บริษัทอสังหาฯจีน เป็นของรัฐ แล้วไทยจะสู้ไหวรึ | อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน

ตึกระฟ้าใหญ่ๆ ในประเทศจีนนั้นดูใหญ่โตมากมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของบริษัทจีนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของหรือรัฐวิสาหกิจจีน
ท่านเชื่อหรือไม่ จีนมีรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 391,000 แห่งทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ส่วนหนึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินและรับเหมาก่อสร้าง
หลังจากอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่กำลังก่อสร้างถล่มเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 เราจึงทราบว่าบริษัทรับเหมา (ช่วง) เป็นบริษัทจีน บ้างก็ว่าเป็นจีนเทา
แต่ความจริงแล้วเป็นบริษัท China Railway ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่อันดับต้นๆ ของจีนที่กำเนิดมาจากการรถไฟจีนและรัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในลักษณะเป็นรัฐวิสาหกิจ (State-owned Enterprises) หรือบริษัทที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ
เราจึงควรมาดูกิจการของบริษัทจีนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของกัน ทั้งนี้ ประเทศสังคมนิยม เช่น โซเวียตในยุคก่อน จีน เวียดนามต่างมีบริษัทที่ถือเป็นรัฐวิสาหกิจโดยเจ้าของคือรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นรัฐบาลส่วนกลางหรือส่วนท้องถิ่นก็ได้
กล่าวกันว่า ณ สิ้นปี 2562 รัฐวิสาหกิจของจีนคิดเป็น 4.5% ของเศรษฐกิจโลกและสินทรัพย์รวมของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดของจีน รวมถึงที่ดำเนินงานในภาคการเงิน มีมูลค่าถึง 78.08 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 2,660 ล้านล้านบาท
รัฐวิสาหกิจคิดเป็นมากกว่า 60% ของมูลค่าตลาดของจีนในปี 2562 และประมาณการชี้ให้เห็นว่าพวกเขาสร้างรายได้ประมาณ 23-28% ของ GDP ของจีนในปี 2560 และจ้างงานระหว่าง 5-16% ของกำลังแรงงานทั่วประเทศ
หากคิดเป็นจำนวนบริษัทก็คงเป็นราว 867,000 แห่ง อย่างตึกใหญ่ทั้งหลายในมหานครต่างๆ ของจีน ส่วนหนึ่งก็เป็นของบริษัทเหล่านี้
บริษัทรับเหมาก่อสร้างและบริษัทพัฒนาที่ดินจากส่วนกลางที่ใหญ่ที่สุดในจีน ก็เป็นรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง ขยายตัวออกไปในขอบเขตทั่วประเทศ
บทบาทสำคัญของบริษัทที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของหรือรัฐวิสาหกิจจีนเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
จะเห็นได้ว่า ระบบรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าใต้ดินมักเป็นผลงานของบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ รวมทั้งการสร้างปัญญาประดิษฐ์ พลังงานนิวเคลียร์ การบินและอวกาศ
รวมทั้งยังเป็นฐานในการขยายตัวออกไปในต่างประเทศ ไปรับเหมาก่อสร้าง (เช่น ที่มาสร้างตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) หรือกิจการที่ไปมีอิทธิพลอย่างมากในแอฟริกา ก็มาจากการสนับสนุนของรัฐบาลจีนแทบทั้งสิ้น
รัฐบาลจีนทำมาหากินเป็นและเก่ง รัฐบาลไทยหรือรัฐบาลประเทศอื่นๆ คงสู้ไม่ได้
ทำไมจีนจึงสามารถดูดเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาไว้ในจีน เช่น รถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างที่ซับซ้อนต่างๆ ก็เพราะวิสาหกิจที่จะเข้ามาทำธุรกิจในจีน ต้องร่วมทุนหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับวิสาหกิจ (ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ)
และบริษัทเหล่านี้พร้อมใจกันใช้มาตรการแบบนี้โดยการสนับสนุนของรัฐบาล ไม่มีใครฉวยโอกาสลักไก่ได้ อาจถือได้ว่ารัฐบาลจีนกุมเศรษฐกิจและอำนาจในการต่อรองกับต่างประเทศ ซึ่งข้อนี้แตกต่างอย่างมากกับไทยที่ภาคเอกชนไทยไม่ใช่ของรัฐบาล (แต่เป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจเป็นเครื่องมือของเอกชน)
ในปัจจุบันบริษัทจีนเหล่านี้คือหัวหอกในการออกไปขยายอิทธิพลทางการค้าได้ทั่วโลก ตามด้วยกลุ่ม SMEs ในจีนที่ต้องย้ายออกนอกประเทศบ้าง
เพื่อตระเตรียมการทำสงครามการค้ากับประเทศจีน จีนจึงขยายอิทธิพลทั้งทางการเงิน การส่งออกประชากรไปทั่วโลก
กระแสการไหลบ่าของประชากรอาจเกิดขึ้นอีก เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ประชากรจีนย้ายออกเพราะความอดอยากขัดสน แต่ในยุคใหม่นี้รัฐบาลนำพาประชากรย้ายออกเพื่อไปยึดหัวหาดทั่วโลก
ในด้านอสังหาริมทรัพย์ คนจีนถูกปลูกฝังให้เป็นเจ้าของบ้านหรือส่วนมากคือห้องชุด เพราะบ้านแนวราบแท้ๆ แพงมากๆ ต้องเป็นเศรษฐีจริงๆ จึงจะหาซื้อได้
ดังนั้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจ ซึ่งแนวคิดนี้ก็ไม่แตกต่างจากในสหรัฐอเมริกาที่พูดถึงความฝันของชาวอเมริกัน (American Dream) คือการมีบ้านและที่ดินเป็นของตนเอง
ดังนั้น บริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทของจีนจึงเติบโตมาก เช่น บริษัทรถไฟ China Railway ก็เป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาที่ดินและบริษัทรับเหมาที่พัฒนาที่ดินในนครใหญ่น้อยในประเทศจีน แข่งกับนักพัฒนาที่ดินท้องถิ่น ซึ่งก็คงมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นรัฐวิสาหกิจระดับท้องถิ่นด้วย
บริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่ของจีน 6 อันดับแรกในปี 2567 ล้วนเป็นบริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของหรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่น Poly Developments, China Vanke และ China Overseas Land & Investment อยู่ในอันดับสูงสุดเช่นกัน
อย่างบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอกชนรายใหญ่ที่สุดในจีน Country Garden ซึ่งผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์ในเดือน ต.ค.ร่วงลงจากอันดับ 1 ในปี 2565 มาอยู่ที่อันดับ 7 เนื่องจากยอดขายลดลง 53% เหลือ 220,000 ล้านหยวน (30,900 ล้านดอลลาร์)
แต่เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ Evergrande ผิดนัดชำระหนี้ ต่อด้วยผู้พัฒนารายอื่นๆ ที่มีหนี้สินจำนวนมากที่เล็กกว่าและผิดนัดชำระหนี้
ทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะวิกฤติมากขึ้น ส่งผลให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ หยุดชะงักและร้างลง และมีบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จเป็นจำนวนมาก ยิ่งมาพบการระบาดของโรคโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง
ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงและปัญหาอุปทานล้นตลาดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนในที่สุดมีบ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีคนอยู่ในประเทศจีนถึง 50 ล้านหน่วย (ไทยมี 1.3 ล้านหน่วย เกาหลี 1.5 ล้านหน่วย ญี่ปุ่น 8.9 ล้านหน่วย)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2567 ตลาดเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวบ้างตั้งแต่เดือน ต.ค. เนื่องมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การฟื้นตัวนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2568
แต่นับตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.2568 สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ในอัตราที่สูงมาก ก็จึงคาดการณ์ได้ว่ายอดขายบ้านในจีนจะลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แต่ก็คาดว่ารัฐบาลจีนจะเร่งดำเนินมาตรการผ่อนปรนเพื่อฟื้นฟูและทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีเสถียรภาพ
หากแนวโน้มของภาคส่วนนี้แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ และรัฐวิสาหกิจอสังหาริมทรัพย์จีน ก็คงต้องออกสู่ต่างประเทศมากขึ้น ประเทศไทยก็อาจเป็นเป้าหมายหนึ่ง ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงพึงระวัง
บริษัทพัฒนาที่ดินไทยที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกรวมกันพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพียง 260,540 ล้านบาท หรือ 7.663 พันล้านดอลลาร์ ยังน้อยกว่าบริษัทอันดับที่ 10 ในปี 2566 ที่มีรายได้ถึง 545,407 ล้านบาท หรือ 16.041 พันล้านดอลลาร์
ในอนาคต บริษัทพัฒนาที่ดินจีนจะมาแข่งกับไทยอย่างแน่นอน เพราะเศรษฐกิจจีนอาจอ่อนแอลงเพราะสงครามการค้ากับสหรัฐ บริษัทพัฒนาที่ดินจีนจึงไม่สามารถเติบโตในประเทศได้อีกต่อไป
หากรัฐบาลไทยปล่อยให้บริษัทพัฒนาที่ดินจีนเข้ามาแข่งขัน อุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยไทยคงถึงจุดจบ.
คอลัมน์ อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
www.area.co.th
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
Cloud11ฮับครีเอเตอร์ใหญ่หนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทยปลุกเศรษฐกิจ

Cloud11 โปรเจกต์4.3หมื่นล้านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ใหญ่สุดเอเชีย หนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทยปลุกพลังเศรษฐกิจระดับโลก เร่งสปีดจับมือกับพันธมิตรระดับโลก
เมื่อ “พื้นที่” กลายเป็น “แรงบันดาลใจ” และอสังหาริมทรัพย์กำลังนิยามบทใหม่ให้กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในอดีต…ย่านปุณณวิถี-อุดมสุข อาจเป็นเพียงพื้นที่พักอาศัยชานเมืองที่ผู้คนใช้เป็นทางผ่านไปยังจุดหมายอื่น แต่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ที่นี่กำลังจะกลายเป็น “จุดหมาย” ของทั้งเอเชีย สำหรับเหล่าครีเอเตอร์ นักสร้างสรรค์ นักดนตรี ผู้กำกับ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิง
Cloud 11 คือโครงการที่ไม่ใช่แค่ “มิกซ์ยูส” ธรรมดา แต่เป็นการวางหมากบนกระดานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creator Economy) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค โดย MQDC เจ้าของโปรเจกต์ระดับหมื่นล้านบาท ประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้เป็น Creative Destination สำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้นของอนาคตที่ไม่ได้รอใคร
องศา จรรยาประเสริฐ ผู้อำนวยการโครงการ Cloud 11 บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า แม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี แต่ในแง่ของธุรกิจรีเทลซัพพลายในทำเลสุขุมวิท 101/1 ยังมีน้อย คนที่อยู่กลางใจเมืองบางนา จนถึงกม.7 มีกำลังซื้อสูง จึงพยายามที่ต่อยอดและเป็นดีมานด์ที่สามารถจับต้องได้ จึงสามารถที่เติมซัพพลายใหม่เข้ามาได้
“แม้เศรษฐกิจจะชะลอ แต่ดีมานด์ในย่านสุขุมวิท 101/1 ยังร้อนแรง และนี่คือช่วงเวลาที่เราต้อง เติมซัพพลาย”
การลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูลและความเข้าใจผู้บริโภคคือจุดแข็งของ MQDC ซึ่งมองเห็นโอกาสในพื้นที่ที่ supply ยังไม่ถึง พร้อมฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงจากบางนาไปถึงกม.7 และนั่นทำให้ Cloud 11 ไม่ใช่แค่การสร้างอาคาร…แต่คือการ “ต่อยอด ecosystem” ที่จะสร้างอุตสาหกรรมบันเทิงใหม่ของไทย
ตัวเชื่อมของ Collaboration
“ธุรกิจครีเอเตอร์วันนี้ไม่ใช่การแข่งขันแบบ zero-sum เหมือนร้านกาแฟอีกต่อไป…แต่คือเรื่องของการร่วมมือกัน” พอล สิริสันต์ กรรมการผู้จัดการโครงการ Cloud 11
Cloud 11 ไม่ได้คิดแค่พื้นที่ให้เช่า แต่คิดถึง วิธีทำให้พื้นที่นั้นทำงานร่วมกันได้ดีที่สุด ด้วยแนวคิดลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ อย่างการสร้าง studio production ให้ใช้ร่วมกันได้ ลดขนาดพื้นที่เช่าจาก 5,000 ตร.ม. เหลือเพียง 3,000 ตร.ม. โดยยังคงประสิทธิภาพการทำงานเต็มที่
ที่นี่จะมีทั้งตึกสำหรับเช่าระดับองค์กรไปจนถึงสตูดิโอสำหรับ SME และนักสร้างสรรค์อิสระ พร้อมฟีเจอร์ที่เอื้อให้เกิดการ cross collaboration ระหว่างค่ายเพลง ค่ายหนัง สตูดิโอแอนิเมชัน และบริษัทคอนเสิร์ต เหมือนกับว่า Cloud 11 กำลังสร้าง “ห้องเรียน” แห่งอนาคตของวงการบันเทิง
ไม่ใช่แค่ตึก…แต่คือจุดเปลี่ยนของวงการ
หนึ่งในหมากสำคัญที่ Cloud 11 วางไว้ คือการจับมือกับพันธมิตรระดับโลก ทั้ง SM Entertainment, CJ ENM จากเกาหลีใต้ และสถาบัน 1500 Sound Academy เพื่อเปิดโรงเรียนเสริมทักษะศิลปินแห่งแรกในไทย พร้อมเปิดทางให้ค่ายเพลงไทยก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศใหม่ของอุตสาหกรรมแบบครบวงจรเป้าหมายของโครงการ ไม่ใช่แค่ให้เช่าพื้นที่…แต่คือการสร้าง “โครงข่ายแห่งการเติบโต” ที่ยั่งยืนในระยะยาว
จากประสบการณ์การทำงานในวงการเอนเตอร์เทนเมนต์ นายพอล กล่าวว่า หนังเรื่องนึงโปรดักชั่นนะครับเรื่องนึง มันไม่ได้แข่งกันโดยตรงเหมือนธุรกิจกาแฟ ไม่ได้เป็นคู่แข่งกันใน the end product การทำงานต้องเน้น collaboration ไม่ว่าจะเป็นค่ายเพลง ค่ายแอนิเมชัน ศิลปินจัดคอนเสิร์ตร่วมกัน แตกต่างจากสมัยก่อนที่ต่างคนต่างทำไม่ได้ค่อยมาเจอกัน
“วันนี้โลกของมีเดียเปลี่ยน คุณทําหนังคุณต้องมีเพลงคุณต้องมีเพลงหนังคุณต้องมี animation เออ องค์ประกอบศิลปินที่คุณสร้างมาแล้วคุณเป็นค่ายเพลงก็อยากจะให้เล่นหนังมันต้อง cross เราจะเป็นคนที่พยายามที่จะสร้างสรรค์ industry แข็งแรงไปด้วยกัน “
ล่าสุด ได้ดึงผู้เช่าบริษัทยักษ์ใหญ่เกาหลีในเครือ SM Entertainment, CJ ENM เปิดสำนักงานในประเทศไทย และดึงพาร์ทเนอร์สถาบันระดับโลก 1500 Sound Academy เปิดโรงเรียนเสริมทักษะนักดนตรีและศิลปินครั้งแรกในประเทศไทย รวมทั้งพื้นที่ theCOMMONS และ YOTEL สมาร์ทโฮเทลระดับโลกแห่งแรกในไทย และกำลังมีค่ายเพลงไทยเข้ามาอยู่ในโครงการอยู่ระหว่างการเจรจา
“เรามีแนวโน้มที่รุกเข้าไปเติมเต็มช่องว่างตลาดการศึกษาเฉพาะทาง หรือเป็นการเรียนทางเลือกทางด้านเอนเทอร์เทนเมนต์แทนที่เรียนแบบตามมาตรฐานทั่วไป สังเกตได้ว่าแนวโน้มตลาดของโรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยมมากขึ้น เรากําลังจะพาร์ตเนอร์กับ CJ ENM เกาหลี เพราะปัจจุบันเมืองไทยก็เป็นโปรดักชันฮับไปแล้ว”
ลงทุนเพิ่ม 3,000 ล้าน สร้างเมืองใหม่ 43,000 ล้าน
องศา กล่าวว่า จากงบเริ่มต้น 40,000 ล้านบาท Cloud 11 ได้เพิ่มการลงทุนอีก 3,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนา “Creative Facilities” และพัฒนาย่านสุขุมวิทใต้ให้เป็นพื้นที่นวัตกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงเทพในรูปแบบ Project Finance เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง
คาดว่า ในอนาคตรายได้ 70% มาจากอาคารสำนักงาน รายได้ 15% มาจากโรงแรมที่เหลือจากกิจกรรมคอนเสิร์ตและอีเวนต์ แม้โรงแรมบางแห่งจะเลื่อนเปิดตัวไปบ้าง เช่น YOTEL จะเปิดใน ก.พ. 2569 และ ‘สร้างสรรค์ แบงค็อก’ ในปี 2570 แต่โครงสร้างหลักของ Cloud 11 คืบหน้าไปแล้วถึง 80% และจะทยอยส่งมอบพื้นที่ให้ผู้เช่าภายในกลางปีนี้ ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปลายปี 2568
“ท่ามกลางสถานการณ์และเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนและมีผันผวนสูงจากสงครามการค้าโลก ประเทศไทยกลับกลายเป็นsafe heaven ของคนต่างชาติ ทำให้ประเทศไทยได้รับอานิสงส์ จากนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทย เพราะนอกจากจะเป็น safe heaven แล้วง ยังมีบุคลากรมีวัฒนธรรมที่คนต่างชาติชื่นชอบ ทำให้นักท่องเที่ยวชื่นชอบ”
ในวันที่ประเทศไทยกลายเป็น safe haven ของภูมิภาค ทั้งด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรม บุคลากรที่มีศักยภาพ และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การที่ Cloud 11 จะกลายเป็น Creative Capital ของเอเชียอาจไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือ “ทางเลือกที่น่าจะเกิดขึ้นจริง” และเมื่อพื้นที่กลายเป็นแรงบันดาลใจ เมืองก็อาจกลายเป็นเวทีของโลก
Cloud 11 ไม่ใช่แค่ศูนย์กลางของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ แต่คือ “ศูนย์รวมพลังสร้างสรรค์” ที่จะผลักดัน Soft Power ไทยให้กลายเป็นพลังเศรษฐกิจระดับโลกในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25เม.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 33.40 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ขณะการอ่อนค่าอาจถูกจำกัด โซนแนวรับยังคงอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ตลาดรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคฝั่งสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้25เม.ย.2568 ที่ระดับ 33.40 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.44 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อนเพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
โดยเฉพาะในวันนี้ที่ปัจจัยสำคัญในตลาดการเงินมีไม่มากนัก อย่างไรก็ดี อาจยังคงต้องรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ว่าจะออกมาดีกว่าคาด หรือ แย่กว่าคาดชัดเจน เพราะล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของ BOE ไปมากพอสมควร (เกือบ 4 ครั้ง)
ทำให้ หากรายงานยอดค้าปลีกของอังกฤษ ปรับตัวดีขึ้นกว่าคาด ก็อาจลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE หนุนให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง พร้อมกันนั้น อาจต้องรอลุ้นว่า รายงาน Final data ของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ของสหรัฐฯ จะออกมาแตกต่างจากรายงาน Preliminary อย่างไร
โดยหากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวปรับตัวลดลงเพิ่มเติมจากรายงานครั้งก่อน ก็อาจยิ่งสร้างความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจกดดันทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จนหนุนให้ ราคาทองคำพอมีโอกาสทยอยปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ส่วนเงินบาทก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม อาจจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำได้ ซึ่งต้องรอลุ้นว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะยังคงออกมาสดใสต่อเนื่องได้หรือไม่
โดยหากราคาทองคำไม่สามารถกลับมาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและยังคงอยู่ในช่วงการพักฐาน เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ซึ่งจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้
อีกทั้ง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็เสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ทำให้เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติก็จะเริ่มทยอยเพิ่มสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
โดยรวมเรายังคงมองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ (โซนถัดไปจะอยู่แถว 33.80 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับยังคงอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.38-33.49 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 143 เยนต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสกลับมาลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
ซึ่งระบุว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ หากนโยบายกีดกันทางการค้า กดดันให้การจ้างงานแย่ลง (Christopher Waller) และเฟดก็อาจปรับนโยบายการเงินได้อย่างเร็วสุดในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ หากเฟดมีความมั่นใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ (Beth Hammack) โดยการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าว ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ ราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น ส่งผลให้เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนให้หุ้นเทคฯ ต่างปรับตัวขึ้นได้ดีนำตลาด
ท่ามกลางความหวังว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ จะออกมาสดใส (รายงานผลประกอบการของ Alphabet +2.5% ที่รายงานช่วง After close ก็ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน
ส่งผลให้ราคาหุ้น Alphabet ปรับตัวขึ้นอีก +4.6% ในช่วงหลังรับรู้ผลประกอบการ) ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.74% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +2.03%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.36% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนเมษายน ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 86.9 จุด ดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร ตามแรงขายทำกำไร อาทิ HSBC -2.1%, BNP -2.2%
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด หลังรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด ก็มีส่วนทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงบ้าง เข้าใกล้โซน 4.30% อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจอยู่ ในแง่ของ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ทำให้ เราคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ที่กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซน 143 เยนต่อดอลลาร์ แต่เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจขยับจังหวะการลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นกว่าคาด ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-99.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงซื้อ Buy on Dip ทองคำ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) รีบาวด์สูงขึ้น สู่ระดับแถวโซน 3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวมได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมีนาคม ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE มีโอกาส 85% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ในปีนี้
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนเมษายน (Final data) ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบรายงาน Preliminary data ที่ออกมาก่อนหน้า ในวันที่ 11 เมษายน ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้ปรับตัวลดลงหนักสู่ระดับ 50.8 จุด จากระดับ 57 จุด ในเดือนมีนาคม
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.43-33.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.34 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นกรอบ เนื่องจากตลาดยังอยู่ระหว่างติดตามเพื่อประเมินสถานการณ์ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังจากที่ล่าสุด โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า ยังไม่มีความคืบหน้าในข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับการค้าระหว่างสองประเทศ และทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการเจรจาการค้ากัน เช่นเดียวกับรมว. คลังสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนยังไม่ได้เริ่มต้นการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการร่วมกัน แม้จะเคยส่งสัญญาณว่า ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศจะมีโอกาสผ่อนคลายลงก็ตาม
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.30-33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลายประเทศ และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ รวมถึงตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นและมุมมองต่อเงินเฟ้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนเม.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เบนนี่-ธัญลดา” ซิวทองกรีฑาสิงคโปร์โอเพ่น 2025 เปิดฉากสวยให้ทีมไทย

เบนนี่ โนนทะนำ และ ธัญลดา ทองชมพูนุช ประเดิมคว้า 2 เหรียญทองให้ทัพกรีฑาไทย ในศึกกรีฑาสิงคโปร์โอเพ่น 2025 โดยเบนนี่คว้าทองวิ่ง 400 ม. ส่วนธัญลดากระโดดสูง 1.83 ม. ซิวแชมป์วันแรกที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์
ทีมกรีฑาไทยเปิดฉากการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยมในศึก กรีฑาสิงคโปร์โอเพ่น 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–25 เมษายน 2568 ที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ โดยสามารถคว้าเหรียญทองได้ 2 รายการตั้งแต่วันแรก
“เบนนี่” โนนทะนำ อดีตเจ้าของเหรียญเงินซีเกมส์ 2021 ระเบิดฟอร์มเยี่ยมในประเภท วิ่ง 400 เมตรหญิง วิ่งนำตั้งแต่ต้นจนเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกด้วยเวลา 54.67 วินาที คว้าเหรียญทองมาครอง ส่วนเหรียญเงินตกเป็นของ หม่า หยิง เวน แอชเลห์ จากฮ่องกง (56.58 วินาที) และเหรียญทองแดง เหลียง เบเนเดตต์ จากสิงคโปร์ (59.34 วินาที)
อีกหนึ่งเหรียญทองเป็นของ “ดรีม” ธัญลดา ทองชมพูนุช เจ้าของเหรียญทองซีเกมส์ 2023 ซึ่งโชว์ฟอร์มได้สมราคาในประเภท กระโดดสูงหญิง ด้วยสถิติ 1.83 เมตร เอาชนะคู่แข่งจากฮ่องกงอย่าง ชุง ชิง แลม (1.81 ม.) และ ชุง เวย ยาน (1.77 ม.) คว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ผลงานเด่นรายการอื่น ๆ ของนักกรีฑาไทย
วิ่ง 100 เมตรชาย:
- “โอ๊ต” ธวัชชัย หีมเอียด ทำเวลา 10.52 วินาที คว้าเหรียญเงิน
- “ต้า” สรอรรถ ดาบบัง 10.70 วินาที เหรียญทองแดง
- “ไฟเตอร์” ณฐวรรธ เอี่ยมอุดม อันดับ 4 (10.71 วินาที)
- “เฉาก๊วย” ชยุตม์ คงประสิทธิ์ อันดับ 7 (10.86 วินาที)
เหรียญทอง: มาร์ค ไบรอัน หลุยส์ (สิงคโปร์) 10.49 วินาที
วิ่ง 100 เมตรหญิง:
- “น่าน” ศุภานิช พูลเกิด อันดับ 4 (11.83 วินาที)
- “ไอซ์” อธิชา เพ็ชรกุล อันดับ 7 (11.93 วินาที)
- “เบลล์” จิราพัชร ขานอ่อนตา อันดับ 8 (12.01 วินาที)
เหรียญทอง: เวโรนิก้า ชานติ เปเรยร่า (สิงคโปร์) 11.45 วินาที
เหรียญเงิน: หู เชีย เฉิน (ไทเป) 11.67 วินาที
เหรียญทองแดง: แอนน์ ตัน เอลิซาเบธ (สิงคโปร์) 11.73 วินาที
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
เช็กลิสต์อาการตาแห้ง รู้ก่อนแก้ได้

เช็กลิสต์อาการตาแห้ง
หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง แสดงว่าอาจกำลังเผชิญกับภาวะตาแห้ง ซึ่งไม่ควรละเลย
- รู้สึกแสบตา เคืองตา เหมือนมีฝุ่นอยู่ในตา
- มีอาการตาล้า โดยเฉพาะหลังจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน
- ตามัวชั่วคราว หากกระพริบแล้วจะชัดขึ้น
- รู้สึกตึงหรือปวดรอบดวงตา
- น้ำตาไหล (แม้จะฟังดูขัดแย้ง แต่นี่คือกลไกของร่างกายที่พยายามชดเชยความแห้งในตา)
- ใส่คอนแทคเลนส์แล้วรู้สึกไม่สบายตา
- มีความไวต่อแสงมากกว่าปกติ
ตาแห้งหายเองได้ไหม?
ในบางกรณีตาแห้งอาจหายได้เอง หากเกิดจากปัจจัยชั่วคราว เช่น อยู่ในห้องแอร์นานหรือลืมกระพริบตา แต่หากมีอาการบ่อยและต่อเนื่องต้องหาสาเหตุและดูแลอย่างถูกวิธี เพราะปล่อยไว้อาจกลายเป็นโรคตาแห้งเรื้อรัง ซึ่งอาจกระทบต่อกระจกตาและการมองเห็นได้
ตาแห้งทำไงดี? รวมวิธีแก้ที่ทำได้เอง
1. หยอดน้ำตาเทียมเป็นวิธีเบสิคแต่ได้ผล ควรเลือกแบบไม่มีสารกันเสียถ้าต้องใช้บ่อย
2. ใช้กฎ 20-20-20 โดยทุก 20 นาที ให้มองออกไปไกล 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้ตาได้พัก
3. ประคบร้อน ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นวางบนเปลือกตาประมาณ 5–10 นาที ช่วยกระตุ้นต่อมน้ำมันบริเวณเปลือกตาให้ทำงานดีขึ้น
4. เลี่ยงอยู่ในที่แห้งหรือมีลมเป่าแรง เช่น แอร์จ่อหน้า พัดลม หรือขับรถเปิดหน้าต่างบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงหรือลดเวลาให้น้อยลง
5. กินอาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน วอลนัต เมล็ดแฟลกซ์ หรือเสริมด้วยน้ำมันปลา เพื่อบำรุงสุขภาพตา
6. หมั่นทำความสะอาดเปลือกตา ลดการอุดตันของต่อมไขมัน ซึ่งมีผลโดยตรงกับอาการตาแห้ง
7. พบจักษุแพทย์ หากมีอาการเรื้อรังหรือหยอดน้ำตาเทียมแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรตรวจดวงตาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น ภาวะภูมิแพ้, ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ หรือโรคอื่น ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
30 สำนวนภาษาอังกฤษ ได้ใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน

การเข้าใจ สำนวนภาษาอังกฤษ จะช่วยให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น เราได้รวบรวม 30 สำนวนภาษาอังกฤษที่มีความหมายแตกต่างกันและนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ความรู้และความเข้าใจในความหมายสำนวนภาษาอังกฤษ (idiom) จะช่วยให้เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถสื่อสารได้มีประสิทธิภาพคล้ายกับเจ้าของภาษาได้มากขึ้น สำนวนภาษาอังกฤษ จะมีคำศัพท์หรือประโยคสั้น ๆ ที่มีความหมายแตกต่างจากความหมายหลักของคำศัพท์แต่ละคำที่ใช้ในสำนวนนั้น ๆ วันนี้เราได้รวบรวม 30 สำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้ในการทำงาน สำนวนที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน และสำนวนบอกรักมาไว้ให้ในบทความนี้
สำนวนภาษาอังกฤษ ในการทำงาน
- Work for peanuts = การทำงานที่ได้รับค่าตอบแทนน้อย
- He’s been working there for years, he’s still working for peanuts.
- Burning the midnight oil = ทำงานดึกดื่น
- The team burned the midnight oil to finish the presentation for the meeting tomorrow.
- Go the extra mile = ทำเกินกว่าที่คาดไว้
- To ensure customer satisfaction, our support team always goes the extra mile.
- On the same page = เข้าใจ คิดเห็นไปในแนวทางเดียวกัน
- It’s important that we’re all on the same page before we proceed with the plan.
- Get the Sack = โดนไล่ออก
- If you keep missing deadlines, you might get the sack.
- Hit the ground running = เริ่มงานด้วยความกระตือรือร้นและทำงานได้ดี
- When she joined the team, she hit the ground running and immediately made an impact.
- Bring to the table = นำเสนอ
- What new ideas can you bring to the table for our upcoming project?
- pass the buck = โยนความรับผิดชอบหรือความผิดให้ผู้อื่น
- The manager was known for passing the buck whenever a project failed, blaming his team instead of himself.
- To give it your best shot = พยายามให้เต็มที่
- We’re not sure if the new marketing strategy will work, but let’s give it our best shot.
- Climbing the corporate ladder = ไต่เต้าขึ้นไปในองค์กรหรือหน้าที่การงาน
- He’s focused on climbing the corporate ladder and becoming a manager within the next two years.
สำนวนภาษาอังกฤษ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
- Piece of cake = ง่ายมาก
- The test was a piece of cake.
- Judge a book by its cover = ตัดสินแต่เพียงภายนอกที่เห็น
- We shouldn’t judge a book by its cover; the restaurant might look shabby, but the food is amazing.
- Once in a blue moon = นาน ๆ ครั้ง
- He visits his family once in a blue moon.
- Let the cat out of the bag = เผยความลับออกมา
- Who let the cat out of the bag about the surprise party?
- Stab someone in the back = หักหลัง ทรยศ
- I thought I could trust him, but he stabbed me in the back by spreading rumors about me.
- Let someone off the hook = ปล่อยให้คน ๆ นั้นไม่ต้องรับผิดชอบ
- I’ll let you off the hook this time, but don’t let it happen again.
- Miss the boat = พลาดโอกาส
- I didn’t apply in time and now I’ve missed the boat.
- Face the music = เผชิญหน้ากับความจริง
- It’s better to confess and face the music now rather than let the situation get worse.
- Sit on the fence = ลังเลใจ
- You can’t sit on the fence any longer—you need to choose a side.
- up in the air = ไม่แน่นอน
- Our travel plans are still up in the air because we haven’t decided on a destination yet.
สำนวนบอกรักในภาษาอังกฤษ
- You’ve stolen my heart. เธอขโมยหัวใจฉันไป
- You’re the apple of my eye. เธอคือคนที่ฉันรักมากที่สุด
- I’m smitten with you. ฉันตกหลุมรักเธอ
- I’m head over heels for you. ฉันหลงรักเธอหมดหัวใจ
- You mean the world to me. เธอมีความหมายกับฉันมาก
- I’m crazy about you. ฉันคลั่งไคล้เธอ
- You take my breath away. เธอสวยหรือมีเสน่ห์มาก
- You are the love of my life. เธอคือรักของฉันในชีวิตนี้
- You made my day. คุณทำให้วันของฉันสดใส
- You light up my life. เธอทำให้ชีวิตฉันสว่างไสว
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
AIS – TRUE ผนึก ปภ. เตรียมทดสอบส่ง SMS ผ่าน Cell Broadcast ถึงประชาชน

AIS – TRUE ผนึก ปภ. และ หน่วยงานภาครัฐ เตรียมทดสอบระบบเตือนภัย ส่งข้อความ SMS ผ่านระบบ Cell Broadcast ถึงประชาชนทั่วประเทศ เตือนอย่าตกใจหากมีข้อความส่งถึง
วันนี้ 23 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับ 6 หน่วยงาน คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.,กรมประชาสัมพันธ์,บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS , บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด หรือ NT แถลงข่าวเตรียมความพร้อมการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast เพื่อเตรียมทดสอบระบบในพื้นที่จริงนอกห้องปฏิบัติการ
แบ่งการทดสอบ 3 รอบดังนี้
การทดสอบระบบ Cell Broadcast จะมีขึ้นทั้งหมด 3 รอบ 3 วัน ใน 15 พื้นที่ทั่วประเทศ
- วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับเล็ก (ภายในอาคารราชการ 5 พื้นที่)
- วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับกลาง (ระดับอำเภอ/เขต 5 พื้นที่)
- วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ทดสอบระดับใหญ่ (ระดับจังหวัด 5 พื้นที่)
แจ้งประชาชนอย่าตื่นตระหนัก
โดยข้อความที่ใช้ในการทดสอบจะระบุว่า “ทดสอบการแจ้งเตือน Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก” “This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required” ซึ่งภายหลังจากการทดสอบ ในแต่ละระดับ จะมีประเมินประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยเพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงการทำงานต่อไป
นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS เปิดเผยว่า AIS ได้นำเทคโนโลยี Cell Broadcast (CBS) ซึ่งสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังคนไทย และลูกค้า AIS กว่า 45 ล้านรายที่อยู่ทั่วทุกภูมิภาค โดยระบบ CBS พร้อมรองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน Android ตั้งแต่เวอร์ชัน 12 ขึ้นไป และ iPhone ที่อัปเดตเป็น iOS 18 แล้ว ซึ่งสามารถแจ้งเตือนแบบเฉพาะเจาะจงพื้นที่หรือทั่วประเทศได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา และปฏิบัติตัวได้อย่างปลอดภัย

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กล่าวเพิ่มเติมว่า TRUE ได้ทดสอบการรับสัญญาณ Cell Broadcast เรียบร้อยแล้วทั้งในอุปกรณ์ iPhone และ Android ที่รองรับ 4G และ 5G สามารถรับข้อความแจ้งเตือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ทดสอบต่อสายตานักข่าวสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับผู้ใช้ iPhone จะต้องอัปเดตเป็น iOS 18 และตั้งค่าการรับข้อความเตือนผ่านเมนู Settings และ Notifications โดยเลือกเปิดการแจ้งเตือนทั้ง Amber Alerts และ Emergency Alerts ผู้ที่ใช้ Apple Watch จะสามารถรับข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอนาฬิกาได้ด้วย

ด้านนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวเสริมว่า ปภ. กำลังพัฒนาระบบ Cell Broadcast Entity (CBE) หรือศูนย์สั่งการของภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 นั้น ทาง ปภ. จึงได้ร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์ ให้ดำเนินการส่งข้อความทดสอบการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ CBS (Cell Broadcast Service) โดยโอเปอเรเตอร์ หรือที่เรียกว่า Virtual CBE ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งบนสมาร์ทโฟนระบบ Android และ iOS โดยผู้ใช้งานต้องอัปเดตเวอร์ชันระบบปฏิบัติการให้เป็นปัจจุบัน ในการนี้ ปภ. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประชาสัมพันธ์แจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบล่วงหน้าถึงการทดสอบที่จะเกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการรับมือภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Overnight Oat คืออะไร? ทำไมถึงฮิตในกลุ่มคนรักสุขภาพ

Overnight oat คือหนึ่งในเมนูอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนที่รักสุขภาพและคนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ โดยเฉพาะในยุคที่การเตรียมอาหารล่วงหน้ากลายเป็นทางเลือกหลักของคนยุคใหม่ แต่หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่า Overnight oat คืออะไร และควรกินตอนไหนถึงจะได้ผลดีต่อร่างกาย
Overnight Oat คืออะไร
Overnight oat คือข้าวโอ๊ตที่ไม่ต้องนำไปต้ม แต่ใช้วิธีแช่ในของเหลว เช่น นม น้ำเปล่า หรือนมพืช (นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง) แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นข้ามคืน เพื่อให้ข้าวโอ๊ตดูดซึมน้ำและนิ่มลงจนกินได้ทันทีในเช้าอีกวัน โดยสามารถเติมผลไม้ ถั่ว เมล็ดเจีย หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติ
ประโยชน์ของ Overnight Oat
- ให้พลังงานยาวนาน
ข้าวโอ๊ตเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานต่อเนื่องโดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง - อุดมไปด้วยไฟเบอร์
ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ลดอาการท้องผูก และทำให้รู้สึกอิ่มนาน - เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนัก
ด้วยพลังงานที่เหมาะสมและไฟเบอร์สูง จึงช่วยลดความหิวระหว่างมื้อโดยไม่ต้องพึ่งขนมจุกจิก - ช่วยลดคอเลสเตอรอล
ข้าวโอ๊ตมีสารเบต้ากลูแคน ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ - ประหยัดเวลาและสะดวก
เตรียมล่วงหน้าได้ในคืนก่อน ไม่ต้องตื่นเช้ามาทำอาหารให้วุ่นวาย เพียงแค่หยิบออกจากตู้เย็นก็พร้อมทานทันที - เหมาะกับคนที่แพ้นมวัวหรือกินเจ
สามารถปรับสูตรด้วยนมพืชหรือโยเกิร์ตจากพืชเพื่อให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์
Overnight Oat กินตอนไหนดีที่สุด
หลายคนสงสัยว่า Overnight oat ควรกินตอนไหน คำตอบคือสามารถกินได้หลากหลายช่วงเวลา แต่เวลาที่นิยมที่สุดคือช่วงเช้า เพราะให้พลังงานดีอิ่มนาน เหมาะกับการเริ่มต้นวันใหม่หรือหากต้องการพลังงานก่อนออกกำลังกายก็สามารถกินเป็นมื้อก่อนออกกำลังกายได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถเก็บไว้กินเป็นของว่างระหว่างวันหรือมื้อเย็นเบาๆ ได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/04/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,600.00 | 52,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,407.00 | 51,650.12 | 53,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,066.30 | 46,485.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,725.60 | 41,320.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,533.00 | 23,242.55 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,192.00 | 18,077.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,531.00 | 53,523.44 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/04/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |