อสังหาฯใต้เดือด เครือหาดทิพย์งัดแลนด์แบงก์บุกตลาดทั่วภาคใต้
เครือหาดทิพย์ลุยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คัดที่ดินบริษัทแม่มาลงทุน ประเดิมแปลงแรก 320 ล้านผุดโครงการบ้านหรู”เดอะ เฮเว่น กาญจนวนิช” ที่หาดใหญ่ ก่อนทะยอยนำแลนด์แบงค์ทั่วภาคใต้มาพัฒนาตามศักยภาพ มั่นใจ 3 จุดแข็ง”แบรนด์ดั้งเดิม ทำเลที่ และฝีมือทีมงาน” พร้อมลุยครบวงจร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2565 บริษัท หาดทิพย์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในเครือของบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)(บมจ.) ผู้ถือลิขสิทธิ์ผลิตและจำหน่ายโค้กใน 14 จังหวัดภาคใต้ มียอดขายในปี 2561 กว่า 5,700 ล้านบาท เปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัย “เดอะ เฮเว่น กาญจนวนิช” มูลค่า 320 ล้านบาท ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
นายเอกชัย ภักดีเมฆานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หาดทิพย์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ“เดอะ เฮเว่น กาญจนวนิช” เป็นโครงการบ้านเดี่ยวบ้านแฝด จำนวน 65 ยูนิต และเป็นโครงการแรก ในการเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ซึ่งได้คัดเลือกจากแปลงที่ดินที่มีอยู่หลายแปลง โดยเลือกแปลงที่มีศักยภาพมาพัฒนาก่อน
บ้านในโครงการนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ มีเนื้อที่เริ่มตั้งแต่ 43.1 -75.1 ตารางวา ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3,980,000 – 7,250,000 บาท ตั้งอยู่บนทำเลที่การเดินทางสะดวก อยู่ไม่ไกลจากเมือง น้ำไม่ท่วม โดยโครงการแบ่งออกเป็น 3 เฟส จะแล้วเสร็จภายในเวลาประมาณ 3 ปี โดยเป้าหมายสิ้นปี 2565 นี้ จะสามารถโอนได้ 13 หลัง จากยอดจองจำนวน 7 หลัง เมื่อเปิดจองเมื่อเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังสร้างครอบครัว กลุ่มครอบครัวขนาดกลาง และกลุ่มครอบครัวขยาย
นายเอกชัย กล่าวต่อว่า ผู้บริหารหาดทิพย์มีความตั้งใจขยายธุรกิจด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมองว่าเรามีศักยภาพ ทั้งตัวแบรนด์ของเราเอง และตัวพื้นที่ดินของบริษัทแม่ ซึ่งหลายแปลงมีศักยภาพที่จะสามารถนำมาพัฒนาได้อีกหลายโครงการในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้
สำหรับขอบเขตธุรกิจของบริษัท หาดทิพย์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เรามุ่งหวังพัฒนาโครงการอันดับแรกคือหมวดที่พักอาศัย ทำหมู่บ้านจัดสรร ไม่ว่าจะเป็นบ้านแฝด บ้านเดี่ยว รวมถึงกลุ่มอาคารพาณิชย์ ซึ่งมีที่ดินหลาย ๆ แปลงที่มีศักยภาพ ในการทำอาคารพาณิชย์ หรือผสมผสานโครงการหลายรูปแบบในโครงการเดียวกัน(มิกซ์ยูส) ที่สามารถพัฒนาเป็นสำนักงานของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ก็ยังมองไปที่โครงการที่สนับสนุนด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีหลายพื้นที่ ๆ สามารถทำเป็นรีสอร์ทหรือทำเป็นพื้นที่ให้เช่าได้
ส่วนการเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ของบริษัท หาดทิพย์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นั้น เริ่มจากการที่เรามีที่ดินอยู่หลายแปลงที่มีศักยภาพ โดยเลือกแปลงที่มีศักยภาพก่อน ขณะเดียวกันก็ใช้ทีมงาน ที่เป็นทีมงานจากกรุงเทพฯ เข้ามาช่วยดูตลาด และเลือกที่ดินแปลงที่เหมาะสมจากที่ดินที่มีอยู่ทั้งหมด โดยทำบ้านที่ดีเหมือนบ้านที่เราอยู่เองเป็นพื้นฐาน
“บ้านเป็นปัจจัย 4 และเป็นการลงทุน เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาตัวเลขค่อนข้างชัดเจน จากการเก็บข้อมูลพบว่าคนซื้อบ้านมากกว่าก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อมา 3 ปีเต็ม”
ในช่วงที่มีการศึกษาข้อมูล เราเห็นตัวเลขว่า ยอดขายบ้านในอำเภอหาดใหญ่ไม่ได้ตกลง ซึ่งตรงนี้ยังเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือทำบ้านที่แตกต่าง ที่เรามีความพร้อม คือ ศักยภาพของที่ดิน ศักยภาพของแบรนด์บริษัทแม่ รวมถึงศักยภาพทีมงาน
นายเอกชัย รับว่า แบรนด์บริษัทแม่ 50 ปีที่อยู่เคียงคู่กับชุมชนในภาคใต้มายาวนาน ด้วยความผูกพันที่เรามีกับพี่น้องชาวใต้ ทำให้เราต้องสร้างบ้านและโครงการให้มีคุณภาพ ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ดีมีมาตรฐาน ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ดีมีคุณภาพจาก SCG และการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน ผสมผสานการดีไซด์แบบบ้านให้มีลักษณะเฉพาะตัว พร้อมความใส่ใจของทีมงาน
“ทำด้วยความใส่ใจเหมือนกับเราสร้างบ้านให้ครอบครัวของเราอยู่เอง ซึ่งโครงการของเราทั้งหมด จะเน้นย้ำตรงจุดนี้ สำหรับแบรนด์ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า หาดทิพย์ ”
นายเอกชัย ชี้ถึงแนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะบ้านแนวราบว่า ในภาพรวมหลายจังหวัดในภาคใต้ยังไปได้ หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย แต่ต้องเลือกให้ดีเรื่องทำเลที่ตั้ง และเป้าหมายระยะยาวของบริษัท คือการทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มอื่น ๆ ให้ครบวงจร และครอบคลุมในทุก Segment ซึ่งอยู่ภายใต้แผนระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนกับบริษัทต่อไป โดย“จุดแข็งของเราก็คือบริษัทแม่ และความแตกต่างของโครงการ”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
REIC คาดมาตรการ LTV ทำหน่วยโอน-มูลค่าโอนอสังหาฯ ปี’66 หดตัว
REIC เผยดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ (หมวดที่อยู่อาศัย) ไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้น 30.4% จากปีก่อน พร้อมคาดการณ์ มาตรการ LTV อาจทำให้หน่วยโอน และมูลค่าโอน ปี 2566 หดตัว
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยรายงาน “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” ประจำไตรมาส 3 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 93.0 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 30.4%
ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าดัชนีเป็นผลมาจากการปรับตัวดีขึ้นของโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย อัตราดูดซับบ้านจัดสรร และอาคารชุด ข้อมูลที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน จำนวนพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย และดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ในไตรมาสนี้
REIC ยังคาดการณ์ว่า ภาพรวมในปี 2565 ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) น่าจะมีโอกาสขึ้นมาไม่ต่ำกว่าที่ 90.5 จุด หรือขยายตัว 19.6% จากปีก่อน และอาจปรับตัวสูงขึ้นได้สูงสุดถึง 99.6 จุด (กรณี Best Case) ขยายตัว 31.5% แต่หากมีการพลิกผันก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 81.5 จุด หรือขยายตัว 7.6% (กรณี Worst Case) โดยมีการติดตามเครื่องชี้ด้านอุปทานและอุปสงค์ของที่อยู่อาศัยที่สำคัญ
สถานการณ์อุปทานและอุปสงค์ที่อยู่อาศัยปี ไตรมาส 3 ปี 2565
ด้านอุปทาน REIC พบว่า การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ ในไตรมาส 3/2565 มีจำนวน 25,758 หน่วย ซึ่งมีจำนวนสูงสุดในรอบ 10 ไตรมาสที่ผ่านมา และการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 39.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของ YOY ที่ต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว
ในส่วนที่เกี่ยวกับอุปทานจากโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 3/2565 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 24,112 หน่วย ขยายตัว 98.6% เป็นมูลค่า 147,276 ล้านบาท ขยายตัว 217.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยพบว่า บ้านจัดสรรมีการขยายตัว มากกว่าอาคารชุดทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต่างจากไตรมาส 1 และ 2 ที่ผ่านมา ที่อาคารชุดมีการขยายตัวมากกว่า ซึ่งสะท้อนว่า โครงการอาคารชุดที่เปิดตัวใหม่เริ่มลดลงแล้ว
ขณะที่จำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 3/2565 ซึ่งมีจำนวน 75,336 หน่วย แบ่งเป็นแนวราบจำนวน 63,801 หน่วย อาคารชุด จำนวน 11,535 หน่วย โดยจำนวนรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า -14.3%
แต่พบว่าจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีจำนวน 24,018 หน่วย โดยจำนวนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 12,282 หน่วย อาคารชุดพักอาศัยจำนวน 11,736 หน่วย
ซึ่งคาดว่าจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนเพิ่มขึ้นมากในไตรมาสนี้ มาจากการสะสมของหน่วยที่ถูกชะลอการก่อสร้างในช่วงก่อนหน้า และการเร่งจดทะเบียนให้นำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2565
หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 97,228 หน่วย เพิ่มขึ้น 28.56% เป็นการเพิ่มติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยสามารถแบ่งเป็น
- ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 72,665 หน่วย
- อาคารชุดพักอาศัยจำนวน 24,563 หน่วย
ซึ่งมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ก็สูงขึ้นเช่นเดียวกันโดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 260,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% แบ่งเป็น
- ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 194,454 ล้านบาท
- อาคารชุดพักอาศัยจำนวน 66,349 ล้านบาท
ซึ่งพบว่า จำนวนเงินให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวน 178,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 24.93% ซึ่งมีทิศทางเดียวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี เท่ากับ 157,052 ล้านบาท ส่งผลให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4,648,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ข้อมูลการสำรวจภาคสนามในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า โครงการที่มีการเสนอขายทั้งหมด ณ ไตรมาส 3 ปี 2565 จำนวน 198,024 หน่วย ลดลง -1.0%
ขณะที่มีมูลค่าโครงการรวม 984,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมียอดขายได้ใหม่ 20,261 หน่วย ลดลง -13.7% ขณะที่มีมูลค่าการขายได้ใหม่ 113,399 ล้านบาท ลดลง -2.7%
โดยเป็นการชะลอตัวจากยอดขายได้ใหม่ของอาคารชุด ที่ลดลงจากไตรมาสก่อนถึง -39.0% ของจำนวนหน่วย และ -41.9% ของจำนวนมูลค่า ขณะที่บ้านจัดสรรกลับขยายตัวมากกว่า 20% ทั้งหน่วยและมูลค่า ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวน 177,763 หน่วย มูลค่ารวม 871,505 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.7% และ 1.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้
ขณะที่พื้นที่ EEC 3 จังหวัดมีสถานการณ์ตลาดในทิศทางเดียวกันกับกรุงเทพฯ-ปริมณฑล แต่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงหน่วยและมูลค่าการขายได้ใหม่ที่ลดลงมากกว่า ซึ่งเป็นการลดลงทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุด ขณะที่ภาพรวมหน่วยเหลือขายมีอัตราที่ลดลงมากกว่า
จากภาพรวมตลาดทั้งสองพื้นที่ ได้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสนี้เริ่มชะลอความร้อนแรงลงอย่างชัดเจนจากยอดขายได้ใหม่ที่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเภทอาคารชุดที่มียอดขายลดลงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีการเปิดตัวอาคารชุดราคาถูกจำนวนมากและยอดขายที่ดีใน 1-2 ไตรมาสก่อนหน้า
คาดการณ์ทิศทางอุปทานและอุปสงค์ที่อยู่อาศัย ปี 2565
REIC คาดการณ์ทิศทางอุปทานและอุปสงค์ที่อยู่อาศัยในปี 2565 ว่า จะมีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 77,221 หน่วย เพิ่มขึ้น 12.7% และจะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ประมาณ 96,803 หน่วย มูลค่า 508,264 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 87.9% และ 132.1% ตามลำดับ โดยแบ่งเป็น
- โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 49,492 หน่วย จำนวน 336,008 ล้านบาท
- โครงการอาคารชุดจำนวน 47,311 หน่วย 172,256 ล้านบาท
และจะมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างจำนวน 310,976 หน่วย แบ่งเป็น
- ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 264,031 หน่วย
- อาคารชุดพักอาศัย 46,945 หน่วย
ขณะที่อุปสงค์ที่อยู่อาศัยปี 2565 คาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประมาณ 373,253 หน่วย มูลค่า 997,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.59% และ 5.61% แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 279,447 หน่วย โอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดพักอาศัยจำนวน 93,806 หน่วย
ดร.วิชัยกล่าวสรุปภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565 ไว้ว่า “ความเคลื่อนไหวด้านอุปทานมีการขยายตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล
ในขณะที่การขอออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 3 โดยมีจำนวนสูงสุดในรอบ 10 ไตรมาส ขณะที่การขอออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารโดยภาพรวมยังคงทรงตัว ด้านอุปสงค์ การโอนกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย มาตั้งแต่ไตรมาส 1 แล้ว”
แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปี 2566 ภายใต้กรอบ LTV
REIC คาดการณ์ว่า ในปี 2566 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) จะได้รับแรงกดดันจากการไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการเงินดาวน์ขั้นต่ำในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือ “มาตรการ LTV (Loan to value)” ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
โดย REIC คาดการณ์ว่า ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ปี 2566 มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงเหลือ 89.5 จุด ลดลง -1.1% จากปี 2565 โดยจะปรับตัวอยู่ในกรอบต่ำสุดที่ 80.6 จุด หรือลดลง -11.0% (กรณี Worst Case) และมีกรอบสูงสุดที่ 98.5 จุด หรือขยายตัว 8.8% (กรณี Best Case)
การไม่ต่ออายุการผ่อนคลาย LTV อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยคาดว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2566 คาดว่าจะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 98,581 หน่วย มูลค่า 513,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% และ 1.1% ตามลำดับ จากปี 2565 ประกอบด้วยโครงการแนวราบประมาณ 58,312 หน่วย มูลค่า 367,363 ล้านบาท และโครงการอาคารชุดประมาณ 40,270 หน่วย มูลค่า 146,619 ล้านบาท
ในขณะที่การออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจะมีประมาณ 79,909 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากปีก่อน มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างประมาณ 294,019 หน่วย ลดลง -5.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 และคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนประมาณ 91,615 หน่วย ลดลง -0.1% เมื่อเทียบกับปี 2565
ด้านอุปสงค์ คาดการณ์ว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2566 ประมาณ 320,227 หน่วย มูลค่า 953,404 ล้านบาท ลดลง -14.2% และ -4.4% ตามลำดับ และคาดว่าจะมีจำนวนสินเชื่อปล่อยใหม่ประมาณ 614,764 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -4.0 เมื่อเทียบกับปี 2565
“สถานการณ์ตลาดปี 2566 ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงระบบการเงินด้วยมาตรการ LTV ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณลดความร้อนแรงของการขยายการลงทุนในตลาดบ้านใหม่ลง และกระทบต่อตลาดบ้านมือสองอีกด้วย ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น กำลังซื้อที่ทยอยฟื้นตัว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าปี 2566 ตลาดในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น” ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวในตอนท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังมีปัจจัยหนุน-ชะลอ การแข็งค่าทั้งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด -การทยอยขายทองคำทำกำไรเมื่อราคาทองปรับขึ้น แต่ผู้นำเข้าเริ่มซื้อเงินดอลลาร
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.27 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด คือ ปัจจัยที่ช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง เช่นเดียวกับ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำที่อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไร
ทว่า เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าจนหลุดโซนแนวรับ 35.80-35.90 บาทต่อดอลลาร์เนื่องจากในช่วงปลายเดือน บรรดาผู้นำเข้าอาจเริ่มทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ แรงขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติก็สามารถเป็นอีกปัจจัยที่จะชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้
อย่างไรก็ดี ควรรอติดตามรายงานข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของไทย โดยหากยอดการส่งออกขยายดีตัวกว่าคาด จนทำให้ดุลการค้าขาดดุลน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
แต่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงชัดเจน อาจทำให้โอกาสที่ยอดการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ดีกว่าคาดนั้น เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดจึงควรระวังความเสี่ยงที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง หากดุลการค้าขาดดุลมากขึ้นตามที่ตลาดคาด หรือ ขาดดุลมากกว่าคาด
การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.85–36.15 บาท/ดอลลาร์
รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ที่ระบุว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างสนับสนุนให้ชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 47.6 จุด และ 46.1 จุด ซึ่งแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 จุด หมายถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิต/ภาคการบริการ)
ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและอาจขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้สูงมากนัก หากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ แย่ลงมากขึ้น (สอดคล้องกับความกังวลของเจ้าหน้าที่เฟดในรายงานการประชุมเฟดล่าสุด) นอกจากนี้ แนวโน้มเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth Nvidia +3.0%, Alphabet +1.5% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.99% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.59%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวขึ้น +0.60% หนุนรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าบรรดาธนาคารกลางจะเริ่มชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและอาจยุติการขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีหน้าก็มีส่วนช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้น Growth ฝั่งยุโรป อาทิ ASML +2.3%
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยิ่งมั่นใจว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและอาจไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยไปได้ไกลมาก ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.69% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ ขึ้นกับมุมมองของตลาดต่อระดับสูงสุดของดอกเบี้ยเฟด (Terminal Rate) โดยต้องติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยเฉพาะข้อมูลเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน ในช่วงก่อนถึงการประชุมเฟดในเดือนธันวาคม ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นจุดที่ชี้ชะตาบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ว่าจะกลับมาเป็นเทรนด์ขาลงชัดเจนได้หรือไม่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น ได้กดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง -0.9% สู่ระดับ 106 จุด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนและอังกฤษออกมาดีกว่าคาด
อนึ่ง แม้ว่าตลาดการเงินจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง แต่ทว่าการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) รีบาวด์ขึ้น +1.0% กลับสู่ระดับ 1,768 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า การรีบาวด์ของราคาทองคำดังกล่าว อาจมีผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำได้ โดยเฉพาะหากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านได้ และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน หลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการล่าสุดออกมาดีกว่าคาด โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่าวิกฤตพลังงานที่ไม่ได้น่ากังวลมากนัก จะช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 85 จุด
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ล่าสุด เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตของ ECB ว่าจะเร่งขึ้น +75bps ต่อเนื่องได้หรือไม่ และ ECB จะขึ้นดอกเบี้ยไปถึงระดับใดในปีหน้า
ในฝั่งเอเชีย ตลาดมองว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.25% สู่ระดับ 3.25% เพื่อคุมสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 6% และช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินวอน (KRW)
ส่วนในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า การค้าระหว่างประเทศของไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจโตเพียง 5.5%y/y ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ยังโตกว่า +10%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) ในเดือนตุลาคมอาจกลับมาขาดดุลถึง -1.4 พันล้านดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บอลคนละชั้น! สเปน สอนบอลไล่ต้อน คอสตาริกา 7-0 นำฝูง บอลโลก กลุ่มอี
การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มอี ระหว่าง “กระทิงดุ” สเปน พบ คอสตาริกา ที่สนาม อัล ธูมามา สเตเดี้ยม, กาตาร์ เมื่อคืนวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2565
เปิดเกมมา 11 นาที “กระทิงดุ” ขึงเกมบุก ปาโปล กาบี ตักบอลเข้าเขตโทษบอลแฉลบแนวรับไปเข้าทาง ดานี่ โอลโม่ เกี่ยวด้วยซ้ายก่อนกระดกข้ามตัว เกย์ลอร์ นาบาส เข้าไปอย่างเหนือชั้น สเปน นำ 1-0
นาทีที่ 21 สเปน หนีเป็น 2-0 จากจังหวะที่ จอร์ดี้ อัลบา พาบอลขึ้นทางริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนเปิดเข้าเขตโทษ มาร์โก อเซนซิโอ วิ่งมากดด้วยซ้ายแบบไม่ต้องจับบอลพุ่งเสียบเสาสองเด็ดขาด
นาทีที่ 31 “กระทิงดุ” มาได้จุดโทษ ฟรานซิสโก้ กาลโว ไปเสียบ จอร์ดี้ อัลบา ล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าทันทีก่อนเป็น เฟร์ราน ตอร์เรส ยิงเข้าไปง่ายๆ สเปน นำห่าง 3-0 พร้อมหมดครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
กลับมาเล่นครึ่งหลัง นาทีที่ 54 สเปน ทิ้งห่าง 4-0 จากจังหวะที่ กาบี เปิดบอลเข้าเขตโทษให้ เฟร์ราน ตอร์เรส วิ่งฉีกมาเอาบอลก่อนหมุนตัวยิงลอดตัว เกย์ลอร์ นาบาส เข้าประตูไป
นาทีที่ 75 “กระทิงดุ” ยังไม่เพลาเกมบุก อัลบาโร่ โมราต้า เก็บบอลได้ในเขตโทษก่อนเปิดย้อนกลับมาให้ กาบี วิ่งมาดีดด้วยไซด์ก้อยบอลพุ่งชนโคนเสาเข้าไป สเปน ทิ้งสุดกู่ 5-0
นาทีสุดท้ายของเกม สเปน มาได้ประตูเพิ่มจากจังหวะที่ นิโก้ วิลเลียมส์ เปิดบอลพุ่งเข้าเขตโทษ เกย์ลอร์ นาบาส พุ่งปัดมาเข้าทาง การ์ลอส โซเลร์ วิ่งเข้ากดด้วยขวาตุงตาข่าย
ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+3 สเปน มาได้ประตูปิดท้าย 7-0 จากการยิงของ อัลบาโร่ โมราต้า จบเกม สเปน เปิดฉากถล่ม คอสตาริกา 7-0 เก็บสามแต้ม พร้อมขยับขึ้นนำจ่าฝูงกลุ่มอี
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
สเปน (4-3-3) : อูไน ซิม่อน – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์, โรดรี้, จอร์ดี้ อัลบา – เปดรี กอนซาเลซ, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ปาโปล กาบี – เฟร์ราน ตอร์เรส, มาร์โก อเซนซิโอ, ดานี่ โอลโม่
คอสตาริกา (4-4-2) : เกย์ลอร์ นาบาส – การ์ลอส มาร์ติเนซ, ฟรานซิสโก้ กาลโว, ออสการ์ ดูอาร์เต้, ไบรอัน โอเบียโด้ – เยลต์ซิน เทเยด้า, เจวิสัน เบนเนตต์, เคย์เชอร์ ฟูลเลอร์, เซลโซ่ บอร์เกส – แอนโธนี่ คอนเตรราส, โจเอล แคมป์เบลล์
ผู้ตัดสิน : โมฮัมเหม็ด อับดุลลา ฮัสซัน โมฮาเหม็ด (ยูเออี)
- ติดตามผลบอล ฟุตบอลโลก 2022 ทุกคู่ที่นี่ https://www.sanook.com/sport/program/
- ดูตารางคะแนน บอลโลก 2022 ล่าสุด ได้ที่นี่ https://www.sanook.com/sport/football/table/worldcup/
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เป็นโรคไต ห้ามกินอะไร นอกจากเลี่ยงกินเค็ม?
“อย่ากินเค็มมาก เดี๋ยวเป็นโรคไต” เป็นประโยคที่เราอาจได้ยินจากผู้หลักผู้ใหญ่ หรือคนใกล้ตัวบ่อยๆ เมื่อเรานั่งทานอาหารโต๊ะเดียวกัน แน่นอนว่าการทานรสเค็มมากๆ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคไตอย่างที่ทุกคนเข้าใจกันนั่นแหละ หลายคนสาดน้ำปลาไม่ยั้ง ส้มตำลาบน้ำตก ยำรสจัดๆ ของชอบสุดๆ ไปๆ มาๆ ตรวจสุขภาพประจำปี รู้ตัวอีกทีก็เป็นโรคไต หรืมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไตเสียแล้ว
นอกจากต้องลดเค็มโดยด่วนแล้ว ยังต้องควบคุมอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงด้วย เพราะอะไร และอาหารอะไรบ้างที่มีโพแทสเซียมสูงที่คุณควรเลี่ยง มาดูกัน
ทำไมเป็นโรคไต แล้วต้องเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียม?
โพแทสเซียม เป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อในร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ
ส่วนไตมีหน้าที่กรองเอาสารอาหารที่ประโยชน์กลับขึ้นไปดูแลร่างกายผ่านกระแสเลือด และแยกเอาสารอาหารที่เกินความจำเป็นออกไป
หากไตเสื่อม ไตก็จะกรองเอาโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้น้อยลง ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตจึงควรจำกัดการทานอาหารที่มีโพแทสเซียมไม่ให้สูงเกินไปนั่นเอง
โพแทสเซียมสูง จะส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?
หากร่างกายมีปริมาณโพแทสเซียมสูงเกินไป อาจมีอาการเหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย ใจสั่น คลื่นไส้ เป็นตะคริว ชีพจรเต้นช้าลง ไปจนถึงหัวใจหยุดเต้น
ผู้ป่วยโรคไต ห้ามทานอาหารที่มีโพแทสเซียม?
จะให้ไม่ทานเลยก็ไม่ได้ เพราะอย่างไรก็ตาม โพแทสเซียมยังพอมีประโยชน์กับผู้ป่วยโรคไตอยู่บ้าง เพราะโพแทสเซียมช่วยลดอาการบวมน้ำในร่างกายของผู้ป่วย ช่วยปรับสมดุลของน้ำในร่างกายให้เป็นปกติ และป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวอีกด้วย
อาหารโพแทสเซียม ที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง
ผักสด โดยเฉพาะผักสีเข้มๆ นมไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน ถั่วต่างๆ และธัญพืช
ตัวอย่างอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง
– ผงโกโก้
– ลูกพรุนอบแห้ง
– ลูกเกด
– เมล็ดทานตะวัน
– อินทผาลัม
– ปลาแซลมอน
– ผักโขมสด
– เห็ด
– กล้วย
– ส้ม
เพราะฉะนั้นอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานได้ คืออาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ คือผักผลไม้ที่มีสีซีดๆ เช่น ชมพู่ องุ่นเขียว แตงโม บวบเหลี่ยม เห็ดหูหนูขาว ฟักเขียว ผักกาดขาว กะหล่ำปลี แตงกวา แต่ก็สามารถทานสลับระหว่างอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง-ต่ำ เพื่อรักษาสมดุลของโพแทสเซียมในร่างกายได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้วิธีลดปริมาณโพแทสเซียมในผัก คือการลวกในน้ำร้อนก่อนทาน จะช่วยลดปริมาณโพแทสเซียมได้ถึง 30-40% ค่ะ
แต่หากพบปริมาณโพแทสเซียมในเลือดสูงผิดปกติ ควรงดผลไม้ทุกชนิด แล้วทานแต่ผักที่มีโพแทสเซียมต่ำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำขยายกริยาเพื่อบอกความถี่ (Adverbs of Frequency)
คำขยายกริยา (Adverb) ถือเป็นส่วนสำคัญในภาษาอังกฤษเพราะมันเป็นสิ่งที่ช่วยบอกว่ากริยา (Verb) นั้นเกิดขึ้นอย่างไร เวลาที่เราต้องการจะอธิบายว่าการกระทำนั้นๆ เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน เราจำเป็นต้องใช้คำขยายกริยาเพื่อบอกความถี่ (Adverbs of Frequency) แต่เราจะสามารถสอนให้นักเรียนเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? ลองอ่านดูด้านล่างว่ามีเทคนิคและตัวอย่างอะไรบ้างที่สามารถนำไปใช้ได้!
อะไรคือ Adverbs of Frequency?
คำขยายกริยาชนิดนี้จะใช้เพื่ออธิบายว่าการกระทำ (Verb) นั้นๆ เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน มี Adverbs of Frequency หลักๆ อยู่ 6 ตัวในภาษาอังกฤษ ได้แก่ always – จะ, usually (หรือ normally) – บ่อยๆ (เป็นปกติ), often – บ่อยๆ, sometimes – บางครั้ง, rarely – แทบจะไม่ และ never – ไม่เคย
- ปกติแล้ว คุณมีวิธีการอย่างไรในการนำเสนอหรือกระตุ้นให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง? วิธีไหนที่คุณลองใช้แล้วแต่ไม่เวิร์คอย่างที่ต้องการ?
- วิธีอธิบายที่ง่ายที่สุดคือการชี้ให้เห็นความแตกต่างโดยการแบ่งเป็น % อย่างในรูปด้านล่าง
Adverbs เหล่านี้ต่างกันในแง่เปอร์เซ็นต์ความถี่ที่เกิดขึ้น ดังที่เห็นได้ด้านล่าง
เราสามารถใช้ ‘seldom’ แทนการใช้ ‘rarely’ ได้ แต่มักจะไม่ค่อยมีใครใช้กันในปัจจุบัน
วิธีการสอนเรื่อง Adverbs of Frequency
เราพบว่า การใช้ตารางด้านบนเพื่ออธิบายให้นักเรียนได้เห็นความแตกต่างระหว่างคำนั้นมีประโยชน์มาก เพราะมันจะทำให้นักเรียนเห็นอีกด้วยว่าตำแหน่งของ Adverbs of Frequency มักจะถูกวางอยู่ระหว่าง ประธาน (Subject) และกริยา (Verb) นี่คือตัวอย่างอื่นๆ ที่เราควรจะใช้เพื่อสอนนักเรียน
- Sara always goes out on Saturday evenings.
- Jane’s boyfriend usually picks her up and they drive into the city centre.
- Ben and Emma often go for lunch together.
- In the winter Sara sometimes goes Skiing in France.
- James and Stephen rarely go to the cinema in the summer because they prefer to stay outside.
- As Marta is so busy she never gets home from work before 7
มีตัวอย่างประโยคไหนไหมที่คุณนำมาใช้แล้วรู้สึกว่านักเรียนสามารถเข้าใจได้ดีกว่าตัวอย่างที่ให้ด้านบน?
หลังจากที่นักเรียนเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เราจะต้องอธิบายให้เห็นว่ามันยังมีข้อยกเว้นอยู่ นั่นก็คือ verb ‘to be’ เวลาที่ประโยคมี การใช้ ‘verb to be’ ‘Adverbs of Frequency’ จะต้องถูกวางไว้ด้านหลัง verb ตัวอย่างเช่น
- There are always lots of people in the city centre on Saturday nights.
- It’s often difficult to find a place to park.
- But our friends are never on time so it doesn’t matter if we’re late.
ในภาษาอังกฤษ มีกฎหลากหลายข้อ ตัวอย่างเช่น เราสามารถนำ adverb อย่าง ‘sometimes’ และ ‘usually’ มาวางไว้ด้านหน้าของประโยคได้
- Sometimes she does her homework with friends.
- Usually they study on their own.
จะง่ายกว่าถ้ากระตุ้นให้นักเรียนทำตามกฎโดยการวาง Adverbs of Frequency ไว้ระหว่างประธาน (subject) และกริยา (verb) ทุกครั้ง แต่พยายามเตือนด้วยว่ามีข้อยกเว้น นั่นก็คือ verb to be ซึ่งไม่เหมือน verb ตัวอื่น ทำให้เราต้องวาง adverb ไว้ด้านหลัง
ปกติแล้วคุณมีวิธีการเช็คความเข้าใจของนักเรียนอย่างไรเวลาอธิบายเรื่องที่ซับซ้อน?
การสร้างเป็นประโยคคำถาม
เวลาที่ต้องการทำเป็นประโยคคำถามที่ถามเกี่ยวกับเรื่องความถี่ เรามักจะใช้ ‘How often …?’ ตัวอย่างเช่น
- How often do you watch films?
- How often does he play tennis?
- How often do the trains arrive late?
แต่เราสามารถถามคำถามง่ายๆ โดยการใช้แค่ adverb of frequency ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
- Do you often come here?
- Does she always work so hard?
- Do they ever pay on time? (‘ever’ instead of ‘never’ for questions)
การใช้ Adverbs of Frequency ร่วมกับ Modal Verb และ Auxiliary Verbs
ขั้นต่อไป เราต้องเตือนนักเรียนว่า ในประโยคที่มี Modal verb (Verb ช่วยที่มีความหมายในตัวเอง) เราจะต้องวางตัว Adverb of Frequency ไว้ด้านหลัง ก่อนหน้า verb หลัก ตัวอย่างเช่น
- You must always try your best.
- We can usually find a seat on our train.
- They should never be rude to customers.
ในกรณีของ Auxiliary verb (verb ช่วยที่ไม่มีความหมายในตัวเอง) ก็ใช้กฎแบบเดียวกัน นั่นคือวาง Adverb of Frequency ไว้ระหว่าง Auxiliary verb และ verb หลัก
- I have never visited Turkey.
- He’s always taking things from my desk. It’s really annoying.
- You had rarely arrived late at work until yesterday.
ปกติแล้ว คุณมีวิธีการอธิบายเรื่องนี้ให้กับนักเรียนอย่างไร?
กิจกรรมอะไรที่คุณชอบทำกับนักเรียนเพื่อให้พวกเขาสามารถฝึกเรื่องการตั้งคำถามเกี่ยวกับความถี่?
เรามักจะให้นักเรียนเขียนคำถามสองสามคำถาม จากนั้นจึงให้ทุกคนเดินรอบห้องเพื่อพูดคุยและตอบคำถามของกันและกัน นี่คือตัวอย่างของคำถาม
- What do you usually do on Saturday nights?
- How often do you see your best friend?
- Do you ever go to the theatre?
- How often do you play sport or go to the gym?
- Do you ever watch films or TV programmes in English?
- What time do you usually go to bed?
- How often do you eat at a restaurant?
- Are you sometimes late for work or school?
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
เปิดตัว vivo TWS 3 Pro ตัดเสียงเงียบกริบ รองรับเสียงแบบ Lossless Audio
นอกจากการเปิดตัวมือถือใหม่ของ vivo แล้วยังมีการแนะนำหูฟังตัวท็อปอย่าง vivo TWS 3 และ TWS 3 Pro ที่มีคุณสมบัติที่ดี โดยราคานั้น จะอยู่ระหว่าง 500 – 1,000 หยวน หรือประมาณ 2,3xx – 5,000 บาท ความแตกต่างของทั้งคู่มีดังนี้
สำหรับ vivo TWS 3 Pro จะมาพร้อมกับการลดเสียงรบกวนให้เหลือ 49 เดซิเบล รองรับกับเสียงย่านกว้างได้ถึง 4,000Hz สามารถรับเสียงของคนได้ดีและเป็นย่านความถี่แบบกลาง
ส่วนระบบเสียงจะอยู่ที่ TWS 3 ทั้งคู่จะรองรับ aptX Lossless โดยรองรับที่ 1.2Mbps รองรับ Wide-Band ที่ลำโพงในตัวพร้อมกับ Driver ขนาด 12.2 มิลลิเมตร และมี 3 Layer Nano Composite แถมยังรองรับ Bluetooth 5.3 รองรับ LE Audio Support แถมมีค่าความหน่วงเหลือ 55 ms.
นอกจากนี้ยังรองรับระบบ 360 Spatial Audio ที่ทำงานร่วมกับ ANC และยังให้เสียงคุณจะเป็นธรรมชาติและยังมีการลดเสียงรบกวนผ่านการโทรด้วยการใช้ไมโครโฟนทั้งหมด 3 ตัว และอีกสิ่งที่แตกต่างคือ แบตเตอรี่เพราะมีขนาดแบตฯ ที่แตกต่างกัน
โดยรุ่น Pro จะให้แบตเตอรี่ที่มากกว่ากันเล็กน้อย (รุ่นปกติ 430 mAh และรุ่น Pro ที่ 510 mAh) นอกจากนี้ รวมกับกล่องได้นานสุด 6.8 ชั่วโมง เมื่อแบตเตอรี่แตกต่างกันจะต่างกันเล็กน้อย โดย TWS 3 ทำได้ที่ 30 ชั่วโมง แต่ถ้า TWS 3 Pro จะทำได้ 40 ชั่วโมง
ส่วนการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 30 พฤศจิกายน พร้อมสีสันให้เลือกทั้งสีขาวและสีเทาและสีฟ้าแตกต่างกันแล้วแต่รุ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ปฏิวัติวงการวัสดุก่อสร้างด้วยนวัตกรรมไฟเบอร์ซีเมนต์จาก TPI POLENE ในงานสถาปนิก’66
สำหรับบริษัทที่มีประวัติคู่กับวงการออกแบบ-ก่อสร้างมายาวนานอย่างบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) การมาจัดแสดงสินค้าในงานสถาปนิก’66 ย่อมไม่ธรรมดา
คุณ ประเสริฐ บุญยัง ผู้จัดการฝ่าย Digital Printing บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เปิดบ้าน TPI เล่าเส้นทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท พร้อมอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดถึงนวัตกรรมไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่มาปฏิวัติวงการเฟอร์นิเจอร์ วงการการไม้-หินเทียม และทุก ๆ ส่วนในวงการวัสดุก่อสร้าง
ทำความรู้จักแต่ละผลิตภัณฑ์จาก TPI ก่อนไปเจอกันได้ที่งานสถาปนิก’66 กับบูธที่ “ครบ จบ ที่เดียวสำหรับงานก่อสร้าง”
ปฏิวัติวงการเฟอร์นิเจอร์ กับ FURNITURE BOARD “ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่เหนือกว่า”
ลืมวัสดุที่ใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์แบบเดิม ๆ ไปได้เลย เพราะ TPI Furniture Board เป็นนวัตกรรมบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ที่พัฒนามาเพื่อแก้ทุกปัญหา ให้คุณได้พบคุณสมบัติที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่า
“เมื่อก่อนวัสดุที่ใช้ผลิตกันในวงการเฟอร์นิเจอร์คือโครงไม้และไม้อัดติดโครง จนมีแผ่นบอร์ด MDF, Particle Board, หรือ HDF และ Plywood เป็นต้น ซึ่งวัสดุเหล่านี้มีปัญหาบวมเมื่อโดนน้ำ มีการพองแล้วทำให้เกิดความเสียหาย เพื่อแก้ปัญหาของผู้บริโภคเราก็ผลิตเฟอร์นิเจอร์บอร์ดมาแทนวัสดุเหล่านี้เลย” คุณประเสริฐเล่า
ด้วยความรู้เกี่ยวกับไฟเบอร์ซีเมนต์จากประสบการณ์ยาวนานของ TPI Polene ไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ TPI Furniture Board เป็นนวัตกรรมที่มาเพื่อจัดการทุกเรื่องกวนใจเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบวมน้ำ บิดงอ ติดไฟ มีสารระเหย มีเชื้อรา ปลวกกิน ผุพัง เปื่อยยุ่ย “เฟอร์นิเจอร์บอร์ดเป็นไฟเบอร์ซีเมนต์รุ่นความหนาแน่นต่ำ ปกติไฟเบอร์ซีเมนต์สำหรับงานก่อสร้างจะมีความหนาแน่น 1,350 กก./ตร.ม. ซึ่งแข็งและเปราะ เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง ทีพีไอจึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อสร้างคุณค่าให้บริษัทและแก้ปัญหาของผู้บริโภคจากความรู้เรื่องไฟเบอร์ซีเมนต์ที่เรามีและเรื่องปัญหาตรงนี้ มาเป็นบอร์ดรุ่นความหนาแน่นต่ำลดลงจาก 1,350 กก./ตร.ม. เหลือ 800 กก./ตร.ม. จึงมีน้ำหนักเบา และไม่แข็งไม่เปราะด้วย”
คุณสมบัติเด่นของ TPI Furniture Board มีตั้งแต่น้ำหนักที่เบา เนื้อเหนียวเสมือนไม้จริง เจาะตัดง่าย สามารถใช้อุปกรณ์เครื่องมือสำหรับเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปได้ ปิดผิวได้ปิดขอบได้ และที่สำคัญคือไม่บวมน้ำ ไม่ลามไฟ ไม่เป็นเชื้อรา ปลวกไม่กินแม้เจอความชื้น “บอร์ดเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ตามท้องตลาดอาจขยายตัวบวมพองประมาณ 10 – 20% แต่ของเราขยายตัวเพียง 0.32% เท่านั้น คือไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้วัสดุปิดผิวหรือปิดขอบไม่บวมพอง ไม่หลุด ไม่พัง เช่นในเมืองที่น้ำท่วมบ่อยอย่างนี้ทีพีไอก็คอนเฟิร์ม หากใช้เฟอร์นิเจอร์บอร์ดในการผลิต น้ำท่วมมาแล้วเป็นเดือนก็ไม่พัง เป็นจุดแข็งมากที่บอร์ดอื่น ๆ ในงานเฟอร์นิเจอร์ไม่มีกันคือการกันบวมพองพัง” “ในตลาดก็มีการพยายามพัฒนาบอร์ดกันน้ำมาอยู่แต่สำเร็จเพียงบอร์ด HMR ซึ่งกันชื้นได้เท่านั้น เพราะขยายตัวถึง 4-8% หรือบอร์ดที่ผลิตจากพลาสติกแม้จะสามารถกันน้ำได้แต่ก็ยังมีเรื่องการติดไฟและเรื่องความแข็งแรงอยู่”
คุณสมบัติเด่นของ TPI Furniture Board มีตั้งแต่น้ำหนักที่เบา เนื้อเหนียวเสมือนไม้จริง เจาะตัดง่าย สามารถใช้อุปกรณ์เครื่องมือสำหรับเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปได้ ปิดผิวได้ปิดขอบได้ และที่สำคัญคือไม่บวมน้ำ ไม่ลามไฟ ไม่เป็นเชื้อรา ปลวกไม่กินแม้เจอความชื้น “บอร์ดเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ตามท้องตลาดอาจขยายตัวบวมพองประมาณ 10 – 20% แต่ของเราขยายตัวเพียง 0.32% เท่านั้น คือไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้วัสดุปิดผิวหรือปิดขอบไม่บวมพอง ไม่หลุด ไม่พัง เช่นในเมืองที่น้ำท่วมบ่อยอย่างนี้ทีพีไอก็คอนเฟิร์ม หากใช้เฟอร์นิเจอร์บอร์ดในการผลิต น้ำท่วมมาแล้วเป็นเดือนก็ไม่พัง เป็นจุดแข็งมากที่บอร์ดอื่น ๆ ในงานเฟอร์นิเจอร์ไม่มีกันคือการกันบวมพองพัง” “ในตลาดก็มีการพยายามพัฒนาบอร์ดกันน้ำมาอยู่แต่สำเร็จเพียงบอร์ด HMR ซึ่งกันชื้นได้เท่านั้น เพราะขยายตัวถึง 4-8% หรือบอร์ดที่ผลิตจากพลาสติกแม้จะสามารถกันน้ำได้แต่ก็ยังมีเรื่องการติดไฟและเรื่องความแข็งแรงอยู่”
ปัญหาอีกอย่างที่ TPI Furniture Board จัดการคือเรื่องการลามไฟ การันทีสมรรถภาพการกันไฟด้วยมาตรฐานจากประเทศอังกฤษที่ทดสอบเกี่ยวกับการทนไฟของวัสดุ
นอกจากนี้ TPI Polene ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาโดยคำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชีวอนามัยของผู้บริโภคอีกด้วย “บอร์ดในท้องตลาดที่ผลิตจากเศษไม้หรือขี้เลื่อยผสมกับกาวและอัดขึ้นรูปจะมีสารฟอมัลดีไฮด์ (Formaldehyde) ที่เป็นพิษต่อคน มีกลิ่นฉุน สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ จึงมีการแบ่งเกรดในตลาดเช่นระดับ E1,E2 ที่มีสารฟอมัลดีไฮด์น้อย ส่วน E0 คือปลอดภัย มีสารฟอมัลดีไฮด์ต่ำมาก ซึ่งเฟอร์นิเจอร์บอร์ดของ TPI Polene อยู่ในระดับ E0 ที่ให้ความปลอดภัยสูง” เรียกได้ว่าแก้หลากปัญหาที่ผู้บริโภคต้องเจอในตลาดวัสดุผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทย
ด้านการใช้งาน TPI Furniture Board เหมาะสำหรับการใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องกันน้ำ เช่น เฟอร์นิเจอร์ในครัว เฟอร์นิเจอร์ในห้องน้ำ อย่างตู้ใต้อ่าง เป็นต้น ซึ่งต้องการความแข็งแรง กันน้ำกันไฟ นอกจากนี้สำหรับห้องที่ไม่ต้องโดนน้ำมากก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเฟอร์นิเจอร์บอร์ดนี้ได้ เช่นในห้องนอนแม้ไม่โดนน้ำแต่ก็ยังมีประเด็นเรื่องปลวก หากใช้ TPI Furniture Board ทั้งบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปลวกเลย รวมถึงทนเชื้อรา สามารถใช้ในโรงพยาบาลได้
และที่สำคัญ วัสดุที่มาแก้ปัญหาเรื่องน้ำเรื่องไฟเรื่องความคงทนแบบรอบด้านอย่างนี้ ยังช่วยประหยัดต้นทุนอีกด้วย TPI Furniture Board เป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่ากับราคาและสามารถแก้ปัญหาได้ครบถ้วน จึงเป็นไฮไลท์ที่อยากแนะนำให้นักออกแบบและลูกค้าทุกท่านเข้ามาศึกษานวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการเฟอร์นิเจอร์นี้และนำไปใช้กันในวงกว้างต่อไป เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมอย่างแท้จริง
คู่แฝดบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์สำหรับงานภายนอก-ภายใน TPI FAÇADE และ TPI DECO BOARD
“คู่แฝดบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์นี้ต่างกันเพียงที่ความหนาแน่น” เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน TPI Façade เป็นวัสดุหุ้มอาคารที่มีความหนาแน่นที่สูงเหนือกว่าบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ทั่วไปเพื่อความแกร่ง ในขณะที่ TPI Deco Board เหมาะสำหรับงานผนัง ฝ้าเพดาน และงานตกแต่งทั้งภายในและภายนอกอาคารมีความหนาแน่นน้อยแต่คุณภาพสูง
คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับบอร์ดที่หุ้มอาคารคือความแข็งแรง หนาแน่นสูง รับแรงลมในอาคารสูงได้ดี ไม่แตก “เราสามารถผลิตบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ความหนาแน่นสูงได้ถึง 1,600 กก./ตร.ม. เพราะเรามีเครื่องกดอัดให้เนื้อแน่น พอเนื้อแน่นสิ่งที่ได้ก็คือไฟเบอร์ซีเมนต์ที่ยืดหดตัวต่ำและซึมน้ำต่ำเมื่อโดนน้ำ มีความทนทานสูง ในบอร์ดที่ความหนาเท่ากันของเจ้าอื่น ๆ ของเราแข็งแรงกว่า ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงเช่นงานทำแผ่นฟาซาดหุ้มอาคาร โดยเฉพาะในดีไซน์สไตล์สี Earth tone”
แฝดบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์คู่นี้ทำสีด้วยกระบวนการเอาพิกเมนต์สีใส่เข้าไปในเนื้อไฟเบอร์ซีเมนต์เลยตั้งแต่ในกระบวนการผลิต ทำให้ไม่ว่าจะตัดอย่างไรก็ได้สีเดียวเหมือนกันหมด และที่สำคัญคือกำจัดปัญหาเรื่องสีซีดเพราะโดนรังสี UV ในแดด รวมทั้งปัญหาฝุ่นเพราะมีการเคลือบ Clear Coat ไว้เรียบร้อย มากับสไตล์สีแบบ Earth Tone ที่เป็นที่นิยมในดีไซน์แบบยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ TPI Façade ยังมีความแข็งแรง หดตัวต่ำ ทนน้ำ ทนไฟ สามารถปรับแต่งให้มีสีสันหรือรูปทรงใดก็ได้ รองรับทุกการออกแบบ สามารถประกอบยึดได้ทั้งแบบมองเห็นและมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นการย้ำด้วยหมุด การใช้น็อตยึด และการเชื่อมยึดติดกันด้วยกรอบโลหะหรือไม้ ก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งในงานสถาปนิก’66 ก็จะจัดแสดงให้ดูว่าการจับยึดต่าง ๆ มีลักษณะอย่างไร
ด้าน TPI Deco Board ก็มากับเทคโนโลยีสีในเนื้อเช่นเดียวกัน โดยนอกจากจะมีหลายโทนสีให้เลือกแล้ว ยังมีสไตล์ให้เลือกอีก 2 แบบ คือรุ่นคลาสสิค (Classic) ที่ผิวเรียบสม่ำเสมอ และรุ่นลอฟท์ (Loft) กับพื้นผิวแบบไม่สม่ำเสมอดูสวยงามได้โดยไม่ต้องมาทาสีอะไรอีก และยังต้องการการบำรุงรักษาต่ำ (Low Maintenance) อีกด้วย กับคุณสมบัติความแข็งแรง ทนทาน รับแรงกระแทกได้ดี ปลวกไม่กิน ไม่มีเชื้อรา และยังทนความร้อน ความชื้น ไม่บวมน้ำ เช่นเดียวกับบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์อื่น ๆ อีกด้วย
ลายไม้ลายหินออกแบบได้ กับแผ่นพื้นและผนังตกแต่ง TPI DIGITAL BOARD
เมื่อความแข็งแกร่งของบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์มาเจอกับนวัตกรรมความงามที่สร้างลวดลายได้อย่างธรรมชาติ ผลลัพธ์คือ TPI Digital Board แผ่นพื้นและผนังตกแต่งที่สร้างมิติใหม่ให้กับการตกแต่งอาคาร
“TPI Digital Board เป็นบอร์ดที่มีความหนาแน่นสูงเช่นเดียวกัน ที่ 1,500 กก./ตร.ม. เป็นความพิเศษของวงการไฟเบอร์ซีเมนต์เพราะทุกเจ้าปกติทำแค่ 1,350 กก./ตร.ม. เราทำให้มันหนาแน่นสูงเพื่อให้แข็งแรงแล้วก็ขัดให้เรียบ ก่อนจะไปเข้ากระบวนการสีรองพื้น พิมพ์ลาย และเคลือบ ซึ่งเราเคลือบได้สูงสุดถึง 10 ชั้น”
“ปกติไฟเบอร์ซีเมนต์ที่ความหนาแน่นสูงสีมันจะซึมเข้าไปไม่ค่อยดี หลุดง่าย มีฝุ่น แต่ของเราใช้ knowhow ของยุโรปเลย ชั้นแรกมันจะมีหน้าที่ซึมเข้าไปแบบฝังรากไปเลยเพื่อให้เกาะยึดแน่น แล้วก็พิมพ์ระบบ digital print เหมือนปรินเตอร์สำนักงาน ทีนี้อะไรก็ได้เลย ขึ้นอยู่กับไฟล์ภาพแล้ว ความเด่นของเราคือเรื่อง made-to-order และการ customize”
ไม่ว่าจะเป็นลายหินเทรนด์ล่าสุด หรือลายไม้หายากราคาแพง TPI Digital Board ก็สามารถสร้างสรรค์ได้ทั้งนั้น เมื่อผสานกับคุณสมบัติเด่นของบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่แข็งแกร่งทนทาน และยังสามารถผลิตได้ขนาดใหญ่ TPI Digital Board จึงสามารถ
ตอบสนองดีไซน์ได้ตามที่ผู้ออกแบบต้องการ
“หลัก ๆ แล้วเราก็ทำลายไม้ ลายหิน เพราะเรารู้ว่าไม้หายากมีราคาสูง ลายหินก็เหมือนกันจุดเด่นคือถ้าเทรนด์ใหม่ ธีมใหม่ ปีใหม่มา เราก็แค่พิมพ์ตามไฟล์ภาพได้เลย”
ไม่ว่าจะเป็นไม้สัก ไม้ประดู่ ไม่ว่าจะเป็นหินแบล็คเพิร์ล หินเปอร์เซียน หรือลายไม้และลายหินอื่น ๆ TPI สามารถผลิตได้ทั้งหมด โดยสามารถตกแต่งลายในโปรแกรมแต่งภาพได้เลย จึงแก้ปัญหาตำหนิในลายไม้หรือลายหินพี่พบในวัสดุจากธรรมชาติ ดีไซเนอร์สามารถจินตนาการมาได้เลยว่าจะเอาลายไหนแพทเทิร์นไหน และที่สำคัญคือสามารถผลิตได้ใหญ่ถึง 3 เมตร สามารถนำไปใช้ในงานผนังของโรงแรมสูง ๆ ได้เลยโดยไม่ต้องมีรอยต่อ และยังไม่หนักและแพงเหมือนหินจริงอีกด้วย
“การเคลือบก็สำคัญ เรามีผิวด้าน ผิวกึ่งเงา และผิวเงา (High Gloss) ผิวด้านเราเรียกว่า Extra Hard ด้านความคงทนเราก็มีมาตรฐานทดสอบการขูดขีดต่าง ๆ ของเราสามารถนำไปทำพื้นได้เลย หรือจะทำท็อปโต๊ะอะไรก็ได้ เพราะเราสามารถทำผิวให้สากสำหรับเวลาโดนน้ำผิวจะไม่ลื่น ส่วนงานผนังก็แล้วแต่ชอบได้เลยจะด้าน กึ่งเงา หรือเงา ได้หมด” การเคลือบยังทำให้ TPI Digital Board ทนต่อน้ำยาล้างห้องน้ำเข้มข้น ไม่ติดไฟ ไม่ลามไฟ และที่สำคัญคือสีที่ใช้ก็เป็นมาตรฐานยุโรปทั้งหมด “เราก็ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชีวอนามัยเหมือนเดิม เราไม่ใช้สีที่มีกลิ่นฉุนมีโลหะหนักแบบทั่วไป เราใช้ของยุโรป”
การใช้งาน TPI Digital Board สามารถใช้ทดแทนหินอ่อนหินแกรนิตและงานไม้ได้เลย เพราะสามารถผลิตได้หนาตั้งแต่ 4-20 มม. และด้วยขนาดไซส์ที่สามารถผลิตได้ใหญ่
การจัดแสดงในงานสถาปนิก’66 ก็จะทำให้เห็นว่า TPI สามารถผลิตลายหินและลายไม้ได้ตามเทรนด์ใหม่ของแต่ละปี เพื่อแสดงว่าวัสดุทดแทนหินก็สามารถสวยงามได้ไม่ต่างจากหินแท้ และราคาที่ถูกกว่าหินจริง สามารถจับต้องได้
วงกบไฟเบอร์ซีเมนต์และบานประตูไฟเบอร์ซีเมนต์ TPI DOOR FRAME & TPI DOOR
สำหรับวงกบและบานประตูที่เดิมเป็นไม้จริง TPI ก็พัฒนาผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์มาใช้ทดแทนได้เช่นกัน “เดิมวงกบบ้านเราใช้ไม้จริง มีอายุ เนื้อมันจะแข็งแกร่ง สมัยนี้ต้นไม้ที่เนื้อแข็งก็หายากและราคาแพง ส่วนใหญ่จะเป็นต้นเล็ก ไม้เนื้ออ่อน อายุไม่กี่ปี ปลวกแมลงก็กินง่ายมาก”
“TPI เราคิดสูตรเฉพาะสำหรับงานวงกบ เพราะตอนนี้หลายเจ้ามีทำวงกบแต่ยังแข็งและเปราะ ทำให้เกิดปัญหาเวลาจะตัดเจาะหรือยึดสกรู” จากโจทย์เหล่านี้ TPI คิดค้นสูตรไฟเบอร์ซีเมนต์เพื่อเพิ่มความเหนียว สามารถใช้สกรูและ screwdriver ดันเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องเจาะนำเพราะไม่แข็งเปราะ สร้างเกลียวแบบไม้เลย จะดึงเข้าออกกี่รอบเกลียวก็ไม่หวาน
จุดเด่นของวงกบไฟเบอร์ซีเมนต์และบานประตูไฟเบอร์ซีเมนต์ของ TPI จึงคือการสามารถใช้เครื่องมืองานไม้ ค้อน ซีล สกรู ตะปู ฯลฯ ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ปราศจากปัญหาที่เกิดขึ้นในงานไม้อย่างการแอ่นโก่งเมื่อโดนน้ำ หรือการยืดหดตัวเมื่อโดนน้ำ ทำให้การใช้งานประตูลำบาก ทั้งยังมีคุณสมบัติเด่น ความทนปลวก ทนไฟ ตามคุณสมบัติของไฟเบอร์ซีเมนต์
การใช้งานจึงสามารถนำไปทำประตูห้องน้ำก็ได้ หรือจะเป็นบานประตูที่เปิดออกไปนอกบ้านที่ต้องโดนแดดโดนฝนก็ได้ เช่นประตูหลังบ้าน
ไม้พื้น TPI WOOD FLOOR “วัสดุทดแทนไม้ ทนไฟได้มากกว่า 2 ชั่วโมง”
ไม้กระดานสมัยก่อนขนาดอย่างไร ไม้พื้น TPI WOOD FLOOR ก็หนาหนึ่งนิ้วเท่านั้น แต่ที่แตกต่างคือไฟเบอร์ซีเมนต์สามารถใช้งานภายนอกได้
สิ่งที่ทำให้ไม้พื้น TPI แตกต่างคือกระบวนการพิมพ์ลวดลายลงบนแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ที่สร้างความสวยงามไม่เป็นสีเรียบเดียว ไม่ต้องทาสีใหม่ เพราะถึงจะถลอกอย่างไรก็เป็นสีเดียวกัน คือสีไม้ เรียกว่าไม้พื้น Color THROUGH”
เมื่อเทียบกับวัสดุทดแทนไม้อื่นเช่นการผสมไม้กับพลาสติก TPI WOOD FLOOR จะมีราคาถูกกว่า และวัสดุจากพลาสติกเมื่อโดนแสง UV มากเข้าก็จะกรอบ
นอกจากนี้ยังมี TPI Floor Plank ไม้พื้นทีพีไอที่เป็นแผ่นสวยธรรมชาติเหมือนไม้จริง แต่แข็งแรงกว่า
“ฉาบเช้า ทาบ่าย เข้าอยู่เย็น” TPI NANO PAINT สีทาอาคารภายในและภายนอก
TPI ยังผลิตสี ทั้งสีรองพื้นซึ่งเป็นซีเมนต์เบส ดังนั้นเมื่อฉาบปูนเสร็จจึงสามารถทาสีได้เลยเนื่องจากเข้ากับซีเมนต์ด้วยกันได้ดี ไม่ต้องรอทิ้งไว้ให้ความชื้นลดลงเหมือนสีรองพื้นทั่วไป ความชื้นที่อยู่ในผนังฉาบยังสามารถระเหยผ่านสีรองพื้นได้อีกด้วย เป็น “สีรองพื้นของเราหายใจได้”
“สีทาทับหน้าเราเป็นอะคริลิกแท้ 100% ไม่มีกลิ่นฉุนแบบทั่วไปในตลาด สูตรสีเราใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก คุณสมบัติสีทาทับหน้าเราเวลาทาแล้วมันจะไม่เป็นฝุ่นผง สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เป็นเชื้อรา ไม่เป็นตะไคร่น้ำเกาะ ใช้ภายนอกก็กันรังสียูวีช่วยให้บ้านเย็น ที่สำคัญสีของเราได้ Green Label ไม่มีกลิ่นฉุน ไม่มีสารโลหะหนักต่าง ๆ”
ในงานสถาปนิก’66 TPI Polene จะจัดแสดงเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยเสมือนจริง เหมือนเป็นห้องคอนโดห้องหนึ่ง มีชุดครัว และแสดงตัวอย่างทนน้ำ แสดงให้เห็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบริบทการใช้งานจริง บูธ TPI ที่เดียว ครบ จบ สำหรับงานก่อสร้างและตกแต่งภายใน ที่บูธหมายเลข D310 ที่งานสถาปนิก’66 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 25 – 30 เมษายน 2566 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
สำหรับผู้สนใจจองพื้นที่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://architectexpo.com/2023/en/about-the-expo/#space-reservation หรือ โทร. 02-717-2477 อีเมล info@TTFintl.com
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/11/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,800.00 | 29,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,930.00 | 29,258.80 | 30,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,737.00 | 26,332.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,544.00 | 23,407.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 869.00 | 13,174.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 676.00 | 10,248.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,000.00 | 30,320.00 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/11/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.45 | 35.45 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.75 | 35.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.18 | 35.18 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.48 | 35.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.34 | 34.34 | 34.64 | 34.64 | 34.64 | – | 34.34 | 34.34 | 34.64 | 34.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.54 | 33.54 | – | – | – | – | – | – | – | 33.54 |
เบนซิน 95 | 42.86 | – | – | – | 43.61 | – | 43.36 | 43.31 | – | 42.86 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 35.24 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 35.24 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | – | 35.24 | – | 34.94 | 34.94 | 34.64 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.46 | 44.46 | 44.46 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |