหารที่มีรสเค็มจัด เช่น เกลือ น้ำปลา กะปิ น้ำปลาร้า ซอสถั่วเหลือง เครื่องปรุงต่างๆ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ เป็นต้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน อย่างต่ำ 6-8 แก้ว มากกว่านี้ได้ในกรณีที่รับประทานอาหารรสจัด มีกิจกรรมที่ทำให้สูญเสียเหงื่อ เช่น ออกกำลังกาย ตากแดดนานๆ
- ผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะควรระมัดระวังและปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง
หากสงสัยว่าตัวเองอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะโซเดียมในเลือดสูง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
การใช้ GET ใช้กับอะไรได้บ้าง มาดูกันเลย !
การใช้ GET กับตัวอย่างทั้ง 8 แบบ
การใช้ GET ในรูปแบบของ Engnow เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เราขอเสนอด้วย phrasal verb ที่เจ้าของภาษามักจะใช้พูดในชีวิตประจำวัน มาศึกษาไปพร้อมๆกันเลย กับ phrasal verb ที่ขึ้นต้นด้วย “Get” ทั้ง 8 แบบดังนี้
- Get On : to enter or board bus, train, etc. = ขึ้น (รถบัส รถไฟ ฯลฯ)
Ex: The bus stopped to let more people get on. = รถบัสหยุดเพื่อรับคนขึ้นเพิ่ม
2. Get Off : to exit a bus, train, etc. = ลง(รถบัส รถไฟ ฯลฯ)
Ex: Your bike’s got a flat tire. You’d better get off and walk. = รถจักรยานของคุณยางแบน คุณลงเดินน่าจะดีกว่านะ
3. Get On With Somebody : to have a good relationship with somebody = มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบางคน, เข้ากันได้ดีกับ(บุคคล)
Ex: Peter did not get on with his mother-in-law. = ปีเตอร์เข้ากับแม่ยายไม่ค่อยได้
4. Get Away With : to escape without punishment = หนีโดยไม่มีความผิด
Ex: If I thought I could get away with it, I wouldn’t pay my taxes at all. = ถ้าฉันคิดว่าฉันหนีได้ ฉันจะไม่จ่ายภาษีเลยสักแดงเดียว
5. Get Over : to overcome or recover from something (accident, relationship, etc. ) = สิ้นสุด, ผ่านพ้น, ควบคุม, (อุบัติเหตุ, ความสัมพันธ์ ฯลฯ)
Ex: It took us a long time to get over the problems with the computer system. = เราใช้เวลานานกว่าจะควบคุมปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ได้
6. Get In/Into : Enter to a place, city or something = เข้า(เมือง สถานที่ ฯลฯ)
Ex: She did well and got into Cambridge University. = เธอทำได้ดี และได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ (ในตัวอย่าง Get ผันเป็น V2 เนื่องจากกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tense ที่นี่)
7. Get By : to survive (financially) = ผ่าน, มีชีวิตอยู่ต่อ(เกี่ยวกับการเงิน)
Ex: I can get by with little money. ฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย
8. Get Out Of : to exit of vehicle, place or situation = ออกจาก (ยานพาหนะ สถานที่ หรือสถานการณ์)
Ex: I said I wasn’t feeling well and got out of the extra work. = ฉันบอกว่า ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี แล้วก็ออกจากงานพิเศษไปเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ศิลปากร เปิดหลักสูตรใหม่รับเทรนด์มัลติสกิล ตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุคดิจิทัล
วิทยาลัยนานาชาติ ม.ศิลปากร เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาธุรกิจ-เทคโนโลยี เรียน 3 ปี ได้ปริญญา 2 ใบ รับเทรนด์มัลติสกิลตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุคดิจิทัล
ผศ.ดร. สมพิศ ขัตติยพิกุล คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ ม.ศิลปากร กล่าวว่า จากสถานการณ์สภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ โรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลให้รูปแบบการดำรงชีวิต แนวคิดต่าง ๆ ในสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากดิจิทัล ดิสทรัปชั่นส์ทั่วโลก รวมทั้งความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น
ทำให้ภาคการศึกษามีความตระหนักและให้ความสำคัญด้านการผลิตบัณฑิตที่สามารถตอบโจทย์และพัฒนาการประยุกต์การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและสามารถจัดเก็บบริหารจัดการข้อมูล (Data Scientist) รวมถึงการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เป็นต้น
ดังนั้นการเรียนการสอนจึงต้องมีการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์และรองรับการแข่งขันทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมป้อนบัณฑิตที่มีศักยภาพสู่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และรองรับการเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างมืออาชีพ
“จากการวิจัยทางการตลาดของบริษัท Zion พบว่า ภายในปี 2025 มูลค่าทางการตลาดของผู้ช่วยเสมือนดิจิทัลอัจฉริยะทั่วโลก หรือ AI จะมีมูลค่าสูงถึง 19.6 พันล้านดอลลาร์ แนวโน้มดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่าตลาดงานด้าน AI ยังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมากตามปริมาณความต้องการของผู้ใช้ในอุตสาหกรรมประเภทนี้ จากแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าบทบาทของเทคโนฯ มีความสำคัญที่บัณฑิตสามารถต่อยอดในการทำงานและทำธุรกิจในยุคนี้”
ล่าสุด วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาธุรกิจและเทคโนโลยี) ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นการบูรณาการระหว่างภาคทฤษฎีและการปฏิบัติแบบพหุวิทยาการทางด้านธุรกิจผสมผสานกับเทคโนโลยี โดยความร่วมมือระหว่างคณะของมหาวิทยาลัยศิลปากร ประกอบด้วย วิทยาลัยนานาชาติ คณะวิทยาการจัดการ และ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกันกับ Paris School of Technology and Business (PST&B) สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในการร่วมพัฒนาหลักสูตร และจัดการเรียนการสอนร่วมกัน
ดร. อาร์มอง แดร์คี ผู้อำนวยการ และผู้ก่อตั้ง Paris School of Technology and Business กล่าวต่อว่า สำหรับ Paris School of Technology and Business (PST&B) เป็นสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในเครือข่ายของ Galileo Global Education ผู้นำสถาบันอุดมศึกษาในยุโรป ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาในเครือข่ายมากกว่า 55 สถาบัน 86 วิทยาเขต ใน 13 ประเทศ และมีจำนวนนักศึกษากว่า 180,000 คน
PST&B เป็นสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล และได้รับรางวัล “Grand Prix de l’Innovation Pédagogique Eduniversal” สำหรับหลักสูตรปริญญาตรีและปริญญาโทประจำปี พ.ศ. 2564-2565 ที่ผ่านมาทางวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากรมีความร่วมมือในการเปิดเรียนการสอนกับ Paris School of Business ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของกลุ่ม Galileo Global Education ด้วยเช่นกันมานานกว่า 5 ปี
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ Paris School of Technology and Business (PST&B) จัดตั้งขึ้นเพื่อพลิกเกม (Game changer) ในระดับอุดมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้นำด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคตสู่โลกดิจิทัล
ผศ.ดร. สมพิศ ขัตติยพิกุล คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ ม.ศิลปากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้มีการเรียนการสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจสาขาวิชาการจัดการโรงแรม และสาขาวิชาการจัดการสินค้าลักซ์ชัวรี่ และด้านการออกแบบสื่อสารดิจิทัล ที่ผลิตบัณฑิตป้อนสู่ภาคธุรกิจให้สามารถแข่งขันกับตลาดแรงงานมาตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี
สำหรับจุดแข็งที่สำคัญของการเรียนในหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาธุรกิจและเทคโนโลยี (หลักสูตรนานาชาติ) นักศึกษาสามารถจบการศึกษาได้ภายใน 3 ปี และได้รับปริญญาตรี 2 ใบ จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ Paris School of Technology and Business สาธารณรัฐฝรั่งเศส
โดยจะได้รับความรู้ความเข้าใจทางด้านการจัดการธุรกิจและเทคโนโลยี หลักสูตรสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนี้จะสามารถทำงานได้ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ และสามารถทำงานร่วมกับชาวต่างชาติได้
พร้อมกันนี้นักศึกษายังมีโอกาสในการเดินทางไปศึกษาแลกเปลี่ยนที่สาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นเวลา 1 เทอม ซึ่งนักศึกษาสามารถใช้สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้จากสถาบันร่วมและยังเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรม พร้อมยังเป็นการเพิ่มประสบการณ์ระดับนานาชาติให้แก่นักศึกษาในหลักสูตรอีกด้วย ซึ่งหลักสูตรนี้จะมาช่วยในการขับเคลื่อนและ เพิ่มขีดความสามารถกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
“ทั้งนี้ผู้ปกครองและนักศึกษาที่มีความสนใจหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาธุรกิจและเทคโนโลยี) ของวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยความพร้อมและประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี และการทำงานร่วมกับภาคการศึกษาระดับโลก รวมทั้งการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ระดับนานาชาติกับนักศึกษาที่เรียนรู้ ปฎิบัติจริง และการดูแลนักศึกษาใกล้ชิด พร้อมมั่นใจว่าบัณฑิตของเราที่จบการศึกษาจะไม่ตกงาน และสามารถเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วย”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จำปาดะ สรรพคุณและประโยชน์
จำปาดะ สรรพคุณและประโยชน์
จําปาดะ คืออะไร ? จำปาดะคือชื่อผลไม้ของไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในวงศ์ MORACEAE เช่นเดียวกับขนุนและสาเก หรือจะเรียกผลไม้ชนิดนี้ว่าขนุนถิ่นใต้ก็ได้ครับ (สังเกตว่าลักษณะของผลก็จะคล้าย ๆ กัน แต่ผลจำปาดะจะเล็กกว่า)
จําปาดะ ภาษาอังกฤษ Champedak (แต่ที่มาเลเซียจะเรียกว่า Bankong)
จําปาดะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Artocarpus integer
ต้นจำปาดะ มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมลายู อินโดนีเซีย และเกาะนิวกินี ในบ้านเราจะนิยมปลูกกันมากทางภาคใต้ โดยจัดเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของอำเภอเกาะยอ จังหวัดสตูล และเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ยากมาก ๆ ซึ่งจะหาได้เฉพาะทางภาคใต้เท่านั้น อีกทั้งจำปาดะยังให้ผลเพียงปีละครั้งเท่านั้น (ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม) โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงประมาณ 20 เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลปนเทา มียางสีขาวขุ่น โดยจะออกผลตามลำต้นและตามกิ่ง ลักษณะของใบจำปาดะ ใบคล้ายรูปไข่ มีเกสรเขียวเป็นมัน และมีขนเล็ก ๆ สีน้ำตาลอยู่บนใบ ใบยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2.5-12 เซนติเมตร ส่วนดอกจำปาดะ ลักษณะของดอก ดอกตัวผู้คล้ายทรงกระบอก มีขนาดประมาณ 3-3.5 เซนติเมตร ก้านยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ดอกมีสีขาวหรือสีเหลือง ส่วนดอกตัวเมียมีจะขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร และเกสรตัวเมียจะมีขนาด 3-6 เซนติเมตร
ผลจำปาดะ ผลคล้ายรูปทรงกระบอก ขนาดตั้งแต่ 20-35 เซนติเมตร กว้างประมาณ 15 เซนติเมตร ผลอ่อนจะมีสีน้ำตาลปนเหลือง ผลอ่อน เปลือกจะแข็ง มียางมาก ส่วนผลสุกจะเปลือกนิ่มและมียางน้อยลง เนื้อมีกลิ่นหอมแรงและมีรสชาติหวานจัด โดย 1 ผลจะมีน้ำหนักรวมอยู่ระหว่าง 600-3,500 กรัม แต่ส่วนของเนื้อที่รับประทานได้จะมีน้ำหนักประมาณ 100-1,200 กรัม
ขนุนกับจําปาดะต่างกันอย่างไร
- ขนาดของผลจำปาดะจะเล็กกว่าขนุน
- ลักษณะของเปลือก เปลือกนอกจำปาดะเมื่อสุกจะไม่สวยเหมือนขนุน
- เปลือกจำปาดะจะบางและปอกง่ายกว่าขนุน และไม่มียวงมีใยเหนียวหนืดเป็นยางมาคั่นระหว่างเมล็ดเหมือนขนุน
- เนื้อจำปาดะจะมีเนื้อนิ่มเละ ไม่แข็งกรอบเหมือนขนุน
- เนื้อจำปาดะจะเหนียวเคี้ยวไม่ค่อยขาด ไม่เหมือนขนุนที่เคี้ยวง่าย
- รสชาติจำปาดะจะมีรสหวานจัด มีน้ำเยอะและหวานกว่าขนุน
- กลิ่น จำปาดะกลิ่นจะแรงกว่าขนุน (รุ่นน้องทุเรียนเลยทีเดียว)
สรรพคุณและประโยชน์ของจำปาดะ
- ช่วยบำรุงร่างกาย (เนื้อผลสุก)
- จำปาดะมีวิตามินเอสูง จึงช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้เป็นอย่างดี
- เปลือกไม้ของจำปาดะมีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและช่วยรักษาโรคมาลาเรียได้ (เปลือก)
- เส้นใยของจำปาดะสามารถช่วยขับไขมันและสารพิษออกไปจากร่างกายได้
- ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ (เนื้อผลสุก)
- ช่วยแก้อาการท้องเสีย (เนื้อผลอ่อน)
- ช่วยฝาดสมาน (เนื้อผลอ่อน)
- เมล็ดจำปาดะช่วยขับน้ำนมในสตรีหลังคลอดและช่วยบำรุงร่างกายได้ (เมล็ด)
- ในมาเลเซียมีการใช้รากของจำปาดะเป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรแบบดั้งเดิมที่ใช้สำหรับหญิงที่เพิ่งคลอดบุตร
- ผลสุกนิยมรับประทานสดเป็นผลไม้ มีรสหวานจัด หอม ชุ่มปากชุ่มคอ (บางคนรับประทานแล้วหยุดไม่ได้เลยทีเดียว)
- สำหรับทางภาคใต้จะนิยมนำไปทำจําปาดะทอด โดยใช้เนื้อพร้อมเมล็ดไปคลุกกับแป้ง น้ำตาล ไข่ นม งา แล้วนำไปทอดน้ำมัน ขอบอกครับว่าอร่อยน่ารับประทานมาก แต่เสียดายหารับประทานยากมาก ๆ
- ใช้ทำเป็นขนมหวาน เช่น ข้าวต้มมัดไส้จำปาดะ เป็นสูตรเดียวกันกับข้าวต้มมัดทั่วไป แต่ต้องแกะเอาเมล็ดออก เอาเฉพาะเนื้อมาใช้แทนกล้วย รสชาติหวาน หอมมัน เข้มข้นมาก หรือใช้ทำเป็นข้าวตอกน้ำกะทิจำปาดะ แกงบวดจำปาดะ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก pstip.cc
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/06/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,650.00 | 30,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,985.00 | 30,092.60 | 31,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,786.50 | 27,083.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,588.00 | 24,074.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 893.00 | 13,537.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 695.00 | 10,536.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,057.00 | 31,184.12 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/06/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 44.65 | 44.65 | 46.55 | 45.45 | 45.55 | 44.65 | 44.65 | 44.65 | 45.45 | 44.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 44.38 | 44.38 | 46.28 | 45.18 | 45.28 | 44.38 | 44.38 | 44.38 | 45.18 | 44.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 43.54 | 43.54 | 45.44 | 44.34 | 44.44 | – | 43.54 | 43.54 | 44.34 | 43.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.24 | 37.24 | – | – | – | – | – | – | – | 37.24 |
เบนซิน 95 | 52.06 | – | – | – | 53.41 | – | 52.56 | 53.16 | – | 52.06 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.74 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.74 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.74 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 46.36 | 47.86 | 52.19 | 50.56 | 50.59 | – | – | – | – | 46.36 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |