อสังหาฯหัวหินบูมต่อ!รับดีมานด์รัสเซียซื้อคอนโด-บ้านหลังที่2
จากข้อมูลของซีบีอาร์อี พบว่า ตลาดคอนโดลักชัวรีในหัวหินจากเดิมคนไทยมักเป็นกลุ่มลูกค้าหลักแต่หลังจากโควิดต่างชาติให้ความสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะดีมานด์รัสเซียซื้อคอนโด-บ้านหลังที่2 ขึ้นมาป็นอันดับ 2
อลิวัสสา พัฒนถาบุตร ประธานบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ใจกลางหัวหิน มีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง มีดีมานด์จากกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการบ้านหลังที่สองเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่โควิดระบาดจนถึงปัจจุบัน และดีมานด์จากชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่โครงการเปิดตัวใหม่มีจำนวนน้อย เนื่องจากที่ดินชายทะเลที่เหมาะสมในการพัฒนามีจำกัด
ในปี 2565 มีโครงการใหม่เปิดตัวหลากหลายเซ็กเมนต์ แตกต่างจากช่วงปี 2563-2564 มีแต่โครงการระดับลักชัวรีริมชายหาดเท่านั้น ซึ่งโครงการที่ทำยอดขายได้ดีส่วนใหญ่ นอกจากติดทะเลแล้ว ยังรวมถึงโครงการที่อยู่ใกล้ชายหาด โดยเฉพาะโครงการที่เดินถึงในระยะไม่เกิน 300 เมตร
โครงการประเภทนี้จะมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำกว่าโครงการที่อยู่ติดชายหาดโดยตรง แต่ยังคงได้ไลฟ์สไตล์ไม่ต่างจากโครงการที่ติดชายหาด ทำให้มียอดขายสูง 100% ส่วนภาพรวมตลาดคอนโดใจกลางเมืองหัวหินมีสัญญาณบวก สังเกตได้จากโครงการที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2560-2565 มียอดขายรวมถึง 85% ซึ่ง ซาซ่าส์ หัวหิน นับเป็นโครงการแรกที่เปิดตัวในปี 2566 มีจุดเด่นอยู่ห่างชายหาด 250 เมตร อีกทั้งยังได้วิวทะเล และวิวสนามกอลฟ์
ดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการซาซ่าส์ หัวหิน ตั้งอยู่บริเวณซอยอ่าวหัวดอน บนที่ดิน 3 ไร่ 3 งาน เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 3 อาคาร 254 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท มีห้อง 3 รูปแบบ ได้แก่ 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 32 -183 ตารางเมตร ราคา 3.9-21 ล้านบาท ออกแบบฟังก์ชั่นที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด “The GEM Of Escape” สะท้อนความเป็นธรรมชาติในการพักผ่อนผสานผ่านแรงบันดาลใจจาก Miami Contemporary Architecture แต่ยังคงความ CRAFT เป็นเอกลักษณ์ให้ผู้อาศัยได้หลีกหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่เข้าสู่เมืองพักผ่อน
“ปีที่ผ่านมาเริ่มสัญญาณที่ดีจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ในหัวหินมากขึ้น จากเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นหลัก โครงการซาซ่าส์ มีต่างชาติเข้ามาซื้อแล้ว 1 ยูนิต คาดว่าโครงการจะมีสัดส่วนยอดขายจากต่างชาติ 15-30%”
ซาซ่าส์ หัวหิน มีไฮไลต์ห้องเพนท์เฮ้าส์ ที่ออกแบบให้มีเหมือน “บ้าน” รองรับกลุ่มคนไทยและต่างชาติที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ การออกแบบห้องยังคำนึงถึงการใช้งานของผู้สูงวัย คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี2569
บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการร่วมกับชาญอิสสระกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ-หัวหิน และโครงการศศรา หัวหิน ล้วนตอบโจทย์การอยู่อาศัยในหลากหลายไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต รับศักยภาพพื้นที่ ชะอำ-หัวหิน ซึ่งหลังจากเปิดตัวโครงการศศรา หัวหิน เมื่อปี 2564 ปัจจุบันมียอดขายกว่า 70% จะทยอยโอนได้ในช่วงเดือน ธ.ค.2566 สะท้อนว่าตลาดอสังหาฯ ในพื้นนี้ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันโปรดักส์ที่พัฒนาออกมายังสามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด
“เรามั่นใจในความเชี่ยวชาญ มีศักยภาพในการวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และนำมาซึ่งการพัฒนาโปรดักส์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในทุกๆ เซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัว กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มวัยเกษียณ”
สงกรานต์ อิสสระ รองประธานกรรมการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดชะอำ-หัวหิน ยังเป็นพื้นที่ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยมีการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งซื้อเพื่ออยู่เอง ซื้อเพื่อการลงทุน ซื้อเพื่อเป็นบ้านพักหลังที่สอง ทั้งของคนไทยและต่างชาติ เพราะโซนหัวหินนอกจากจะมีทะเลและหาดทรายสวยแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของสนามกอล์ฟชั้นนำของประเทศไทย
รวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา อาทิ โครงการผลักดันให้หัวหินเป็นชายทะเลเพื่อการพักผ่อนระดับโลก โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน โครงการมอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ โครงการปรับปรุงและขยายสนามบินหัวหิน
หัวหินยังเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงของอสังหาฯ ไทย ทำให้หัวหินกลายเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากคนต่างชาติมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“ศุภาลัย ไอคอน สาทร”เปิดพื้นที่สำนักงาน-ร้านค้าตอบโจทย์นิวเจน
อัพเดท!บิ๊กโปรเจกต์มิกซ์ยูสลักซ์ชัวรี่แห่งใหม่ปักหมุดใจกลางสาทร “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” พร้อมเปิดให้บริการจับจองพื้นที่อาคารสำนักงานเกรด A และพื้นที่ร้านค้าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิตของคนเมืองงตัว
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมองถึงการลงทุนในธุรกิจที่เพิ่มศักยภาพให้แก่บริษัท โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์บนทำเลศักยภาพสูง“ถนนสาทร” ย่านใจกลางธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแหล่งเชื่อมต่อการใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างแท้จริง
การพัฒนาโครงการ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” มอบนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตแบบ Luxury Mixed-Use บนพื้นที่ดินเกือบ8 ไร่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่มีทั้งอาคารสำนักงานเกรด A พื้นที่ร้านค้า และอาคารชุดพักอาศัยลักซ์ชัวรี่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความชื่นชอบของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์
โดยโครงการคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ต้นปี 2567 ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ พร้อมเปิดให้จับจองพื้นที่อาคารสำนักงานเกรด A และพื้นที่ร้านค้า โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัท ไนท์แฟรงค์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านบริการและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เป็นตัวแทนจัดหาผู้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ร้านค้าทั้งหมดในโครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร
สำหรับโครงการ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” เป็นโครงการแบบ Luxury Mixed – Use ด้วยความสมบูรณ์แบบบนสุดยอดศักยภาพของทำเลถนนสาทร สะดวกสบายทุกการเดินทาง ใกล้ทุกการเชื่อมต่อกับโครงข่ายคมนาคมที่รวดเร็ว อาทิ รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี รถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรี รถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง รถโดยสารด่วนพิเศษ BRT สถานีสาทร
และสามารถเชื่อมต่อด่านขึ้นลงทางด่วน ด่านพระราม 4 ด่านขึ้นลงทางด่วนสาทร แวดล้อมด้วยย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญ สถาบันการศึกษาชั้นนำ อาทิ ธนาคารทิสโก้ (สำนักงานใหญ่) โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส สาทร โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โรงพยาบาล BNH โรงพยาบาลกรุงเทพ คริสเตียน โรงพยาบาลเซ็นหลุยส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงแรมบันยันทรี และสวนลุมพินี
สำหรับอาคารสำนักงานเกรด A และพื้นที่ร้านค้า จำนวน 1 อาคาร ความสูง 14 ชั้น พื้นที่ประมาณ 24,063 ตารางเมตร นำเสนอประสบการณ์ที่เหนือระดับ ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Connect Every Moment to Success” รองรับการใช้ชีวิตช่วงเวลากลางวันของการทำงาน ด้วยพื้นที่สำนักงาน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการสำนักงานที่กว้างขวางและหรูหรา
โดยมีการจัดวางผังสำนักงานให้ยืดหยุ่นเพื่อรองรับความต้องการในการประกอบธุรกิจทุกรูปแบบ และมีพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์ สำหรับธุรกิจร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ คอฟฟี่ช็อป ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะเป็นแหล่งรวมสำหรับการนัดพบปะสังสรรค์และช้อปปิ้ง บนถนนสาทร อีกทั้งยังรองรับช่วงเวลากลางคืนของการพักผ่อนของผู้พักอาศัยคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัยในโครงการ คนทำงานในอาคารสำนักงานต่างๆ และผู้ใช้บริการที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
จุดเด่นแนวคิดการออกแบบอาคารและนวัตกรรมที่นำมาใช้ในโครงการ “Green Building @ Sathorn” ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยความพิถีพิถันในการเลือกวัสดุอาคารที่ประหยัดพลังงาน อาทิ การใช้ Facade ที่วัสดุหลักเป็นกระจกแบบ Double Glazing ,
มีระบบบริหารจัดการอาคารอัตโนมัติ (BAS) , จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และที่สำคัญผู้เช่าสามารถเลือกชั่วโมงเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศได้ (Flexible Office Hour) รวมทั้งเป็นมิตรต่อสุขภาพผู้ใช้อาคาร ด้วยการเลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มาพร้อมกับโคมไฟฆ่าเชื้อ UVC และการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาช่วยในการบริหารจัดการภายในอาคาร ให้เกิดความสะดวกสบายและปลอดภัย
ด้วยระบบการจัดการผู้มาติดต่อและการชำระเงินที่จอดรถผ่านตู้ Kiosk ด้วยตนเอง , ระบบลิฟต์ควบคุมเฉพาะชั้นและระบบสแกนใบหน้าเพื่อใช้เข้าอาคาร และมีพื้นที่สวนสีเขียวขนาดใหญ่กว่า 2,000 ตารางเมตร เพื่อเป็นจุดนั่งพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นและเพิ่มอากาศบริสุทธิ์
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 24พ.ย. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทที่ขยับอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากสัญญาณขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ และแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ในช่วงใกล้สิ้นเดือนของกลุ่มผู้นำเข้า
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 24พ.ย. ที่ระดับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.27 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราเริ่มเห็นความเสี่ยงที่เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง โดยเฉพาะหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน ก็จะเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก
ซึ่งต้องจับตา ทิศทางเงินดอลลาร์ที่ในช่วงเช้าอาจผันผวนไปตามค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังฝั่งญี่ปุ่นจะมีการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทั้ง อัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ซึ่งจะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้
นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทองคำ รวมถึง น้ำมันดิบ ก็จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้ในช่วงนี้ ซึ่งหากราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อ ก็จะยิ่งหนุนให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำและน้ำมันดิบ กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็เริ่มกลับมาเป็นฝั่งขายสุทธิมากขึ้น ทั้งหุ้นและบอนด์ โดยในฝั่งบอนด์ เรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ อาจเป็นเพียงการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ หลังบอนด์ยีลด์ไทยได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควร ขณะที่ โฟลว์ขายหุ้นไทยนั้น อาจยังมาจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกำไรของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจยังดำเนินต่อไปได้ จนกว่านักลงทุนต่างชาติจะมีมุมมองต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของหุ้นไทยที่ดีขึ้น
อนึ่ง ในวันนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ในช่วง 21.45 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลให้ เงินดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ราคาทองคำ และเงินบาท เคลื่อนไหวผันผวนได้พอสมควร
ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.15-35.45 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าลงเล็กน้อยและเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (แกว่งตัวในช่วง 35.24-35.31 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ปิดทำการในวันหยุด Thanksgiving ทำให้โฟลว์ธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบางลง
ทั้งนี้ เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้โซน 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมเกี่ยวกับน้ำมัน
เนื่องจากในช่วงนี้ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควร ท่ามกลางปัจจัยกดดันด้านอุปสงค์ความต้องการใช้พลังงานที่อาจลดลงตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจหลัก ขณะเดียวกัน ก็ยังมีความไม่แน่นอนของแนวโน้มนโยบายการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ซึ่งต้องรอจับตาการประชุม OPEC+ ในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันหยุด Thanksgiving ก่อนที่จะกลับมาเปิดทำการเพียงครึ่งวันในช่วงของการซื้อ ขาย วันศุกร์ ทำให้โฟลว์ธุรกรรมในตลาดการเงินอาจเบาบางลงในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ ในช่วง 21.45 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งรายงานข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนได้พอสมควร
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้น +0.27% หนุนโดยรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของทั้งยูโรโซนและอังกฤษ ที่ออกมาดีกว่าคาด (แต่โดยรวมยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ)
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน BP +1.6%, Shell +1.2% หลังเผชิญแรงเทขายหนักในช่วงนี้ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบก็เริ่มรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง
ในฝั่งตลาดบอนด์ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะยังคงแกว่งตัวในโซน 4.40%-4.50% และอาจผันผวนได้พอสมควรในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ โดยหากข้อมูลดังกล่าว ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้
ผู้เล่นในตลาดเริ่มลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง ทั้งนี้ เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ดังกล่าวก็จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัว sideway โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินยูโร (EUR) หลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของฝั่งยุโรปออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดกลับมาแกว่งตัวใกล้ระดับ 149.6 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 103.7 จุด (กรอบ 103.5-103.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์โดยรวมจะเคลื่อนไหว sideway แต่บรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งยุโรปและเอเชียที่ยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ก็เป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้และยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน
โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดรวมถึงภาระหนี้สินของชาวอเมริกันที่เพิ่มสูงขึ้น หลังการเริ่มกลับมาจ่ายหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (Student Loans) อาจกดดันให้ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมพลิกกลับมาหดตัวลง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตที่อาจต่ำกว่าระดับ 50 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)
ขณะที่ภาคการบริการอาจยังคงขยายตัวได้ แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจลดลงสู่ระดับ 50.3 จุด (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 1990 ของเรา พบว่า หากทั้งดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ต่ำกว่าระดับ 50 จุด
และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ก็อาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งสหรัฐฯ นั้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เฟดจะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
ขณะเดียวกัน ก็อาจเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยลงได้เร็วขึ้นและลึกขึ้น กว่าที่เฟดได้ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ในทางกลับกัน หากรายงานดัชนี PMI สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า ส่งผลให้เงินดอลลาร์ รวมถึง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าเข้าใกล้แนว 35.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.37-35.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.27 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทที่ขยับอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากสัญญาณขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ และแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ในช่วงใกล้สิ้นเดือนของกลุ่มผู้นำเข้า ขณะที่จุดสนใจของตลาดในประเทศเปลี่ยนกลับไปรอผลการประชุมกนง. ในสัปดาห์หน้า (29 พ.ย. 2566)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.20-35.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศ อาทิ อัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของญี่ปุ่น และดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นสำหรับเดือนพ.ย. ของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ตัดสินแชมป์! “พีพีทีวี” ยิงสด โมโตจีพี สนามสุดท้าย พร้อมเชียร์ “ก้อง” ขึ้นท็อป 5 โมโตทู
พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 ชวนแฟนมอเตอร์สปอร์ต ร่วมเป็นสักขีพยานตัดสินแชมป์ ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP 2023 สนามสุดท้ายของฤดูกาล
ชมการขับเคี่ยวระหว่างแชมป์เก่า และเต็งหนึ่ง “เป้กโก้” ฟรานเชสโก้ บัญญาญ่า นักบิดชาวอิตาลี เจ้าของรถหมายเลข 1 สังกัดดูคาติ เลอโนโว ดวลกับ ฆอร์เก้ มาร์ติน นักบิดชาวสเปน เบอร์ 89 สังกัดพราแม็ค เรซซิ่ง ที่รั้งอยู่อันดับ 2 ของตารางคะแนน พร้อมเชียร์ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ขึ้นโพเดียมสนามสุดท้าย เพื่อลุ้นจบอันดับท็อป 5 ของโลก ในรุ่นโมโตทู ในวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ย. นี้ ตั้งแต่เวลา 19.15 น. เป็นต้นไป
สำหรับ โมโตจีพี 2023 จัดเป็นฤดูกาลอันเข้มข้นมากที่สุดปีหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ หลังต้องลุ้นแชมป์กันมันส์หยดถึงสนามสุดท้าย โดยสนามที่ผ่านมา ฟาบิโอ ดิ จิอันนันโตนิโอ นัดบิดชาวอิตาเลียน จาก เกรซินี เรซซิ่ง คว้าชัยแรกของปีที่ กาตาร์ กรังด์ปรีซ์ ด้วยการแซงเอาชนะ ฟรานเชสโก้ บัญญาญ่า ผู้นำคะแนนรวมช่วง 3 รอบสุดท้าย ในขณะที่ตัวเต็งแย่งแชมป์อย่าง ฆอร์เก้ มาร์ติน ทำผลงานได้น่าผิดหวัง จบด้วยอันดับที่ 10 ส่งผลให้เป้กโก้ที่จบอันดับ 2 ในสนามนี้ เก็บเพิ่มได้อีก 20 คะแนน มีเพิ่มเป็น 437 แต้ม หนีห่างมาร์ตินเป็น 21 คะแนน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่ายังไม่ใช่งานง่าย สำหรับเป้กโก้ในการคว้าแชมป์โลกปีนี้ เนื่องจากสนามสุดท้ายที่บาเลนเซีย กรังด์ปรีซ์ ดูจะไม่ค่อยเป็นใจสำหรับนักแข่งชาวอิตาเลียนซักเท่าไหร่ อีกทั้งมาร์ตินเองก็ถือว่าได้เปรียบจากการลงแข่งในบ้านเกิด โดยจะลุ้นแย่งแชมป์ภายใต้เงื่อนไขสุดหิน คือ มาร์ติน ต้องคว้าแชมป์ทั้งสปรินท์เรซและไฟนอลเรซ พร้อมลุ้นเป้กโก้จบอันดับต่ำกว่าที่ 5 ลงไป โดยปีที่ผ่านมาสนามนี้ เป้กโก้ ทำได้เพียงจบที่อันดับ 9 นี่จึงเป็นศึกตัดสินแชมป์สนามสุดท้ายของฤดูกาล 2023 ที่แฟน ๆ ห้ามกระพริบตา!
พร้อมกันนี้แฟนชาวไทยเตรียมส่งเสียงเชียร์ให้ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดชาวไทย จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีมเอเชีย ในรุ่นโมโตทู หลัง เจ้าก้อง จบการแข่งขันสนามที่แล้วด้วยอันดับที่ 7 เก็บเพิ่มไปอีก 9 คะแนน รวมเป็น 162.5 แต้ม รั้งที่ 6 ของอันดับตารางคะแนนรวม ตามหลัง แอรอน คาเน็ต นักขับชาวสเปนเพียงไม่กี่คะแนน มีโอกาสลุ้นจบท็อป 5 ของฤดูกาลนี้อีกด้วย
แฟนตัวจริงห้ามพลาด! สนามสุดท้ายตัดสินแชมป์ ศึกโมโตจีพี 2023 และ โมโตทู พีพีทีวี ถ่ายทอดสดให้ชมฟรี! ผ่านทางหน้าจอ หรือรับชมผ่านเว็บไซต์ www.pptvhd36.com และแอปพลิเคชัน PPTVHD36 ในวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 19.15 น. เป็นต้นไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 วิธีป้องกันอาการ “ท้องอืด-ท้องเฟ้อ”
อาการท้องอืดมาจากหลายสาเหตุ อาจมาจากการรับประทานอาหารมากเกินไป หรืออาหารที่รับประทานอาจจะย่อยยาก แต่เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกท้องอืด ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยทีเดียว เพราะทำให้เราพะอืดพะอมทรมานจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาก็หลายราย จนต้องรีบหายามารับประทานเป็นการเร่งด่วน
แต่จริงๆ เราสามารถบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้โดยไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะเสมอไป
สาเหตุของอาการท้องอืด
- เคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก่อนกลืน ทำให้อาหารย่อยยากขึ้น
- รับประทานอาหารเร็วเกินไป
- เคี้ยวอาหารไปด้วย คุยไปด้วย
- ดื่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างมื้ออาหาร
- รับประทานอาหารย่อยยากในปริมาณมาก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทอด อาหารไขมันสูง แป้งที่ย่อยยาก เช่น กล้วยดิบ ข้าวกล้อง พืชตระกูลหัวต่างๆ
- อาการข้างเคียงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ และระบบย่อยอาหาร เช่น ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบ เนื้องอกในช่องท้อง ฯลฯ
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้มาก เช่น แอสไพริน นาพรอกเซน ไอบูโพรเฟน ฯลฯ
- แพ้อาหารบางประเภท เช่น โปรตีนกลูเตน
เป็นต้น
วิธีบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
- เคี้ยวอาหารให้นาน และละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยเคี้ยวอาหารให้ได้ 20-30 ครั้งก่อนกลืนทุกคำ
- จำกัดการดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีส่วนทำให้มีแก๊สสะสมในกระเพาะอาหารได้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ ซอร์บิทอล (Sorbitol) (สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มักพบได้หมากฝรั่ง และลูกอมบางประเภท) เพราะผลิตจากน้ำตาลฟรุกโตสที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องอืด
- ในคนที่แพ้โปรตีนกลูเตน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดังกล่าว
- จำกัดอาหารที่ย่อยยาก เช่น อาหารไขมันสูง อาหารทอด
- ไม่รับประทานอาหารมากเกินไปในหนึ่งมื้อ
- รับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โยเกิร์ต เพื่อช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ ลดอาการท้องอืด รวมถึงท้องผูก ท้องเสียได้
- ขยับร่างกายเบาๆ หลังมื้ออาหาร ช่วยให้ร่างกายได้กำจัดแก๊สออกไปจากลำไส้และกระเพาะอาหารได้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้และช่วยบรรเทาความเครียด
- รับประทานสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืด เช่น ขิง สะระแหน่ ชินนามอน คาโมมายล์ โหระพา ยี่หร่า กระเทียม จันทน์เทศ ผักชีฝรั่ง และออริกาโน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 ศัพท์ภาษาอังกฤษเจ๋งๆ ใช้แล้วดูเป็นคนมีของสุดๆ!
1. Fortunately
แปลง่ายๆว่าโชคดีจัง/โชคดีนะที่ แสดงถึงความดีใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เช่น Fortunately, there wasn’t much traffic on the road. โชคดีนะเนี่ย ที่วันนี้รถไม่ค่อยติด
2. I’m afraid
ถ้าแปลตรงๆตัว ก็คือ ฉันกลัวว่า/ฉันเกรงว่า ใช้คำนี้สื่อในประโยคที่เราทำอะไรผิดพลาดและอยากขอโทษ
เช่น I’m afraid I forgot to pay the phone bill. โทษทีนะ ฉันลืมจ่ายค่าโทรศัพท์อะ (แกไปจ่ายเองละกัน 555)
3. I must admit
แปลตามตัว ฉันต้องสารภาพนะว่า… เป็นคำที่ใช้ขึ้นต้นประโยคเมื่อเราจะกล่าวถึงสิ่งที่เราไม่อยากจะพูดออกไปเลยเช่น I must admit I don’t really like his wife. แปลแบบไทยๆได้ว่า ก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่ฉันไม่ค่อยชอบภรรยาของเขาเลย
4. Obviously
ใช้กับเรื่องที่จะบอกว่าคุณก็เห็นหนิ มันง่ายที่จะรู้ง่ายที่จะเข้าใจ แปลตรงๆตัวคือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า/เห็นได้ชัดว่า เช่น She was obviously sick. เห็นได้ชัดเลยว่าเธอป่วยแหงๆ
5. If you ask me
ใช้ขึ้นต้นประโยคที่แสดงความคิดเห็นส่วนตัว หรือทัศนคติของคุณ โดยเฉพาะกับประโยคที่คุณถูกถามและคิดว่าคำตอบอาจจะไม่ถูกใจผู้ถามแน่นอน
เช่น Mike always skip this class. If you ask me, he’s just lazy. ไมค์โดดเรียนคาบนี้ตลอดเลย ถ้าถามฉันนะ ฉันว่าเค้าโคตรขี้เกียจอะ
6. Seriously
ใช้แสดงความจริงจัง ว่าพูดจริงๆนะ อันนี้ไม่ได้พูดเล่นนะ
เช่น Seriously I’d like to have at least four kids. พูดจริงๆนะ ฉันอยากมีลูกอย่างน้อยสัก 4 คนอะ
เป็นยังไงกันบ้างคะกับคำศัพท์ที่ DailyEnglish นำมาฝากกันวันนี้ ถ้าตั้งใจอ่าน จดจำและนำไปใช้
จะทำให้สิ่งที่คุณต้องการจะสื่อถึงผู้ฟังชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงภาษาคุณก็จะดู advance จนฝรั่งต้องอึ้ง
แน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
Automation & Robotics สู่ Smart Factory 4.0 โตอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี
A.I. TECHNOLOGY เพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้วย Automation & Robotics สู่ Smart Factory 4.0 โตอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี
ปัจจุบัน มีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ให้บริการเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Automation & Robotics ไม่ว่าจะเป็นการทำ System Analysis (SA) เพื่อพัฒนา และตรวจสอบหา Pain Point ในกระบวนการผลิต จนสามารถประมวลผลหาระบบ Automation หรือ Robotic เข้ามาช่วยพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถในการผลิต และการทำงาน ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ หรือการทำ System Integration (SI) เพื่อปรับใช้งานระบบ หลังจากที่นักวิเคราะห์ระบบได้วางแผนการพัฒนาระบบไว้แล้ว นับเป็นโซลูชั่นที่จะช่วยแก้ปัญหาให้แก่บรรดา SME พร้อมยกระดับกำลังการผลิต ก้าวเข้าสู่การเป็น Smart Factory 4.0 ได้อย่างเต็มตัว
คุณกุลโชค โพธิ์พัฒนชัย Managing Director และ CEO บริษัท เอ.ไอ. เทคโนโลยี จำกัด และกลุ่มบริษัท เอไอ กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการ SA/SI ที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบ Automation แบบครบวงจรในไทยมากว่า 30 ปี กล่าวว่า สถานการณ์ของประเทศไทยตอนนี้ อยู่ในช่วงที่มีการแข่งขันสูง จากประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่ม Middle Income Trap หรือ กับดักรายได้ปานกลางเพราะฉะนั้น การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันขึ้นไปอีกระดับหนึ่งจึงต้องอาศัยหลาย ๆ เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่ง Automation เป็นหนึ่งในนั้น
“…โรงงานในประเทศไทย ประมาณ 80% อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.0 และลูกค้าของ A.I. TECHNOLOGY เป็นคนที่ตั้งใจปรับขบวนการผลิต จะขยับขึ้นจากไซซ์ S ไปอยู่ไซซ์ที่ใหญ่ขึ้นโดยธรรมชาติ”
ด้วยเหตุนี้ สัญญาณที่บ่งบอกว่า SME หรือบริษัทใด ควรจะเริ่มปรับตัวเข้ามาใช้ระบบ Automation ช่วยในการทำงาน อาจดูได้ง่าย ๆ เป็นต้นว่า 1. กำไรเริ่มบางลง 2. ผลิตไม่ทัน 3. หาทางลดต้นทุนการผลิตแล้วแต่ยังไม่เจอหนทาง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า ธุรกิจของคุณต้องเริ่มนำ Automation เข้ามาใช้
กระบวนการทำงานของ A.I. TECHNOLOGY ค่อนข้างที่จะเป็น One Stop Service คือเริ่มตั้งแต่สำรวจหน้างาน ทำ Proof of Concept ให้ลูกค้าดู ดีไซน์, ผลิต, ประกอบ, Test Run เรียกว่า Turnkey จนจบได้ ทำให้กระบวนการผลิตไม่ต้องใช้ High-Skilled Staff เพราะมันถูกทำด้วยระบบ Automation (ออโตเมชั่น) ทั้งหมด ช่วยลดระยะเวลาการผลิต มีความสามารถรองรับการผลิตล็อตน้อย ๆ ให้มีหลาย ๆ โมเดล”
SME จะใช้ Automation และ Robotics เข้ามาแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง การนำระบบ Automation เข้ามาแก้ปัญหาในธุรกิจ สิ่งแรกที่เป็นประโยชน์ และอาจจะมองไม่ค่อยเห็นใน SME ทั่วไป คือ การแก้ปัญหาเรื่อง Financial Performance ขณะเดียวกัน การทำ Automation คือการลงทุนใน Fixed Asset ที่จะ Depreciate เข้าไปใน Fixed Costs ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันในส่วนที่เป็น Direct Labour ลดลง สามารถเสนอราคาที่ถูกลง และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้
“…Automation ช่วยทำให้ SME ลดต้นทุนลงได้ ในขณะเดียวกัน ความสม่ำเสมอของกระบวนการผลิตที่นิ่งแล้ว จะทำให้เกิดของเสียน้อย Cost of Poor Quality ก็จะลดลง จากนั้น ปัญหาแรงงาน งานที่มีความยาก งานหนัก หรืองานที่ทำแล้วเหนื่อย ที่เคยใช้แรงงานคน จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ทำให้ยอดขายสม่ำเสมอ เมื่อทุกอย่างได้รับการแก้ไข กระบวนการผลิตก็จะใช้เวลาน้อยลงกว่าที่เคยเป็น ทำให้ Productivity สูงขึ้น ซึ่งแปลว่า Fixed Costs ทั้งหมดของบริษัทสามารถวนไหลลูปได้ ยิ่งทำให้เราสามารถจะแข่งขันได้ดีขึ้น…”
เตรียมความพร้อมอย่างไร? ก่อนนำระบบ Automation & Robotics เข้ามาใช้งานจริงโดยทั่วไป ฝ่ายการผลิตไม่ว่าจะใหญ่ หรือเล็ก มักเจอปัญหาผลิตไม่ทัน ลดต้นทุนไม่ได้ กำไรลดลง ขาดแคลนแรงงาน นโยบายไม่สนับสนุน ฯลฯ นับเป็นปัญหาที่จัดอยู่ใน 7 Wastes ทั้งสิ้น คุณกุลโชค ให้คำแนะนำว่า ก่อนที่จะลงมือทำระบบ Automation ผู้ประกอบการควรวิเคราะห์การสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตและการทำงานก่อน เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุด โดยต้องกำจัดกระบวนการที่เป็น Wastes ทั้ง 7 ก่อน ได้แก่
- ความสูญเสียเนื่องจากการผลิตมากเกินไป (Overproduction)
- ความสูญเสียเนื่องจากการเก็บวัสดุคงคลัง (Inventory)
- ความสูญเสียเนื่องจากการขนส่ง (Transporation)
- ความสูญเสียเนื่องจากการเคลื่อนไหว (Motion)
- ความสูญเสียเนื่องจากกระบวนการผลิต (Processing)
- ความสูญเสียเนื่องจากการรอคอย (Delay)
- ความสูญเสียเนื่องจากการผลิตของเสีย (Defect)
จากนั้น เมื่อถึงขั้นตอนการทำ Automation ลำดับแรก คือ ต้องทำ 5 ส. ต่อมาคือจัดลำดับกระบวนการ แล้วค่อยดูว่าขั้นตอนไหนที่ทำไม่ทัน ควรจัดการอย่างไร เช่น เดิมขันน็อตด้วยมือ เปลี่ยนเป็นนำ Screw Driver มาช่วยทำให้เร็วขึ้น สุดท้ายค่อย ๆ ขยับเป็น Automation เมื่อมาถึงขั้นนี้ได้แล้ว จึงเริ่มขยายจำนวน Robots หรือ Automation System ให้มากขึ้น”
คุณกุลโชค กล่าวว่า แม้การใช้ระบบ Automation & Robotics จะช่วยลดต้นทุนในการจ้างแรงงานได้ในระยะยาว และยกระดับความสามารถทางการผลิต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า…อุปสรรคสำคัญของการทำระบบอัตโนมัติของ SME ไทยในปัจจุบัน คือ การเข้าถึงเทคโนโลยี และแหล่งเงินทุน เนื่องจากการสร้างระบบอัตโนมัติ หรือการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้งานในสายการผลิตอย่างเต็มรูปแบบนั้น ต้องอาศัยทีมนักพัฒนามืออาชีพ และเงินทุนก้อนใหญ่ โดยเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูล วางแผน พัฒนา การสร้าง ประกอบ ไปจนถึงการปรับใช้งานจริง แต่หากโรงงานใดยังไม่พร้อมในเรื่องของเงินทุน และยังไม่ได้เตรียมความพร้อมตามขั้นตอนที่ระบุไว้ข้างต้น อาจเริ่มจากการค่อย ๆ ปรับตัว ใช้ระบบอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์เฉพาะบางขั้นตอนที่จำเป็น จัดอยู่ในรูปแบบของระบบ Semi-Automation ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนในการทำระบบได้ค่อนข้างมาก แล้วจึงขยับขยายเป็น Full-Automation ในภายหลังได้เช่นกัน
สามารถติดตามอ่านเรื่องราวดีๆ รวมไปถึงบทความที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่จะช่วยให้ข้อคิด แนวคิด และเคล็ดลับในการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ที่ www.Bangkokbanksme.com
รู้จัก A.I. TECHNOLOGY ได้ที่ https://www.aitech.co.th/
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
5 ประโยชน์ดีๆ ของ “ลูกพลับ” ที่อาจทำให้คุณอยากกินมากขึ้น
มีท่านผู้อ่านท่านใดในที่นี้เป็นแฟนคลับของลูกพลับบ้างคะ? ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีทั้งรสหวานและรสฝาด ผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องมีเทคนิคในการเลือก หรืออาจเลือกตามสายพันธุ์ หรือแหล่งจำหน่ายที่ไว้ใจได้ เพื่อให้ได้รสชาติที่พึงพอใจ อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องของรสชาติที่อร่อยแล้ว ลูกพลับ ก็ยังให้คุณค่าทางอาหารสูงมากอีกด้วย
สารอาหารในลูกพลับ
ลูกพลับ เป็นผลไม้ที่มีดีมากกว่ารสชาติที่อร่อย เพราะจัดว่าเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงและให้แคลอรีต่ำ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักสุขภาพ หากคุณรับประทานลูกพลับ 1 ผล (หรือประมาณ 168 กรัม) คุณจะได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนี้
- พลังงาน 118 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 31 กรัม
- โปรตีน 1 กรัม
- ไขมัน 0.3 กรัม
- ไฟเบอร์ 6 กรัม
นอกจากนี้ลูกพลับยังให้วิตามินและแร่ธาตุสำคัญ ที่ช่วยให้สุขภาพดีอีกมากมาย ได้แก่
- วิตามินเอ
- วิตามินซี
- วิตามินอี
- วิตามินเค
- วิตามินบี 1
- วิตามินบี 6
- โพแทสเซียม
- ทองแดง
- แมงกานีส
- โฟเลต
- แมกนีเซียม
- ฟอสฟอรัส
ประโยชน์ของลูกพลับ
- ดีต่อสายตา
ในลูกพลับมีสารต้านอิสระสำคัญที่ชื่อ ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองชนิดนี้เป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันความสูญเสียทางการมองเห็น
- มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง
ลูกพลับอุดมไปด้วยสารไฟเซติน (Fisetin) ซึ่งเป็นสารอาหารในกลุ่มของสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) โดยสารไฟเซตินมีส่วนช่วยเสริมสร้างความจำ ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อระบบเส้นประสาทและสมอง รวมถึงมีส่วนช่วยในการป้องกันความเสื่อมสมรรถภาพทางสติปัญญาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าสารไฟเซตินมีส่วนช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในร่างกายอีกด้วย
- ดีต่อสุขภาพหัวใจ
ผักและผลไม้หลายชนิดมีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ลูกพลับก็เช่นเดียวกัน เพราะในลูกพลับมีสารอาหารสำคัญต่อหัวใจนั่นคือโพแทสเซียม ซึ่งหากร่างกายได้รับโพแทสเซียมอย่างเพียงพอก็จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่นำไปสู่โรคหัวใจ วิตามินซีและโฟเลตในลูกพลับเองก็มีส่วนช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและภาวะหัวใจวาย
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มสีส้มหรือสีเหลืองอย่างลูกพลับ จัดว่าเป็นกลุ่มอาหารที่ให้สารอาหารสำคัญอย่างเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมและลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงจึงดีต่อระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีมากขึ้น จึงลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในลำไส้อย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่
- มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
ไม่ใช่แค่เพียงการหมั่นออกกำลังกายและการดื่มนมเท่านั้นที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง การรับประทานผักและผลไม้ต่างๆ ก็ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพกระดูกเช่นกัน โดยเฉพาะกับลูกพลับซึ่งมีสาร โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่ได้รับการค้นพบและวิจัยว่ามีส่วนช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้
วิธีเลือกลูกพลับ
- เลือกลูกพลับที่มีผลอวบ มีผิวเรียบเนียน เป็นเงาวาว ไม่มีรอยแตกหรือรอยช้ำ
- หากต้องการรับประทานลูกพลับทันที หรือกินภายใน 1-2 วัน ควรเลือกลูกพลับที่สุกแล้ว เพราะลูกพลับที่ยังไม่สุกอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน กว่าที่ลูกพลับจะสุกพร้อมรับประทาน
- หากซื้อลูกพลับที่ยังไม่สุกมา และต้องการทำให้สุก สามารถเก็บลูกพลับไว้ในอุณหภูมิห้องได้เลย โดยนำลูกพลับใส่ไว้ในถุงกระดาษที่ปิดมิดชิด
ข้อควรระวังในการรับประทานลูกพลับ
- โปรดแน่ใจว่าตนเองไม่มีอาการแพ้ลูกพลับ เพราะหากมีอาการแพ้ที่รุนแรงอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรืออันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ในกรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง
- หากมีอาการทางสุขภาพที่เกี่ยวกับช่องท้อง กระเพาะอาหาร หรือมีการผ่าตัดที่เกี่ยวเนื่องกับช่องท้องหรือกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกพลับไปก่อนจนกว่าจะหายดี เนื่องจากอาจเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการอุดตันในลำไส้ได้
- ล้างลูกพลับก่อนนำมารับประทานเสมอ
- หากนำไปแช่ตู้เย็นควรเก็บลูกพลับให้ห่างจากอาหารประเภทอื่น เช่น เนื้อสัตว์ หรือปลา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของอาหาร หรืออาจทำให้กลิ่นของอาหารผิดเพี้ยนไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
บวกจั่น แคมป์ปิ้งฟาร์ม พักผ่อนสูดโอโซนบริสุทธิ์บนยอดดอยสูง 360 องศา
ฤดูหนาวเดินทางมาเยือนอีกครั้งในปี 2566 หลาย ๆ คนคงกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวไว้พักผ่อนหย่อนใจในช่วงหน้าหนาวนี้ ซึ่งขึ้นชื่อว่าหน้าหนาวแล้วภาคเหนือต้องมาเป็นอันดับแรก และคงหนีไม่พ้นเชียงใหม่ จังหวัดยอดนิยมเรื่องการท่องเที่ยว เพราะคนส่วนใหญ่จะอยากไปขึ้นเขา ขึ้นดอยไปสัมผัสลมหนาวให้ชุ่มชื่นใจ และสำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวเชียงใหม่แต่ยังไม่มีไอเดียว่าจะพักที่ไหน เราจะมาแนะนำที่พักสุดพิเศษเพื่อเป็นตัวเลือกในทริปหน้าหนาวปีนี้กัน
บวกจั่น แคมป์ปิ้งฟาร์ม เป็นที่พักแนวใกล้ชิดธรรมชาติ รายล้อมด้วยภูเขา ตั้งบนยอดดอยจุดที่สูงที่สุด ที่ยังคงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีบรรยากาศเงียบสงบ สัมผัสลมหนาวและวิวทิวทัศน์ของภูเขา 360 องศา สามารถมองเห็นดอยม่อนแจ่ม ดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ รวมถึงตัวเมืองเชียงใหม่ได้จากที่พัก และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ สามารถชมบรรยากาศทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกจากที่นี่ที่เดียว เปรียบเป็นสวรรค์บนดินก็ไม่เกินจริง บวกจั่น แคมป์ปิ้งฟาร์ม มีห้องพักทั้งหมด 20 ห้อง ให้เลือกหลากหลายแบบ ได้แก่ บ้านนอร์ดิกกระจกใส บับเบิ้ลโดมใส โดมขาวธรรมดา พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบครบครัน และมีบริการอาหารเช้า สำหรับใครที่เคยไปพักแล้ว เชื่อว่าภาพบรรยากาศอันประทับใจต้องตราตรึงไม่ลืมเลือนแน่นอน หรือผู้ที่ยังไม่เคยไปต้องลองไปสักครั้งกับทริปพักผ่อนหย่อนใจที่เงียบสงบ ส่วนตัว ไม่ว่าจะไปแคมป์ปิ้งกับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว หรือไปแบบคู่รักก็เหมาะมากทีเดียว
นอกจากที่พักสวย ๆ บรรยากาศดี ๆ แล้ว ทางวิสาหกิจชุมชนบ้านบวกจั่น ยังมีเส้นทางระยะสั้นสำหรับกิจกรรมเดินป่าสำรวจธรรมชาติ พร้อมไกด์ให้ความรู้และให้คำปรึกษาเอาใจนักท่องเที่ยวสายลุยที่ชื่นชอบกิจกรรมเดินป่าสำรวจธรรมชาติอีกด้วย บวกจั่น แคมป์ปิ้งฟาร์ม ยังแวดล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ น้ำตกแม่สา ปางช้าง เดอะจังเกิล ฟาร์มแกะแม่ขิ สวนดอกไม้ป้างฮวา สวนส้มยอดดอย ปางลุงคาเฟ่ ฯลฯ รวมไปถึงร้านฮิมน้ำแม่จ๊ะ ร้านอาหารบรรยากาศดีรสชาติอร่อย เรียกได้ว่ามาพักที่บวกจั่น แคมป์ปิ้งฟาร์ม แต่สามารถท่องเที่ยวและฟินในละแวกเดียวกันได้อีกมากมายแบบไม่มีเบื่อเลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/11/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,300.00 | 33,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,157.00 | 32,700.12 | 33,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,941.30 | 29,430.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,725.60 | 26,160.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 971.00 | 14,720.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 755.00 | 11,445.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,235.00 | 33,882.60 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/11/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.05 | 36.05 | 36.55 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.28 | 34.28 | 34.78 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | – | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.09 | 34.09 | – | – | – | – | – | – | – | 34.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.84 | 47.74 | 48.24 | 47.74 | – | – | – | – | – | 43.84 |
เบนซิน 95 | 43.94 | – | – | – | 45.11 | – | 44.44 | 44.09 | – | 43.94 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.94 | 43.64 | 42.94 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |