อสังหาฯไทย ผงาดเบอร์ 4 ที่ชาวจีนต้องการซื้อมากที่สุด !
อนันดาฯ เข็น 30 โครงการพร้อมอยู่ ขยายฐาน ลูกค้าชาวจีน รับดีมานด์ต่างชาติกลับมาอีกครั้ง ขณะเอเจนท์ระดับโลก ชี้ อสังหาฯไทย ขึ้นแท่นเบอร์ 4 ในตลาดความต้องการของชาวจีน ตามหลังเพียง ออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐฯ
24 พฤษภาคม 2566 – เห็นการขยับกลับมาทำการตลาดอย่างคึกคัก สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลทอง แนวรถไฟฟ้า ที่กลับมามีดีมาน์ความต้องการจากทั้งคนเมืองและคนต่างชาติอย่างน่าสนใจ
โดยนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อนันดาฯ เดินหน้าขยายโอกาสเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ หลังเห็นดีมานด์การซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยของชาวต่างชาติกลับมาอีกครั้ง ซึ่ง อนันดาฯ มีโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลทองใจกลางเมืองกว่า 30 โครงการ มีมูลค่ารวมถึง 34,000 ล้านบาท ที่พร้อมให้นักลงทุนและผู้อยู่อาศัยได้เป็นเจ้าของในช่วงเวลาที่ดีมานด์อสังหาริมทรัพย์ไทยจากต่างชาติพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อสังหาฯไทยเนื้อหอม บ้านหลัง 2 ของต่างชาติ
ล่าสุดได้มีการจับมือกับพันธมิตร บียอนด์ 360 พร็อพเพอร์ตี้ ผู้มีความเชี่ยวชาญในตลาดต่างชาติจะช่วยเสริมแกร่งให้ธุรกิจสามารถขยายสู่ตลาดในหลากหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยการเติบโตของกลุ่มลูกค้าต่างชาติในช่วงก่อนโควิดและหลังการฟื้นตัวในช่วงนี้มีความสำคัญกับธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการซื้อบ้านหลังที่สองของชาวต่างชาติ
หลังจากที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง อนันดาฯ เดินหน้าจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างชาติชั้นนำกว่า 200 ราย ทั้งจากญี่ปุ่น อังกฤษ จีน เมียนมาร์ ไต้หวัน ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายฐานลูกค้าในตลาดโลก ซึ่ง อนันดาฯ ถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยเจ้าแรกที่ผนึกกำลังกับพันธมิตรต่างชาติจำนวนมาก ล้วนมีความเชี่ยวชาญและมีข้อมูลเชิงลึกด้านความต้องการของตลาดในประเทศนั้นๆ จึงทำให้มั่นใจว่าโครงการของอนันดาฯ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ นอกจากอนันดาฯ จะเป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจจากแวดวงอสังหาริมทรัพย์แล้ว โครงการยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างหลากหลาย ภายใต้การดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมมอบบริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด
มร. ฟู่ หยู เฉิน (แทงก์) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บียอนด์ 360 จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร กล่าวถึง ความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับอนันดาฯ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดโลก ซึ่งอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย ด้วยโครงการมากมายบนสุดยอดทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้า ซึ่งมาพร้อมคุณภาพและบริการเหนือระดับ การออกแบบห้องและพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัว ตลอดจนราคาที่น่าลงทุน
บริษัท บียอนด์ 360 พร็อพเพอร์ตี้ รวมไปถึงเอเจนต์ชั้นนำอีกกว่าร้อยรายทั้งในจีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย เมียนมาร์ สิงคโปร์ และเวียดนาม พร้อมด้วยทีมงานในตลาด B2B และ B2C เรามั่นใจว่าโมเดลการให้บริการแบบครบวงจรเช่นนี้จะถูกใจลูกค้า เพราะเราจะดูแลทั้งการขายอสังหาฯ การปล่อยเช่า การดูแลจัดการอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เช่น การพาลูกค้าออกรอบกอล์ฟ การจัดหาโรงเรียนนานาชาติ และการช่วยเหลือด้านการทำวีซ่า เป็นต้น
ไทยตัวเลือกเบอร์ 4 ของชาวจีน
มร. เฉิน เน้นย้ำถึงความสำคัญในการผนึกกำลังกับอนันดาฯ ในครั้งนี้ว่า “ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในตลาดต่างชาติ เรามีฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ภายใต้ประสบการณ์ในวงการกว่า 10 ปี นอกจากนี้ยังมีทีมงานที่พร้อมให้บริการในหลากหลายภาษาทั่วโลกเพื่อซัพพอร์ตลูกค้าของอนันดาฯ ได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการขายไปจนถึงบริการหลังการขาย โดยในปี 2022 ประเทศไทยเป็นตัวเลือกอันดับ 4 ของชาวจีนที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ตามหลังเพียงออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา
โดยกลุ่มลูกค้าชาวจีนให้ความสนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นอย่างมาก ด้วยราคาที่น่าสนใจและผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทำเลดีในกรุงเทพฯ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ กิจกรรมโรดโชว์ของเราได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยมของโครงการและชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือในวงการของอนันดาฯ เป็นสิ่งการันตีได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ อนันดาฯ และ บียอนด์ 360 พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมนำโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ เสนอแก่ลูกค้า เพื่อสอดรับกับความต้องการที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนชาวจีน ที่ผ่านมาบียอนด์ 360 สามารถขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้แล้วกว่า 5,000 ยูนิต และการร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและทำให้แบรนด์อนันดาฯ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในกลุ่มลูกค้าชาวจีนและทั่วทั้งภูมิภาคเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
การเมืองซวนเซ – อสังหาฯหลงทิศ ตลาด “ที่อยู่อาศัย” ไทยจะไปทางไหน ?
นโยบายแก้ปากท้อง เน้นรัฐสวัสดิการแบบองค์รวม มากกว่าการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ของพรรครัฐบาล ทำให้ “เศรษฐกิจไทย”ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง ว่าหลังจากนี้ จะไปทางไหน?
เช่นเดียวกับ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ในหมวด “ที่อยู่อาศัย” ที่ขณะนี้ เกิดภาวะ “สุญญากาศ” ในการเดินเกมเช่นกัน ซึ่งผิดแผนเป้าหมายของแต่บริษัท ที่เดิมต่างมุ่งหวังว่า ปีนี้ผลประกอบการจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่าช่วงปีที่ผ่านมา
เจาะในมุมมองของกูรูอสังหาฯ สรุปภาพรวมตลาดช่วงไตรมาสแรก ปี 2566 ที่ผ่านมา ผ่านการถอดรหัส ผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ 10 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) , บมจ.แสนสิริ , บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ , บมจ.พฤกษา ,บมจ.ศุภาลัย ,บมจ.เอสซี แอสเสท ,บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ , บมจ.เฟรเซอร์สฯ ,บมจ.สิงห์ เอสเตท และ บมจ.โนเบิล ที่มีรายได้รวมกันทั้งสิ้น 57,473 ล้านบาท เติบโตราว 8% ว่าเติบโตแต่ไม่สดใสอย่างที่คิด
ตลาดไปต่อจาก หน่วยพร้อมโอนฯ
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด (Property DNA) บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า จริงอยู่ที่ช่วงดังกล่าว ตลาดที่อยู่อาศัย มีสัญญาณดีขึ้น จากปัจจัยลบทรงตัว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคคนไทยดีขึ้น แต่หากพิจารณาถึงการเปิดขายโครงการใหม่ จะเห็นได้ชัดเจนว่า “ลดลง” อย่างมาก เนื่องจากผู้ประกอบการ เน้นปิดการขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว มากกว่าเร่งเปิดขายโครงการใหม่ เพราะต้องการเงินจากการโอนกรรมสิทธิ์มากกว่ารายได้จากเงินจอง เงินทำสัญญาที่ได้จากการเปิดขายโครงการใหม่น้อยนิด
ดังนั้น ผลงานไตรมาส 1 ที่หลายบริษัท มีทั้งรายได้และกำไรที่ดีขึ้น ล้วนมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากโครงการบ้านจัดสรรที่มีระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ หรือใช้เวลาไม่นาน เพียง 1-2 เดือนก็สามารถปิดการขายและโอนกรรมมสิทธิ์ได้แล้ว
ทั้งนี้ เป็นห่วงว่า แนวโน้มไตรมาส 2 สิ้นสุด มิถุนายน จะมีความเป็นไปได้ที่ผลประกอบการของผู้ประกอบการอาจ “ลดลง” หรือ เติบโตไม่เทียบเท่าปีก่อนหน้านี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจ และความกังวลในหลายๆ ด้าน มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ต้องไปลุ้นอีกครั้ง ก็ช่วงไตรมาส 3 ที่หลายบริษัทจะมีโครงการพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ทยอยออกมาเป็นจำนวนมาก
ปัจจัยลบ ถล่ม “กำลังซื้อ”
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยบวกและปัจจัยลบในตลาด ยิ่งประเมินได้ยาก ว่าอสังหาฯไทยปีนี้ จะไปทางไหน ท่ามกลางการคาดการณ์ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่ประเมินว่า ตลาดปีนี้ อาจติดลบในช่วง 10-20% เพราะแม้ตั้งแต่ต้นปีมา กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆกลับมาเป็นปกติ สร้างความเชื่อมั่นในระบบ โดยเฉพาะภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยวได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีส่วนช่วยอสังหาฯ อีกทั้ง ราคาที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ยังไม่ปรับตัวนัก มีเพียงส่วนลดและของแถมที่ลดน้อยลง แต่ภาพรวมต้องยอมรับว่า “กำลังซื้อ” ยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร
ขณะประเด็นแนวโน้มหนี้รอเสียในระบบ ทะลุ 6.6 แสนล้านบาท ภายใต้ทิศทางดอกเบี้ยขาขี้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจสูงไปหยุดที 0.75-1.0% นั้น กำลังเป็นบ่วงสำคัญของการขยับในภาคอสังหาฯ เจาะตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย เผยว่า ปัจจุบัน อยู่ที่ 86.9% ซึ่งนั่นจะทำให้สถาบันการเงินยังคงพิจารณาให้สินเชื่อด้วยเกณฑ์ที่เข้มงวด และ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย -ปานกลาง ยังเข้าถึงได้ยาก ขณะตลาดบ้านระดับบน ที่คอยขับเคลื่อนตลาด แท้จริงขนาดของความต้องการไม่ได้ใหญ่มากนัก
ส่วนดอกเบี้ย ที่ประกอบกับ ราคาที่อยู่อาศัย ขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยไม่มีการผ่อนปรน LTV (อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าที่อยู่อาศัย) ภายใต้รายได้ของประชาชนยังไม่ปรับตัวแข็งแรงนั้น ถูกคาดการณ์ว่า จะทำให้ความสามารถการซื้อและการกู้ลดลง และจะกระทบต่อยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปี
เลวร้ายไปกว่านั้น ถ้าปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ขยายตัว อาจทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย หรือ ภายในประเทศเกิดความขัดแย้งทางการเมือง ก็อาจมีผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ลามให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอีกระลอก
รอแพคเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ-อสังหาฯ
ทั้งหมดนับเป็นความท้าทาย และ อุปสรรคใหญ่ต่อทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในยามนี้ โดยรอเพียงความหวัง จากรัฐบาลชุดใหม่ ที่เดิมที หลังเสร็จสิ้นการจัดตั้งรัฐบาล จะมีการผลักดันมาตรการทางเศรษฐกิจ และมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจต่างๆออกมาทันที แต่ขณะนี้เกิดความไม่นอนแน่สูงจากปัญหาทางการเมือง
สำหรับภาคอสังหาฯนั้น พบมีหลายข้อเสนอจากคนในวงการ ไม่ว่าจะเป็น การเสนอให้รัฐบาล ตั้งกองทุนประกันสินเชื่อบ้าน หักเงินค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในแต่ละปี ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงปีละ 1 ล้านล้านบาท ราว 10% แบ่งปันเป็นกองทุน และสะสมเพิ่มปีละ 1% เพื่อใช้เป็นเงินค้ำประกันให้กับคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง , การแก้ไขปัญหาของตลาดบ้านระดับกลาง-ล่าง จากปัจจัยราคาที่ดินปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถาบันการเงินไม่รองรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าว เกิดการปฎิเสธสินเชื่อสูง (รีเจ็กต์)
ปลุกรัฐบาลแก้ปัญหาผังเมืองรวม กทม. อย่างจริงจัง เนื่องจากผังเมืองรวมกทม.ฉบับเดิมถูกมองว่า ไม่เอื้อในการดำเนินธุรกิจที่อยู่อาศัย ทำให้ต้นทุนบ้านราคาแพง ,การเสนอให้รัฐ ออกวีซ่า 3-5 ปี เพื่อสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในไทย หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็ว
ขณะนโยบายหลักของพรรคก้าวไกล ที่ระบุ จะช่วยค่าผ่อนบ้านสำหรับคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรก ในอัตราหลังละ 2,500 บาทต่อเดือน 30 ปี จำนวน 100,000 ราย สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อยูนิต ได้รับการตอบรับดี โดยคาดจะทำให้ตลาดบ้านราคาดังกล่าว มีความเคลื่อนไหวมากกว่าที่ผ่านมา กระตุ้นภาพรวมอสังหาฯได้ดี เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 25พ.ค. ที่ระดับ 34.67 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงต่อในวันนี้ แต่อาจไม่รุนแรงจนทะลุโซนแนวต้านสำคัญที่ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ เหตุจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดลง
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 25พ.ค.2566 ที่ระดับ 34.67 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.55 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 34.70-34.75 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงต่อได้ในวันนี้ แต่การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่ได้รุนแรงมากจนทะลุโซนแนวต้านสำคัญ หรืออาจไม่ได้อ่อนค่าจนทะลุระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาตินั้นเริ่มลดลง ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิราว -540 ล้านบาท และ
ขายบอนด์สุทธิเกือบ -1 พันล้านบาท ในวันก่อนหน้า นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านในการขายทำกำไรสถานะ Short THB และผู้เล่นบางส่วนก็อาจเริ่มกลับมา Long THB บ้าง (แต่ยังคงไม่เยอะมาก)
นอกจากนี้ เนื่องจากเงินบาทยังขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่า โดยเฉพาะหากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยชัดเจน เราประเมินว่า แนวรับของเงินบาทก็อาจยังคงอยู่ในช่วง 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราเห็นผู้เล่นบางส่วน อาทิ ผู้นำเข้าทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน
ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.75 บาท/ดอลลาร์
การเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณความคืบหน้าที่ชัดเจน ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าลดความเสี่ยงพอร์ตอย่างต่อเนื่อง (Risk-Off) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ที่ระบุว่า
เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างมองว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออาจมีความจำเป็นน้อยลง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นได้บ้าง แต่โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.73%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลงแรงกว่า -1.81% โดยมีลักษณะเป็นการเทขายหุ้นทุกกลุ่ม ท่ามกลางแรงกดดันจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและ
เพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อ (ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.00% ในปีนี้) นอกจากนี้ การเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจนก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรป
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.9 จุด โดยมีปัจจัยหนุนมาจากทั้งการอ่อนค่าลงของสกุลเงินฝั่งยุโรป (EUR, GBP) ตามแรงขายหุ้นยุโรป นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดยังคงทำให้ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
อนึ่ง เราคงมองว่า การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงถูกจำกัดอยู่ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการเจรจาขยายเพดานหนี้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเน้นขายทำกำไร ในจังหวะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำก็เป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่ระดับ 1,960ดอลลาร์ต่อออนซ์
ซึ่งเป็นโซนแนวรับของราคาทองคำในระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ทำให้โฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านประมาณการครั้งที่ 2 ของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรก (GDP Q1/2023) และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims)
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ความคืบหน้าของการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อประเมินโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือยุติการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“บาส-ปอป้อ-วิว” ฟอร์มเฉียบ พาเหรดคว้าชัย ลิ่วรอบสอง ขนไก่ มาเลเซีย มาสเตอร์ส
การแข่งขันแบดมินตันรายการ “เปอโรดัว มาเลเซีย มาสเตอร์ส 2023” ทัวร์นาเมนต์ระดับเอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 420,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,280,000 บาท ที่เอเซียต้า อารีน่า ในบูกิต จาริล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 24 พ.ค.66
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “บาส-ปอป้อ” คู่มืออันดับ 3 ของโลก และมือวางอันดับ 2 ของรายการ พบกับ ตัง ชุน มาน-เซ หยิง ซวต มืออันดับ 22 ของโลกจากฮ่องกง ซึ่งสถิติที่พบกันมา 6 ครั้ง เป็นคู่ของไทยที่เหนือกว่า ชนะ 5 แพ้ 1
ในการเจอกันครั้งที่ 7 บาส-ปอป้อยังโชว์ฟอร์มได้ดีกว่า เป็นฝ่ายกำชัยไปสองเกมรวด 21-15, 21-18 ใช้เวลา 36 นาที ผ่านเข้าสู่รอบสอง (16 คู่) ไปพบกับ ยูกิ คาเนโกะ กับ มิซากิ มัตสุโตโมะ มืออันดับ 21 ของโลกจากญี่ปุ่น
ส่วนคู่ผสมอีกคู่ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ-“เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน มืออันดับ 13 ของโลก เบียดเอาชนะคู่เจ้าถิ่น ตัน เคียน เม้ง-ไล เป่ย จิง มืออันดับ 17 ของโลกจากมาเลเซีย 2-0 เกม 22-20, 22-20 ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ เรฮาน เนาฟาล กุชาร์จันโต้-ลิซ่า อายู กุสุมาวาติ มืออันดับ 10 ของโลก และมือวางอันดับ 8 จากอินโดนีเซีย
หญิงเดี่ยว “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 11 ของโลก ชนะ ซุง โชว หยุน มืออันดับ 31 ของโลกจากไต้หวัน 2-0 เกม 22-20, 21-15 / “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 12 ของโลก ชนะ เธต ทาร์ ธูซาร์ มืออันดับ 57 ของโลกจากเมียนมา 2-0 เกม 21-12, 21-8
ชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 5 ของโลก และมือวางอันดับ 8 ชนะ คันตะ สึเนยามะ มืออันดับ 15 ของโลกจากญี่ปุ่น 2-0 เกม 21-15, 21-19 / “กัน” กันตภณ หวังเจริญ มืออันดับ 27 ของโลก แพ้ คริสเตียน อาดินาต้า มืออันดับ 57 ของโลกจากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 16-21, 17-21 / “โอ๊ต” สิทธิคมน์ ธรรมศิลป์ มืออันดับ 31 ของโลก แพ้ แม็กนุส โยฮันน์เซ่น มืออันดับ 36 ของโลกจากเดนมาร์ก 1-2 เกม 22-20, 10-21, 9-21
ขอบคุณข้อมูลจาก www.sanook.com
รู้จัก “นาฬิกาชีวภาพ” ควบคุมการทำงานของร่างกาย และวิธีปรับเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
- นาฬิกาชีวิต (Body Clock) คือวงจรของระบบการทำงานในร่างกายมนุษย์ ที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การตื่น การนอนหลับ การหลั่งฮอร์โมน การเผาผลาญ พฤติกรรม ระบบภูมิต้านทานโรค
- ในปัจจุบันที่หลายอาชีพอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคน โยงไปถึงนาฬิกาชีวิตที่แปรปรวนโดยเฉพาะการตื่นนอน การนอนหลับพักผ่อนและการรับประทานอาหาร ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ
- ปรับการนอนเป็นวิธีหนึ่งในการปรับนาฬิกาชีวิต โดยเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา (นอนก่อน 4 ทุ่ม) และนอนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง
เมื่อปี 2017 นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ Jeffery Hall, Michael Rosbash และ Michael Young ได้รับรางวัลโนเบลด้าน Physiology or Medicine เนื่องจากมีการค้นพบ กลไกระดับโมเลกุลในสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมและขับเคลื่อนระบบนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm หรือ internal biological clock) โดยการวิจัย พบว่าการทำงานของยีนในร่างกายนั้น เกือบ 80% ทำงานตามระบบนาฬิกาชีวภาพในแต่ละวัน ดังนั้น หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่กระทบกระเทือนต่อระบบนาฬิกาชีวภาพดังกล่าว จะมีผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้
โลกในปัจจุบันที่กำลังเติบโตอย่างไม่หยุด ทำให้หลายธุรกิจและหลายอาชีพอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคนมากน้อยแตกต่างกัน โยงไปถึงนาฬิกาชีวิตที่แปรปรวนโดยเฉพาะการตื่นนอน การนอนหลับพักผ่อนและการรับประทานอาหาร ส่งผลให้ปัญหาสุขภาพต่างๆ แสดงออกมาได้ง่ายกว่าคนที่มีนาฬิกาชีวิตปกติ
รู้หรือไม่ ในร่างกายของคนเรานั้นมีนาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) ซ่อนอยู่?
นพ. ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ รพ. สมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า นาฬิกาชีวภาพ (Biological clock) คือ วงจรของระบบการทำงานในร่างกายมนุษย์ ที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การตื่น การนอนหลับ การหลั่งฮอร์โมน การเผาผลาญ พฤติกรรม ระบบภูมิต้านทานโรค หากเราใช้ชีวิตสวนทางกับนาฬิกาชีวภาพ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็จะแปรปรวน จนนำมาซึ่งอาการผิดปกติและโรคภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคอ้วน และโรคเบาหวาน
ตำแหน่งนาฬิกาชีวภาพ (Biological clock) ในร่างกาย
หลักๆ มีอยู่ 2 ตำแหน่ง คือ
- ตำแหน่งที่ 1 Central Brain clock ซึ่งอยู่ที่สมองส่วน Suprachiasmatic Nucleus (SCN) ของสมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus)
- ตำแหน่งที่ 2 Peripheral Clocks ซึ่งกระจายอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อ เซลล์ไขมัน ตับ ตับอ่อน และ ทางเดินอาหาร โดยจะรับสัญญาณมาจาก Central Brain Clock ผ่านระบบประสาทและฮอร์โมน
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการควบคุมนาฬิกาชีวภาพ คือ แสงสว่าง เพราะแสงสว่างที่สัมพันธ์กับเวลาในแต่ละวันนั้น จะส่งผ่านไปทางจอประสาทตา (Retina) เข้าสู่สมองในส่วนที่เป็น Central Brain Clock (SCN) หลังจากนั้นจึงกระจายไปยัง Peripheral Clocks เช่น กล้ามเนื้อ เซลล์ไขมัน ตับ ตับอ่อน และ ทางเดินอาหาร ต่อไป
นาฬิกาชีวภาพแปรปรวนเกิดจากอะไร
- อายุที่มากขึ้น เมื่อคนเราอายุมากขึ้นจะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้นาฬิกาชีวภาพเริ่ม “เพี้ยน” สาเหตุเกิดจาก ความเสื่อมของสมองส่วนไฮโปทาลามัส การลดลงของฮอร์โมนเมลาโทนินในกระแสเลือด และการตอบสนองต่อแสงสว่างลดลง หากผู้สูงอายุเริ่มมีอาการสมองเสื่อมหรือต้องนอนตามสถานพยาบาลจะทำให้ระบบการรับรู้และตอบสนองต่อนาฬิกาชีวิตลดลงไปด้วย เราจึงมักเห็น ผู้สูงอายุที่บ้าน มักจะเกิดภาวะที่เรียกว่า “การนอนผิดเวลา” อยู่บ่อยๆ
- อาชีพที่ทำงานไม่ตรงกับเวลานอนตามปกติ
- New Normal ที่ไม่สามารถบริหารจัดการเวลาการทำงานและการนอนได้ เนื่องจากทำงานที่บ้าน (Work from home) การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือไอแพด ที่ให้เเสงสีฟ้ากระตุ้นสายตามากเกินไป ทานมื้อดึกบ่อย ติดละครหรือซีรีส์จนอดนอน
นอนไม่พอ นาฬิกาชีวภาพรวน เสี่ยงเทโลเมียร์สั้น
- เทโลเมียร์ คือ ปลายของสายดีเอ็นเอ ซึ่งดีเอ็นเอคือ รหัสพันธุกรรมของคนเรา เทโลเมียร์ช่วยปกป้องสายดีเอ็นเอไม่ให้ถูกทำลายมากไปก่อนเวลาอันควร หรืออธิบายง่ายๆ คือ เทโลเมียร์เปรียบเสมือน ปลอกพลาสติกหุ้มปลายเชือกรองเท้าไม่ให้เชือกรองเท้าหลุดรุ่ยและพังก่อนเวลาอันควรนั่นเอง
- ดร.อลิซาเบท แบล็กเบิร์น เจ้าของรางวัลโนเบล ผู้ค้นพบความสำคัญของเทโลเมียร์นี้ กล่าวไว้ว่า เทโลเมียร์จะหดสั้นลงปกติตามอายุที่เพิ่มขึ้น ความเครียด และพฤติกรรมที่เสี่ยง เช่น การนอนดึก หรืออดนอน ซึ่งสามารถส่งผลได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
- หากเทโลเมียร์เราสั้นลงมากกว่าคนปกติ จะทำให้เราเข้าสู่ภาวะเจ็บป่วยได้ง่ายและไวกว่า นอกจากนั้นยังโยงไปสู่โรคที่เกิดจากความเสื่อม เช่น โรคมะเร็ง หลอดเลือดหัวใจ อัลไซเมอร์ เบาหวาน และอื่นๆ
ปรับนาฬิกาชีวิต เพื่อสุขภาพที่ดี
- ปรับการนอน โดยเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา (นอนก่อน 4 ทุ่ม) และนอนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง สำหรับคนที่ทำงานกะกลางคืน หากไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ควรมีอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ที่นอนได้ตามปกติ ส่วนคนที่มีปัญหาเรื่องนอนกรน หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะส่งผลต่อคุณภาพการนอนมาก ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
- ปรับพฤติกรรมการกิน โดยกินอาหารตามปกติ ไม่กินมื้อดึกมากเกินไป (ไม่ควรกินหลัง 2 ทุ่ม) เพราะเสี่ยงต่อโรคอ้วนในอนาคต
- ออกกำลังกายในช่วงกลางวัน แทนการออกกำลังกายช่วงดึก เนื่องจากบางคนอาจมีอาการนอนไม่หลับหลังออกกำลังกาย ส่วนเวลาที่เหมาะสมของการออกกำลังกาย ควรห่างจากมื้ออาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ถ้าเป็นมื้อหนัก ควรเว้นระยะห่าง 2-3 ชั่วโมง เพื่อรอให้ร่างกายและเอนไซม์ต่างๆ ปรับเข้าสู่ภาวะปกติเสียก่อน และเพื่อสุขภาพที่ดีควรออกกำลังกาย 15-30 นาที ต่อวัน หรือ 150 นาที ต่อสัปดาห์ หากต้องการเผาผลาญไขมันควรใช้เวลาในการออกกำลังกาย 30 นาทีขึ้นไป หากไม่มีเวลาไปออกกำลังกายข้างนอก สามารถออกกำลังที่บ้านได้เช่นกัน
- ช่วงเวลากลางวันควรเจอแสงสว่าง โดยเฉพาะแสงแดดอ่อนๆ ไม่ควรเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง (สามารถออกมารับแสงที่หน้าต่างหรือระเบียงบ้านได้) ส่วนเวลากลางคืน โดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน ควรลดการเจอแสงสว่างจากแสงไฟ หรือแสงที่มาจากโทรศัพท์มือถือหรือทีวี
ท้ายที่สุด ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อย่าให้สิ่งเหล่านี้มากระทบนาฬิกาชีวิตของเรา การนอนอย่างเพียงพอตามเวลาที่ควรนอน การทานอาหาร (ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย)ให้ตรงเวลา การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ยังเป็นกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพดีที่เราไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหน ขอเพียงแค่มีวินัยและความตั้งใจเท่านั้นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Articles นั้นสำคัญไฉน? เมื่อไหร่ที่ต้องใช้ A, An, The
หลายคนคงจะสงสัยกันกว่าทำไมเวลาเราอ่านภาษาอังกฤษ เจ้า a, an, the นี่โผล่มาในแทบจะทุกประโยค มันสำคัญอย่างไร มีหน้าที่อะไร แปลได้ว่าอย่างไร เราก็ไม่รู้ เนื่องจากเราไม่ใช่เจ้าของภาษา เจ้าสิ่งที่เรียกว่า Articles นี้จึงไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามันสำคัญอะไร และถึงตัดออกเราก็อ่านประโยคเหล่านั้นได้อยู่ดี แต่สำหรับเจ้าของภาษามันไม่ใช่อย่างนั้นนะจ๊ะ
แล้ว Articles นั้นมันสำคัญไฉน?
Articles ถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ เลยมันก็คือ “คำนำหน้านาม” นั่นเอง กล่าวกันโดยจริงแล้ว คำนามในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ไม่อาจปรากฏขึ้นโดด ๆ ได้ต้องมีเจ้า articles นี้คอยเป็นตัวนำมาก่อนเสมอ โดยที่ตัวมันเองจะแบ่งออกได้เป็นสองชนิดก็คือ article ที่ไม่เฉพาะเจาะจง (indefinite) และ article ที่เฉพาะเจาะจง (definite)
Articles ที่ไม่เฉพาะเจาะจงก็ได้แก้ A และ An ซึ่งเมื่อเมื่อคำนามถูกนำด้วย article เหล่านี้ จะหมายความว่าเป็นสิ่งที่พูดถึงโดยทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจง อย่างเช่น I need a boy (ฉันต้องการผู้ชาย) คือหมายความว่าผู้ชายคนไหนก็ได้ทั้งโลกนี้ล่ะ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องการใครคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ
แล้วเมื่อไหร่ใช้ A เมื่อไหร่ใช้ An กันล่ะ?
‘A’ นั้นเอาไว้หน้าคำนามที่เป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) ที่เป็นนามนับได้ (countable noun) และขึ้นต้นด้วยพยัญชนะที่มีเสียงพยัญชนะ เช่น a book, a cat, a dog ฯลฯ โดยความหมายก็จะเป็นอย่างที่อธิบายไปข้างต้น คือไม่เฉพาะเจาะจง เป็นสิ่งทั่ว ๆ ไป
ส่วน ‘An’ นั้นเอาไว้นำหน้าคำนามที่เป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) ที่เป็นนามนับได้ (countable noun) แต่ต้องเป็นคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ A, E, I, O, U หรือพยัญชนะที่ออกเสียงสระเท่านั้น อย่างเช่น An old book, an unreliable source เป็นต้น โดยที่ความหมายก็เหมือนกับการใช้ ‘A’ นั่นเอง
ถ้าอย่างนั้นแล้ว The มีไว้ทำอะไรล่ะ?
แน่นอนว่าเราเห็นคำว่า The บ่อยกว่าคำใด ๆ เวลาที่อ่านภาษาอังกฤษ ไม่มีทางที่เราจะไม่เจอสิ่งนี้ เนื่องจากคำว่า The นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ เพราะเมื่อนำไปนำหน้าคำนามตัวไหน คำนามตัวนั้นก็จะมีความหมายเฉพาะเจาะจงขึ้นมาทันที เช่น ‘I need the boy’ (ฉันต้องการผู้ชายคนนั้น) ผู้ชายที่พูดถึงนี้ไม่ใช้ผู้ชายทั่ว ๆ ไปคนไหนก็ได้แบบ ‘I need a boy’ อีกต่อไปแล้ว ต้องเป็นผู้ชายที่ – ในสถานการณ์นั้น – ผู้พูดและผู้ฟังรับรู้ด้วยกันว่าเป็นคนไหน หรือว่าก่อนหน้านี้เคยมีการพูดถึงผู้ชายคนนี้มาก่อนแล้ว
แล้วเมื่อไหร่ถึงใช้ The ล่ะ?
ก่อนอื่น คำว่า The ใช้นำหน้าคำศัพท์ที่พยางค์หน้าออกเสียงได้ทั้งเสียงสระและเสียงพยัญชนะ แต่คำที่มีพยางค์แรกเป็นเสียงสระจะอ่านออกเสียง The ว่า ‘ดิ’ ส่วนคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะออกเสียงว่า ‘เดอะ’ ปรกติ หลักการใช้ Article ชนิดนี้ต้องนำคำนามที่ตั้งใจให้มีการชี้เฉพาะลงไป ซึ่งจะแบ่งได้แบบนี้
- ใช้คำนามที่เป็น บุพบทวลี (prepositional phrase)
เช่น ‘The woman in red dress is walking.’ (ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีแดงกำลังเดินอยู่) ตรงนี้ชัดเจนว่าเราไม่ได้จะหมายถึงผู้หญิงทั่วไป แต่จะหมายถึงผู้หญิง “คนนั้น” ที่ใส่ “ชุดสีแดง” ดังนั้นต้องนำด้วย The
- ใช้นำคำนามเมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งนั้นเป็นครั้งที่สอง
เช่น ‘She own a car and a bike. The car is broken down today so she rides the bike to work.’ (เธอมีรถยนต์หนึ่งคนกับจักรยานหนึ่งคน วันนี้รถยนต์(คันนั้น)เสียเธอจึงขี่จักรยาน(คันนั้น)มาทำงาน)
- ใช้นำชื่อเฉพาะของสถานที่ต่าง ๆ เช่น หมู่เกาะ เทือกเขา ห้องสมุด เป็นต้น
เห็นไหมละว่า Article นั้นแท้จริงแล้วมีความสำคัญต่อการใช้ภาษาอังกฤษไม่น้อยเลย การเลือกใช้ก็ต้องเป็นไปตามจุดประสงค์ของรูปประโยคที่เราสร้างด้วย ดังนั้นอย่าคิดว่ามันไม่สำคัญเชียวนะจ๊ะ หากจะเลือกใช้ก็ต้องเลือกดูให้ดีก่อนว่าอันไหนมันควรจะใช้อันไหน เพื่อจะได้ไม่สื่อสารผิดพลาดจ้า
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
มาแล้วภาพเรนเดอร์ Samsung Galaxy Watch 6 Classic มาพร้อมกับขอบวงกลมหมุนได้
Samsung กำลังจะเปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Galaxy Watch 6 ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการประมาณปลายเดือนกรกฎาคม 2023 ที่จะถึงนี้ โดยคาดว่าจะมีใช้ระบบปฏิบัติการ WearOS 4 และครอบทับด้วย OneUI เวอร์ชั่นใหม่
แต่ล่าสุดนี้มีภาพ Render จาก OnLeaks ได้เผยแพร่ออกมาให้เราได้เห็นกันเป็นครั้งแรก โดยภาพที่เกี่ยวข้องนี้จะเป็น Galaxy Watch6 Classic ซึ่งมีความโดดเด่นที่หน้าจอขนาด 1.47 นิ้ว Super AMOLED ทรงกลมพร้อมกับขอบหน้าจอที่เป็นแบบวงแหวนหมุนเพื่อสั่งงานได้ คล้ายกับ Galaxy Watch4 Classic ปุ่มกด, ตำแหน่ง Hear Rate Sensor รวมถึง PPG ยังคงเหมือนกับ Galaxy Watch Classic
แต่สเปกภายในคาดว่าจะมีทั้ง ECG, Gyro, GPS, NFC, ระบบตรวจจับการนอนหลับ, วัดอุณหภูมิร่างหาย รวมไปถึงหน้าจอความละเอียด 470×470 และยังใช้ชิป Exynos W980 คาดว่าจะใช้ WearOS 4 + One UI 5 เป็นระบบปฏิบัติการหลัก และปรับแต่งเองได้แบบ Material You
ทั้งนี้การเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และจะมาพร้อมกับ มือถือพับได้ตามการคาดการณ์ว่าจะเผยโฉมในช่วง 26 กรกฎาคม หรือไม่ รอติดตามกันต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ประโยชน์ของอะโวคาโด ที่ดีต่อสุขภาพ และข้อควรระวัง
อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่มีผิวที่มีลักษณะขรุขระ เปลือกหนา มีสีเขียวเข้ม เมื่อสุกจัดจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือดำ เนื้ออะโวคาโดจะมีลักษณะเป็นครีม อ่อนนุ่ม มีรสชาติคล้ายเนย อะโวคาโด ประกอบไปด้วยไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีสารอาหารอีกหลายอย่างที่มีประโยชน์ Sanook Health นำสารพัดประโยชน์ของอะโวคาโด และทิปส์เล็กๆ น้อยๆ ในการทานอะโวคาโด มาฝากกันค่ะ
ประโยชน์ของอะโวคาโด ที่ดีต่อสุขภาพ
- อะโวคาโดประกอบไปด้วยไขมันดี ชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งมีประโยชน์ต่อการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและการเกิดอัมพฤกษ์ในหลอดเลือด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มระดับความสมดุลของคอเลสเตอรอลในร่างกายด้วย
- อะโวคาโดมีปริมาณแคลอรี่สูงมาก ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับการเติมพลังงานให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี ทำให้ร่างกายเติบโตและฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้อย่างดี
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ อะโวคาโดเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่ช่วยปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระที่สร้างความเสียหายต่อเซลล์ มีสารอะโวคาทินบี (avocatin B) ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้และช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
- อะโวคาโดมีสารอาหารสำคัญอย่างวิตามิน K, วิตามิน E, วิตามิน C, และวิตามิน B-complex ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน สมดุลการทำงานของระบบประสาท และสุขภาพของผิวหนัง
- อะโวคาโดมีปริมาณใยอาหารสูง ซึ่งช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและการขับถ่ายอย่างเรียบร้อย ช่วยลดความดันโลหิต และเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้
- อะโวคาโดมีการส่งเสริมให้ระดับฮอร์โมนเติบโตได้อย่างสมดุล เช่น ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของผม ผิวหนัง และระบบสืบพันธุ์
สำหรับผู้ที่ไม่แพ้อะโวคาโด การบริโภคอะโวคาโดเป็นประจำ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ อย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวังในการทานอะโวคาโด มีดังนี้
- บางคนอาจมีการแพ้อะโวคาโด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่เรียกว่าอาการภูมิแพ้ (allergic reactions) เช่น ผื่นแดง อาการคัน บวม หรือจากแสงแดด หากคุณมีอาการแพ้ทางอาหารหรืออาการภูมิแพ้อื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะบริโภคอะโวคาโด
- อะโวคาโดมีปริมาณแคลอรี่สูง โดยเฉพาะในการบริโภคอะโวคาโดในปริมาณมาก นั่นอาจทำให้เกิดการสะสมของพลังงานเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดเรื่องของน้ำหนักเกิน ดังนั้นควรคำนึงถึงปริมาณและสมดุลการบริโภคในเครื่องมือของแพทย์หรือโภชนากรอาหาร
- การเลือกอะโวคาโดสุก: เมื่ออะโวคาโดยังไม่สุก มีสารพิษที่เรียกว่าไพรเอทิน (persin) อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน หรือท้องเสียได้ ดังนั้นควรใช้อะโวคาโดที่สุกแก่และแกะเปลือกออก
- อะโวคาโดสามารถสะสมสารเคมีเช่น สารเคลือบกันเสีย (pesticides) จากกระบวนการปลูกหรือการให้ปุ๋ยเคมี ดังนั้น ควรเลือกซื้ออะโวคาโดที่มีคุณภาพและได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- อะโวคาโดมีปริมาณไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกอิ่มและหนักท้องได้ ควรคำนึงถึงสมดุลของอาหารทั่วไปและการบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือการแพ้อะโวคาโด การบริโภคอะโวคาโดอย่างสมดุลและเป็นส่วนเสริมในโภชนาการสามารถนำมาเสริมสร้างสุขภาพได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม ควรปฏิบัติตามหลักการโภชนาการที่ถูกต้องและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการบริโภคอะโวคาโด
อะโวคาโด พันธุ์ไหนอร่อย
อะโวคาโดมีหลายพันธุ์ที่มีรสชาติและลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนี้เป็นตัวอย่างของพันธุ์อะโวคาโดที่มีความนิยม ดังนี้
- Hass Avocado: อะโวคาโดพันธุ์ Hass เป็นพันธุ์ที่นิยมมากที่สุด มีเนื้อมัน กลมรูปและมีเนื้อหนา มีรสชาติหวานกลมกล่อม พันธุ์นี้เหมาะแก่การทานสดหรือใช้ในอาหารและเครื่องปรุงรสต่างๆ
- Fuerte Avocado: อะโวคาโดพันธุ์ Fuerte เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากในอดีต มีเนื้อเนียนเป็นเนื้อแกมสีเขียวและเนื้อหอมอ่อน มีรสชาติอ่อนหวานและมีความสมดุล มักถูกนำมาใช้ในการทำกับข้าวหรือเสิร์ฟบนขนมปัง
- Pinkerton Avocado: อะโวคาโดพันธุ์ Pinkerton มีเนื้อขาว มีความหอมและรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มักใช้ในอาหารที่เตรียมล่วงหน้าเช่น สลัด หรือเครื่องปรุงรสอื่นๆ
- Reed Avocado: อะโวคาโดพันธุ์ Reed มีขนาดใหญ่และเนื้อหนา มีรสชาติหวานเข้ม มักนำมาใช้ในอาหารทางเครื่องดื่ม และเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น น้ำผลไม้และไอศกรีม
*ความอร่อยของอะโวคาโดขึ้นอยู่กับรสชาติและความชอบของแต่ละบุคคล
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/05/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,100.00 | 32,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,079.00 | 31,517.64 | 32,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,871.10 | 28,365.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,663.20 | 25,214.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 936.00 | 14,189.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 728.00 | 11,036.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,154.00 | 32,654.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/05/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.05 | 35.05 | 35.54 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.78 | 34.78 | 35.24 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.74 | 32.74 | 33.14 | 32.74 | 32.74 | – | 32.74 | 32.74 | 32.74 | 32.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.19 | 33.19 | – | – | – | – | – | – | – | 33.19 |
เบนซิน 95 | 42.84 | – | – | – | 42.91 | – | 43.34 | 42.99 | – | 42.84 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.06 | 41.16 | 42.94 | 42.66 | 42.66 | – | – | – | – | 41.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |