แคมปัสคอนโดย่านรังสิตฮอต! CMCร่วมทุนโซเทสสึผุดคอนโดใกล้ม.กรุงเทพ
CMCร่วมทุนโซเทสสึ ยักษ์ใหญ่อสังหาฯญี่ปุ่น ลุยตลาดแคมปัสคอนโดย่านรังสิต นำร่องโปรเจกต์แรก วัน แบงค็อก สมาร์ท ซิตี้ เฟส 2 มูลค่า1.2พันล้านใกล้ ม.กรุงเทพ รังสิต
ปัจจุบันแคมปัสคอนโดยังคงเป็นเซ็กเมนต์ที่เติบโต จากดีมานด์ที่ต้องการสร้าง “Passive Income “ส่งผลให้บริษัทอสังหาฯแห่ผุดโครงการเพื่อช่วงชิงดีมานด์เช่า-ลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อ รังสิต ถือเป็นหนึ่งในทำเลยอดนิยมของทุกค่าย
ล่าสุดบริษัท พระยาพาณิชย์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ของบริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุน กับ บริษัท โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท 2 (ไทยแลนด์) จำกัด ในสัดส่วนการร่วมทุนร้อยละ 51 : 49 เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการวัน แบงค็อก สมาร์ท ซิตี้ เฟส 2 โดยผ่านบริษัท 3พีเจวี2 จำกัด
โครงการ วัน แบงคอก สมาร์ท ซิตี้ เฟส 2 เป็นโครงการเพื่อการพักอาศัย ชูจุดขายด้านทำเล ใกล้ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต โครงการประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัย ความสูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร รวมอาคารจอดรถ มีจำนวนห้องชุดรวมทั้งสิ้น 797 ห้อง มูลค่าโครงการรวม 1,200 ล้านบาทเพื่อ ตอบสนองกลุ่มลูกค้ากลุ่มนิวเจนในการอยู่อาศัยและตอบโจทย์นักลงทุนซื้อปล่อยเช่า
ทั้งนี้เนื่องจากผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในทำเลรังสิต เฉลี่ยประมาณ 6% ต่อปี กรณีนักลงทุนซื้อหลายยูนิตจะได้ส่วนลดเพิ่มขึ้นทำให้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าสูงขึ้นถึง8% ราคาค่าเช่าต่อเดือน 8,000-12,000 บาททำให้ดีมานด์แคมปัสคอนโดเติบโตทำเลรังสิตต่อเนื่อง เฉพาะ ม.กรุงเทพ มีจำนวนของนักศึกษามากกว่า 30,000 หมุนเวียนกันเข้ามาเรียนในทุก ๆ ปี
ที่สำคัญย่าน”รังสิต”ถือเป็นทำเลทองสำหรับการลงทุนแคมปัส คอนโด เนื่องจากมีจำนวนนักศึกษาและบุคลากรมีมากกว่า 40,000 คนและยังหน่วยงานราชการขนาดใหญ่ อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology: AIT) , โรงพยาบาล ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งมีบุคคลกรที่ต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมากเพียงพอที่จะรองรับซัพลายใหม่ที่เข้ามารวมทั้งราคาที่ดินไม่สูงเหมือนในกรุงเทพฯ ทำให้การพัฒนาโครงการในระดับราคาที่คนซือจับต้องง่ายเฉลี่ยคอนโดยูนิต1ล้านกว่าบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“PORCELA” ผุดนวัตกรรมกระเบื้องสุขภาพ-สิ่งแวดล้อมรับที่อยู่อาศัยยุคใหม่
“PORCELA” ผุดนวัตกรรมกระเบื้องสุขภาพ-สิ่งแวดล้อมรับที่อยู่อาศัยยุคใหม่ หลังแนวโน้มธุรกิจมุ่งเน้นความต้องการนวัตกรรมใหม่มากขึ้น บ้าน คอนโด ออฟฟิศสำนักงานเป็น Smart Home, Smart Building ยกระดับคุณภาพชีวิต
นางสาวปัญจมา เหล่าวิวัฒน์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทร่วมพัฒน์เซรามิค ผู้ผลิตและนำเข้ากระเบื้อง แบรนด์ PORCELA (พอร์ซเซล่า) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจที่อยู่อาศัยมีทิศทางมุ่งเน้นความต้องการนวัตกรรมใหม่ๆมากขึ้น บ้าน คอนโด ออฟฟิศสำนักงาน กลายเป็น Smart Home, Smart Building ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัยของผู้คน
ดังนั้น กระเบื้องที่จะตอบโจทย์ทิศทางการเติบโตดังกล่าวต้องเป็นกระเบื้องนวัตกรรมที่สามารถช่วยให้บ้านและอาคารกลายเป็น Smart Home, Smart Building ให้ได้ เช่น กระเบื้องที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน ช่วยส่งเสริมสุขภาพการอยู่อาศัยให้ปลอดภัยจากโรคร้าย ช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้น
และเป็นกระเบื้องที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ตลอดจนเป็นกระเบื้องที่ช่วยควบคุมงบประมาณ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้ด้วย
“เชื่อว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการคำนึงถึงความยั่งยืนทั้งของโลกและของผู้คน จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้แบรนด์ PORCELA มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเมื่อกระเบื้องดีต่อโลกและดีต่อคนแล้ว เท่ากับว่าผลิตภัณฑ์ของเราเป็นสิ่งที่ดีและตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยซึ่งลูกค้าทุกคนต้องการ และทำให้การที่ลูกค้า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ PORCELA เป็นการใช้ชีวิตที่คำนึงถึงความยั่งยืนของโลกและสิ่งแวดล้อม”
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์แบรนด์ PORCELA ทางบริษัทฯ ได้เข้าร่วมงานสถาปนิก’67 โดยจะนำเสนอ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นกระเบื้องนวัตกรรม ที่จะช่วยยกระดับการอยู่อาศัยได้ดีมากขึ้น ซึ่งจะคัดสรรมาจัดแสดงภายใต้แนวคิด Colosseum in the new Era หรือ โคลอสเซียมยุคใหม่
ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า Colosseum เป็นงานสถาปัตยกรรมที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จึงสอดคล้องและเข้ากันได้อย่างลงตัวกับงานสถาปนิก โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอจะมีการผสมผสานนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้าไปด้วย เพื่อให้ตอบโจทย์กับการใช้งานและความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24เม.ย. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 36.93 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าอยู่ในช่วง 36.80-36.85 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่เงินดอลลาร์ก็อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways วันนี้ ผู้เล่นในตลาfรอลุ้นประเมินเศรษฐกิจยูโรโซน ส่วนในฝั่งเอเชีย ลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24เม.ย. 2567 ที่ระดับ 36.93 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.07 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจช่วยชะลอโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง
อีกทั้ง เราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองค่าเงินในช่วงนี้มานัก เพื่อรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทั้ง GDP ไตรมาสแรกของปีนี้ และไฮไลท์สำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินและทิศทางเงินดอลลาร์ได้ ทำให้ เงินดอลลาร์ก็อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ไปก่อน
อย่างไรก็ดี เงินบาทจะยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เรามองว่า เงินบาทยังไม่สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปได้ง่ายนัก และประเมินว่า โซนแนวรับของเงินบาทก็อาจอยู่ในช่วง 36.80-36.85 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซน 37.00-37.10 บาทต่อดอลลาร์ ก็จะเป็นโซนแนวต้านในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในตลาดค่าเงิน ช่วงตลาดทยอยรับรู้การแถลงเกี่ยวกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงิน ในงานสัมนา Monetary Policy Forum หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า ธปท. อาจไม่ลดดอกเบี้ยในปีนี้ ทว่า หากมีการส่งสัญญาณว่า ธปท. ยังสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามความเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงตลาดค่าเงิน เพื่อหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะหากเงินเยนได้อ่อนค่าทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์
อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.80-37.05 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.87-37.07 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่สำรวจโดย S&P Global เดือนเมษายน ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้แข็งแกร่งมากอย่างที่ตลาดประเมิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ทั้งนี้ เงินบาทก็ยังไม่สามารถแข็งค่าต่อเนื่องไปได้มากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอจังหวะเงินบาทแข็งค่าในการทยอยเข้าซื้อ หรือเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นต่างชาติ หลังบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติต่างปรับคาดการณ์เงินบาทอ่อนค่าลงถึงระดับ 37.50-38 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 2-3
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ตามความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่คลี่คลายลงบ้าง จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ออกมาต่ำกว่าคาด ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งต่างก็ทยอยประกาศผลกำไรที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังเผชิญแรงขายในช่วงที่ผ่านมา ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว +1.20%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +1.09% หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นแรงของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ SAP +5.3%, Hermes +2.0% ตามความหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็คลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ยังคงออกมาดีกว่าคาด
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.60% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนอยู่ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจในทุกจังหวะการปรับตัวขึ้น (เน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip) โดยมี Risk-Reward ที่คุ้มค่ามากขึ้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานดัชนี PMI สหรัฐฯ
ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด สวนทางกับรายงานดัชนี PMI ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 105.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.6-106.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ
การย่อตัวลงบ้างของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ตามความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ลดลงไปบ้างนั้น ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) รีบาวด์ขึ้นสู่โซนราคาแถว 2,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ซึ่งการรีบาวด์ของราคาทองคำดังกล่าว ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจโดย Ifo (IFO Business Climate) ของเยอรมนี และยูโรโซน ในเดือนเมษายน
พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทาง ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า ECB จะเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ตั้งแต่การประชุมเดือนมิถุนายนนี้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งแม้ว่า ตลาดจะประเมินว่า BI อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.00% ทว่า ก็มีความเสี่ยงที่ BI อาจขึ้นดอกเบี้ย +25bps เพื่อช่วยประคองและรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) ได้
สำหรับในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตางานสัมนา Monetary Policy Forum ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้พอสมควรในช่วงนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.86-36.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.47 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 37.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่ากลับมา ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังจากที่ตัวเลข PMI รวมภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯ ปรับตัวลงมาที่ 50.9 ในเดือนเม.ย. (เบื้องต้น) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ จาก 52.1 ในเดือนมี.ค.
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.80-37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ในตะวันออกกลาง และตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แบดมินตันไทยซ้อมเข้มสู้โธมัส-อูเบอร์ คัพ “คุณหญิงปัทมา” เชื่อทีมหญิงเข้า 8 ทีม
ทัพแบดมินตันทีมชาติไทยซ้อมเข้มช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนบินลัดฟ้าสู่จีน ทำศึกแบดมินตันชิงแชมป์โลก 2024 ประเภททีมชายและทีมหญิง ช่วงสายวันพฤหัสบดี ที่ 25 เม.ย.นี้ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประมุขขนไก่ไทย เผยทีมหญิงได้ผู้เล่นประสบการณ์สูงที่ผ่านการรับใช้ชาติมาแล้วโชกโชนครบทีม เชื่อเข้า 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นอย่างน้อย ส่วนทีมชายที่เป็นดาวรุ่งเกือบทั้งชุด ต้องยอมรับเป็นรองคู่แข่งร่วมสาย แต่หวังทุกคนสู้เต็มที่
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของการแข่งขันทีมแบดมินตัน ชุดเตรียมทำศึก แบดมินตันประเภททีมชายและทีมหญิงชิงแชมป์โลก 2024 รายการ “โททาล เอนเนอร์ยีส์ บีดับเบิ้ลยูเอฟ โธมัส-อูเบอร์ คัพ ไฟนอลส์ 2024” ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27 เม.ย. – 5 พ.ค.2567 ที่เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสายการแข่งขันในประเภททีมหญิง อูเบอร์ คัพ รอบแบ่งกลุ่ม ทีมสาวไทย ดีกรีรองแชมป์เมื่อปี 2018 ในฐานะทีมวางอันดับ 4 อยู่ในสายบี ร่วมกับ ไต้หวัน, มาเลเซีย และ ออสเตรเลีย ส่วนทีมชาย ซึ่งจะลงแข่งขันในศึก โธมัส คัพ ในรอบแบ่งกลุ่ม ทีมชายไทยนั้น อยู่ในกลุ่มซี ร่วมกับ อินเดีย (แชมป์เก่า), อินโดนีเซีย (รองแชมป์เก่า) และ อังกฤษ
ล่าสุดทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย ประเภททีมหญิง 9 คน ประกอบด้วย “เมย์” รัชนก อินทนนท์ หญิงเดี่ยว มือ 11 ของโลก พร้อมด้วย “เม” ศุภนิดา เกตุทอง, “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์, “ครีม” บุศนันท์ อึ๊งบำรุงพันธุ์, “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล, “วิว” รวินดา ประจงใจ, “อันนา” นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด, “เกน” ลักษิกา กัลละหะ และ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาศ เหมือนวงศ์
รวมถึงนักกีฬาประเภททีมชาย 10 คน ประกอบด้วย “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยว มือ 8 ของโลก พร้อมด้วย “อิคคิว” พณิชพล ธีระรัตน์สกุล,”กาย” ณชกร ภู่ศรี, “บอส” ศรัณย์ แจ่มศรี, “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล, “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์, “ปุ้น” ธนดล พันธ์พานิช, “อเล็กซ์” วชิรวิทย์ โสทน, “ไอซ์” สิรวิชญ์ โสทน, “เปรม” ณัฐพัฒน์ ตฤณขจี ได้รวมทีมฝึกซ้อมร่วมกัน ที่สนามสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ถนนวิทยุ เมื่อ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับทำศึกชิงแชมป์โลก ประเภททีมชายและทีมหญิงอย่างเข้มข้น
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และ นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า ถึงตอนนี้ทีมนักกีฬาแบดมินตันไทยมีความพร้อมเต็มที่สำหรับการแข่งขันในศึกบีดับเบิ้ลยูเอฟ โธมัส-อูเบอร์ คัพ ไฟนอลส์ 2024 ที่เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทีมหญิง อูเบอร์ คัพ สาวไทยนั้นเป็นการรวมทีมของยอดฝีมือที่ดีที่สุด มีนักกีฬาที่มีประสบการณ์ในการรับใช้ทีมชาติมาแล้วครบทั้ง 9 คน เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้แต่ต้องไม่ประมาทคู่แข่งอย่าง ไต้หวัน และมาเลเซีย ก่อนจะไปลุ้นผลการประกบคู่ในรอบน็อคเอาท์ 8 ทีมกันต่อไป เชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์และการรวมพลังในการแข่งขันประเภททีมของสาวไทยจะมีโอกาสที่จะผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
ส่วนทีมชาย โธมัสคัพ นับเป็นการรวมทีมของบรรดานักกีฬาดาวรุ่งเกือบยกชุด อีกทั้งต้องอยู่ร่วมกลุ่มกับ อินเดีย (แชมป์เก่า) และทีมแกร่ง อินโดนีเซีย ต้องยอมรับว่าทั้งฝีมือและประสบการณ์ของนักกีฬาไทยนั้นเป็นรองคู่แข่งอยู่มาก แต่เชื่อว่าทุกๆคนจะแสดงฝีมือต่อสู้กับคู่แข่งเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับเกมระดับชิงแชมป์โลกเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขและพัฬนาฝีมือต่อไป
“อยากจะขอให้แฟน ๆ กีฬาชาวไทยร่วมใจกันส่งแรงเชียร์ให้กับทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยในการแข่งขันแบดมินตันประเภททีมชายทีมหญิงชิงแชมป์โลก โททาล เอนเนอร์ยีส์ บีดับเบิ้ลยูเอฟ โธมัส-อูเบอร์ คัพ ไฟนอลส์ 2024 ระหว่างวันที่ 28 เม.ย. – 5 พ.ค. นี้ ที่เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนักกีฬาไทยจะออกเดินทางจากประเทศไทย มุ่งหน้าไปจีน ในวันพฤหัสบดี ที่ 25 เม.ย.67 นี้ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 618 เวลา 10.50 น.” คุณหญิงปัทมา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับโปรแกรมการแข่งขันในศึกโธมัส-อูเบอร์ คัพ ไฟนอลส์ 2024 ในรอบแบ่งกลุ่ม แมตช์แรก ทีมชาย โธมัส คัพ ไทย พบศึกหนักอย่าง อินเดีย แชมป์เก่าเมื่อครั้งที่แล้ว ในวันเสาร์ที่ 27 เม.ย.67 เวลา 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ในขณะที่ทีมหญิงอูเบอร์ คัพ ทีมสาวไทย จะพบกับ ออสเตรเลีย ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 28 เม.ย.67 เวลา 7.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย แฟนๆแบดมินตันสามารถชมการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง SPOTV (689) , SPOTV 2 (690) และ True Sport 7 (686)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
โรคเนื้อเน่า หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน ระบาดหน้าฝน เสี่ยงเสียอวัยวะ-ชีวิต
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้ โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะระบาดในฤดูฝน ช่วงเกษตรกรลงดำนา ลุยโคลน การติดเชื้อมักมีอาการรวดเร็ว และรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง อาจนำมาซึ่งการสูญเสียอวัยวะและอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
โรคเนื้อเน่า หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน คืออะไร ?
นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคเนื้อเน่า หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว หรืออาจเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลาย ๆ ชนิดพร้อมกัน พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผลหรือรักษาใด ๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้ ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถสร้างเอนไซด์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไป ทำให้มีการกระจายของเชื้อไปได้อย่างรวดเร็วในชั้นใต้ผิวหนังภายในระยะเวลาไม่นานนัก
กลุ่มเสี่ยงโรคเนื้อเน่า
โรคเนื้อเน่าพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดพบมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งโรคดังกล่าวได้แก่
- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจ
- โรคตับแข็ง
- โรคมะเร็ง
- โรคไตวาย
- คนที่มีภาวะกดภูมิจากการใช้สารสเตียรอยด์
- คนที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
- คนที่มีปัญหาของหลอดเลือดบริเวณขา
- คนอ้วน
- คนสูบบุหรี่
- คนที่ติดแอลกอฮอล์
อาการโรคเนื้อเน่า
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการดังนี้
- ผิวหนังบวม แดง ปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ
- ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะบวมแดง หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ
- พบมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง
- มีการตายของชั้นใต้ผิวหนังและผิวหนังบริเวณดังกล่าว
- เมื่อเป็นมากขึ้นเชื้อจะทำลายเส้นประสาท ทำให้อาการปวดที่พบในตอนแรกหายไป กลายเป็นชาบริเวณผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อตามมาแทน
- อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ถ้าเป็นมากอาจมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
- กรณีไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวลดน้อยลง ช็อค และเสียชีวิต การรักษาต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว
การรักษาโรคเนื้อเน่า
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่สงสัยโรคนี้ควรนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยการรักษาหลักคือการผ่าตัดให้ลึกจนถึงชั้นฟาสเชีย คือชั้นพังผืดที่ห่อหุ้มชั้นกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของร่างกายและเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่ตายออก ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ซึ่งมักต้องให้ร่วมกันหลายชนิดเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค มีการให้สารอาหารอย่างเพียงพอในระหว่างการรักษา และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ บางครั้งถ้าการติดเชื้อลุกลามมากอาจต้องมีการตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้
การป้องกันโรคเนื้อเน่า
- ระมัดระวังดูแลทำความสะอาดบาดแผลบริเวณผิวหนัง
- ไม่แกะเกาบริเวณผื่นหรือแผลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อลดโอกาสของการเกิดโรคดังกล่าว
- หมั่นสังเกตตนเอง ถ้าพบว่ามีบาดแผล ที่มีอาการปวดบวมแดง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ บริเวณแผล ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาก่อนที่โรคจะมีการลุกลามติดเชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำความรู้จัก Direct Speech และ Indirect Speech คืออะไร?
เรื่องเกี่ยวกับ Direct และ Indirect Speech เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำเอาหลายคนยังงงๆ กับการใช้อยู่ แต่รู้ไหมว่าถ้าเราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะก็ เราจะสามารถเล่าเรื่อง ถ่ายทอด หรืออ้างอิงเรื่องราวต่างๆ ที่คนอื่นพูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นด้วยล่ะ ถ้าอย่างงั้นอย่ารอช้า เรามาทำความรู้จักกับ Direct และ Indirect Speech กันดีกว่า
Direct Speech
Direct speech คือ การยกเอาคำพูดของคนอื่นมาพูดซ้ำอีกครั้งแบบตรงๆ โดยไม่มีการต่อเติม หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประโยค โดยสิ่งที่พูดถึงอาจจะเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือจะเป็นการเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังทีหลังก็ได้ ซึ่งในการเขียนประโยคภาษาอังกฤษเราจะใส่เครื่องหมายคำพูด หรือ เครื่องหมาย Quotation mark แบบนี้ “…..” เอาไว้ ตัวอย่างเช่น
John said, “I like biology.” หรือจะสลับตำแหน่งเป็น “I like biology,” John said
*ข้อสังเกต* หลังประโยคหลักที่บ่งบอกว่าใครเป็นผู้พูดจะถูกคั่นด้วยเครื่องหมาย ( , ) comma เสมอและประโยคที่อยู่หลังเครื่องหมาย Quotation mark จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ แต่ถ้าสลับตำแหน่งกันแบบในตัวอย่างข้างต้น ตัวเครื่องหมาย comma จะมาอยู่ก่อนปิดเครื่องหมาย quotation mark แล้วจึงตามด้วยผู้พูด
Indirect Speech
Indirect Speech คือ อีกรูปแบบหนึ่งของการนำเรื่องไปเล่าต่อ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรูปประโยค ซึ่ง Indirect Speech สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- Indirect speech – statement คือ การรายงานประโยคแบบบอกเล่าหรือปฏิเสธ
- Indirect speech – commands, requests and suggestions คือ การรายงานประโยคที่เป็นประโยคขอร้อง ประโยคคำสั่ง หรือ ขออนุญาต
- Indirect speech – question คือ การรายงานประโยคที่เป็นคำถาม
หลักการเปลี่ยน Indirect Speech
หลังจากทำความรู้จัก Direct Speech และ Indirect Speech แล้ว เรามาดูกันต่อดีกว่าหลักการเปลี่ยนประโยคคำพูดให้เป็น Indirect Speech นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เปลี่ยน Direct statement (ประโยคบอกเล่าหรือปฎิเสธ) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนในข้อนี้คือ ตัดเครื่องหมาย ( , ) comma ออก เอาเครื่องหมายคำพูด Quotation mark ออก แล้วเติม that เข้าไปหลัง Reporting Verbs หรือจะใช้เป็นการเปลี่ยนคำระบุเวลาและสรรพนามให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่น
She said, “I will submit my homework tomorrow.” (Direct speech)
She said she would submit her homework the following day. (Indirect speech)
เปลี่ยน Commands, requests and suggestions (คำสั่ง อนุญาต เสนอแนะ และขอร้อง) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนรูปประโยคในข้อนี้จะคล้ายกับ statement แต่จะต่างกันตรงที่มีการใช้กริยานำ อย่างคำว่า tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง) และ command/commanded (สั่ง) เข้ามา แล้วเปลี่ยนสรรพนามให้เหมาะสม และหากมีคำว่า Please ในประโยคก็ให้ตัดออกด้วย ตัวอย่างเช่น
He asked, “Please let me go to the movie.” (Direct Speech)
He asked me to let her go to the movie. (Indirect Speech)
เปลี่ยน Direct Question (ประโยคคำถาม) เป็น Indirect Speech
หลักการเปลี่ยนประโยคำถามแบบ Yes/No Question ให้เป็น indirect speech ทำได้โดยการตัดดเครื่องหมาย ตัดเครื่องหมาย ( , ) comma ออก เปลี่ยนกริยานำ Reporting Verb จาก say, said, told เป็น ask, asked (ถาม), inquire, inquired of (สอบถาม)
ส่วนประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Verb to do, to have, to be, และกริยาช่วย (Auxiliary verbs) Will จะใช้ if, whether, whether…or not หรือ whether or not ในการเชื่อมประโยคแทน และจะไม่ใส่เครื่องหมาย ? ท้ายประโยค
และประโยคคำถามที่ขึ้นด้วย Wh-Questions อย่าง What, Where, When, Why, Who, Whom, Whose และ How สามารถใช้คำเหล่านี้เป็นตัวเชื่อมประโยคได้เลย ตัวอย่างเช่น
He asked, “Can I borrow your pen?” (Direct Speech)
He asked if he could borrow my pen (Indirect Speech)
Is he a doctor?(Direct Speech)
I don’t know if he is a doctor.. (Indirect Speech)
Who is she? (Direct Speech)
Do you know who she is? (Indirect Speech)
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ข้อดีของการชาร์จแบตมือถือแค่ 80% ที่คุณไม่เคยรู้
การชาร์จแบตมือถือหลายคนอาจจะมีความเข้าใจว่า ต้องเต็ม 100% ตลอดสิถึงจะดี แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างงั้น เพราะหลายๆ ค่ายก็ออกมาบอกว่า ชาร์จแบตมือถือ 80% ก็พอแล้ว เพราะอะไร วันนี้ Sanook Hitech มีคำตอบ
ข้อดีของการชาร์จแบตมือถือแค่ 80%
1. ยืดอายุแบตเตอรี่ได้จริง
เนื่องจากแบตเตอรี่ของมือถือเป็นแบบ ลิเธียม โดยมากแล้วแบตเตอรี่แบบนี้จะมีจุดอ่อนคือเรื่องความร้อนหากแบตเตอรี่ไกลเต็มมักจะเกิดความร้อนส่งผลต่ออายุได้ และรวมถึงรอบการชาร์จ หากปล่อยให้หมดบ่อยๆ แล้วชาร์จจะทำให้อายุสั้นลง
การชาร์จไฟ 80% จะทำให้ลดความเครียดของแบตเตอรี่และใช้งานได้
2. ชาร์จแค่ 80% ปลอดภัยกว่า
อย่าลืมว่าแบตเตอรี่เป็นการเก็บประจุไฟถ้าเกิดความร้อนทั้งการชาร์จและสภาพแวดล้อมก็เสี่ยงที่จะระเบิดได้ การชาร์จไฟให้เต็มอยู่ตลอดและทิ้งไว้ก็เป็นความเสี่ยงหนึ่งที่น่ากลัวเหมือนกันครับ
3. ประหยัดค่าไฟในตัว
เพราะการชาร์จไฟแบตเตอรี่แบบเต็มตลอดจะเสียค่าไฟเรื่อยๆ ดังนั้นการที่หยุดชาร์จก่อนเต็มก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยคุณประหยัดไฟได้เช่นเดียวกัน
4. วิธีอื่นๆ ที่ทำให้แบตเตอรี่มือถืออยู่ได้นาน
นอกจากการชาร์จไฟมือถือแค่ 80% แล้วยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องรู้เพื่อให้มือถือใช้งานได้นานเช่น
- หลีกเลี่ยงการใช้งานมือถือในขณะที่ชาร์จ
- ถอดปลั๊กชาร์จเมื่อแบตเตอรี่เต็ม
- หรือใช้ฟีเจอร์ Optimized Battery Charging บนมือถือบางรุ่น
- ซึ่งจะช่วยควบคุมการชาร์จให้เหมาะสม
- และป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่ชาร์จจนเต็ม 100% อยู่เสมอ
- เก็บมือถือไว้ในที่อุณหภูมิที่เหมาะสม
- ไม่ควรให้มือถือร้อนหรือเย็นจัดเกินไป
5. เวลาไหนที่เราควรจะชาร์จไฟเต็ม 100%
ไม่ใช่ว่าการชาร์จไฟเต็ม 100% ไม่ได้เป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป แต่การชาร์จไฟเต็มเหมาะกับการเดินทางไกลๆ เพราะคุณอาจจะหาที่ชาร์จไฟไม่ได้ การอัดประจุให้เต็ม ก็เป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อุปกรณ์จะไม่มีพลังงานได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ เราควรสำรองกับแบตเตอรี่เสริมหรือ Power Bank จะดีกว่า
ดังนั้นอายุการใช้งานของมือถือของคุณจะยาวนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคุณเองว่าจะปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับเครื่องหรือไม่เช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 อาหารลดปัญหาผิวแห้งเป็นขุย แถมเติมความชุ่มชื้นให้ผิวนุ่มลื่นจากภายใน
ปัญหาผิวแห้งลอกเป็นขุย ถือเป็นหนึ่งในอาการของผิวที่ทำให้สาวๆ หลายคนเป็นกังวลอย่างมาก เพราะอาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผิวพรรณไม่สวยใสเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับอาการคันร่วมด้วย สำหรับสาวๆ ที่กำลังเจอกับปัญหาผิวแห้งลอกเป็นขุยอยู่ วันนี้เราขอแชร์อาหาร 5 ชนิดที่แนะนำให้กินเพื่อลดปัญหาผิวแห้งลอกเป็นขุยดังนี้ค่ะ
5 อาหารลดปัญหาผิวแห้ง
1.แตงกวา
แตงกวาคืออาหารที่ช่วยลดปัญหาผิวแห้งได้ดีมากๆ เนื่องจากมีสารประกอบของน้ำมากถึง 287 กรัมเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีวิตามิเอ วิตามินซี วิตามินเค แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ซีลีเนียม ฟอสฟอรัส สังกะสี โฟเลต ใยอาหาร และกรดไขมันโอเมก้า3 โดยสารอาหารเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเรา อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีอีกด้วย
2.อะโวคาโด
อะโวคาโดคืออาหารที่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค โฟเลต หรือกรดไขมันโอเมก้า3 ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีความสามารถในการช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อของผิวหนัง พร้อมทั้งช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิว ดังนั้นจึงทำให้ผิวมีความอ่อนนุ่ม พร้อมทั้งช่วยลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
3.ทับทิม
ทับทิมคืออาหารที่มีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ และยังมีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการทำลายผิวอีกด้วย โดยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ช่วยลดการระคายเคือง ช่วยลดการอักเสบ และช่วยลดอาการคัน นอกจากนี้ในทับทิมยังอุดมไปด้วยน้ำ วิตามินเอ วิตามินซี และแร่ธาตุอีกหลายชนิด ดังนั้นจึงสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิว และช่วยรักษารอยแตกที่เกิดจากการที่ผิวแห้งกร้านได้ด้วยเช่นกัน
4.กล้วย
กล้วยคืออาหารที่สามารถลดปัญหาผิวแห้งลอกเป็นขุยได้ดีเช่นกัน เนื่องจากกล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี ทองแดง สังกะสี เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม โฟเลต ฟอสฟอรัส ใยอาหาร ไนอาซิน ไทอามิน และไรโบฟลาวิน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนช่วยล้างสารพิษและช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาสุขภาพดีได้อีกครั้ง ดังนั้นถ้าสาวๆ มีปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณ แนะนำให้หมั่นกินกล้วยทุกวันในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยทำให้ผิวมีความเปล่งปลั่งและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติได้
5.ปลา
ปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเฮอร์ริ่ง หรือปลาคอด ล้วนอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า3 และกรดไขมันโอเมก้า6 ซึ่งกรดไขมันเหล่านี้มีส่วนช่วยลดการอักเสบ ช่วยล้างสารพิษ และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงช่วยทำให้ผิวของสาวๆ มีความนุ่มนวลและเปล่งปลั่ง อีกทั้งปลาเหล่านี้ยังถือเป็นแหล่งของสารอาหารที่ดีที่ช่วยให้เซลล์ภายในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
สาวๆ ที่กำลังเป็นกังวลกับปัญหาผิวแห้งลอกเป็นขุย แนะนำให้หมั่นกินอาหาร 5 ชนิดที่เราได้กล่าวไปข้างต้นกันค่ะ ซึ่งนอกจากอาหารเหล่านี้จะสามารถหากินได้ง่ายแล้ว ยังให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลากหลายด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/04/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,500.00 | 40,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,623.00 | 39,764.68 | 41,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,360.70 | 35,788.21 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,098.40 | 31,811.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,180.00 | 17,888.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 918.00 | 13,916.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,718.00 | 41,204.88 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/04/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.95 | 39.95 | 40.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 39.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.88 | 38.88 | 39.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 | 38.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.84 | 37.84 | 38.84 | 37.84 | 37.84 | – | 37.84 | 37.84 | 37.84 | 37.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.59 | 37.59 | – | – | – | – | – | – | – | 37.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 47.64 | 49.44 | 49.94 | 49.44 | – | – | – | – | – | 47.64 |
เบนซิน 95 | 47.84 | – | – | – | 49.01 | – | 48.34 | 47.99 | – | 47.84 |
ดีเซล B7 | 30.94 | 30.94 | 31.54 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
ดีเซล | 30.94 | 30.94 | – | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
ดีเซล B20 | 30.94 | 30.94 | – | – | 30.94 | – | – | – | – | 30.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.94 | 45.14 | 45.94 | 45.14 | 45.14 | – | – | – | – | 42.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |