“รับสร้างบ้าน” ขาดแคลนแรงงาน ลุยหาช่างฝีมือ รับ Q2 ตลาดฟื้นดี
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เผย ตลาดรับสร้างบ้านขาดแคลน แรงงาน หวั่นเป็นอุปสรรคการเติบโตในอนาคต ลุย ปั้นหลักสูตร เจาะคนรุ่นใหม่ สู่ช่างมืออาชีพ รับแนวโน้มตลาดฟื้นตัวดี ชี้บ้าน 20 ล้านบาท มูลค่าขยายตัว
24 เมษายน 2566 – นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยว่า จากภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านที่กำลังขยายตัว ทำให้เกิดความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น จึงส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในภาคก่อสร้างรุนแรง ทั้งในระดับช่างทั่วไป และโดยเฉพาะกลุ่มงานช่างฝีมือที่ต้องการทักษะสูงขึ้นขาดแคลนอย่างมาก ดังนั้นทางสมาคมฯ จึงได้เริ่มแนวคิดและทำงานร่วมกับพันธมิตร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาพัฒนาหลักสูตรเพื่อติดอาวุธความรู้ และเสริมทักษะในการปฏิบัติงานในสถานประกอบการให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจเรียนในสายอาชีพ
” สมาคมฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถบุคลากรอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในภารกิจที่สำคัญ คือ การเดินหน้าสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ โดยเฉพาะช่างฝีมือให้เข้ามามีส่วนร่วมผลักดันธุรกิจรับสร้างบ้านในภาพรวมที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยกระดับมาตรฐานคุณภาพงานก่อสร้างให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น”
โดยสมาคมฯ จับมือ วิทยาลัยเทคนิคดุสิต ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พัฒนาหลักสูตร ‘HBA MODEL PREMIUM รุ่น 1’ ขึ้น เพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจ โดยจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคี สาขาช่างก่อสร้าง โดยผู้ที่สนใจสมัครเข้าเรียนในหลักสูตรนี้จะเปิดรับสมัครนักศึกษาที่จบประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) แผนกช่างก่อสร้าง หรือ ต่างสาขา รวมทั้งผู้ที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือ เทียบเท่า ที่มีความสนใจเรียนสายอาชีพได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรนี้ ในจำนวน 15-20 คน เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน – วันที่ 6 พฤษภาคม 2566
นายโอฬาร กล่าวว่า ข้อดีของการเรียนสายอาชีพในหลักสูตรนี้ คือ ได้รับการสนับสนุนค่าหน่วยกิตและบำรุงการศึกษาตลอดหลักสูตรประมาณ 28,000 บาทต่อคน นอกจากนี้ยังมีค่าเบี้ยเลี้ยง 9,000 บาท เมื่อเข้าฝึกงานกับสถานประกอบการ มีที่พักและค่าเดินทาง เมื่อได้รับการบรรจุเป็นพนักงาน พร้อมสวัสดิการตามที่บริษัทระบุไว้ ค่าอุปกรณ์การเรียน หนังสือ ค่าเครื่องแต่งกาย
โดยจะเป็นแบบฟอร์มของแต่ละบริษัท และเมื่อผ่านการทดสอบสมรรถนะจะบรรจุเข้าเป็นพนักงานของบริษัทที่มอบทุน ในตำแหน่งผู้ควบคุมงานก่อสร้าง โดยรับประกันรายได้ ภายหลังจบการศึกษาและผ่านการทดสอบสมรรถนะ ที่ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน
“คนรุ่นใหม่ที่ต้องการเรียนสายอาชีพ หลักสูตรนี้จะถ่ายทอดความรู้และสร้างประสบการณ์จากการได้ลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งการเรียนสาขาช่างเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ตลาดมีความต้องการ โดยเฉพาะธุรกิจรับสร้างบ้านที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และตลอดการเรียนรู้ในหลักสูตร ผู้เรียนจะได้ทั้งความรู้คู่กับได้ลงมือปฏิบัติ ทำให้ได้รับประสบการณ์การทำงานที่พร้อมออกสู่โลกการทำงานเมื่อเรียนจบ และเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญให้กับธุรกิจรับสร้างบ้านในอนาคต” นายโอฬาร กล่าว
ในส่วนของภาพรวมตลาดธุรกิจรับสร้างบ้านในไตรมาส 2 ของปี 2566 พบว่า แนวโน้มความต้องการสร้างบ้านขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด ซึ่งจากข้อมูลการจองรับสร้างบ้านใน “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Focus 2023” เพิ่มขึ้น 15% โดยเป็นการจองสร้างบ้านในระดับราคา 2.5 – 10 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้ยังคงเป็นตลาดหลักเช่นเดียวกับไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ยอดจองสร้างบ้านราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป แม้จำนวนหลังที่ก่อสร้างจะน้อยกว่า แต่สามารถสร้างมูลค่ามากถึง 1,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
NVD ยกเครื่อง สู่ “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” ลุยปั้นอสังหาฯ ปีนี้ 2.1หมื่นล้าน
ผู้ถือหุ้น NVD อนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” ขณะ “ศรศักดิ์ สมวัฒนา” ย้ำเดินหน้าธุรกิจอสังหาฯ เต็มที่ ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 2.11 หมื่นล้านบาท เจาะโครงการระดับบน ยึดทำเลยุทธศาสตร์ กรุงเทพกรีฑา หวังหนุนรายได้ปีนี้ ทะลุ 4.5 พันล้านบาท โต 75%
24 เมษายน 2566 – นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เนอวานา ไดอิ (NVD) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อบริษัทฯ เป็น “บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)” หรือ “Nirvana Development Public Company Limited” รวมทั้งอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของการดำเนินงานปี 2565 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจากกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 93.19 ล้านบาท บริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 10 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566
” ภาพรวมการดำเนินธุรกิจใน ปี 2566 จะเป็นปีแห่งการรุกขยายธุรกิจเต็มกำลัง โดยเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพในการเติบโตหลังวิกฤติโควิด-19 บริษัทฯ มีความพร้อมเปิดตัวโครงการใหม่รวม 9 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 2.11 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายรวม 8.5 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 160% จากปีก่อน และตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%”
โครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดตัวใหม่ทั้ง 9 แห่งนี้ เป็นโครงการในระดับลักชัวรี (Luxury Segment) มีแบรนด์ตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อบ้านในหลากหลายเซกเม้นท์ ตั้งแต่ อัลตร้าลักชัวรี (Ultra-luxury) ซุปเปอร์ ลักชัวรี (Super Luxury) โมเดิร์น ลักชัวรี (Modern Luxury) โมเดิร์น ไฮเอนด์ (Modern High-end) ไปจนถึง โมเดิร์น ไฮเอนด์ ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Modern High-end)
บริษัทยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านกรุงเทพกรีฑาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่อาศัยในระดับบนที่มีการเติบโตอย่างสูง ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพของการอยู่อาศัย สามารถเชื่อมต่อกับถนนหลักเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในได้หลายเส้นทาง นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
โดยไตรมาส 2 นี้ บริษัท เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการ คือ โครงการเนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Collection Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ ultra luxury ราคา 80-150 ล้านบาท บนทำเล prime ที่สุดติดถนนกรุงเทพกรีฑา โครงการเนอวานา แอปโซลูท กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Absolute Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ value luxury ราคา 15-25 ล้านบาท คอนโดมิเนียม THE MOST รัตนาธิเบศร์ สุขที่สุดทุกการใช้ชีวิตกับ คอนโดดับเบิ้ลสเปซ ใกล้ห้างเซ็นทรัลและรถไฟ้ฟ้า เริ่ม 1.79 ล้าน
สุดท้ายกับโครงการเนอวานา ดีไฟน์ กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Define Krungthep Kreetha) The first townhome with roof top garden พร้อมเผยแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เนอวานา ทาวน์ชิพ (Nirvana Township) เมืองแห่งสังคมคุณภาพบนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พร้อมกับไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ มอลล์ โดยใช้ชื่อว่า เนอวานา พอร์ช (Nirvana PORCH) จากคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการที่จะถูกรังสรรค์ให้เป็นจุดศูนย์รวมความสะดวกสบายอย่างครบครัน ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้จะช่วยเติมเต็มในเรื่องความสะดวกสบายสำหรับการอยู่อาศัยได้อย่างครบวงจร
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 25เม.ย.ที่ระดับ 34.32 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังคงมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ ทั้ง” โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ -โฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า”
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 25เมษายน 2566ที่ระดับ 34.32 บาทต่อดอลลาร์
“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้น ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
อย่างไรก็ดีในระหว่างวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทยังคงมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ อาทิ โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ
รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากฝั่งผู้นำเข้า ทำให้โซนแนวรับของเงินบาทอาจยังคงอยู่ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน แถว 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ ควรรอจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ หลังล่าสุด นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยมากขึ้น
โดยเฉพาะในฝั่งบอนด์ระยะสั้น (ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นการเพิ่มสถานะ Long THB หรือ
มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าใกล้โซนแนวต้านแถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนในฝั่งหุ้น แรงขายก็เริ่มลดลงและหากตลาดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็อาจหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทยได้บ้าง
ทำให้โดยรวมเรามองว่า ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบเดิม และอาจยังไม่อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ที่ประเมินไว้ไปได้ไกล ยกเว้นว่า ตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงชัดเจน และ/หรือ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (ดัชนีเงินดอลลาร์หรือ DXY แข็งค่าทะลุ 102.5 จุด)
ในช่วงนี้ เราคงมองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.50 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะ wait and see เพื่อรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บริษัทเทคฯ ใหญ่ อาทิ Microsoft และ Alphabet (ซึ่งจะรับรู้ในช่วงหลังตลาดปิดทำการของวันอังคารนี้)
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็ต่างรอประเมินภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มเงินเฟ้อ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง GDP ในไตรมาสแรก และอัตราเงินเฟ้อ PCE ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ยังคงเคลื่อนไหว sideways ปิดตลาด +0.09%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง -0.006% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนยุโรป
โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร/การเงิน (Deutsche Bank, Santander และ UBS) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB อย่างไรก็ดี รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) ที่ปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าสู่ระดับ 93.6 จุด ในเดือนเมษายน
สะท้อนว่าบรรดาผู้ประกอบการยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี ซึ่งช่วยคลายความกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้บ้าง
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ เนื่องจากสัปดาห์นี้จะไม่มีถ้อยแถลงจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดพยายามประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฟดสาขาชิคาโก้ รวมถึง ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขาดัลลัส ก็ออกมาสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่
กอปรกับ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง (รอลุ้นผลประกอบการ) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.48%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด สะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงใกล้ระดับ 101.3 จุด
ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รับปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ที่ชัดเจน เพื่อรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ GDP ไตรมาสแรก รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ PCE และผู้เล่นบางส่วนก็อาจรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันศุกร์นี้
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) สามารถรีบาวด์ขึ้น สู่โซนราคาแถว 2,005 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนที่เข้าซื้อสะสมในโซนแนวรับแถว 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจใช้จังหวะการรีบาวด์ดังกล่าวในการทยอยขายทำกำไรบางส่วน ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสำคัญกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บริษัทเทคฯ ใหญ่ในฝั่งสหรัฐฯ อย่าง Microsoft และ Alphabet เป็นหลัก
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจในฝั่งสหรัฐฯ จะมี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board รวมถึง ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขาริชมอนด์ ซึ่งมีโอกาสที่ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอาจสะท้อนภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยเฉพาะในฝั่งภาคการผลิต ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็อาจลดลงบ้าง หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็เริ่มชะลอตัวลงมากขึ้น
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดประเมินว่า มีโอกาสที่ ECB จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อครั้งละ 25bps ราว 3 ครั้ง
นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปก็จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน
และในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอาจกดดันให้ ยอดการส่งออก (Exports) เดือนมีนาคมอาจหดตัวถึง -16%y/y สอดคล้องกับการปรับตัวลงแรงของดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมีนาคม
อนึ่ง ยอดการนำเข้า (Imports) ก็อาจหดตัวราว -5%y/y ตามราคาสินค้าโดยเฉพาะสินค้าพลังงานที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลราว -1 พันล้านดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“อาฒยา” ยังรั้งอันดับ 5 คะแนนสะสมโลกกอล์ฟหญิงล่าสุด, “ปภังกร” ขยับขึ้นอันดับ 58
“จีน” อาฒยา ฐิติกุล ยังคงรั้งอันดับ 5 ในการประกาศจัดอันดับคะแนนสะสมโลกกอล์ฟหญิงล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2566 โดยที่ “เหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจ เลื่อนขึ้นไปอันดับ 58 เช่นเดียวกับ “เม” เอรียา จุฑานุกาล ขึ้น 8 อันดับไปอยู่ที่ 79
แต่ “โม” โมรียา จุฑานุกาล อันดับ 76 “ซิม” ณัฐกฤตา วงศ์ทวีลาภ อันดับ 81 “เมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ อันดับ 89 “แหวน” พรอนงค์ เพชรล้ำ อันดับ 123 “แจน” วิชาณี มีชัย อันดับ 140 จัสมิน สุวัณณะปุระ อันดับ 192
“ว่าน” จารวี บุญจันทร์ อันดับ 198 “ปริญญ์” ปวริศา ยกทวน อันดับ 248 “พราว” ชเนตตี วรรณแสน อันดับ 343 และ “เปียโน” อาภิชญา ยุบล อันดับ 365
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
แผลในปากอาจไม่ใช่ร้อนใน แต่เป็น “มะเร็งช่องปาก”
นอกจากมะเร็งที่เราได้ยินกันบ่อยๆ อย่างมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ และมะเร็งปอด เชื่อว่าหลายคนน่าจะไม่ค่อยคุ้นหูกับ “มะเร็งช่องปาก” และอาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเป็นโรคนี้ได้ยังไง อะไรคือสาเหตุ และอาการเป็นอย่างไร Sanook! Health จึงนำข้อมูลมาฝากกันค่ะ
มะเร็งช่องปาก ติด 1 ใน 10 โรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคน
มะเร็งช่องปาก เป็นส่วนหนึ่งของโรคมะเร็งในกลุ่มโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ มีทั้งชนิด สะความัส (Squamous cell carcinoma) หรือ SCC และชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarci noma) หรือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ชนิดหลังพบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นชนิด SCC
มะเร็งช่องปาก พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
มะเร็งช่องปาก มีสาเหตุจากอะไร?
เหมือนโรคมะเร็งอื่นๆ ที่ไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่จะมีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เป็นโรคมะเร็งช่องปากมากขึ้น
- ดื่มแอลกอฮอลล์
- สูบบุหรี่
- เคี้ยวหมากพลู เพราะมีสารก่อมะเร็งเจือปนอยู่
- มีแผลที่เกิดจากการระคายเคืองเยื่อเมือกบุช่องปาก ฟันแหลมคม/บิ่น ขูดจนผนังปากเป็นแผล และไม่รับการรักษาจนเป็นแผลมีหนอง แผลเรื้อรัง ซึ่งสุดท้ายอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
- ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก โดยติดต่อมาที่ปากผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก
- มีประวัติเคยเป็นโรคมะเร็งบริเวณศีรษะ และลำคอมาก่อน
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็งช่องปาก
- พบฝ้าสีขาว หรือสีแดง ในเยื่อบุช่องปาก กระพุ้งแก้ม หรือลิ้น
- มีแผลในช่องปากที่รักษาไม่หายนาน 2-3 สัปดาห์
- มีตุ่ม หรือก้อนในช่องปาก และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่มักไม่มีอาการเจ็บใดๆ
- ฟันโยก ฟันหลุด หรือสวมใส่ฟันปลอมไม่ได้ เป็นเพราะมีก้อนเนื้องอกขึ้นมาบริเวณเหงือก
- เคี้ยว และกลืนอาหารได้ไม่สะดวก มีความยากลำบากในการเคี้ยว และกลืน
- พบแผลที่รักษาไม่หาย และมีเลือดไหลออกมาจากแผลอย่างผิดปกติ
- พบก้อนที่ลำคอ ซึ่งอาจจะเป็นต่อมน้ำเหลืองโตจากมะเร็งลุกลาม แต่มักไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ
แผลในปากอาจไม่ใช่ร้อนใน แต่เป็น “มะเร็งช่องปาก”
วิธีจำแนกว่าเป็นแผลร้อนใน หรือแผลมะเร็งช่องปาก ง่ายๆ คือ แผลร้อนในสามารถหายได้เอง หรือมีอาการดีขึ้นภายในไม่กี่วัน หรือไม่เกิน 1 อาทิตย์ แผลจะค่อยๆ เจ็บแสบน้อยลง และแห้ง เนื้อประสานกันได้ในที่สุด ยิ่งใช้ยาช่วยจะยิ่งหายเร็วขึ้น
แต่แผลจากมะเร็งช่องปาก จะเป็นแผลที่สดตลอดเวลา ไม่มีทีท่าว่าจะหาย และอาจมีเลือดออกมาในบางครั้ง ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ก็ยังไม่ดีขึ้น
หากพบแผลดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Have something done กับ Have someone do something ต่างกันยังไง?
หลายคนพอเห็นชื่อเรื่องว่า causative form อาจจะทำหน้างงว่ามันคืออะไร แต่ถ้าพูดถึงรูปแบบที่ว่า have something done กับ have someone do something ขึ้นมา บางคนอาจจะเริ่มบอกว่าคุ้นๆแล้ว ไม่ต้องสงสัย หรือมานั่งย้อนระลึกชาติกันให้ลำบากว่าเคยได้ยินไอ้พวกนี้มาจากไหน วันนี้พวกเรา DailyEnglish จะมาไขข้อข้องใจของทุกๆคนเองค่ะ
มาเริ่มกันที่ดูตัวอย่างประโยคสองออันด้านล่างนี้ก่อนนะคะ
I cut my hair.
I have my hair cut.
คำถามก็คือ ใครบอกได้บ้างคะ ว่าประโยคสองประโยคนี้แตกต่างกันอย่างไร???
ไอ้สองประโยคที่เรายกตัวอย่างมานี่มีความเหมือนกันก็คือ ผมของเราถูกตัด แต่มันก็มีความต่างกันอยู่
I cut my hair. หมายถึง คุณตัดผมของคุณด้วยมือของคุณเอง
ในขณะที่ I have my hair cut. หมายถึง ผมของคุณถูกตัดด้วยคนอื่นๆ (ซึ่งอาจหมายถึงช่างทำผม หรือแม่ หรือเพื่อนของคุณ ประเด็นคือ คนอื่นเป็นคนตัดผมให้คุณ)
นี่แหละค่ะคือลักษณะการใช้ของ causative form ของบางอย่างเราไม่ได้ลงมือทำด้วยตัวของเราเองเสมอไป เรามีคนอื่น ที่เราอาจจะจ้างให้เค้าทำให้หรือขอให้เค้าทำให้เรา เราเลยจำเป็นต้องใช้ causative form เข้ามาช่วย
Causative form สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. Have something done คือการเน้นถึงการกระทำที่เสร็จไปแล้ว
โครงสร้างก็คือ
Subject + have/ has/get + object + Past participle (กริยาช่องที่ 3)
ตัวอย่างประโยคก็เช่น
I have my hair cut. (ฉันไปตัดผมมา เป็นคนอื่นตัดนะไม่ใช่ตัวฉันเองตัด)
She had her car repaired. (เธอเอารถไปซ่อมมา ซึ่งอาจให้แฟนเธอซ่อมให้ หรือเข็นรถเข้าอู่ให้ช่างซ่อมก็ได้ แต่ที่แน่ๆเธอไม่ได้ซ่อมเอง)
Chris and Matt have had their assignment checked. (งานของคริสและแมทถูกตรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตรวจโดยใคร จะหัวหน้า หรืออาจารย์ก็ว่ากันไป)
Lily got her laptop fixed. (ลิลลี่เอาโน้ตบุ้คของเธอไปซ่อม ซึ่งคนซ่อมอาจเป็นช่าง หรือคนที่เธอรู้จักก็ได้)
They will get their house cleaned. (บ้านของพวกเขาจะถูกทำความสะอาด ซึ่งอาจเป็นแม่บ้านหรือแม่ของพวกเขาก็ได้)
2. Have someone do something ในแบบนี้จะเน้นที่ว่าให้ใครเป็นคนทำบางอย่างให้กับเรา
โครงสร้างจะมีสองแบบก็คือ
Subject + have/ has + person/thing + infinitive (กริยาช่องที่ 1)
หรือ
Subject + get + person/thing + to infinitive (to กริยาช่องที่ 1)
ตัวอย่างเช่น
I will have the cleaner clean my office. (ฉันจะให้พนักงานทำความสะอาดมาทำความสะอาดที่ทำงานของฉัน)
John has the barber cut his hair every three months. (จอห์นให้ช่างตัดผมตัดผมของเขาทุกๆสามเดือน)
They got their friends to arrange the party for them. (พวกเขาได้เพื่อนของพวกเขามาจัดงานเลี้ยงให้พวกเขา)
Jenny will get her sister to draw her picture. (เจนนีจะให้น้องสาวของเธอวาดรูปเธอให้)
*** สิ่งที่ต้องระวังในส่วนนี้คือ เมื่อไหร่ที่คุณใช้ have หรือ has ไม่ว่าจะมาในรูปแบบช่วงเวลาใด tense ไหนก็ตาม กริยาหลังคนหรือสิ่งของต้องเป็นกริยาช่องที่ 1 แบบไม่มี to (เช่น buy, cut, sell, help etc.)
แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณใช้ get ไม่ว่าจะมาในรูปแบบช่วงเวลาใด tense ไหนก็ตาม กริยาหลังคนหรือสิ่งของต้องเป็น to บวกกับกริยาช่องที่ 1 (เช่น to buy, to cut, to sell, to help etc.)
คุ้นๆ กันบ้างมั้ยคะว่าหลักการของการใช้ Causative form มันเหมือนหลักของอะไร?
คำตอบก็คือ เหมือนกับการใช้ Passive voice ไม่มีผิดเลยค่ะ นี่แหละค่ะเรื่องของภาษากฎมันดูเยอะแยะ แต่จริงๆแล้วมันก็แอบเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอยู่ แค่ต้องพิจารณาดีๆก็เท่านั้น
จริงๆแล้ว นอกเหนือจากคำว่า have/has หรือ get แล้วยังมีอีกหลายคำที่เรามาใช้ได้ เยอะแยะมาก (แบบ ก.ไก่ล้านตัว) แล้วแต่ละตัวก็มีความหมายของมันแตกต่างกันออกไป ถ้าอยากลงรายละเอียด แม้แต่คำว่า have/has หรือ get ก็ไม่ได้มีความหมายเหมือนกันซะทีเดียว แต่ก็ถือว่าใช้แทนกันได้
เช่น หากใช้ have จะหมายถึง การที่เราจ้าง จ่ายเงิน ทำอะไรซักอย่างเพื่อแลกให้คนอื่นทำให้เรา
ตัวอย่าง I will have a painter paint my house. (ฉันจะให้ช่างทาสีมาทำสีบ้านของฉัน คือฉันจ้างช่างมาทาสีบ้านของฉันนั่นเอง)
หากใช้ make จะหมายถึง การบังคับหรือ กดดันให้บางคนหรือบางสิ่งให้ทำบางสิ่งให้
ตัวอย่าง Sam make his son cut his hair. (แซมบังคับ/ทำให้ให้ลูกชายของเขาตัดผม)
หากใช้ let จะหมายถึง อนุญาตให้ทำ หรือยอมให้ทำ
ตัวอย่าง My mother let me borrow her car to the party. (แม่ของฉันอนุญาตให้ฉันยืมรถของแม่ไปงานเลี้ยง)
หากใช้ get จะหมายถึง เราไปขอร้อง พูด หรือทำให้ใครก็ตามมาช่วยเราทำ
ตัวอย่าง Anny got her sister to do her homework. (แอนนาได้พี่ของเธอช่วยทำการบ้านให้ ซึ่งเธอก็ไม่ได้จ้างหรืออะไรอาจมาจากการขอร้อง หรืออะไรก็ได้)
ทีนี้ถ้าจะบอกว่าไปจะตัดผมที่ร้าน หรือเอารถไปเข้าอู่ อะไรก็แล้วแต่ ก็อย่าลืมเอาประโยคที่ใช้ causative form มาใช้ได้เลยนะคะ ฝึกเยอะๆจะได้คุ้นเคยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
“โซลาร์ภาคประชาชน”ปี 66 ยอดติดตั้งรวม 5,493 กิโลวัตต์
“โซลาร์ภาคประชาชน”ปี 66 ยอดติดตั้งรวม 5,493 กิโลวัตต์ กกพ.เผยยอดการติดตั้งยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญแม้ค่าไฟแพงขึ้น ระบุเป็นทางเลือกที่ดีเพราะเป็นไฟฟ้าพลังงานสะอาด
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ว่า แม้ปัจจุบันราคาค่าไฟจะเพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันยอดการติดตั้ง “โซลาร์ภาคประชาชน” ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากปี 2566 มีประชาชนลงทะเบียนครบถ้วนตามคุณสมบัติ 1,020 ราย ติดตั้งรวม 5,493 กิโลวัตต์ แบ่งเป็น
- การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 756 ราย ติดตั้ง 4,078 กิโลวัตต์
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 264 ราย ติดตั้ง 1,415 กิโลวัตต์
สำหรับในจำนวนนี้มีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) ไปแล้วรวม 228 ราย ติดตั้งรวม 1,228 กิโลวัตต์ แบ่งเป็น
- กฟน. 200 ราย ติดตั้ง 1,087 กิโลวัตต์
- กฟภ. 28 ราย ติดตั้ง 141 กิโลวัตต์
“ถ้าคิดเป็นหน่วย พบว่ายังมียอดใช้ไม่ค่อยมาก จึงยังไม่มีผลต่อราคาค่าไฟในปัจจุบัน แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีหากประชาชนใช้โซลาร์เป็นทางเลือก เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาด และเป็นประโยชน์ต่อภาคครัวเรือน”
นายคมกฤช กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุม กกพ.มีมติปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) งวดใหม่ลงมาอยู่ที่ 91.19 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยที่เรียกเก็บกับประชาชนสำหรับงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2566 ลดลง 7 สตางค์/หน่วย
ทั้งนี้ จากเดิมที่มีมติ 4.77 บาท/หน่วย เป็น 4.70 บาท/หน่วย ซึ่งถือเป็นการลดลง 2 สตางค์/หน่วย จากงวดปัจจุบันสำหรับเดือนม.ค.-เม.ย.2566 อยู่ที่ 4.72 บาท/หน่วย ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เสนอ
โดยไม่มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นอีกครั้ง เนื่องจากสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณสูตรค่าเอฟทีไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการพิจารณาก่อนหน้านี้ที่ กกพ.ได้เปิดให้สาธารณะชนแสดงความคิดเห็นไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไป กกพ. จะทำหนังสือแจ้งไปยัง 3 การไฟฟ้าเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน และจะทันงวดบิลเดือนพ.ค.2566 แน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
มะม่วง อร่อยดีมีประโยชน์ทั้งสุก-ดิบ
หนึ่งในผลไม้ที่ถูกใจทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ แถมราคายังไม่แพง และหาซื้อได้ง่ายสุดๆ คงหนีไม่ “มะม่วง” ที่อร่อยได้ทั้งแบบดิบ และสุก แถมแต่ละสายพันธุ์ยังมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย
ประโยชน์ของ มะม่วงดิบ
มะม่วงดิบ มีทั้งรสหวานมัน และเปรี้ยวจี๊ด ด้วยเหตุนี้เองถึงทำให้มะม่วงเต็มไปด้วยวิตามินซี มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน และแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ
ประโยชน์ของ มะม่วงสุก
มะม่วงสุก จะมีสีเหลือง จึงเต็มไปด้วยวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันสายตามัวมองเห็นไม่ชัดในเวลากลางคืน และยังมีฤทธิ์เป็นยาระบาย มีกากใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
ข้อควรระวังในการทานมะม่วง
หลายคนอาจมีปัญหาท้องอืด หนักท้องเมื่อทานมะม่วงดิบมากเกินไป จึงควรทานครึ่งลูกใหญ่ หรือ 1 ลูกเล็กหลังมื้ออาหาร ไม่ควรทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท้องอืด รู้สึกอึดอัดเหมือนอาหารไม่ย่อยได้
สำหรับมะม่วงสุก เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงเช่นกัน ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง เพราะเป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูง ยิ่งทานเป็นเมนูข้าวเหนียวมะม่วงยิ่งแล้วใหญ่ สำหรับคนปกติที่ไม่มีโรคประจำตัวอะไร สามารถทานมะม่วงสุกได้ ¾ ผล หลังมื้ออาหาร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/04/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,350.00 | 32,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,095.00 | 31,760.20 | 32,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,885.50 | 28,584.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,676.00 | 25,408.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 943.00 | 14,295.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 733.00 | 11,112.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,171.00 | 32,912.36 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/04/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.45 | 36.45 | 38.34 | 36.45 | 36.45 | 36.45 | 36.45 | 36.45 | 36.45 | 36.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.18 | 36.18 | 38.04 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.14 | 34.14 | 35.74 | 34.14 | 34.14 | – | 34.14 | 34.14 | 34.14 | 34.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.59 | 34.59 | – | – | – | – | – | – | – | 34.59 |
เบนซิน 95 | 44.26 | – | – | – | 44.31 | – | 44.76 | 44.41 | – | 44.26 |
ดีเซล B7 | 32.94 | 32.94 | 34.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 34.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซล B20 | 32.94 | 32.94 | 34.44 | – | 32.94 | – | 32.94 | – | – | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.06 | 42.16 | 44.74 | 43.66 | 43.66 | – | – | – | – | 42.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |