ส่องตลาดมือสอง “บ้าน-คอนโด” ขายคล่องสวนทางมือหนึ่ง
นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย (THAI RESAM) เผยสถานการณ์ตลาดบ้าน-คอนโดมือสอง เผยขายคล่องสวนทางบ้านมือหนึ่ง แนะต้องดึงเงินใหม่ต่างชาติช่วยฟื้นตลาดอสังหาฯ
ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งรายใหญ่ รายย่อยต่างประสานเสียงกันออกมาว่า มีปัญหา ยอดขายวูบไปถึง 32% ในปี 2567 จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)
รายการ “เข้าเรื่อง” เผยแพร่ทางช่อง ยูทูปฐานเศรษฐกิจ ได้สนทนากับนายปรีชา ศุภปีติพร นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย (THAI RESAM) เพื่อเช็กตลาดบ้านมือสอง ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรในภาวะหนี้ครัวเรือนพุ่ง อัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงเช่นนี้
นายกสมาคมTHAI RESAM เปิดเผยว่าสถานการณ์บ้านมือสอง ยังขายได้เรื่อยๆ แม้ราคาไม่หวือหวามากนัก แต่ไม่ได้มีปัญหาเหมือนบ้านมือหนึ่ง เพราะบ้านมือหนึ่งนั้น ผู้ซื้อมักกู้ไม่ผ่าน โดยเฉพาะบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3,000,000 บาท ที่มักจะเป็นกลุ่ม First Jobber ซึ่งอาจมีหนี้ต่อคนในระดับสูง เช่นหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น
นอกจากนี้บ้านมือสองมักอยู่ในทำเลที่อยู่ในเมืองหรือชุมชน ซึ่งผู้ซื้อมีความต้องการซื้อสูงอยู่แล้ว โดยกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อบ้านมือสอง มักเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมสูง ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริง อาจเป็นการเปลี่ยนที่อยู่จากคอนโดมาเป็นบ้าน หรือทาวน์โฮม มักมีการเตรียมความพร้อมเผื่อการขอสินเชื่อมาแล้ว มีประสบการณ์ในการขอสินเชื่อมาก่อน
ปริมาณบ้านมือสองเองในแต่ละทำเลก็มีไม่มาก หากเปรียบเทียบในเชิงปริมาณ ที่อยู่อาศัยมือหนึ่ง อาจมีปริมาณคงค้างอยู่ที่ 230,000 หน่วย/ปี ในขณะที่บ้านมือสอง อาจมีปริมาณอยู่เพียง 140,000-150,000 หน่วย/ปี โดยบ้านมือสองราคาต่ำกว่า 3 ล้าน พบว่า มีออกสู่ตลาดน้อยลง ต่างกับบ้านมือสองที่ราคามากกว่า 10ล้าน ที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น
ตัวเลขตรงนี้อาจเป็นนัยยะว่า กลุ่มคนที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนอาจเริ่มเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้นไป จึงต้องการปล่อยขายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายหรืออาจเป็นไปได้เช่นกันว่ากลุ่มนี้ต้องการขยับขยายที่อยู่อาศัยที่ราคาสูงขึ้น
การที่บ้านมือสองราคาต่ำกว่า 3ล้านออกสู่ตลาดน้อย เป็นเพราะว่า พื้นที่ในเมืองเมื่อขายแล้วก็หมดไป ดังนั้น บ้านมือสองราคาต่ำกว่า 3ล้านบาทจึงแทบไม่มีในตลาด เพราะหากมีการปล่อยขายจะขายออกเร็วอย่างมาก จึงเป็นข้อแตกต่างระหว่างบ้านมือหนึ่ง ราคาต่ำกว่า 3ล้านบาท ที่อาจมีสต็อกเหลือค่อนข้างมาก เพราะ ธนาคารปล่อนสินเชื่อน้อย ขณะที่บ้านมือสอง ราคาต่ำกว่า 3 ล้านที่สามารถขายได้อย่างรวดเร็ว จนแทบหาไม่ได้ตามทำเลในเมือง
การตั้งราคาบ้านมือสองมีข้อจำกัดจากราคาของบ้านมือหนึ่ง ฉะนั้นบ้านมือสองจึงเป็นทางเลือกของคนที่เอื้อมไม่ถึงราคาของบ้านมือหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม หากมีบ้านมือสองในทำเลกลางเมืองระดับราคาต่ำกว่า 10ล้านบาท ก็ยังมีความต้องการซื้ออยู่ (demand) เพียงแต่ในช่วงนี้ผู้ซื้อค่อนข้างใช้เวลาในการตัดสินใจ และต่อรองมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดที่ไม่ค่อยเป็นใจ
นายปรีชากล่าวถึงเสียงสะท้อนจากกลุ่มชาวต่างชาติว่า ปัญหาของการที่ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย เช่น กลุ่มที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ ที่ต้องรายงานต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทุก 90 วัน ซึ่งมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก และใช้เวลานาน จึงเห็นว่า ควรมีการปรับปรุงให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆในการดึงดูดชาวต่างชาติได้
หากทำให้กระบวนการตรวจสอบเหล่านี้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ก็จะเป็นการปิดช่องโหว่ของการอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมาย หรือกลุ่มทุนผิดกฎหมายต่างๆลงได้ด้วย ดังนั้นจึงควรต้องสร้างความสมดุลระหว่างความถูกต้องและความสะดวกสบายให้อยู่ในระดับมาตรฐานโลก หากต้องการที่จะแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้
สำหรับชาวต่างชาติที่ซื้ออาคารชุดในประเทศไทย ควรมีการพิจารณาออกวีซ่า 10ปี ให้กับชาวต่างชาติกลุ่มนี้ หรืออาจกำหนดมูลค่าของห้องชุดที่จะได้รับวีซ่า 10ปีเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติกลุ่มที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว มีสัญญาจ้างถูกต้อง (Expat) ซึ่งเงินส่วนนี้ ควรต้องสามารถนำมาซื้ออาคารชุดได้ ด้วยการเปิดบัญชี Non-resident Baht Account เพื่อที่จะสามารถขอหนังสือรับรองมาใช้ในการโอนกรรมสิทธิ์ได้ แต่ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์หลายแห่งไม่มีความเข้าใจในข้อกฎหมายเหล่านี้ จนนำไปสู่การไม่ได้อำนวยความสะดวกให้การเปิดบัญชีลักษณะนี้
ฉะนั้นหากผู้ให้บริการธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างความรู้ความเข้าใจในส่วนนี้ และเพิ่มการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้ากลุ่มนี้ ก็จะเป็นการเพิ่มช่องทางให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาประกอบอาชีพ มีรายได้ในประเทศไทยสามารถซื้อคอนโดมิเนียมได้ โดยที่ไม่ต้องโอนเงินออกไปต่างประเทศ แล้วโอนเงินกลับเข้ามาอีกรอบหนึ่งทำให้เสียค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม(Transaction)จำนวนมาก และอาจเกิดกระบวนการใต้ดินขึ้นมาได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
งบฯ 2024 สหรัฐจ่อขาดดุลหนักรอบ 40 ปี หลังคนแก่ล้นเมือง-ค่ารักษาทะยาน
- งบฯ สหรัฐจ่อขาดดุลอย่างหนัก เกือบ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 6.6% ของจีดีพีในปีงบประมาณ 2024
- เดโมแครตและรีพับลิกันโยนความผิดให้กันและกัน
- สาเหตุหลักของการขาดดุลมาจาก การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน เช่นรัฐสวัสดิการ, ต้นทุนดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น
สหรัฐอเมริกากำลังจะมีการขาดดุลงบประมาณรัฐบาลกลางสูงที่สุด ซึ่งเป็นการขาดดุลที่อยู่นอกช่วงวิกฤต ไม่ว่าจะเป็น โควิด-19 วิกฤตการเงินโลก หรือสงครามโลกครั้งที่สอง การขาดดุลที่สูงเป็นอย่างมากเช่นนี้เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มเติมในการโยนความผิดของแต่ละพรรคในช่วงเลือกตั้ง โดยรีพับลิกันประณามการใช้จ่ายที่ควบคุมไม่ได้ของพรรคเดโมแครต ส่วนเจ้าตัวเองก็โต้กลับว่าตัวการสำคัญคือการลดภาษีของพรรครีพับลิกันที่ทำให้รายได้ลดลงต่างหาก
การขาดดุลสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. จะมีมูลค่าเกือบ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 6.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตามการคาดการณ์ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์โดยสำนักงบประมาณและการบริหารแห่งสหรัฐอเมริกา (US Office of Management and Budget) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ทำเนียบขาว ส่วนการประมาณการจากสำนักงบประมาณของรัฐสภา (Congressional Budget Office) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระคาดว่าการขาดดุลจะกว้างกว่านั้นที่ 6.7%
ด้านรายได้ของรัฐบาลจะแตะระดับ 17.6% ของจีดีพีในปีนี้ ตามตัวเลขของสำนักงบประมาณและการบริหาร (OMB) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 17.2% ที่ทางการสหรัฐบันทึกไว้ระหว่างปี 1984 ถึง 2023 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายโดยรวมมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวมากขึ้นไปอีก โดยอยู่ที่ 24.2% เทียบกับ 21.1% ข้อมูลเหล่านี้ดูเหมือนจะสนับสนุนข้อโต้แย้งของพรรครีพับลิกันที่ว่าการใช้จ่ายที่สูงขึ้นเป็นต้นเหตุของปัญหา
ทว่าเมื่อพิจารณาอย่างละเอียด จะเห็นภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กเผยว่า ปัญหาไม่ได้มาจากรายจ่ายที่ทำเนียบขาวและรัฐสภาต้องตกลงกันในแต่ละปีสำหรับจัดทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันประเทศ การศึกษา สวนสาธารณะ และความช่วยเหลือด้านโภชนาการ ที่ 6.4% ของจีดีพี เพราะการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย (Discretionary Spending) ในงบประมาณปัจจุบันคาดการณ์ว่าจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 40 ปีที่ 7.5%
แต่การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นมาจาก “ปัจจัยที่อยู่นอกเหนือกระบวนการจัดทำงบประมาณ” ตามคำกล่าวของ ไช อาคาบัส ผู้อำนวยการบริหารของโครงการ Bipartisan Policy Center
“ส่วนใหญ่แล้วมันการจัดงบประมาณถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ”
โดยทั่วไปแล้ว มีสาเหตุหลักอยู่สองประการ: การใช้จ่ายตามรายการที่ยากจะลดทอน หรือที่เรียกว่าสิทธิประโยชน์ของประชาชนรวมถึงต้นทุนดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะ
ทั้งนี้ รายจ่ายที่ยากต่อการลดถอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะถึง 14.6% ของจีดีพีในปีงบประมาณนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 40 ปีถึง 3% เต็ม
การเติบโตนี้ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยประกันสังคมและโครงการดูแลสุขภาพที่ขยายตัวตามจำนวนชาวอเมริกันอายุ 65 ปีขึ้นไปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสำนักงานประกันสังคมประมาณการว่าจะมีผู้รับผลประโยชน์มากกว่า 67 ล้านคนในปี 2024 เพิ่มขึ้นมากกว่า 8 ล้านคนนับตั้งแต่ปี 2015
การเพิ่มขึ้นของชาวอเมริกันสูงอายุ ควบคู่ไปกับค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพที่สูงขึ้น เป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายในโครงการด้านสุขภาพของรัฐบาลกลาง โดยรายจ่ายสำหรับโครงการด้านสุขภาพที่สำคัญคาดว่าจะถึง 5.8% ของจีดีพี ในปี 2024 ตามการวิเคราะห์จากสำนักงบประมาณของรัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรอิสระ เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย 3.4% ระหว่างปี 1974 ถึง 2023
ในขณะเดียวกัน การชำระหนี้สาธารณะจำนวน 27.8 ล้านล้านดอลลาร์ก็พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อในเดือนมี.ค. 2022 อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่รัฐบาลจ่ายสำหรับพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเป็น 3.3%
ด้าน OMB คาดการณ์ว่าการจ่ายดอกเบี้ยสุทธิจะเท่ากับ 3.2% ของจีดีพีในปี 2024 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1991 อเล็กซ์ บริลล์ นักวิชาการอาวุโสจากสถาบัน American Enterprise Institute กล่าวว่า “เนื่องจากหนี้มีจำนวนมากตัวเลขจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเราไม่มีเงินสำรองรองรับ”
ในปีงบประมาณ 2024 รายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล และภาษีเงินเดือน คาดว่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจีดีพีสำหรับทั้งสามประเภท
ทว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการลดภาษีที่โดนัลด์ ทรัมป์ดำเนินการในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีนั้นเริ่มออกดอกผลตามที่พรรครีพับลิกันมักจะกล่าวอ้าง แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ได้ศึกษาผลกระทบของพระราชบัญญัติการลดภาษีและการจ้างงาน (Tax Cuts and Jobs Act) ปี 2017 หรือ TCJA พบว่าการลดภาษีทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้มากกว่าเงินที่ได้รับเข้ามาจากนโยบายดังกล่าว
แต่เป็นปัจจัยอื่นๆ เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและอัตราการว่างงานที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และส่งผลให้เกิดรายได้จากภาษีที่มากขึ้น รวมทั้งอัตรากำไรของบริษัทต่างๆ พุ่งสูงขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากบริษัทมีอิสระมากขึ้นในการขึ้นราคา ซึ่งก็ส่งผลให้รายได้ภาษีเพิ่มขึ้นด้วย
พรรครีพับลิกันต้องการให้การลดภาษีบุคคลธรรมดาในพระราชบัญญัติการลดภาษีและการจ้างงานกำลังจะหมดอายุในปีหน้าเป็นมาตรการถาวร แต่สมาชิกพรรคเดโมแครตบางท่านต้องการคงมาตรการลดภาษีไว้เฉพาะสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่จะเพิ่มอัตราภาษีสำหรับบริษัทและผู้มีรายได้สูง
ด้านไมเคิล เฟโรลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐของ JPMorgan Chase & Co. กล่าวว่า การไม่ยอมให้พระราชบัญญัติการลดภาษีและการจ้างงานหมดอายุจะทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลงอย่างต่อเนื่องและทำให้การคาดการณ์การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐในอีก 10 ปีข้างหน้าแย่ลง โดยการแก้ไขปัญหาเพื่อลดช่องว่างนี้จะต้องใช้วิธีการผสมผสานระหว่างการเพิ่มรายได้ผ่านการขึ้นภาษีและการลดรายจ่ายภาคบังคับ ไม่ใช่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
เขากล่าวต่อว่า “มีหลายวิธีที่สามารถ ‘แก้ไขปัญหาของประกันสังคม’ ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพนั้นแก้ยากกว่าปัญหาของประกันสังคมเล็กน้อย แต่ก็ยังมีทางเลือกอื่นๆ เช่นกัน”
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีแผนการอย่างเป็นทางการปรับปรุงระบบประกันสังคม ซึ่งนักคณิตศาสตร์ประกันภัยคาดการณ์ว่าจะมีเงินไม่เพียงพอที่จะจ่ายผลประโยชน์เต็มจำนวนในปี 2033 หรือโครงการ Medicare ซึ่งอาจประสบปัญหาในปี 2036
ด้านสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายท่านสนับสนุนการตัดลดผลประโยชน์บางส่วนหรือการเพิ่มอายุผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับสวัสดิการ ในขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตส่วนหนึ่งเสนอให้เพิ่มภาษีสำหรับคนรวยเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับโครงการเหล่านี้
ขณะที่ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กในเดือนมิ.ย.ว่า การขอให้ครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์จ่ายภาษีประกันสังคมเพิ่มขึ้น “ดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผล” ในการแก้ไขปัญหานี้
ทั้งนี้ แนวโน้มของสถานะการเงินสาธารณะของอเมริกา ซึ่งเป็นคาดการณ์ที่สำนักงบประมาณของรัฐสภาเผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้วแสดงให้เห็นการขาดดุลสะสมจำนวน 22.1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับทศวรรษตั้งแต่ปี 2025 ถึง 2034
โดยปัญหานี้กำลังกลายเป็นแหล่งที่มาของความกังวลที่ขยายวงกว้างไปนอกประเทศ จนกระทั่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐว่าดำเนินนโยบายแบบขาดดุลมากเกินไป โดยระบุว่าการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้ของประเทศที่ตามมานั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
ท้ายที่สุด นักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐกำลังส่งสัญญาณเตือนด้วยเช่นกันคาเรน ไดแนน ศาสตราจารย์จาก Kennedy School แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และอดีตผู้ช่วยด้านนโยบายเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลโอบามา กล่าวว่า “ในท้ายที่สุด เราจะต้องใช้วิธีการผสมผสานระหว่างการตัดลดการใช้จ่ายและการเพิ่มรายได้จากภาษี สหรัฐจำเป็นต้องลดการขาดดุล มิฉะนั้นเราจะเห็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจ แต่ก็มีหลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นได้”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24ก.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 36.15 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจนจนกว่าเงินดอลลาร์จะกลับมาอ่อนค่าลง ไฮไลท์สำคัญวันนี้จะอยู่ที่รายงาน PMIs ในเดือนก.ค.ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักเริ่มจากฝั่งญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24ก.ค. 2567 ที่ระดับ 36.15 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.22 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน (โซน 36.40 บาทต่อดอลลาร์)
กับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (โซน 36.10 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น
ทว่า เงินบาทก็ยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน จนกว่าจะเห็นการกลับมาอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งอาจต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ควรจะออกมาแย่กว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้งในปีนี้ หรือ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน (Risk-On)
นอกจากนี้ เรามองว่า เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง น้ำมันดิบ และโฟลว์ธุรกรรมขายสินทรัพย์ไทยในช่วงนี้ ท่ามกลางบรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทำให้โดยรวมเงินบาทก็ยังคงมีโซนแนวต้านแถว 36.35-36.40 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวรับของเงินบาทก็อาจอยู่ในช่วง 36.10 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 36.14-36.24 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยก็ตาม แต่เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
หลังจากที่ราคาทองคำ (XAUUSD) ได้ทยอยรีบาวด์ขึ้น จากโซนแนวรับแถว 2,380-2,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซนแนวต้านระยะสั้นในช่วง 2,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (โฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนับตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันก่อน)
อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงแกว่งตัวแถวโซน 36.10-36.15 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะย่อตัวของผู้เล่นในตลาดบางส่วน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมันดิบ และโฟลว์ธุรกรรมขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติบางส่วนตั้งแต่ช่วงวันก่อนหน้า
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อรอลุ้นรายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Tesla และ Alphabet ที่จะประกาศในช่วง After Market Hours นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็ยังออกมาไม่สดใสนัก อาทิ UPS, Comcast และ GM ต่างรายงานผลประกอบการแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.16%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นบ้าง +0.13% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะ SAP +7.2% ที่รายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ซึ่งพอช่วยลดทอนผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ อาทิ Shell -1.7%, Rio Tinto -1.5% ที่เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบและแร่โลหะพื้นฐานส่วนใหญ่ จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีน รวมถึงข่าวความคืบหน้าการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซา
ในส่วนตลาดบอนด์ การเคลื่อนไหวโดยรวมของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีลักษณะ sideways ไม่ต่างจากที่เราประเมินไว้ โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวแถว 4.25% โดยผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
อาทิ ในสัปดาห์นี้ ก็จะมีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ PCE อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผลการประชุมเฟด 31 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือน-ต้นเดือนหน้า
อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวชัดเจนขึ้นได้ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นจังหวะที่น่าพิจารณา “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาวได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หนุนโดยท่าทีระมัดระวังตัวของบรรดาผู้เล่นในตลาดและจังหวะการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่โซน 104.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.3-104.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ยังพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ หนุนให้ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องสู่โซน 2,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนกรกฎาคม ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ในฝั่งญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะติดตามอย่างใกล้ชิด และเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้พอสมควรในช่วงนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เอาตามนี้! ส.ลูกยางให้ “โค้ชยะ” คุมทีมลุยศึก ซี วี.ลีก 2024 พร้อมชี้สเปกกุนซือใหม่
ความเคลื่อนไหว การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ซี วี.ลีก 2024 (SEA V League 2024) ที่จะจัดการแข่งขันในสองประเทศ ระหว่างวันที่ 2 สิงหาคม – 11 สิงหาคม 2567
ล่าสุด สมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับหัวหน้าผู้ฝึกสอนที่จะคุมทีมเข้าแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้ว่าจะยังคงให้ “โค้ชยะ” ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค ทำหน้าที่คุมทัพต่อไปก่อน
อย่างไรก็ตามทางสมาคม ได้มีการขอความร่วมมือไปยัง สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ให้ช่วยในการสรรหาโค้ชที่เหมาะสม และเรื่องของงบประมาณในการว่าจ้าง
ซึ่งก็ยังรอดูว่าทาง FIVB จะตอบรับข้อเสนอของเราหรือไม่ หลังเดือนสิงหาคม น่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น
พร้อมกันนี้ นายกสมาคมลูกยางไทย ได้เผยรายละเอียดเกี่ยวกับการสรรหาโค้ชใหม่ว่าไม่ได้ระบุเจาะจงว่าต้องเป็นโค้ชรายใด แต่อยากให้เข้ามาช่วยพัฒนาในเรื่องของศักยภาพทั้งทางร่างกาย จิตใตจ รวมถึงเทคนิค ที่สำคัญคืออยากได้คนที่มีประสบการณ์ และเข้าใจวัฒนธรรมของทีมไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“หมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท” โรคฮิตของคนทำงาน
สัญญาณเตือนของ โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท หรือ ไขสันหลัง หนุ่มสาววัยทำงานทั้งหลาย มีอาการเหล่านี้หรือไม่ ปวดกระดูกคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ ร้าวลงไปที่แขน รวมถึงมีอาการชาและอ่อนแรง บางรายเป็นมากถึงขั้นยกแขนไม่ขึ้นเดินลำบาก พึงระวังไว้ เพราะอาการเหล่านี้นั้นสำคัญ
สาเหตุและอาการของโรคหมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท
อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในภาวะที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือภาวะที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ ในส่วนที่เกิดจากอุบัติเหตุก็ตรงไปตรงมา มีการบาดเจ็บและทำให้หมอนรองกระดูกบริเวณต้นคอมีการเคลื่อนหรือกดทับไม่ว่าจะเป็นไขสันหลังหรือเส้นประสาท สำหรับกลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุที่พบได้บ่อยๆ คือกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเรื่องของการใช้คอ ใช้กล้ามเนื้อแผ่นหลังที่ผิดลักษณะ เช่น การนั่งเล่นไอแพดนานๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ กลุ่มนี้มักมีปัญหาเรื่องปวดคอ บ่า ไหล่ และจะมีอาการปวดแปล๊บเหมือนไฟช็อตลงไปที่แขน มีอาการชา บางรายอาจอ่อนแรง ทำให้เสียความสามารถในการทำงาน
แนวทางการรักษาโรคหมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท
การรักษา ในปัจจุบันมีเครื่องมือที่ทันสมัยและช่วยให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ วินิจฉัยได้ง่ายและชัดเจนมากขึ้น การรักษาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่อาการไม่รุนแรงมากนัก สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยการทานยา และทำกายภาพบำบัด
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ทานยาแล้วไม่ดีขึ้นทำอย่างไรก็ไม่หาย กลุ่มนี้จะมีนวัตกรรมการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดที่เข้ามาช่วยในการรักษา เช่น การรักษาโดยผ่านคลื่นความร้อน หรือการฉีดยาเข้าไปเหนือเส้นประสาทที่บริเวณคอ
การรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Nucleoplasty)
หลักการของการรักษาวิธี Nucleoplasty หรือการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเข้าไปที่หมอนรองกระดูกมีอยู่ 3 หลักการ
- ลดแรงดันของหมอนรองกระดูกสันหลัง
- เข้าไปสลายเส้นประสาทที่งอกเข้ามาตรงแกนกลางของกระดูกสันหลังซึ่งเป็นเส้นประสาทที่จะทำให้เกิดอาการปวด ปกติจะมีเส้นประสาทอยู่รอบๆหมอนรองกระดูกสันหลัง แต่อยู่ที่ขอบจะไม่งอกเข้ามาข้างใน คลื่นวิทยุความถี่สูงจะเข้าไปตัดหรือเข้าไปสลาย ทำลายเส้นประสาทที่งอกเข้ามาในแกนกลางของหมอนรองกระดูกสันหลัง
- เข้าไปปรับโมเลกุล ปรับโครงสร้างของหมอนรองกระดูกสันหลังทำให้การผลิตสารที่สื่อความเจ็บปวดออกมาน้อยลง เป็นวิธีในการรักษา
ใครที่เหมาะในการรักษาโดยวิธี Nucleoplasty
คือ ผู้ป่วยที่เป็นหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมแล้วก็มีการเคลื่อนออกมาแต่ไม่มาก (Herniated Nucleus Pulposus : HNP) แต่คนไข้มีอาการปวดมากรักษาด้วยยา ด้วยกายภาพบำบัด การปรับกิจวัตรประจำวันแล้วยังไม่หาย มาตรวจด้วย MRI เพื่อดูหมอนรองกระดูกที่ยื่นออกมา หรือว่าหินปูนที่อยู่ตามขอบบน ขอบล่างของหมอนรองกระดูกสันหลัง ก็ไม่ได้กดทับเส้นประสาทอย่างมีนัยสำคัญ แต่มีอาการปวดมาก คนไข้กลุ่มนี้ก็จะได้ประโยชน์ทางการรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่
ข้อดีของวิธี Nucleoplasty
- ไม่ต้องใช้ยาดมสลบ
- เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัด
- ลดระยะการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
- การฟื้นตัวหลังผ่าตัดรวดเร็ว สามารถกลับบ้านได้ทันที หรือนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพียง 1 คืน
- อาการที่เจ็บปวดจะบรรเทาไปอย่างรวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ในผู้ป่วยส่วนใหญ่
กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษาด้วยการผ่าตัด คือ
- มีอาการเป็นมานานมากกว่า 6 สัปดาห์ และเป็นถี่มากขึ้น ความรุนแรงของการปวดมากขึ้น
- ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีอื่น หรือคนไข้ต้องทนทุกข์ทรมาน อาการปวดนั้นเรื้อรัง
- มีอาการอ่อนแรงของข้อต่อ เช่น ข้อมือ ข้อศอก หัวไหล่
- เป็นกลุ่มอาการกดทับไขสันหลังคือ คนไข้จะเสียความสามารถในการใช้มือ และเสียความสามารถในการทรงตัว
- ภาวะการติดเชื้อหรือเนื้องอก
วิธีดูแลด้วยตัวเองง่ายๆ ให้ห่างไกลโรคหมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท
หากไม่อยากทนทุกข์ทรมานจากภาวะหมอนรองกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาทหรืออาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณรอบๆ คอ บ่า และไหล่ ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า นั่ง 1 ชั่วโมง แล้วลุกยืน 1 นาที ไทม์สเตรชชิ่ง (Time Stretching) ยืดและเหยียดกล้ามเนื้อ ตามคำแนะนำของแพทย์ ถ้าจำเป็นต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ควรหันหน้าให้ตรงกับจอ โต๊ะทำงานจะต้องมีที่พักข้อมือ เรียกว่า แฮนด์เลส (Hand rest) และจอมอนิเตอร์จะต้องอยู่ระดับสายตา การนั่งต้องนั่งให้เต็มก้นและมีพนักพิง ถ้าทำได้แบบนี้จะสามารถทำให้ท่านห่างไกลจากภาวะปวดคอ บ่า ไหล่ Office Syndrome หรือที่รุนแรงกว่านั้นก็คือ หมอนรองกระดูกคอหรือกระดูกคอเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
7 C’s of communication สื่อสารภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ
หลักการสื่อสารภาษาอังกฤษ
องค์ประกอบหรือคุณสมบัติของการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดี มีอะไรบ้าง?
การสื่อสารภาษาอังกฤษ
7 C’s of Communication คือ รายการตรวจสอบ (checklist) ที่ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารและเพิ่มโอกาสให้ผู้รับข้อมูลได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงตามความตั้งใจของผู้สื่อสาร
เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงนำเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
7 C’s of Communication
สื่อสารภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ
1. ชัดเจน (Clear)
ในการสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูดหรือการเขียน ข้อมูลที่สื่อสารต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ชัดในเนื้อหาสาระ ใช้คำที่มีความหมายตรงตัว ไม่ต้องตีความจนอาจเกิดความเข้าใจผิด
2. ถูกต้อง (Correct)
ความถูกต้องของข้อมูล หมายถึงเป็นข้อเท็จจริง (fact) ตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจแก่ผู้รับข้อมูลว่าไม่ได้ถูกหลอกให้หลงเชื่อ ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถูกต้องทั้งไวยากรณ์และตัวสะกด
3. ครบถ้วน (Complete)
การสื่อสารควรเป็นการส่งข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผู้รับข้อมูลควรทราบ ความครบถ้วนนี้จะต่างกันไปในแต่สถานการณ์ ไม่ตกหล่นเนื้อหาสาระที่สำคัญ เป็นข้อมูลที่สร้างแรงจูงใจ
4. หนักแน่นมีสาระ (Concrete)
ข้อมูลควรมีความจำเพาะเจาะจง หนักแน่น มีสาระ ไม่คลุมเครือหรือกว้างจนเกินไป มีข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ลดความน่าเชื่อถือ จำเพาะเจาะจงในประเด็นที่สื่อสาร มีความเป็นรูปธรรมในเรื่องที่สื่อสาร
5. กระชับ (Concise)
ข้อมูลควรกระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ ชูเนื้อหาสาระหลักได้ชัดเจน ไม่กล่าววนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก
6. สมเหตุสมผล (Coherent)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีตรรกะ มีความเป็นเหตุเป็นผล เชื่อมโยงและสอดคล้องสัมพันธ์กับประเด็นหลัก สร้างมุมมองแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับเพื่อให้ได้รับการตอบสนองที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี เน้นไปในสิ่งที่เป็นไปได้
7. มีมารยาท (Courteous)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีลักษณะที่เป็นมิตร เปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่มีประเด็นซ่อนเร้นหรือเหน็บแนมก้าวร้าว เลือกใช้คำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติ ไม่นำอคติใด ๆ มาบิดเบือนข้อมูลให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง คำนึงถึงความคิดเห็น มุมมอง ทัศนคติ ของผู้รับข้อมูล ไม่หักหาญหรือฝืนความรู้สึกนึกคิดของผู้รับ ใช้คำในเชิงบวก
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
หาดูยาก ‘ดวงจันทร์บังดาวเสาร์’ ทั่วไทยมองเห็นด้วยตาเปล่า เช้ามืดพรุ่งนี้
เป็นครั้งแรกของปี หาดูยาก ปรากฏการณ์ ดวงจันทร์บังดาวเสาร์ Lunar Occultation of Saturn ทั่วไทยมองเห็นด้วยตาเปล่า สังเกตเช้ามืดพรุ่งนี้ มองจากโลก ดาวเสาร์จะค่อยๆ ลับหายไปหลังดวงจันทร์ และกลับมาปรากฏอีกครั้ง พลาดชมทำยังไง ดวงจันทร์บังดาวเสาร์ จะเกิดขึ้นอีกวันไหน?
น่าตื่นเต้น ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ เป็นครั้งแรกของปี หาดูยาก ปรากฏการณ์ “ดวงจันทร์บังดาวเสาร์” Lunar Occultation of Saturn ทั่วไทยมองเห็นด้วยตาเปล่า สังเกตได้ในเช้ามืดพรุ่งนี้ 25 กรกฎาคม 2567 เวลา 03.09 – 04.27 น. หากมองจากโลก ดาวเสาร์จะค่อยๆ ลับหายไปหลังดวงจันทร์ และกลับมาปรากฏอีกครั้ง หากฟ้าใส ไร้เมฆฝน หากพลาดชมทำยังไง ดวงจันทร์บังดาวเสาร์ จะเกิดขึ้นอีกวันไหน?
นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร. เปิดเผยว่า ช่วงก่อนรุ่งเช้า ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 จะเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวเสาร์ (Lunar Occultation of Saturn) ขณะเริ่มเกิดปรากฏการณ์วัตถุทั้งสองจะปรากฏอยู่บริเวณกลางท้องฟ้า โดยดาวเสาร์จะปรากฏใกล้กับส่วนสว่างของดวงจันทร์
ดาวเสาร์จะเริ่มสัมผัสขอบดวงจันทร์ฝั่งเสี้ยวสว่างและค่อย ๆ ลับหายไปด้านหลังของดวงจันทร์ เวลาประมาณ 03.09 น. และโผล่พ้นออกมาทั้งดวงอีกครั้งในฝั่งพื้นผิวส่วนมืด เวลาประมาณ 04.27 น.
โดยข้อมูลดังกล่าวคำนวณจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร หากสังเกตการณ์ในพื้นที่อื่น ช่วงเวลาของการบังอาจจะเริ่มและสิ้นสุดไม่พร้อมกัน สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทุกจังหวัดทั่วไทย
ทั้งนี้ หากมองด้วยตาเปล่าจะสังเกตเห็นเป็นจุดดาวเล็กๆ เคลื่อนหายไปหลังดวงจันทร์ แต่หากชมผ่านกล้องโทรทรรศน์จะสังเกตเห็นรายละเอียดดาวเสาร์พร้อมวงแหวนค่อย ๆ ลับหายไปหลังดวงจันทร์ และโผล่พ้นออกมาทั้งดวงได้อย่างชัดเจน หรือรับชมถ่ายทอดสดปรากฏการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ตั้งแต่เวลา 02.30 เป็นต้นไป
นายศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การบังกันของวัตถุท้องฟ้า (Occultations) เป็นปรากฏการณ์ที่วัตถุท้องฟ้าหนึ่งเคลื่อนที่ผ่านหน้ามาบังอีกวัตถุหนึ่งเมื่อสังเกตจากแนวสายตา อาทิ ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ ดวงจันทร์บังดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์บังดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์บังกันเอง เป็นต้น
ประโยชน์การเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวเสาร์ (Lunar Occultation of Saturn)
เราสามารถใช้ปรากฏการณ์นี้คำนวณหาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุ คำนวณหาระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ตรวจหาและศึกษาโครงสร้างของชั้นบรรยากาศ รวมถึงการใช้ตรวจหาวงแหวนของดาวเคราะห์ชั้นนอกได้อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อวงการวิจัยดาราศาสตร์
ดวงจันทร์บังดาวเสาร์ จะเกิดขึ้นอีกวันไหน?
ปรากฏการณ์ “ดวงจันทร์บังดาวเสาร์” ในปีนี้เกิดขึ้น 2 ครั้งต่อไป ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ในช่วงเช้ามืด เวลาประมาณ 02:19 – 03:00 น. สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในพื้นที่ภาคเหนือ บางส่วนของภาคกลาง บางส่วนของภาคตะวันตก และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยข้อมูลดังกล่าวคำนวณจากพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หากสังเกตการณ์ในพื้นที่อื่น ช่วงเวลาของการบังอาจจะเริ่มและสิ้นสุดไม่พร้อมกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
น้ำมะพร้าวสรรพคุณ ที่คาดไม่ถึง ดื่มตอนไหนดีที่สุด
ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว
น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ประโยชน์ที่คาดไม่ถึงของน้ำมะพร้าวมีดังนี้
- ช่วยบำรุงสมอง: น้ำมะพร้าวมีอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
- ช่วยลดความดันโลหิต: น้ำมะพร้าวมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ: น้ำมะพร้าวมีวิตามินซีและอี ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง
- ช่วยลดน้ำหนัก: น้ำมะพร้าวมีแคลอรี่ต่ำ ช่วยให้อิ่มท้องและลดความอยากอาหาร
- ช่วยขับสารพิษ: น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
- ช่วยป้องกันโรคหัวใจ: น้ำมะพร้าวมีไขมันดี (HDL) ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
- ช่วยบำรุงกระดูก: น้ำมะพร้าวมีแมกนีเซียม ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง
- ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย: น้ำมะพร้าวมีน้ำตาลธรรมชาติ ช่วยให้อ่อนเพลียน้อยลง
ดื่มน้ำมะพร้าวตอนไหนดีที่สุด
น้ำมะพร้าวสามารถดื่มได้ทุกเวลา แต่เวลาที่ดีที่สุดในการดื่มน้ำมะพร้าวคือ
- ตอนเช้า: น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยน้ำที่สูญเสียไประหว่างการนอนหลับ ช่วยให้ร่างกายสดชื่น
- ก่อนออกกำลังกาย: น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยอิเล็กโทรไลต์ที่สูญเสียไประหว่างการออกกำลังกาย
- หลังออกกำลังกาย: น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยน้ำและอิเล็กโทรไลต์ที่สูญเสียไประหว่างการออกกำลังกาย
- ระหว่างวัน: น้ำมะพร้าวช่วยคลายร้อนและชดเชยน้ำที่สูญเสียไประหว่างวัน
ข้อควรระวังในการดื่มน้ำมะพร้าว
- ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวมากเกินไป: การดื่มน้ำมะพร้าวมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย
- ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวแทนน้ำเปล่า: น้ำมะพร้าวมีน้ำตาลธรรมชาติ ไม่ควรดื่มแทนน้ำเปล่า
- ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวที่บูดเสีย: น้ำมะพร้าวที่บูดเสียอาจทำให้ท้องเสีย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/07/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 41,200.00 | 41,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,669.00 | 40,462.04 | 41,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,402.10 | 36,415.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,135.20 | 32,369.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,201.00 | 18,207.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 934.00 | 14,159.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,766.00 | 41,932.56 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/07/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.85 | 38.85 | 39.45 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.48 | 38.48 | 39.08 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.74 | 36.74 | 37.34 | 36.74 | 36.74 | – | 36.74 | 36.74 | 36.74 | 36.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.49 | 36.49 | – | – | – | – | – | – | – | 36.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 47.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 47.44 |
เบนซิน 95 | 46.74 | – | – | – | 49.81 | – | 47.24 | 46.89 | – | 46.74 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |