สาระน่ารู้ประจำวันที่ 24 กันยายน 2568

ศึกโปรเดือด! อสังหาฯยักษ์ใหญ่แข่งดุโค้งสุดท้าย Q3/68

ตลาดอสังหาฯ ทั่วประเทศกลับมาคึกคักในโค้งสุดท้ายไตรมาส 3 เมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่หลายเจ้าพร้อมใจกันอัดแคมเปญโปรโมชั่น หวังกระตุ้นยอดขายปิดดีลก่อนสิ้นไตรมาส

สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเป็นโจทย์ยากสำหรับผู้ประกอบการในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 แม้ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้น แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงฟื้นตัวช้า ขณะที่อัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกด้วยการส่งแคมเปญและโปรโมชั่นสุดพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภค

กระแสการออกแคมเปญโปรโมชั่นจากผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ในช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2568 จึงเป็นตัวสร้างบรรยากาศที่คึกคักให้แก่ตลาดที่พักอาศัยได้อย่างดี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแข่งขันกันในแต่ละโครงการเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการใช้เวทีใหญ่ที่รวบรวมโครงการไว้หลากหลาย เพื่อเป็นโอกาสทองให้ผู้บริโภคเข้าถึงดีลที่ดีที่สุดได้อย่างสะดวกสบาย

หนึ่งในผู้เล่นหลักที่อัดโปรโมชั่น อย่างต่อเนื่องคือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ก็ไม่น้อยหน้า ส่งแคมเปญที่โดนใจคนอยากมีบ้านอย่างยิ่งในชื่อ “ศุภาลัย ยิ้ม ยืด ยาว” ซึ่งเป็นแคมเปญที่มุ่งช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระ โดยเสนอโปรโมชั่นช่วยผ่อนนานสูงสุด 36 เดือน พร้อมมอบส่วนลดเงินสดสูงสุด 1 ล้านบาทสำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญาโครงการพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม

แคมเปญนี้มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม ถึง 30 กันยายน 2568 โดยครอบคลุมโครงการพร้อมอยู่ทั่วประเทศ ยกเว้นโครงการบางแห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทำให้ผู้สนใจสามารถเลือกโครงการได้หลากหลายทำเล

ขณะที่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพิ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากงาน “SC ดีลดี ยกกระดาน” ที่สร้างยอดจองทะลุ 1,600 ล้านบาทในเวลาเพียง 7 วัน และเพื่อต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว เอสซี แอสเสท จึงได้ขยายเวลาโปรโมชั่นสุดพิเศษออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยครอบคลุมโครงการบ้านเดี่ยว บ้านหรู ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมรวมกว่า 75 โครงการทั่วประเทศ 

สิทธิพิเศษที่มอบให้มีตั้งแต่ ทองคำมูลค่าสูงสุด 500,000 บาท เงินฝากสูงสุด 1 ล้านบาท รวมถึงโอกาสลุ้นรับรถหรู Mercedes-Benz E 350 e Exclusive สำหรับลูกค้าที่จองและโอนกรรมสิทธิ์โครงการหรูในเครืออย่าง Grand Bangkok Boulevard และ The Gentry นอกจากนี้ยังมีการจัด Pre-Sales โครงการใหม่ “บางกอก บูเลอวาร์ด ติวานนท์-ดอนเมือง” พร้อมมอบส่วนลดกว่า 300,000 บาทสำหรับผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

ทางฝั่ง บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่เน้นสร้างความแตกต่างด้วยการตอบโจทย์การอยู่อาศัยในทุกเซ็กเมนต์ ก็ได้ส่งแคมเปญ “ไม่ต้องผ่อนสักบาท” สำหรับลูกค้าที่ซื้อทาวน์โฮมและบ้านแฝดในเครือ เช่น โครงการ PLENO TOWN และ บ้านกลางเมือง โดยมอบสิทธิพิเศษในการช่วยผ่อนนานสูงสุดถึง 3 ปี เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเริ่มต้นชีวิตในบ้านใหม่ได้โดยไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในช่วงแรก

ขณะที่สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว ได้จัดแคมเปญ “ส่วนลด แสนละพัน” ให้ทุกๆ การซื้อ 100,000 บาทจะได้รับส่วนลดเพิ่ม 1,000 บาท ซึ่งสามารถรับส่วนลดสูงสุดได้ 500,000 บาท และยังได้รับส่วนลดโครงการเพิ่มเติมสูงสุด 9 ล้านบาท แคมเปญนี้มีระยะเวลาจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ที่สำนักงานขายทุกโครงการบ้านเดี่ยวของเอพี

ขณะเดียวกัน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว โดยได้ออกแคมเปญใหม่ “จ่ายน้อย คุ้มมาก!!” ที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเข้าถึงส่วนลดพิเศษได้ง่ายขึ้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shopee และ Lazada โดยจำหน่ายคูปองส่วนลดในราคาเริ่มต้น 199 บาทสำหรับโครงการคอนโดมิเนียม โดยสามารถใช้เป็นส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท

ส่วนคูปองสำหรับบ้านและทาวน์โฮมราคาเริ่มต้น 999 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท แคมเปญนี้ครอบคลุมโครงการที่อยู่อาศัยหลากหลายแบรนด์จากแสนสิริรวมกว่า 19 แบรนด์ในหลากหลายทำเล โดยมีระยะเวลาแคมเปญถึงวันที่ 30 กันยายน 2568

เช่นเดียวกับค่ายพฤกษา เรียลเอสเตท  ออกแคมเปญ “Pruksa D-Day Sale” -“Pruksa Extra Time”  โปรแรงแห่งปี ต่อเวลา ลุ้นบ้านหรือคอนโดฟรี มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท ทุกทำเลปัง กว่า 100 โครงการทั่วประเทศ จองเบา ๆ แค่ 499 บาท พร้อมรับ สิทธิพิเศษจองและโอนก่อนสิ้นเดือนนี้ 30กันยายน 2568  พร้อมสิทธิ์ลุ้นบัตรกำนัลทองคำ 14 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท อยู่ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 5 ปี ของแถมจัดหนักกว่า 50 รายการ

ทางด้าน บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) ก็ได้กำลังเตรียมจัดงานใหญ่ของตัวเองในชื่อ “ASSETWISE GRAND SALE 2025” ระหว่างวันที่ 9 – 15 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 1 โดยจะมีการรวบรวมโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมกว่า 32 โครงการ ครอบคลุมหลากหลายทำเลมานำเสนอในงานเดียว เพื่อให้ผู้สนใจได้เลือกอย่างครบครัน

ทั้งคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย, ใกล้รถไฟฟ้า, ใกล้ทะเลในโซนบางแสน-พัทยา-ระยอง รวมถึงโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลต่างๆ สำหรับงานนี้ทางแอสเซทไวส์ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมากมายเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งรวมถึงการมอบของรางวัลใหญ่ เช่น iPhone 17 Pro Max ทุกยูนิตที่ซื้อในงาน, ส่วนลดรวมกว่า 20 ล้านบาท, แจกทองคำหนักรวม 50 บาท

และยังมีโอกาสลุ้นรางวัลพิเศษมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาทอีกด้วย โดยโปรโมชั่นทั้งหมดจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน – 15 ตุลาคม 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการในการเร่งสร้างยอดขายในช่วงท้ายไตรมาส

นอกเหนือจากแคมเปญจากผู้ประกอบการโดยตรงแล้ว อีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญที่ตลาดอสังหาฯ เฝ้ารอคือ “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48” ที่จัดขึ้นโดย 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้แก่ สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นระหว่าง

วันที่ 30 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5 ชั้น LG โดยงานนี้จะเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการกว่า 150 บริษัทที่พร้อมนำโครงการกว่า 1,000 โครงการทั่วประเทศมานำเสนอในราคาและโปรโมชั่นพิเศษสุด

นายองคฤทธิ์ พรหมโยธี ประธานจัดงานฯ ระบุว่า งานนี้จะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “New Marketplaces, Serve Supply on Every Demand” ที่เน้นกลยุทธ์ “Fast Track-ทางด่วนคนอยากมีบ้าน” เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อบ้านและคอนโดได้ง่ายขึ้น ด้วยโปรโมชั่นแบบดับเบิ้ลที่ผู้ประกอบการและสถาบันการเงินได้ผนึกกำลังกันเพื่อมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

โดยในงานจะมีทั้งโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมในทุกระดับราคา พร้อมด้วยแพ็กเกจสินเชื่อพิเศษจากธนาคารชั้นนำ โดยคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งงานที่สร้างปรากฏการณ์และยอดจองมหาศาล เพื่อเป็นแรงส่งให้ตลาดอสังหาฯ ก้าวสู่ปี 2569 ได้อย่างมั่นคง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ภูเก็ตศูนย์กลางที่อยู่อาศัยระดับโลก 3ทำเลทอง กะรน ฉลอง เกาะแก้ว

  • ภูเก็ตกำลังเปลี่ยนบทบาทจากเมืองท่องเที่ยวสู่ศูนย์กลางการอยู่อาศัยระดับโลก โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเปลี่ยนทิศทางจากโซนเหนือไปยังโซนใต้ที่มีศักยภาพสูง
  • บทความชี้ 3 ทำเลทองในโซนใต้ที่น่าจับตา ได้แก่ กะรน ศูนย์กลางพูลวิลล่าหรูริมหาด, ฉลอง ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์และเกาะแก้ว ชุมชนครอบครัวชาวต่างชาติและการศึกษา

การเติบโตของตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต กำลังเคลื่อนตัวสู่โซนใต้อย่างชัดเจน จากแรงขับเคลื่อนด้านนโยบายภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐาน และดีมานด์จากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ พร้อมบทวิเคราะห์เชิงลึกจาก “โบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า” ผู้นำตลาดพูลวิลล่าระดับลักชัวรีในภูเก็ต

ณ วันนี้ “ภูเก็ต” ไม่ได้เป็นเพียงเกาะสวรรค์ของนักท่องเที่ยวอีกต่อไป หากแต่กำลังกลายเป็นจุดหมายของนักลงทุนและกลุ่ม Ultra High Net Worth Individuals (UHNWI) ที่มองหาบ้านหลังที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตัวเลขจากสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ระบุชัดถึงความคึกคักของภูเก็ตในปี 2568 ด้วยนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 2.4 ล้านคน (ช่วง ม.ค.–พ.ค.) และสร้างรายได้สะสมถึง 149,384 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 8% จากปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึง “ดีมานด์แท้จริง” ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม Long-Stay, Digital Nomad และ Expat ที่เลือกภูเก็ตเป็นบ้านถาวร

“ภูเก็ตกำลังเปลี่ยนบทบาท จากเมืองท่องเที่ยว มาเป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยและการลงทุนระดับโลก” อรรถสิทธิ์ อินทรชูติ, ประธานบริหาร โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต

แม้ “โซนเหนือ” ของภูเก็ตจะเป็นทำเลทองมาอย่างยาวนาน แต่ราคาที่ดินที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง กำลังทำให้นักลงทุนเริ่มหันมาจับตามอง “โซนใต้” ซึ่งยังเต็มไปด้วยศักยภาพที่รอการปลดล็อก

โซนใต้ 3ทำเลดาวรุ่งที่น่าจับตา

กะรน: สวรรค์แห่งหาดทรายและวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในภูเก็ต กำลังกลายเป็น “Luxury Beachfront Hub” สำหรับพูลวิลล่าระดับไฮเอนด์ที่ดึงดูดนักลงทุนยุโรปและรัสเซีย

ฉลอง: จุดเชื่อมต่อหลักสู่ทะเลอันดามัน ผ่าน “ท่าเรือฉลอง” ที่เป็นเกตเวย์สู่การท่องเที่ยวทางทะเลระดับลักชัวรี พร้อมรองรับ Expat ด้วยไลฟ์สไตล์ครบครัน

เกาะแก้ว: คอมมูนิตี้ครอบครัวต่างชาติที่เติบโตเร็วที่สุดของภูเก็ต ด้วยจุดแข็งด้าน “การศึกษา” ใกล้โรงเรียนนานาชาติชื่อดังหลายแห่ง และความเป็นส่วนตัวของที่อยู่อาศัย

โครงสร้างพื้นฐาน – นโยบายรัฐ – ความยั่งยืน จุดเปลี่ยนสำคัญ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น โครงการถนนเชื่อมสนามบิน, รถไฟรางเบา, ท่าเรือยอช์ตนานาชาติ และ Boat Taxi กำลังสร้างการเชื่อมโยงใหม่ให้ภูเก็ตใต้เป็นทำเลที่ “เข้าถึงง่ายแต่ยังคงความสงบ”

ประกอบกับ นโยบาย LTR Visa และ Destination Thailand Visa (DTV) ที่เอื้อต่อการพำนักระยะยาว ยิ่งปลุกตลาดอสังหาฯ ให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่เลือก Work From Anywhere

ขณะเดียวกัน แนวโน้ม Wellness Economy และ การออกแบบแบบ Green Design – Smart Home เริ่มเป็นจุดแข็งของโครงการอสังหาฯ ใหม่ ที่เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อระดับบนทั่วโลก

โบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า กับ 3 โครงการชูโรง ที่สะท้อนยุทธศาสตร์ “โซนใต้”

ในฐานะผู้นำตลาดพูลวิลล่าระดับลักชัวรี โบทานิก้าฯ ไม่เพียงอ่านเกมขาด แต่ยังเร่งเดินเกมรุก ด้วยการเปิดตัว 3 โครงการใหม่ในทำเลศักยภาพโซนใต้ รวมมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท

1. Botanica Modern Sea Karon – กะรน

พูลวิลล่าติดหาดแบบพาโนรามา ราคาเริ่มต้น 47.8 ล้านบาท

“ที่นี่เราออกแบบเพื่อดึงวิวธรรมชาติให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้าน”

2. Botanica Chalong Bay – ฉลอง

วิลล่าหรูใกล้ท่าเรือและโรงเรียนนานาชาติ เริ่มต้น 29.5 ล้านบาท

“ทำเลฉลองจะเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์คนเมืองและคนเรือ”

3. Botanica Majestia – เกาะแก้ว

โครงการ Low Density สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ใกล้ British International School เริ่มต้น 38 ล้านบาท

“โครงการนี้ตอบโจทย์ครอบครัวที่ต้องการความเงียบสงบและการเดินทางสะดวก”

โซนใต้คือโอกาสใหม่ของนักลงทุน

ด้วยปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายภาครัฐ เทรนด์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ และกลุ่ม Expat ที่เติบโต โซนใต้ของภูเก็ตกำลังก้าวขึ้นมาเป็น “ไพรม์โลเคชันใหม่” ที่ราคาที่ดินยังไม่สูงจนเกินไป แต่ให้ผลตอบแทนปล่อยเช่าเฉลี่ยถึง 8% ต่อปี

“วันนี้คือช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดในการลงทุนในโซนใต้ เพราะศักยภาพที่ยังไม่ถูกใช้จนเต็ม และความต้องการที่กำลังพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ”

การเติบโตของภูเก็ตในวันนี้ไม่ใช่แค่การขยาย “แนวชายหาด” แต่คือการปรับทิศใหม่ของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในภูเก็ตตอนใต้ ที่มีทั้ง ทะเล – การศึกษา – ไลฟ์สไตล์ – โครงสร้างพื้นฐาน – และชุมชน Expat คุณภาพ

หากภูเก็ตคือเพชรเม็ดงามของประเทศไทย โซนใต้ก็คือ “เหลี่ยมใหม่” ที่กำลังส่องประกายให้ทั้งเกาะเจิดจรัสยิ่งขึ้นบนเวทีโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24 ก.ย. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 31.89 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีความเสี่ยงอาจอ่อนค่าในระยะสั้น แต่มีโอกาสผันผวนกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด แนะบริหารเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการใช้กลยุทธ์ Options /ใช้สกุลเงินท้องถิ่น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24ก.ย.2568 ที่ระดับ  31.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  31.84 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างวัน ที่เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากฝั่งนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เริ่มจำกัดลง และจะเห็นได้ว่า เงินดอลลาร์ก็เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเรามองว่า อาจต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ที่จะรับรู้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม

ส่วนอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินบาท อย่าง การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ เราพบว่า ราคาทองคำก็เริ่มขาดปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติม ดังจะเห็นได้จากแรงขายทำกำไรที่ทยอยเข้ามากดดันราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำจะทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในวันก่อนหน้าก็ตาม

นอกจากนี้ เรามองว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำดังกล่าว ก็เริ่มสอดคล้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตของเรา ที่พบว่า ราคาทองคำมักจะเข้าสู่ช่วงการพักฐาน (Correction) หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จนสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน อย่างน้อย +20%

อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงกลับเข้าสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลงอีกครั้ง เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ Trend-Following

อีกทั้ง เราพบว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ทยอยประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรม Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) เพิ่มเติม จากบรรดาผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งอาจเร่งการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.80-31.95 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up แถวโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.81-31.91 บาทต่อดอลลาร์)

แม้เงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ เดือนกันยายน (S&P Manufacturing & Services PMIs) ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 52.0 จุด และ 53.9 จุด ตามลำดับ ซึ่งแย่กว่าคาดเล็กน้อย

อีกทั้ง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็ออกมาผสมผสาน โดยเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อย่าง Michelle Bowman แสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานและมองว่า เฟดควรเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม

ขณะที่ ประธานเฟด Jerome Powell คงมุมมองเดิมไม่ต่างจากช่วงหลังการประชุม FOMC ล่าสุด โดยมองว่า เฟดเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินจากความเสี่ยงเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน ซึ่งเฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ขึ้นกับข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ เป็นสำคัญ โดยปราศจากการแทรกแซงการทำงานจากฝั่งการเมือง

แต่เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามจังหวะการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ หลังราคาทองคำทยอยย่อตัวลงจากจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง หากเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน

ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมาผสมผสาน โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ที่ย้ำจุดยืนดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง และไม่ได้สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง อย่างที่ตลาดคาดหวัง

ได้กดดันให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ซึ่งปรับตัวร้อนแรงมาตลอดทั้งปีออกมาบ้าง อาทิ Oracle -4.4%, Amazon -3.0% และ Nvidia -2.8% ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.95% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.55%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.28% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +3.2% ที่ได้รับอานิสงส์จากรายงานการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของ Bank of America ที่สะท้อนยอดใช้จ่ายสินค้าแบรนด์เนมที่สูงขึ้น ส่วนกลุ่มพลังงาน Shell +1.2% ก็ได้แรงหนุนจากการทยอยปรับตัวสูงขึ้นราว +1.2% ของราคาน้ำมันดิบ

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ กอปรกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมาผสมผสาน ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงขึ้นสู่ระดับ 4.11% อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง

หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ทำให้ เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาดเล็กน้อย ส่วนถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็ออกมาผสมผสาน ขณะเดียวกัน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินยุโรป ก็มีส่วนหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินยูโร (EUR) เป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 97.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.2-97.5 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวลดลง แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) กลับเผชิญแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง หลังปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

ทำให้ ราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลงสู่ โซน 3,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวลดลงของราคาทองคำดังกล่าวก็อาจเริ่มสอดคล้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติในอดีตของเรา ที่พบว่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะลุเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว อย่าง เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เกิน +20% ก็อาจนำไปสู่การย่อตัวลงและพักฐานได้

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนสิงหาคม ที่อาจขยายตัวได้ลดลงจากเดือนก่อนหน้าพอสมควร

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ในเดือนกันยายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของเยอรมนี 

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ โดย EIA ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 31.90-31.92 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.12 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 31.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงตามจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกและภาพการอ่อนค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียในช่วงเช้านี้ ขณะที่ แรงขายเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน หลังจากประธานเฟดใช้ความระมัดระวังในการส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า

เพราะแม้จะยอมรับว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ มีความเปราะบาง แต่แรงกดดันเงินเฟ้อก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดยังคงรอติดตามท่าทีของทางการในการดูแลประเด็นความผันผวนของเงินบาทด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.80-32.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนส.ค. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  ราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค. ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โค่นแชมป์โลกส่งผล! BWF ประกาศอันดับโลก “บาส-เฟม” นักแบดมินตันคู่ผสมทีมไทย

เดินหน้าหยิบแชมป์ได้อย่างต่อเนื่องสำหรับ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือผสมชาวไทย ที่เพิ่งคว้าแชมป์แบดมินตัน ไชน่า มาสเตอร์ส 2025 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยในรอบชิงชนะเลิศ คู่ผสมของไทย เป็นฝ่ายเอาชนะ เฉิน ตังเจี๋ย กับ เตียว อี้เว่ย คู่มืออันดับ 3 ของโลกจากมาเลเซีย และดีกรีแชมป์โลกปี 2025 ไปได้แบบสุดมัน 2-0 เกม (21-8 และ 21-17)

จากความสำเร็จในรายการล่าสุดทำให้ “บาส-เฟม” เก็บแต้มเพิ่ม 11,000 คะแนน ขยับจากมือ 4 โลก ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 3 ของโลก ด้วยการมี 90,165 คะแนน จากการประกาศของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) เป็นที่เรียบร้อย

ถือเป็นอันดับโลกที่สูงที่สุดของ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน หลังจากที่จับคู่เล่นร่วมกัน นอกจากนี้ยังถือเป็นการคว้าแชมป์ร่วมกันเป็นรายการที่ 6 และเป็นแชมป์รายการที่ 4 ในปีนี้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


โรคกระเพาะ เกิดจากอะไร วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็น โรคกระเพาะ

ในสังคมปัจจุบันมีแต่การแข่งขัน ทำให้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของทุกคนต้องเร่งรีบไปด้วย ส่งผลให้สุขภาพของคนในสังคมแย่ลงและปัญหาทาง สุขภาพที่พบได้บ่อย คือ การเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งโดยทั่วไปเราเรียกกันว่า “โรคกระเพาะ

โรคกระเพาะ เป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง ประมาณว่าคนทั่วไปมีโอกาสเป็นโรคนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต โดยการเกิดแผลในกระเพาะมักพบในวัยกลางคน ขณะที่การเกิดแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นจะพบในวัยหนุ่มสาว อย่างไรก็ตามการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นสามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศและทุกวัย

สาเหตุ โรคกระเพาะ

เกิดจากมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปร่วมกับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง จึงทำให้มีแผลเกิดขึ้น และปัจจุบันพบว่ายังมีปัจจัยเสริมอื่นๆที่ทำให้เกิดโรคได้อีก ได้แก่

  1. การติดเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะ ผนังกระเพาะจึงอ่อนแอลงและมีความทนต่อกรดลดลง ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นเกิดแผลได้ง่าย แผลหายช้า และเกิดแผลซ้ำได้อีก
  2. รับประทานสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะและลำไส้ เช่น ดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดจำพวกแอสไพริน ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ ยาชุดหรือยาลูกกลอนที่มีสเตียรอยด์ เป็นต้น
  3. มีอุปนิสัยการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหารอย่างเร่งรีบ รับประทานไม่เป็นเวลาหรืออดอาหารบางมื้อ เป็นต้น
  4. การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสของการเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
  5. อื่นๆ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล คิดมาก นอนไม่หลับ เครียด อารมณ์หงุดหงิด พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น

อาการเมื่อเป็นโรคกระเพาะ

มักมีอาการปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียดหรือจุกแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ อาการปวดเหล่านี้เป็นได้ทั้งเวลาก่อนรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆและเวลาท้องว่าง เช่น เวลาหิวข้าว ตอนเช้ามืดหรือตอนดึกๆก็ปวดท้องได้เช่นกัน อาการปวดจะเป็นๆหายๆ เป็นได้วันละหลายๆครั้ง หรือตามมื้ออาหาร และแต่ละครั้งที่ปวดจะนานประมาณ 15 – 30 นาที อาการปวดจะบรรเทาลงได้ถ้ารับประทานอาหาร ดื่มนมหรือรับประทานยาลดกรด

อาการแทรกซ้อน

โรคกระเพาะถ้าได้รับการรักษาและดูแลตนเองให้ถูกต้องส่วนใหญ่เป็นแล้วจะหาย แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องจนมีอาการมากและเรื้อรังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ เช่น

  • เลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยสังเกตได้จากมีถ่ายอุจจาระสีดำหรืออาเจียนเป็นเลือดหรืออาเจียนมีลักษณะคล้ายผงกาแฟบดปนอยู่
  • กระเพาะลำไส้เป็นแผลทะลุ โดยสังเกตได้จากมีอาการปวดท้องรุนแรงทันทีทันใด หน้าท้องแข็ง กดเจ็บ
  • กระเพาะลำไส้ตีบตัน โดยสังเกตได้จากมีอาการปวดท้อง รับประทานอาหารได้น้อย อิ่มเร็ว และอาเจียนเป็นอาหารที่ไม่ย่อยหลังรับประทานอาหาร

ปวดท้องแบบไหนที่ใช่โรคกระเพาะ ?

  • ปวดท้องเฉียบพลัน นับเป็นการปวดรุนแรงที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเราต้องความสนใจเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดจากโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคกระเพาะก็เป็นได้ อาทิ โรคนิ่วในถุงน้ำดี หรือตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น
  • ปวดท้องเรื้อรัง นับเป็นอาการปวดท้องที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด จะมีลักษณะอาการเป็นปวดๆ หายๆ ต่อเนื่องกันมาไม่น้อยกว่า 1 เดือน อาจเป็นการปวดท้องที่เกี่ยวข้องกับมื้ออาหาร เช่น ปวดขณะที่หิว หรือปวดขณะที่อิ่ม แต่เป็นการปวดที่ทนได้ ซึ่งเมื่อรับประทานยาลดกรด หรือรับประทานอาหารแล้วก็มีอาการดีขึ้น
  • โรคในกระเพราะอาหารที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดเรื้อรัง ได้มีแพทย์ท่านหนึ่งอธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด เริ่มจาก โรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระเพาะอาหาร เช่น การเป็นแผลในกระเพาะ เป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น กระเพาะอาหารอักเสบ หรือเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร ซึ่งอัตราที่จะเกิดโรค หรือภาวะเหล่านี้นั้นมีประมาณร้อยละ 20 – 25 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง


นอกจากนั้น โรคกระเพาะก็อาจขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความผิดปกติทางกายภาพภายในกระเพราะเลย แต่ก็อาจเกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติ อาทิ การบีบตัวของกระเพาะกับลำไส้ที่ทำงานไม่ประสานกัน หรืออาจเกิดจากสภาพกรดในกระเพาะที่มีมากเกินไป แต่ไม่ทำให้เกิดแผล ซึ่งสาเหตุที่ว่ามานี้ก็ทำให้ผู้ป่วยร้อยละ 70 – 75 ต้องเดินทางมาพบแพทย์

แต่ถึงยังไงก็ตาม ความผิดปกติภายในกระเพาะอาหารที่เกิดจากกรดนั้น ผู้ป่วยก็อาจไม่มีอาการปวดท้องเสมอไป โดยผู้ป่วยหลายรายอาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ มีสาเหตุมาจากแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดมาจากกรดเกิน ในบางรายอาจมีอาการแสบแน่นที่หน้าอกเนื่องจากกรดไหลย้อน ทำให้หลอดอาหารอักเสบ รวมไปถึงมีอาการไอ เนื่องจากมีการอักเสบขึ้นมาถึงคอ โดยรวมแล้วก็เป็นเรื่องของโรคกระเพาะอาหารทั้งสิ้น

โรคกระเพาะ รุนแรงหรือไม่ ?

ตามปกติแล้ว โรคกระเพาะ นั้นเป็นโรคที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายได้เสมอหากว่ามีการพยากรณ์โรคที่ดี โดยการให้ยาและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ป่วย แต่เมื่อใดที่โรคกระเพาะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากการที่เลือดออกไม่หยุดในบริเวณที่เกิดแผล หรืออักเสบ และเมื่อเกิดการเรื้อรัง นับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองของกระเพาะอาหารได้ ฉะนั้น ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ดี รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

5 สัญญาณเสี่ยงบอกว่าใกล้จะเป็นโรคกระเพาะ

ในเวลาที่เรามีอาการปวดท้องอันเกิดมาจากการมีแผลในกระเพาะอาหาร อาจมีลักษณะอาการที่ผู้ป่วยรู้ๆ กันดีนั่นคือ อิ่มก็ปวด หิวก็ปวด ซึ่งอาการปวดของโรคกระเพาะนั้นจะคล้ายคลึงกับการปวดท้องในแบบอื่นๆ อยู่เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก ฉะนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเป็นโรคกระเพาะ ลองมาตรวจดูจาก 5 สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะไปพร้อมๆ กันเลย …

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 1

  • อาการปวดท้องแบบจุกๆ แสบๆ เป็นลักษณะของอาการปวดที่จู่ๆ ก็จี๊ดขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็หายไปตรงบริเวณเหนือสะดือ นั่นก็คือแถวๆ ลิ้นปี่

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 2

  • เวลาที่หิว หรือเวลาที่อิ่มก็จะมีอาการปวดท้องทางฝั่งขวามือ อาจไม่ได้ทำให้เรารู้สึกปวดมาก หากว่ากินยาลดกรดเข้าไปก็ยังพอช่วยบรรเทาอาการได้

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 3

  • มีอาการปวดแสบบริเวณท้อง บางครั้งก็จะเจ็บขึ้นมาถึงตรงลิ้นปี่ โดยไม่ได้เกี่ยวว่าเราจะท้องว่าง หรืออิ่มแล้ว

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 4

  • เมื่อเวลาที่เรานอนหลับก็มีอาการปวดท้องจนทำให้ต้องตื่น เป็นอาการที่เกิดขึ้นแบบไม่แน่นอน

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 5 

  • มีอาการปวดท้องมากๆ จนอาจเกิดอาการข้างเคียง คือ อาเจียน หรือบางทีถึงขั้นที่ถ่ายเป็นเลือด


ในความเป็นจริง การที่จะวิเคราะห์ว่าผู้ป่วยนั้นมีอาการปวดท้องอันเกิดมาจากโรคกระเพาะอักเสบหรือไม่ ก็ยังมีความก้ำกึ่งของลักษณะการปวดในโรคอื่นๆ อยู่เช่นกัน เพราะบางอาการปวดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคกระเพาะเสมอไป ซึ่งแม้แต่แพทย์เองก็ยังต้องมีการทดสอบว่าเป็นโรคกระเพาะอักเสบจริง หรือว่าป่วยด้วยโรคอื่น เพื่อให้เกิดผลดีต่อการรัษาและการดูแลตนเองของผู้ป่วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงอาการปวดท้องเนื่องจากสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อจะได้ลดความวิตกกังวลไป

การวินิจฉัยผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ

โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายว่าจะเป็นโรคกระเพาะนั้นเมื่อเดินมาทางมาให้แพทย์ได้ทำการตรวจวินิจฉัย แพทย์ก็จะทำการสอบถามประวัติและลักษณะอาการที่เป็นเบื้องต้น จากนั้นจึงจะทำการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดว่าอาจเข้าข่ายเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือไม่ รวมถึงทำการตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Endoscopy) , การเอกซเรย์กระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้งแบเรียมเพื่อตรวจดูความผิดปกติ หรืออาจมีการตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ด้วยการตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ หรือการตรวจด้วยวิธีการพ่นลมหายใจ เป็นต้น

การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ

โดยส่วนมากผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบมักจะรักษาตามอาการเป็นหลัก ซึ่งหากผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบจากการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรที่มักพบได้บ่อย แพทย์ก็จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาคลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin) , ยาอะมอกซิซิลลิน (Amoxicillin) หรือยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เพื่อช่วยการฆ่าเชื้อ

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ แพทย์ก็จะรักษาไปตามอาการ เพื่อเป็นการประคับประคองและช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น อาทิ จ่ายยาลดกรดในกลุ่มโปรตอน ปั๊ม อินฮิบิเตอร์ (Proton Pump Inhibitors) หรือเอช 2 รีเซพเตอร์ แอนตาโกนีสต์ (H2-Receptor Antagonist หรือ H2 Blocker) เพื่อช่วยให้เกิดการหลั่งกรดและรักษาแผลที่เกิดในกระเพาะอาหาร

นอกจากนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังจากการรับประทานยาในกลุ่มยาบรรเทาอาการปวด แพทย์ก็จะแนะนำให้หยุดพฤติกรรมการใช้ยาในเบื้องต้น รวมถึงทำการปรับเปลี่ยนยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันให้แทน อีกทั้งแพทย์ก็จะแนะนำให้หยุดพฤติกรรมที่อาจส่งผลให้อาการแย่ลง อาทิ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน , เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการสูบบุหรี่

เมื่อเป็น “โรคกระเพาะ” ต้องกินยาแบบไหน ? นานเท่าไหร่ ?

โดยปกติแล้วเมื่อเราเป็นโรคกระเพาะก็จะต้องกินยาอยู่ 2 กลุ่ม คือ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร และยากระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ซึ่งถ้าผู้ป่วยมีแผลเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร แพทย์ก็จะแนะนำให้กินยาลดกรดต่อเนื่อเป็นเวลา 6 – 8 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหายผ่านการดูด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหาร ส่วนผู้ป่วยที่ไม่มีความผิดปกติในเบื้องต้น แพทย์ก็มักจะแนะนำให้กินยาลดกรดเฉพาะเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนยาประเภทอื่นๆ อาทิ ยาขับลม ก็แนะนำว่าให้กินเฉพาะตอนที่มีอาการแน่นท้องจากลมที่เกิดขึ้นมากในกระเพาะอาหาร โดยกินในเวลาที่มีอาการได้ตามต้องการ

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคกระเพาะ

  1. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
  2. รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย และควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
  3. หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร เช่น ยาชุด ยาแก้ปวดข้อ ยาแก้ปวดแอสไพริน ยาที่มีสเตียรอยด์ น้ำอัดลม อาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ช็อคโกแลต ชา กาแฟ เป็นต้น
  4. งดสูบบุหรี่
  5. อาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อไม่ควรมีปริมาณมากเกินไป
  6. ถ้าเครียดพยายามลดความเครียด เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ทำสมาธิ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น
  7. หมั่นออกกำลังกาย
  8. รับประทานยาลดกรด ยาน้ำ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ หรือยาเม็ด 1 – 2 เม็ด (เคี้ยวก่อนกลืน) วันละ 4 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็นหลังอาหาร 1 ชั่วโมง และก่อนนอน กรณีมีอาการปวดท้องก่อนเวลายาสามารถรับประทานเพิ่มได้และควรรับประทานยาติดต่อกันนานอย่างน้อย 4 – 8 สัปดาห์
  9. ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อการตรวจวินิจฉัยที่แน่นอน
  10. รับประทานยาสม่ำเสมอตามที่แพทย์แนะนำ

อ้างอิงแหล่งที่มา
พิศาล ไม้เรียง,(2536).โรคทางเดินอาหาร การวินิจฉัยและการรักษา.(พิมพ์ครั้งที่ 2).ขอนแก่น : โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.
เฟื่องเพชร เกียรติเสวี,(2541).โรคระบบทางเดินอาหาร.(พิมพ์ครั้งที่1).กรุงเทพฯ:เรือนแก้ว การพิมพ์.
สุรเกียรติ อาชานานุภาพ,(2543).ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : อุษาการพิมพ์.
วันทนีย์ เกรียงสินยศ,(2548).กินอย่างไรเมื่อเป็นโรคกระเพาะ. ใน ประเวศ วะสี(บรรณาธิการ).หมอชาวบ้าน.(ปีที่ 26 ฉบับที่ 311,หน้า 52-54).

งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ผู้เรียบเรียง รุ่งฤดี จิณณวาโส และ ภัทราพร พูลสวัสดิ์

จัดทำโดยหน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร.0-2201-2520-1

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


บราเดอร์ พลิกเกมตลาด เปิดแคมเปญ‘ทิ้งไว้ทำซาก’เปลี่ยน E-Waste เป็นโอกาส

  • บราเดอร์เปิดแคมเปญ ‘ทิ้งไว้ทำซาก’ ให้ลูกค้านำเครื่องพิมพ์เก่าทุกรุ่นทุกยี่ห้อมาแลกรับส่วนลดสูงสุด 2,000 บาทสำหรับซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่
  • มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการจัดการซากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกวิธี
  • ใช้กลยุทธ์เจาะตลาดทุกกลุ่มลูกค้า โดยเลือกเครื่องพิมพ์ 8 รุ่นที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ผู้ใช้ตามบ้านไปจนถึงองค์กร พร้อมทำการตลาดแบบ Omnichannel เพื่อกระตุ้นยอดขาย

นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดเครื่องพิมพ์ประเทศไทยในปัจจุบันยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่การแข่งขันที่เข้มข้นและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้ลูกค้ามองหานวัตกรรมที่มีความคุ้มค่าและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลพบว่า 21.1 ล้านครัวเรือนในไทย มีการซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่มากกว่า 800,000 เครื่องในทุกปี โดยในปี 2022 ประเทศไทยมี E-Waste มากถึง 440,000 ตัน และมีเพียงน้อยกว่า 1 % ที่ถูกจัดการอย่างถูกวิธี

บราเดอร์ จึงเห็นโอกาสต่อยอดกลยุทธ์ Brother All เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ทั้งด้านธุรกิจและสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นแคมเปญ ‘ทิ้งไว้ทำซาก เทมาเลยพี่รับเอง’ ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้านำเครื่องพิมพ์เก่าขนาด A4 ขึ้นไปทุกรุ่นทุกยี่ห้อมาแลกรับส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท พร้อมสิทธิ์การรับประกัน Brother และของสมนาคุณพิเศษ

สำหรับเครื่องพิมพ์ทั้ง 8 รุ่น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนซากเครื่องพิมพ์ที่ไร้ค่าให้กลายเป็นคุณค่าเชิงธุรกิจและสิ่งแวดล้อม โดยลูกค้าได้เครื่องพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ และใช้งานง่าย ขณะที่สังคมได้ประโยชน์จากการลดปัญหา E-Waste และเพื่อให้แคมเปญนี้ตอบโจทย์อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าบราเดอร์จึงได้วางกลยุทธ์ในแต่ละมิติอย่างเป็นระบบ”

ด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์บราเดอร์ เลือกเครื่องพิมพ์ 8 รุ่นครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์เพื่อเจาะตลาดแบบครบวงจร ตั้งแต่กลุ่มครัวเรือนและนักศึกษา ที่ต้องการ เครื่องพิมพ์ใช้งานง่ายและคุ้มค่า ด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์รุ่น DCP-T230, T430W, T530DW กลุ่มครอบครัวและ SME ที่ต้องการฟังก์ชันหลากหลายพร้อมความยืดหยุ่น ด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์รุ่น DCP-T830DW และเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทมัลติฟังก์ชันรุ่น MFC-J2740DW ไปจนถึงกลุ่มองค์กรและผู้ใช้มืออาชีพ ที่ต้องการความรวดเร็ว ความเสถียรและปลอดภัย ด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์รุ่น HL-L2460DW เครื่องพิมพ์เลเซอร์มัลติฟังก์ชันรุ่น MFC-L2805DW และเครื่องพิมพ์เลเซอร์มัลติฟังก์ชันสีรุ่น MFC-L3760CDW ดังนั้นการเลือก product mix ดังกล่าว จึงสะท้อนกลยุทธ์ของบราเดอร์ ที่ต้องการครอบคลุมทุกจุดสัมผัสลูกค้า เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในทุกเซ็กเมนต์ที่ปัจจุบันบราเดอร์เป็นผู้นำตลาดในหลายกลุ่ม

ในขณะที่กลยุทธ์ด้านราคา บราเดอร์ ใช้แนวคิด “Value Upgrade” โดยกำหนดส่วนลดที่แตกต่างตามศักยภาพของสินค้า ตั้งแต่ 500 บาทสำหรับรุ่นเริ่มต้น ไปจนถึง 2,000 บาทสำหรับรุ่นไฮเอนด์อย่างเครื่องพิมพ์เลเซอร์มัลติฟังก์ชันสีรุ่น MFC-L3760CDW กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายสองชั้นคือ กระตุ้นการซื้อซ้ำและรักษาฐานลูกค้าเดิมให้ย้ายไปใช้เครื่องที่มีฟังก์ชันและประสิทธิภาพสูงขึ้น และจูงใจลูกค้าใหม่เข้าสู่ ecosystem ของบราเดอร์  ผ่านจุดขายด้านความคุ้มค่า ผลลัพธ์ที่ได้คือไม่เพียงเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น แต่ยังเพิ่ม Customer Lifetime Value และสร้าง Loyalty ที่ยั่งยืน

ด้านการตลาดและการสื่อสาร บราเดอร์ ใช้กลยุทธ์ Omnichannel ผสานออนไลน์ ออฟไลน์ และเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย โดยเน้น B2C มากขึ้นผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, TikTok และ YouTube ผ่านการใช้อินฟลูเอนเซอร์และ KOLs ขยายการเข้าถึงและสร้างความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น คนทำงานยุคใหม่ ควบคู่กับการใช้สื่อ Out-of-Home เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยกระตุ้นการรับรู้ แต่ยังเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ในฐานะที่ เข้าถึงง่าย เป็นมิตร และจริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม และส่งผลให้แคมเปญนี้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการเสริม Loyalty Program ของบราเดอร์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

“เราตั้งเป้าว่าภายใน 2 เดือนจะมีผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 ราย ประเมินเป็นการนำ E-Waste ออกจากระบบหลายตัน ซึ่งนอกจากจะสร้างยอดขายที่จับต้องได้ ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าการทำโปรโมชันสามารถสร้างอิมแพคด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย โดยหลังสิ้นสุดแคมเปญบราเดอร์ จะต่อยอดด้วยโครงการรายงานผลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อย CO₂ และปริมาณ e-waste ที่ถูกรีไซเคิล เพื่อตอกย้ำการเป็นองค์กรที่ไม่ได้มองแค่การขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่คือ การสร้างคุณค่าให้ธุรกิจ ลูกค้า และสังคม เติบโตเคียงข้างลูกค้าและโลกอย่างยั่งยืน” นายกิตติพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คำศัพท์ฟุตบอล ที่คอลูกหนังห้ามพลาด!

ฟุตบอล กีฬาระดับโลกที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะชื่นชอบ ถ้าเป็นหนุ่มๆ คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นสาวๆ เนี่ย คุณแอบชอบนักฟุตบอลคนไหนเป็นพิเศษอยู่หรือเปล่าเอ่ย เอาเป็นว่าเรื่องความชอบปล่อยให้เป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลไป เพราะวันนี้เราจะมาดูคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับฟุตบอล ที่คอลูกหนังไม่ควรพลาด โดยวันนี้เราจะแบ่งเป็น 4 ส่วนด้วยกัน คือ 

คำศัพท์ฟุตบอล ตำแหน่งผู้เล่น (The player position)

Forward กองหน้า

Striker กองหน้าตัวเป้า ตัวหลักของกองหน้าจะยืนค้ำอยู่แดนหน้าเพียงคนเดียว

Midfielder กองกลาง

Right midfielder กองกลางฝั่งขวา

Left midfielder กองกลางฝั่งซ้าย

Winger  ตำแหน่งปีก ซึ่งจะมีปีกซ้ายและขวา

Defender กองหลัง

Left defender กองหลังปีกซ้าย

Right defender กองหลังปีกขวา

Sweeper กองหลังตัวท้ายสุด

Goalkeeper ผู้รักษาประตู

Substitute ตัวสำรอง 

คำศัพท์ภาษาอังกฤษสนามและอุปกรณ์ฟุตบอล 

คำศัพท์ความหมายคำศัพท์ความหมาย 
Fieldสนามหญ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าUniform ชุดกีฬา
DimensionsขนาดสนามJerseyเสื้อยืด
GoalประตูShorts  กางเกงขาสั้น
Field markingsเครื่องหมายบนสนามShin guard / Shin padสนับแข้ง
Centre circle จุดกึ่งกลางสนามStockingถุงเท้ายาว
Centre line เส้นแบ่งเขตแดนStudded รองเท้าฟุตบอล
Penalty areaเขตโทษFootball glovesถุงมือผู้รักษาประตู
Penalty markจุดโทษBall ลูกฟุตบอล
Goal areaเขตประตูGoal lineเส้นประตู 
Touchlineเส้นข้างCorner Flagเสาธง

คำศัพท์ในการเล่นบอล 

คำศัพท์ความหมายคำศัพท์ความหมาย
Kick offเขี่ยบอลกลางสนามOffsideการล้ำหน้า
OffensiveการทำเกมบุกDefensiveเกมตั้งรับ
Goalการได้ประตูPassการส่งบอลให้เพื่อนในทีม
Dribblingเลี้ยงบอลHand ballมือของผู้เล่นไปโดนบอล
Foul การทำผิดกติกา Extra timeการต่อเวลาพิเศษ
Volleyเตะบอลที่ลอยโด่งก่อนบอลตกพื้นThrow inทุ่มบอล
Injury บาดเจ็บPenalty kickจุดโทษ
Corner kickเตะมุมHalf-time intervalพักครึ่งเวลา
Final whistleเป่านกหวีดหมดเวลาAllowance for time lostทดเวลา
Defeatแพ้Winชนะ
Semi-finalsรอบรองชนะเลิศDraw เสมอ 
To knock outตกรอบFinal รอบชิงชนะเลิศ

คำศัพท์เกี่ยวกับการตัดสิน 

Referee ผู้ตัดสิน

Assistant ผู้ช่วยผู้ตัดสิน 

Linesmen  ผู้กำกับเส้น (ไม่ใช่คนส่งอาหารนะจ๊ะ)

Red card ใบแดง 

Yellow card  ใบเหลือง 

Blow the whistle เป่านกหวีด

Competition Rule ระเบียบการแข่งขัน 

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


ชาเขียว VS ชาดำ คุณค่าต่างกว่าที่คิด เลือกแบบไหนเหมาะกับร่างกาย?

ชาเขียวและชาดำ ต่างก็มีคุณค่าต่อสุขภาพ แต่คุณสมบัติและสารต้านอนุมูลอิสระไม่เหมือนกัน การเลือกดื่มให้เหมาะกับร่างกายและไลฟ์สไตล์ จะช่วยให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ใครเหมาะกับการดื่มชาเขียว

ชาเขียวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ลดไขมันสะสม และเสริมภูมิคุ้มกัน เนื่องจากมี EGCG และแคทีชินสูง เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก หรือผู้ที่ต้องการลดการอักเสบในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัว เหมาะกับคนที่ทำงานใช้สมาธิ

ใครเหมาะกับการดื่มชาดำ

ชาดำเหมาะกับคนที่ต้องการเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เพราะมีสารธีฟลาวินและธีอารูบิจิน ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและควบคุมความดันโลหิต เหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ รวมถึงคนที่ชอบรสเข้มและต้องการเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มพลังงานในระหว่างวัน

ควรเลือกแบบไหนดี

  • หากคุณเน้นการเผาผลาญ ลดน้ำหนัก หรือเพิ่มสมาธิ → เลือกชาเขียว
  • หากคุณใส่ใจสุขภาพหัวใจ ความดัน และอยากได้รสเข้มชัด → เลือกชาดำ

จริง ๆ แล้วสามารถสลับดื่มได้ตามความเหมาะสม เพราะทั้งคู่มีคุณค่าต่างกัน

ข้อควรระวังในการดื่มชา

  • ไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะ
  • ผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมธาตุเหล็กควรดื่มหลังอาหาร 1–2 ชั่วโมง
  • จำกัดปริมาณวันละ 1–3 แก้ว เพื่อลดความเสี่ยงจากคาเฟอีน

ชาเขียวและชาดำต่างก็มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน หากต้องการลดน้ำหนักและเพิ่มพลังงานแนะนำชาเขียว แต่หากใส่ใจสุขภาพหัวใจและเลือด ชาดำจะเหมาะกว่า การเลือกดื่มให้ตรงกับความต้องการของร่างกายคือคำตอบที่ดีที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a56,800.0056,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,672.0055,667.5257,700.00
ทองรูปพรรณ 90%3,304.8050,100.77n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,937.6044,534.02n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,652.4025,050.38n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,285.2019,483.63n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,805.1857,686.53n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.6532.6533.1532.6532.6532.6532.6532.6532.6532.65
แก๊สโซฮอล์ 9132.2832.2832.7832.2832.2832.2832.2832.2832.2832.28
แก๊สโซฮอล์ E2030.4430.4430.9430.4430.4430.4430.4430.4430.44
แก๊สโซฮอล์ E8528.3928.3928.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.8449.8449.8449.8440.84
เบนซิน 9540.9449.8141.4441.0940.94
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า