แสนสิริ-เฟรเซอร์สฯตั้งรับปัจจัยเสี่ยงระวังลงทุนลุยเมืองท่องเที่ยว
อสังหาฯกางแผนสู้ปัจจัยเสี่ยงท่วมตลาด “แสนสิริ” ชูยุทธศาสตร์ RESILIENT GROWTH รับผันผวน เดินหน้าเปิด46โครงการมูลค่า6.1หมื่นล้านจับมือพันธมิตรลดเสี่ยงหันลุยเมืองท่องเที่ยวเจาะต่างชาติ“เฟรเซอร์สฯ” ประเมินตลาดยังมีแรงบวกมั่นใจพอร์ตโฟลิโอแกร่งหนุนโต
- เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดการณ์จีดีพีปีนี้ 2.9-3.4% ขณะที่อัตราดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ความมั่นใจนักลงทุนลดลงจากปัญหาหุ้นกู้ผิดนัดชำระ รวมทั้งปัจจัยภายนอกจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป และจีน ล้วนเป็นความท้าทายในดำเนินธุรกิจปี 2567
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2567 นับเป็นอีกปีที่ท้าทายของภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยลบภายในและนอกประเทศ แต่เชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจแสนสิริ 40ปี จะขับเคลื่อนการเติบโตได้ ภายใต้กลยุทธ์ “RESILIENT GROWTH” ที่ได้ปรับให้เข้ากับสถานการณ์ พร้อมนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม มาต่อยอดธุรกิจและขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ผู้บริโภคที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง
ทั้งนี้ กรณีสถานการณ์ปกติ (Base Case) คาดการณ์จีดีพีประเทศไทยเติบโต 3% บริษัทฯ มีแผนเปิดตัว 46 โครงการใหม่ มูลค่า 61,000 ล้านบาท แต่กรณีสถานการณ์ดี(Best Case) มีนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตมากระตุ้นกำลังซื้อ คาดว่าจะทำให้จีดีพีโต 4% ซึ่งทุกการเติบโต 1% แสนสิริจะลงทุนเพิ่ม 10% หรือเปิดตัวเพิ่มเป็น 50 โครงการ โดยโยกโครงการที่จะเปิดในปี 2568 มาเปิดในปี 2567
สำหรับ ปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัว 44 โครงการใหม่ มูลค่า 65,000 ล้านบาท ครอบคลุมคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ ทุกระดับราคา รองรับทุกความต้องการในทุกทำเล เติบโต 50% แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 28% จำนวน 14 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้านบาท บ้าน 72% จำนวน 30 โครงการ มูลค่า 47,000 ล้านบาท มียอดขาย 49,000 ล้านบาท จากคอนโดมิเนียม 45% มูลค่า 22,000 ล้านบาท และบ้าน 55% มูลค่า 27,000 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 39,000 ล้านบาท เติบโต 6% จากคอนโดมิเนียม 33% มูลค่า 13,000 ล้านบาท และบ้าน 67% มูลค่า 26,000 ล้านบาท
“กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก ปี 2566 มีจำนวน 4,760 ล้านบาท สูงกว่ากำไรทั้งปี 2565 ที่มีจำนวน 4,200 ล้านบาท 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เร่งเปิดตัวโครงการจำนวนมาก ด้วยซัพพลายก่อนหน้านั้นมีจำนวนน้อย และบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินไว้มากพอที่จะเปิดโครงการได้อีก 2 ปีข้างหน้า”
เผยซัพพลายในมือเพียงพอ
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ซัพพลายในมือมีเพียงพอจึงไม่จำเป็นต้องเปิดตัวโครงการมากเท่าปีก่อน บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาท จำนวนโครงเพิ่ม 2 โครงการ ขณะที่มูลค่าการเปิดตัวลดลง 8%
โดยตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอน 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าในระดับราคาเข้าถึงได้ (Affordable) สัดส่วน 18% จำนวน 14 โครงการ มูลค่า 10,900 ล้านบาท กลุ่มระดับกลาง 44% จำนวน 16 โครงการ มูลค่า 26,800 ล้านบาท กลุ่มระดับบน 38% จำนวน 16 โครงการ มูลค่า 23,300 ล้านบาท
“ปีนี้เราเน้นกลุ่มลักชัวรีในกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิด 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท ไฮไลต์ คือ กลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ บ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรี นาราสิริ บางนา กม. 10 มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45-70 ล้านบาท บ้านเดี่ยวเศรษฐสิริ 7 โครงการมูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท”
รุกแนวราบพร้อมเปิดคอนโดเพิ่ม
พร้อมกันนี้ รุกตลาดแนวราบในระดับราคาเข้าถึงง่ายภายใต้แบรนด์สราญสิริ เปิดตัว 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท ด้วยจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว และแบรนด์อณาสิริ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท นอกจากนี้ มีมิกซ์โปรดักท์บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ณริณสิริ แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมโครงการแรก ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1,800 ล้านบาท มาเบิล แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 5-7 ล้านบาท กับ ‘มาเบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจแนวสูงมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท มีไฮไลต์ กลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ด้วยการเปิดขายเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน มูลค่า 4,100 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก
และการเปิดตัว เวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท บนทำเลสุขุมวิท 34 และ 61 ควบคู่การลุยต่อตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่าย แบรนด์ “แคมปัส คอนโด” กับการเปิดตัวดีคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟ พร้อมรีเฟรชแบรนด์ เดอะ เบส รองรับการเปิดตัวในปีนี้รวม 3 โครงการ มูลค่า 4,500 ล้านบาท
รักษาสภาพคล่อง วินัยการลงทุน
นายอุทัย กล่าวต่อว่า แสนสิริมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ทั้งยังมีปัจจัยลบภายในและต่างประเทศ ความท้าทายของตลาดไทย คือ เรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ทุกการขึ้น 1% ของดอกเบี้ย จะทำให้กำลังซื้อคนลดลง 7-8%
ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจมาจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ทำให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมจากลูกค้าจีนและรัสเซียโดยในปีนี้ขยายโครงการต่างจังหวัด 9 โครงการ อาทิ หัวหิน ภูเก็ต พัทยา
ทั้งนี้ กลยุทธ์หลักของแสนสิริในปี 2567 วาง 3 แนวทางสำคัญ
1.การรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง
2. บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม
และ 3.ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของแสนสิริเพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยจากพลัส พร็อพเพอร์ตี้
“ เราเน้นวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา เมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ส่งผลให้แสนสิริมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า เราไม่ตะบี้ตะบันเปิดโครงการจำนวนมาก จนเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ปีนี้เราเพิ่มพอร์ตโครงการใหม่รวม 6,720 ยูนิต เพื่อให้มีซัพพลายเปิดใหม่ 12,380 ยูนิต”
ปรับตัวรับมือสารพัดปัจจัยลบ
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ว่า ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลให้ภาคเอกชนมีการบริโภคเพิ่มขึ้น บวกกับภาครัฐที่ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ อย่างมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงนักลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือน และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาส
“หลังโควิด คิดว่าจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่กลับกลายเป็นมรสุมที่ตั้งเค้ามาอีกในปี 2567 ทั้งระดับโลกและในประเทศ จาก ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ในสหรัฐ ยุโรป เกาหลี จีน ไต้หวัน แถมยังมีอัตราดอกเบี้ย หนี้สินครัวเรือนสูงกว่า 90% ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากกระแสปรับคณะรัฐมนตรี”
สร้างสมดุลพอร์ตขาย-เช่าลดความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ เฟรเซอร์ส ยังคงความสามารถในการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยแผนกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่น มีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง และมีธุรกิจที่หลากหลาย สามารถสร้างรายได้อย่างสมดุลจากการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ทำให้มีกระแสรายได้ต่อเนื่อง
โดยตั้งเป้าหมายปี 2570 จะสร้างรายได้กว่า 30,000 ล้านบาท เป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้จากการขาย 40% และรายได้ประจำ 60% สะท้อนถึงความพร้อมในการเติบโตระยะยาวภายใต้การเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกที่มีทีมงานมากประสบการณ์และความชำนาญหลายด้าน พร้อมต่อยอดพัฒนาสินค้าและบริการคุณภาพตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าและผู้ใช้งานทุกกลุ่ม
“ปีนี้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ตั้งเป้าธุรกิจที่อยู่อาศัยทำรายได้กว่า 13,000 ล้านบาท โดยเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 11,600 ล้านบาท เน้นตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านลักชัวรี พร้อมบาลานซ์พอร์ตสมดุลระหว่างสินทรัพย์เพื่อขายและเช่า สัดส่วน 40:60 เพื่อรักษาระดับกำไรและการเงินมั่นคง พร้อมกับสร้างวินัยทางการเงิน”
พร้อมสร้างกระแสรายได้จากค่าเช่าให้เติบโตแข็งแกร่งผ่านธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าที่จะลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาทในการขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการอีก 150,000 ตร.ม. เพิ่มจากปัจจุบันที่ 3.5 ล้านตร.ม. ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ด้วยเป้าหมายอัตราการเช่า 87% พร้อมลงทุนต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่พื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 4 ล้านตร.ม.ในอีก 2 ปี
นอกจากนี้ มุ่งยกระดับการให้บริการอาคารสำนักงานเกรดเอย่านใจกลางเมือง และพื้นที่รีเทล เช่น สามย่านมิตรทาวน์ และสีลมเอจ ที่เชื่อว่าจะรักษาอัตราการเช่าในระดับสูง 93%
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
SCGD มั่นใจเศรษฐกิจไทย-อาเซียนฟื้นตัว เร่งลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต
“เอสซีจี เดคคอร์” มั่นใจเศรษฐกิจไทยและอาเซียนทยอยฟื้นตัว เร่งเลงทุนกระเบื้องราคาสูงรุกตลาดเวียดนาม-ผลิตไวนิลป้อนไทยกลางปี 67 พร้อมจับบมือพันธมิตรเสริมแกร่งช่องทางจัดจำหน่ายและขยายโครงการลงทุน
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ผู้นำธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ SCGD ไตรมาส 4 ประจำปี 2566 มีรายได้จากการขาย 6,802 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 179 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 และ 26 จากไตรมาสก่อนตามลำดับ สอดคล้องกับความต้องการกระเบื้องเซรามิกในประเทศไทยที่ยังทรงตัว รวมถึงยอดขายในภูมิภาคอาเซียนที่ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้านี้ จากสถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเวียดนาม และกำลังซื้อที่หดตัวลงในประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่เชื่อว่าสถานการณ์ตลาดเซรามิกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิกในภูมิภาคอาเซียนที่มีสัญญาณทยอยฟื้นตัวในแต่ละประเทศ
โดยผลประกอบการปี 2566 หากไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง บริษัทจะมีรายได้จากการขายรวม 28,312 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไร 817 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำลังซื้อในตลาดต่างประเทศ รวมไปถึงความผันผวนของตลาดอสังหาฯ ในเวียดนาม ประกอบกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก 2566 แต่ยังมีปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตคือ ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ประมาณกลางปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังสามารถคงราคาขายเฉลี่ยของกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย โดยรายได้หลักจากการขายปี 2566 มาจากยอดขายในประเทศไทย ทั้งธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและธุรกิจสุขภัณฑ์ จากสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัว แนวโน้มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ
นายนำพล กล่าวว่า SCGD มีจุดแข็งเรื่องแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น COTTO, PRIME, MARIWASA และ KIA ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ทั้งในไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ และครองส่วนแบ่งตลาดสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในไทย ประกอบกับมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งภูมิภาค
ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายกว่า 800 ราย ร้านค้าเครือข่ายรวมทั้งสิ้นกว่า 10,000 ร้าน ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ช่องทางจัดจำหน่ายของบริษัทเองและช่องทางออนไลน์ โดยมีตลาดส่งออกกว่า 57 ประเทศ ทำให้ยังคงพร้อมเติบโตและคงสถานะความเป็นผู้นำธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนได้ในทุกสถานการณ์ตลาด
ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินการเสริมศักยภาพผู้จัดจำหน่ายควบคู่กันไป โดยมุ่งเน้นให้มีสินค้าที่หลากหลายที่เกี่ยวกับการตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์อย่างครบวงจร เช่น Prime Group ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศเวียดนาม ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ บริษัท จระเข้ เวียดนาม จำกัด วางจำหน่ายสินค้านวัตกรรมกลุ่มสินค้ากาวซีเมนต์และกาวยาแนว ภายใต้แบรนด์จระเข้ ผ่านเครือข่ายร้านผู้แทนจำหน่ายของ Prime Group ที่แข็งแกร่งกว่า 120 ราย
ล่าสุด แบรนด์ COTTO จับมือ HANSGROHE และ AXOR ผู้นำนวัตกรรมด้านสุขภัณฑ์ระดับโลกสัญชาติเยอรมัน เตรียมพลิกโฉมตลาดสุขภัณฑ์ Luxury ในไทย และขยายต่อยอดไปในอาเซียนด้วย เป็นการดำเนินการตามแผนงานที่จะขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน
นายนำพล กล่าวว่า บริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดทั้งไทยและอาเซียนแม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว จึงเป็นโอกาสที่ต้องเร่งลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรและเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อเตรียมไว้สำหรับรองรับความต้องการในอนาคต ตามกลยุทธ์ที่จะต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวสู่ผู้นำในอาเซียน โดยมีเวียดนามเป็นฐานการผลิตกระเบื้องปูพื้นและบุผนังที่มีศักยภาพด้านการบริหารต้นทุนและการส่งออกในภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกับประเทศไทย
สำหรับการลงทุนในเวียดนามมีเป้าหมายขยายตลาดระดับกลาง-บน จากโครงการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม “กระเบื้องเซรามิกพอร์ซเลน” และกระเบื้องขนาดใหญ่ อีก 1.38 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงกว่ากระเบื้องทั่วไปและกำลังได้รับความนิยม ใช้งบลงทุนรวม 142 ล้านบาท ในการปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่โรงงานในภาคกลางของประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ SCGD ยังได้รับอนุมัติโครงการลงทุนมูลค่ากว่า 693 ล้านบาท เพื่อทดแทนและเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนเป็น 9.1 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม เพื่อรุกขยายตลาดและตอบสนองความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องพอร์ซเลนที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2567
ด้านโครงการลงทุนในประเทศไทยที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567 ได้แก่ การลงทุนเพิ่มสายการผลิต “กระเบื้องไวนิล SPC” ด้วยเงินลงทุน 138 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี คาดว่าจะสามารถป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยได้ในช่วงกลางปี 2567 นี้ ทั้งนี้ ตลาด SPC/LVT เป็นตลาดที่ยังมีการเติบโตค่อนข้างสูงในประเทศไทย เวียดนามฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 8,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10,000 ล้านบาทในปี 2569 (อ้างอิงจากข้อมูล Euromonitor)
“บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในโครงการลงทุนเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน นอกจากจะเป็นการดำเนินการตามแนวทาง ESG แล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและความสามารถในการสร้างรายได้ โดยในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการแล้วเสร็จ อาทิ โครงการลงทุนปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องขนาดใหญ่ซึ่งเริ่มเดินสายการผลิตตั้งแต่กลางปี 2566 ตั้งเป้าช่วยลดต้นทุนกว่า 40-50 ล้านบาทต่อปี โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเติมที่ประเทศไทยและเวียดนามประมาณ 14.3 MW คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนเพิ่มเติมได้กว่า 50 ล้านบาทต่อปี และปี 2567 ยังคงมีแผนลงทุนและการดำเนินงานลดต้นทุนด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะดำเนินการติดตั้ง Hot Air Generator ต่อจากปีก่อนหน้าที่โรงงาน 3 แห่งในประเทศไทย หากแล้วเสร็จทั้ง 3 โครงการจะช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานได้ประมาณ 60 -70 ล้านบาทต่อปี”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 24ม.ค. “ทรงตัว” ที่ระดับ 35.69 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเสี่ยงจะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หลังตลาดทุนไทยเผชิญแรงเทขายสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจ หากคาดการณ์ของกระทรวงการคลังถูกต้อง
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 24ม.ค. 2566ที่ระดับ 35.69 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หลังตลาดทุนไทยเผชิญแรงเทขายสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจไม่ได้ขยายตัวได้ตามที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ หากคาดการณ์ของทางกระทรวงการคลังนั้นถูกต้อง (ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง +1.8% ในปี 2023)
นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ ก็ยังไม่ได้สดใสมากนัก ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจยังเป็นฝั่งขายสุทธิหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ดี ควรจับตารายงานดัชนี PMI ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักโดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ และยูโรโซนกับอังกฤษ เพราะหาก ดัชนี PMI ฝั่งยูโรโซนและอังกฤษ ออกมาแย่กว่าคาด และดูสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น
เมื่อเทียบกับฝั่งสหรัฐฯ ก็อาจจะยิ่งทำให้ ผู้เล่นในตลาด ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้เร็วกว่าเฟด ซึ่งภาพดังกล่าว จะยิ่งกดดันให้ เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลง และหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นไม่ยาก
ทั้งนี้ เราจะจับตาใกล้ชิดว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.70-35.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้หรือไม่ เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว จะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซน 36 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก ซึ่งโซนดังกล่าว ก็อาจเป็นจุดที่ต้องจับตาว่า จะมีปัจจัยเข้ามาหนุนให้เงินบาทชะลอการอ่อนค่า หรือ พลิกกลับมาแข็งค่าได้หรือไม่ เพราะในเชิง Valuation เงินบาทแถว 36 บาทต่อดอลลาร์ ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ Undervalued พอสมควรจากการประเมินโดยใช้ดัชนีค่าเงินบาท REER
ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.60-35.85 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.66-35.76 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม ตามที่เคยได้ประเมินไว้
อย่างไรก็ดี เงินบาทสามารถทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างปรับตัวขึ้น หนุนให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
แม้ว่า รายงานผลประกอบการของหลายบริษัท อาทิ 3M -11% และ Lockheed Martin -4.2% จะออกมาแย่กว่าคาดและกดดันบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงแรกของการซื้อ-ขาย ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อมั่นในแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (The Magnificent 7) ยังคงช่วยหนุนให้ หุ้นเทคฯ ใหญ่ ดังกล่าว ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Apple +0.7%, Microsoft +0.6% และช่วยให้ บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อีกทั้งยังส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.29% ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.28% ท่ามกลางความกังวลว่า ผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจออกมาไม่สดใส ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ นี้
อย่างไรก็ดี หุ้นในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +1.1% ยานยนต์ Volkswagen +6.9% และเหมืองแร่ Rio Tinto +2.3% ต่างปรับตัวขึ้น ตอบรับความหวังว่า ทางการจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทำให้โดยรวมตลาดหุ้นยุโรปไม่ได้ปรับตัวลงแรง
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม ยังคงช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี ทยอยปรับตัวขึ้น เหนือระดับ 4.10% ทั้งนี้ โดยรวมผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยครั้งละ -25bps ในทุกการประชุม จนถึงระดับ 3.75%-4.00% ในการประชุมเดือนธันวาคม (คิดเป็นการลดดอกเบี้ยราว -150bps หรือ 6 ครั้ง)
ซึ่งหากผู้เล่นในตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยดังกล่าว ก็อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ได้พอสมควร โดยหากผู้เล่นในตลาด “เลิกเชื่อ” ว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้เร็วและลึก ตามที่เคยประเมินไว้ ก็อาจหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสผันผวนสูงขึ้นได้ในช่วงนี้ ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์ (บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตั้งแต่ 4.20% ขึ้นไป ถือว่า มี Risk-Reward ที่น่าสนใจ)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways โดยมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟด อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 103.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.3-103.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ทำให้โดยรวมราคาทองคำยังคงแกว่งตัวในโซน 2,020-2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอจับตาผลการประชุม ECB รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ เช่น ดัชนี PMI และ อัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ก่อนปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน
สำหรับวันนี้ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้ง สหรัฐฯ, ยูโรโซน, อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยผู้เล่นในตลาดจะจับตาอย่างใกล้ชิดว่า รายงานดัชนี PMI จะสะท้อนถึง แนวโน้มการชะลอตัวลงของบรรดาเศรษฐกิจหลักอย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ เพราะหากรายงานดัชนี PMI ออกมาดีกว่าคาด และยังคงสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟด ซึ่งจะหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจากบรรดาบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ ASML, SAP และ Tesla ซึ่งอาจส่งผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงนี้ได้พอสมควร
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
IDIOMS คืออะไร ? มารู้จัก และศึกษาวิธีการใช้ idioms กัน
หนึ่งในปัญหาที่หลายคนเจอเมื่อเรียนภาษาต่างประเทศ คือการไม่เข้าใจภาษาที่เจ้าของภาษาเลือกใช้ หรือ IDIOMS คืออะไร โดยเฉพาะเมื่อต้องนำภาษาที่เรียนไปใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การพูดคุยกับเพื่อนไปจนถึงการทำงาน เพราะหลายอย่างไม่ตรงกับที่เราเคยเรียนมา หนึ่งในเรื่องสำคัญคือการใช้คำสแลง (Slang) และสำนวน (Idiom) ซึ่งในวันนี้เราจะมาทำความรู้จัก Idiom ว่ามีหลักการและวิธีใช้อย่างไรบ้าง เพื่อจะได้สามารถเข้าใจและสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
IDIOMS คืออะไร
พจนานุกรมเคมบริดจ์ได้ให้ความหมายของ Idiom ไว้โดยสรุปได้ว่า Idiom คือ กลุ่มคำที่เรียงลำดับกันตามที่กำหนด โดยเมื่อแต่ละคำมารวมกลุ่มกันแล้วจะมีความหมายต่างไปจากเดิมที่คำนั้นถูกนำไปใช้เพียงคำเดียว พูดง่าย ๆ คือสำนวนหรือ Idiom เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแปลได้ตรงตัว อาจมีบางสำนวนที่แปลตรงตัวแล้วพอเข้าใจความหมายได้ แต่บางสำนวนก็ต้องอาศัยการเรียนรู้ ขอยกตัวอย่างสำนวน “up in the air” หากแปลตรงตัวก็จะเข้าใจว่าบางอย่างอยู่ในอากาศ ซึ่งจะไม่เห็นภาพหรือเกิดความเข้าใจเลยว่าสำนวนนี้หมายถึงอะไร แต่การเรียนรู้จะช่วยให้เราเข้าใจว่าสำนวน “up in the air” นี้หมายถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ตัดสินใจหรือมีความไม่แน่นอน มาดูตัวอย่างประโยคต่อไปนี้
Plans for our vacation this year are pretty much up in the air.
(แผนสำหรับการไปเที่ยววันหยุดของเราในปีนี้ยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ) ความหมายคือตอนนี้ยังมีความไม่แน่นอน เช่น มีตัวเลือกหลายตัวสำหรับการตัดสินใจและยังไม่ได้เลือก
สำนวนส่วนใหญ่นั้น นิยมนำมาใช้ในภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน และกลายเป็นความเคยชินของเจ้าของภาษาที่จะใช้สำนวนในการพูดโดยอัตโนมัติ ทุกภาษามีสำนวนของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันคือคนที่เพิ่งเริ่มเรียนภาษานั้นไม่สามารถแปลได้แบบตรงตัว
รู้การใช้ Idiom ไว้ดีอย่างไร
สำนวนคือสิ่งที่เจ้าของภาษาใช้เป็นประจำเพื่อสื่อสารความคิดต่าง ๆ ออกมา บ่อยครั้งการใช้สำนวนให้ภาพที่ชัดเจนกว่าการใช้คำพูดตามปกติ แม้ว่าการทำความเข้าใจสำนวนภาษาอังกฤษจะค่อนข้างซับซ้อนในตอนแรก แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่เราจะทำความคุ้นเคยได้
หากเพื่อน ๆ รู้จักสำนวนภาษาอังกฤษ จะทำให้เรามีทางเลือกในการพูดถึงเรื่องเดียวกันได้อย่างหลากหลาย ไม่ติดอยู่กับโครงสร้างประโยคเดิม ๆ และที่สำคัญกว่านั้นคือ จะเข้าใจได้ทันทีเมื่อมีคนต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับเรา เช่น หากเราพูดว่า
The bus will leave in 10 minutes.
(รถบัสจะออกในอีกสิบนาที)
นี่คือประโยคพูดถึงอนาคต (Future Tense) ปกติซึ่งทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานสามารถเข้าใจได้ แต่บางคนอาจเลือกพูดว่า
The bus is going to leave in 10 minutes.
ซึ่งเป็นการพูดถึงอนาคตในอีกรูปแบบหนึ่ง และท้ายสุด บางคนอาจพูดถึงเรื่องนี้โดยใช้สำนวน about to เพื่อสื่อสารว่ารถกำลังจะออก โดยพูดกับเราว่า
The bus is about to leave in 10 minutes.
เรียนรู้ Idiom ได้จากที่ไหน
แหล่งข้อมูลแรกคือหนังสือรวบรวมสำนวน รวมถึงหลายเว็บไซต์ที่รวบรวมสำนวนที่จำเป็นเอาไว้ให้เราในที่เดียว ซึ่งหลายเว็บจะมาพร้อมกับตัวอย่างประโยคเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น มีทั้งแหล่งข้อมูลที่อธิบายเป็นภาษาไทยและจากต้นทางที่เป็นภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากการใช้จริง หากไม่มีเพื่อนชาวต่างชาติที่พอจะพูดภาษาอังกฤษด้วยได้ การดูหนัง อ่านนิยายโดยเริ่มจากเรื่องที่ใช้ภาษาระดับไม่ยาก หรือแม้แต่ดูคลิปวิดีโอสั้น ๆ ก็อาจช่วยให้เพื่อน ๆ ได้สำนวนใหม่ ๆ ในทุก ๆ วัน
ตัวอย่าง Idiom น่าสนใจพร้อมความหมายและตัวอย่างประโยค
- Behind closed doors = เป็นความลับ, ไม่เปิดเผยสู่สาธารณะ
The deal was done behind closed doors.
(ข้อตกลงนี้ทำกันแบบลับ ๆ )
- get the sack = ถูกไล่ออก
He got the sack last week and has to find a new job as soon as possible.
(เขาถูกไล่ออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และต้องหางานใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุด)
- From scratch = ตั้งแต่เริ่มต้น
Don’t worry, you can easily learn to use our new software from scratch.
(อย่ากังวลเลย คุณสามารถเรียนวิธีการใช้ซอฟต์แวร์ใหม่ของพวกเราได้อย่างง่ายดายตั้งแต่เริ่มต้น)
- be sick of something = เบื่อ (บางสิ่งบางอย่าง) แบบสุด ๆ
I’m sick of hearing your same old excuses.
(ผมเบื่อเต็มทนแล้วที่จะฟังข้อแก้ตัวเดิม ๆ ของคุณ)
- Tighten one’s belt = ประหยัด (รัดเข็มขัด)
One of my cousin got the sack last month, so he has to tighten his belt.
(ญาติผมคนหนึ่งถูกไล่ออกเมื่อเดือนที่แล้ว ช่วงนี้เขาจึงต้องใช้จ่ายแบบรัดเข็มขัด)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
คล่องแคล่วว่องไวดุจสายฟ้า! ส่องความฉกาจ “ทาเครุ” ก่อนบู๊เดือดศึก ONE 165
เปิดคลังความเก่งฉกาจของนักชกซูเปอร์สตาร์แห่งแดนซามูไร “ทาเครุ เซกาวา” ที่ส่งให้เขาครองความยิ่งใหญ่ในวงการคิกบ็อกซิ่งโลกนานกว่าทศวรรษ ก่อนจะได้ชมทักษะอันน่าทึ่งนี้ในศึก ONE 165
“ทาเครุ เซกาวา” นักชกคิกบ็อกซิ่งดาวดัง วัย 32 ปี จากญี่ปุ่น ได้ฤกษ์ประเดิมผลงานไฟต์แรกใน ONE ในฐานะผู้ท้าชิงบัลลังก์ “ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9” แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต (125-135 ป.) วัย 28 ปี ขวัญใจชาวไทย ในศึก ONE 165 ที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 ม.ค.นี้ ณ อาริอาเกะ อารีนา กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มคู่แรกเวลา 15:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
สำหรับ “ทาเครุ” ถือเป็นหนึ่งในนักคิกบ็อกซิ่งที่เก่งที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ การันตีได้จากความสำเร็จบนสังเวียนที่คว้าเข็มขัดมาครองได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดล้วนแล้วมาจากฝีมือและชั้นเชิงอันร้ายกาจที่สามารถทำลายล้างคู่ชกตลอดเวลาที่อยู่บนเวที
โดยความร้ายกาจอันเป็นที่กล่าวขานของ “ทาเครุ” คือลูกเตะที่แคล่วคล่องว่องไวดุจสายฟ้าที่ได้มาจากการฝึกฝนวิชาคาราเต้มาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ซึ่งเขามักจะใช้การเตะนี้เป็นใบเบิกทางนำร่องไปสู่การออกอาวุธต่างๆ เพื่อเผด็จศึกคู่ชก โดยเฉพาะลูกเตะตัดล่างและบริเวณกลางลำตัวที่มีประสิทธิภาพรุนแรงจนคู่ชกไม่อาจประมาทได้
นอกจากลูกเตะที่เป็นจุดขายแล้ว “ทาเครุ” ยังมีหมัดโอเวอร์เฮดขวาและตามด้วยฮุกซ้ายซึ่งทั้งสองหมัดนี้รุนแรงจนสามารถใช้เป็นอาวุธเด็ดปิดเกมคู่ชกมาแล้วนักต่อนัก ซึ่งหากพูดกันตรงๆ ก็คงไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนอยากโดนหมัดสุดโหดของเขาสอยเข้าที่คางหรือกลางลำตัวอย่างแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาขึ้นแท่นกลายเป็นนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ นั่นคือสไตล์การชกที่สามารถเปลี่ยนจากการโจมตีในระยะไกลจากวงนอก ไปสู่การออกอาวุธแบบคลุกวงในอันทรงพลังได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคนิคนี้นอกจากจะทำให้คู่ต่อสู้เดาทางลำบากแล้ว ยังทำให้คู่ต่อสู้ต้องเลือกว่าจะป้องกันตรงไหน จนสุดท้ายกลายเป็นช่องโหว่ให้เขาได้ออกอาวุธโจมตี
แน่นอนว่าเทคนิคทั้งหมดทั้งมวลของ “ทาเครุ” ที่กล่าวมานี้ แฟนกีฬาการต่อสู้ทั่วโลกจะได้เห็นในการดวลเดือดกับ “ซุปเปอร์เล็ก” ในศึก ONE 165 ที่กำลังจะมาถึงอีกเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
สำหรับประเทศไทยสามารถรับชมศึก ONE 165 ได้ในรูปแบบเพย์-เพอร์-วิว (PPV หรือจ่ายเงินเพื่อรับชม) ราคาเพียง 99 บาท (เฉพาะผู้ชมในประเทศไทยเท่านั้น) โดยสามารถซื้อ PPV ล่วงหน้าได้แล้วที่ลิงก์นี้ >> https://visit.onefc.com/165GlobalPPV ดูวิธีการซื้อ >> 5 ขั้นตอนซื้อ PPV ชมสด “ซุปเปอร์เล็ก vs ทาเครุ” และซื้อบัตรเข้าชมในสนามผ่านทาง Rakuten Ticket
ติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของ ONE ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand, เว็บไซต์ ONEFC.com และอินสตาแกรม ONEChampTh
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบมากไม่แพ้เอดส์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ได้มีเพียงโรคเอดส์เท่านั้น แถมยังพบผู้ป่วยเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปีอีกด้วย จากสรุปรายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ประจำปี 2557 จากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข พบว่า
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญทั้ง 5 โรค ได้แก่
- โรคซิฟิลิส
อาการ : มีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า หรืออาจพบที่อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด หรือริมฝีปาก แผลอาจไม่เจ็บ และหายเองภายใน 1-5 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ในกระแสเลือด หากปล่อยต่อไปอาจมีผื่นสีน้ำตาลขึ้นตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่คัน หูดขึ้นบริเวณอับชื้น เช่น รักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ หรืออาจผมร่วงเป็นหย่อมๆ หากร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ เชื้ออาจทำลายอวัยวะภายใน เช่น หัวใจและหลอดเลือด สมอง ตาบอด หรือกระดูกหักง่าย - โรคหนองใน
อาการ : มีอาการระคายเคืองที่ท่อปัสสาวะ ปวดแสบเมื่อปัสสาวะ มีหนองสีเหลืองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ หากเป็นผู้หญิงอาจมีตกขาว หรือเลือดผิดปกติ - โรคหนองในเทียม
อาการ : เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคที่ไม่ใช่หนองในแท้ อาการที่พบคล้ายโรคหนองใน คือหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ และปวดแสบร้อนเมื่อปัสสาวะ ผู้ชายอาจรู้สึกปวดหน่วงที่อวัยวะเพศ และอัณฑะอักเสบ ผู้หญิงอาจปัสสาวะขัด ตกขาว ปวดท้องน้อย และเลือดออกเมื่อมีเพศสัมพันธ์ - โรคแผลริมอ่อน
อาการ : พบตุ่มนูน และเจ็บบริเวณเส้นสองสลึง หลังจากนี้จะมีแผลเล็กๆ ก้นแผลมีหนอง ขอบแผลนูนไม่เรียบ นุ่ม ไม่แข็ง ผู้ชายจะเจ็บมาก แต่ผู้หญิงอาจไม่เจ็บ จึงทำให้เกิดการติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่าย ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดเจ็บ หากแตกเป็นหนองจะเรียกว่าฝีมะม่วง - โรคฝีมะม่วง
อาการ : มีแผลที่อวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต มีหนองไหลออกมา นอกจากนี้ยังมีอาการท่อปัสสาวะอักเสบ และอาจมีหนองและเลือดออกมาจากรูทวาร เมื่อปวดเบ่งอุจจาระ
ที่น่าตกใจคือ พบว่าผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่ในช่วงอายุ 10-24 ปีเท่านั้น และอยู่ในอัตราสูงอีกด้วย ดังนั้นนอกจากตัวผู้อ่านเองแล้ว ควรหมั่นตรวจพฤติกรรมลูกหลานของท่าน ให้รู้จักการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรค และการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Charge+ เปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาขาแรกในไทย
Charge+ เปิดตัวสถานีชาร์จรถไฟฟ้าแห่งแรกในไทย พร้อมกางแผนเดินหน้าขยายสาขาในพื้นที่กทม. พัทยา ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องขยายตัวตาม ล่าสุด Charge+ ผู้ให้บริการโซลูชั่นการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากประเทศสิงคโปร์ ได้ประกาศรุกธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
สำหรับสาขาแรกของ Charge+ ให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระแสตรงหรือเเบบ DC ตั้งอยู่ ณ KFC Drive thru สาทร ซึ่งจุดชาร์จดังกล่าวสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 2 คันด้วย 2 หัวจ่ายไฟฟ้า และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระเเสตรงเเห่งนี้ มีกำลังไฟฟ้า 120 กิโลวัตต์ (เทอร์โบชาร์จ)
ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถดาวน์โหลดเเอพพลิเคชั่น Charge+ ได้เเล้ววันนี้ เเละสามารถใช้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้าได้ที่ KFC drive thru สาทรหรือสถานีชาร์จไฟฟ้าอีกกว่า 60 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมไปถึง เมืองพัทยา และ ในอนาคตอันใกล้นี้ทาง Charge+ มีเเผนจะเปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้ากระเเสตรง (DC) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เมืองภูเก็ตเเละอำเภอทับสะเเก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
นาย โก ชี กีอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Charge+ กล่าวว่า จากนโยบายการสนับสนุน อุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย ทำให้ประเทศกลายเป็นตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนี้
ในส่วนของ Charge+ ตั้งใจที่จะลงทุนในระยะยาวเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน ดังที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะพัฒนาจุดชาร์จไฟฟ้าต่างๆ ให้ครอบคลุมระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร นับตั้งเเต่ประเทศต้นทาง สิงคโปร์สู่เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีเเผนการทำ EV charging roaming หรือการให้บริการเชื่อมโยงการชาร์จไฟฟ้าข้ามเครือข่าย ที่จะเปิดให้บริการร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต
นายออง จือ บุน ประธานบริษัท Charge+ เผยว่า “ บริษัทฯมีพันธกิจสำคัญในการเร่งสร้างนวัตกรรมสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนับตั้งเเต่บริษัท Charge+ เริ่มก่อตั้งขึ้นปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ได้เปิดบริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไปเเล้วกว่า 1,500 จุด
“ประเทศไทยคือหมุดหมายที่ Charge+ ต้องการจะขยายจุดชาร์จไฟฟ้าให้ครอบคลุมผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และเรารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนเเปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย”
นอกจากนั้นแล้ว Charge+ ยังได้จับมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเเห่งประเทศไทย(EGAT) ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันเเละสนับสนุน Charge+ ในการขยายฐานการเชื่อมโยงระบบการชาร์จไฟฟ้าข้ามเครือข่าย เพื่อประโยชน์ต่อผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการเดินทางในระยะทางไกล เเละเพื่อรองรับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน Charge+มีจุดชาร์จ EV มากกว่า 1,500 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในสิงคโปร์ Charge+ เป็นผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด และตามเป้าหมายที่วางไว้ จะเปิดให้บริการจุดชาร์จไฟฟ้า 30,000 จุดภายในปี 2573 นอกจากนี้ Charge+ ยังถือเป็นผู้ให้บริการชาร์จแบบครบวงจรที่ให้บริการแก่กลุ่มที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สิ่งที่ควรรู้ก่อนทาน “ยาเขียว” ลดไข้แทน “พาราเซตามอล”
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมุนไพรดีๆ มากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคน โดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่นิยมทานยาสมุนไพรมากกว่ายาปฏิชีวนะ เพราะนอกจากสมุนไพรไทยส่วนใหญ่ราคาย่อมเยา หาซื้อได้ง่ายแล้ว ยังให้ผลดี และดีต่อสุขภาพ ไม่ตกค้างที่ตับอย่างที่หลายคนกลัวผลข้างเคียงของการทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ยาสมุนไพรปลอดภัยต่อร่างกายจริงหรือ แล้วมีประสิทธิดีเทียบเท่ากับการทานยาปฏิชีวนะจริงๆ หรือไม่
ยาเขียว VS ยาพาราเซตามอล
ยาเขียว
ยาเขียว จัดเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้กันมาอย่างยาวนานนับสิบปี มีสรรพคุณตามที่บันทึกไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2556 ว่า ช่วยบรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหายน้ำ บรรเทาอาการไข้จากหัด และอีสุกอีใส
อันตรายจากยาเขียว
แม้ว่ายาเขียวจะสามารถลดไข้ได้จริง แต่สามารถลดไข้ในรายที่ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงเท่านั้น นอกจากนี้ยาเขียวยังไม่มีงานวิจัยสนับสนุนที่แน่ชัด ไม่สามารถลดไข้ได้หลายประเภทเหมือนยาพาราเซตามอล ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายโรคไข้เลือดออก เพราะตัวยาอาจเข้าไปบดบังอาการของโรคไข้เลือดออก ทำให้ทราบสาเหตุของโรคที่แท้จริงได้ยากมากยิ่งขึ้น และยังต้องระมัดระวังในการใช้ยากับผู้ที่มีอาการแพ้เกสรดอกไม้ เพราะในตำรับยามีส่วมผสมของเกสรดอกไม้รวมอยู่ด้วย
หากผู้ป่วยทานยาเขียวมากถึง 3 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการไข้ที่แท้จริงต่อไป
ยาพาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอลเป็นหนึ่งในยาแก้ปวดที่อยู่ตำรับยาแผนปัจจุบัน มีสรรพคุณลดไข้ และบรรเทาอาการปวดได้ทั่วไป และสามารถใช้บรรเทาอาการไข้ของผู้ป่วยไข้เลือดออกได้
อันตรายจากยาพาราเซตามอล
การได้รับยาพาราเซตามอลในปริมาณมากเกินขนาด (150 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ของน้ำหนักตัวในคราวเดียวกัน) อาจทำให้ได้รับพิษมากขึ้น อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ เซื่องซึม รวมถึงตับ และไตอาจเป็นพิษ และทำงานผิดปกติได้
หากทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ติดต่อกัน 5 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการไข้ที่แท้จริงต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/01/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 34,200.00 | 34,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,215.00 | 33,579.40 | 34,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,993.50 | 30,221.46 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,772.00 | 26,863.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 997.00 | 15,114.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 775.00 | 11,749.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,295.00 | 34,792.20 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/01/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 37.05 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.58 | 34.58 | 35.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 35.24 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.39 | 34.39 | – | – | – | – | – | – | – | 34.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.74 | 48.34 | 49.54 | 48.34 | – | – | – | – | – | 43.74 |
เบนซิน 95 | 44.24 | – | – | – | 45.41 | – | 44.74 | 44.39 | – | 44.24 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 46.94 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |