อสังหาฯอีสานเข้าสู่โหมดWait & See โคราช‘ทรงตัว’ อุดรฯ‘ซบหนัก’

- ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ภาคอีสานเข้าสู่ภาวะชะลอตัวและรอดูสถานการณ์ (Wait & See) เนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวและรอปัจจัยกระตุ้นจากภาครัฐและโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
- ตลาดอสังหาฯ ในโคราชอยู่ในภาวะ “ทรงตัว” โดยบ้านระดับกลาง-บนยังพอขายได้ แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชะลอการเปิดโครงการใหม่เพื่อรอระบายสต็อกเดิม
- ตลาดอสังหาฯ ในอุดรธานี “ซบเซาหนัก” กว่าโคราช เนื่องจากกำลังซื้อหดหายจากผลกระทบภาคเกษตรและท่องเที่ยว ประกอบกับราคาบ้านใหม่ที่สูงขึ้น ทำให้คนหันไปซื้อบ้านมือสองแทน
กระแสการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ “ภาคอีสาน” ส่งสัญญาณการขยับตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ 5 จังหวัดหลักอย่าง ขอนแก่น นครราชสีมา (โคราช) อุบลราชธานี อุดรธานี และมหาสารคาม ซึ่งเป็นหัวใจของตลาดที่อยู่อาศัยในภูมิภาคนี้
สิทธิเพ็ญ สิทธัตถพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคอีสานมีหน่วยขายรวม 14,515 หน่วย คิดเป็น 3.8% ของภาพรวมประเทศ “ขอนแก่น” ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง ด้วยส่วนแบ่งตลาด 1.6% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ระหว่างการขายซึ่งขยายตัวถึง 40% ส่วน “โคราช” ที่เคยครองอันดับหนึ่งหลายปี กลับมีหน่วยขายลดลงถึง 16.9% เหลือเพียง 1.3% ของภาพรวมตลาด
“ขอนแก่นกับโคราช ผลัดกันเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สอง แต่ปีนี้ ขอนแก่นมาแรงกว่าในแง่จำนวนหน่วยขาย”

ลำดับถัดมา “อุบลราชธานี” แซงหน้า “อุดรธานี” ขึ้นมาเป็นอันดับสาม ด้วยจำนวนหน่วยที่อยู่ระหว่างการขาย 1,420 หน่วย เพิ่มขึ้น 22.6% ขณะที่ อุดรธานี มี 1,287 หน่วย เพิ่มขึ้น 11% ส่วน “มหาสารคาม” ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว มีหน่วยขายเพียง 498 หน่วย ลดลงถึง 19%
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคอีสาน ภาพที่ปรากฏเวลานี้ คือ ความเงียบเชียบแบบ ‘ทรงตัว’ ท่ามกลางภาวะรอคอยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เม็ดเงินจากภาครัฐ แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และรอกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว”
ตลาด “บ้าน” ในโคราช และ อุดรธานี สองหัวเมืองเศรษฐกิจหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงสะท้อนภาพรวมของภาคอสังหาฯ ต่างจังหวัดได้ชัดเจนที่สุด ณ เวลานี้
โคราช บ้านแนวราบ“กลาง-บน”ยังไปไหว
ณัฐพงษ์ ประสารศิวมัย นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดนครราชสีมา มองทิศทางดังกล่าว ประเมินว่า ตลาดยังไม่ฟื้น แต่พอไปได้! บ้านแนวราบระดับกลาง-บน ยังพอมีแรงซื้อ โดยเฉพาะโครงการระดับราคา 5-20 ล้านบาท ที่ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่จากกรุงเทพฯเข้ามาทำตลาด พบยอดจองค่อนข้างดี สะท้อนดีมานด์ที่ยังมีอยู่จริง
สาเหตุหลักที่กลุ่มนี้ยังเดินหน้าได้ เพราะผู้ซื้อระดับกลาง-บนในโคราชเริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบเศรษฐกิจ โดยมีแรงหนุนสำคัญจากมาตรการภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อ LTV (Loan to Value) รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ต่างจากบ้านแนวราบ และคอนโดมิเนียม ในโคราชยังไม่ขยับ เหตุเพราะซัพพลายจากปีก่อนยังเหลือค้างจำนวนมาก ทำให้โครงการใหม่แทบไม่มีการเปิดตัว
ณัฐพงษ์ ชี้ว่า ดีเวลลอปเปอร์หลายราย โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ เลือกที่จะ “รอดูท่าที” มากกว่าจะรีบเปิดตัว เพราะต้องบริหารสต็อกเดิมให้หมดก่อน
“ตอนนี้เป็นช่วง Wait & See ทุกฝ่าย ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เพราะโครงการใหญ่ในเชิงโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เปิดให้บริการจริง แต่มีความหวังอยู่ที่ ปี 2569 ที่โครงการมอเตอร์เวย์ หรือรถไฟความเร็วสูงน่าจะแล้วเสร็จ ช่วยยกระดับเมืองและกำลังซื้อ”
แนะรัฐ “อัดยาแรง-สานต่อนโยบายดี”
สมาคมอสังหาริมทรัพย์โคราชและภูมิภาคอื่นๆ กำลังรวมพลังเสียงเพื่อยื่นข้อเสนอไปยัง ธปท. และกระทรวงการคลัง ถึงความจำเป็นในการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้สะดุดกลางคัน
“มาตรการไหนที่ดี อยากให้ดำเนินต่อ โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ย และวงเงินพิเศษจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รวมถึงการผ่อนคลายเกณฑ์เครดิตบูโร จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นในช่วงปลายปีนี้”
อสังหาฯ อุดรตลาดนิ่ง กำลังซื้อหาย
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอุดรธานี ไม่ต่างจากโคราชนัก หากแต่ “ความซบเซา” ดูจะหนักหนากว่า
จตุรงค์ ธนะปุระ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์อุดรธานี ยังไม่ฟื้นและอาจนิ่งไปจนถึงปีหน้า ยิ่งเมื่อพิจารณาปัจจัยรายได้ประชากรที่ลดลงจากภาคการเกษตรและท่องเที่ยว ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของพื้นที่
“รายได้ลด ความมั่นใจหาย คนไม่กล้าซื้อบ้าน ต่อให้มีมาตรการจากรัฐออกมาก็ไม่ได้ช่วยเต็มที่ เพราะไม่มีเงินซื้อ”
นอกจากนี้ ยังต้องรับมือกับราคาที่ดินพุ่งสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่สูงขึ้นตาม กดดันราคาขายให้เกินกำลังซื้อของประชาชน
บ้านมือสองราคาถูกยังพอขายได้
ในภาวะที่บ้านใหม่ราคาสูงเกินไป ทำให้ตลาดบ้านมือสองในอุดรธานี ได้รับความนิยม โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท สอดคล้องกับรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า บ้านระดับราคานี้ยังพอมีกำลังซื้อ
“บ้านมือสองที่ราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท ขายดีมาก ส่วนบ้านใหม่ขายดี อยู่ในระดับไม่เกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป เพราะราคานี้ตอบโจทย์กำลังซื้อได้จริง”
นอกจากนี้ยังมีดีเวลลอปเปอร์รายย่อยที่ไม่ใช่โครงการจัดสรรมาทำบ้านเอง เน้นบริหารต้นทุนต่ำ ปรากฏว่ากลับขายได้ดีกว่า เพราะสามารถตั้งราคาต่ำกว่าโครงการใหญ่ๆ ได้อย่างชัดเจน
“รถไฟ-แผนเมืองใหม่” จุดเปลี่ยนที่ยังไม่มา
อย่างไรก็ดี โครงการรถไฟสายใหม่และวงแหวนรอบเมืองอุดรธานี เป็นความหวังหลักของเมืองในการเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และไม่ส่งผลต่อกำลังซื้อในระยะสั้น
“ถ้าโครงสร้างพื้นฐานมาเมื่อไหร่ เมืองเปลี่ยนแน่! และอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาคึกคัก แต่ตอนนี้ยังเป็นช่วงรอ”
ที่ผ่านมาแม้ภาครัฐจะเริ่มทยอยปล่อยมาตรการออกมา แต่มองว่า ช้าเกินไป! และ ไม่เพียงพอ! เพราะในภาวะที่ประชาชนยังไม่มั่นใจ เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม มาตรการที่ออกมาควร “เร็ว” และ “ตรงจุด” กว่านี้
“ช่วยแค่กระตุ้นการท่องเที่ยวก็ยังดี เพราะจะช่วยสร้างมัลติพลายเออร์ให้รายได้ในท้องถิ่น และส่งผลกลับมาที่กำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้โดยตรง”
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เปราะบาง อสังหาริมทรัพย์ภาคอีสานยังพอมีหวัง หากได้รับแรงส่งที่ถูกจังหวะ และมีความต่อเนื่องจากนโยบายภาครัฐ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ดีมานด์จีนหดทุบอสังหาเชียงใหม่วูบ-สต็อกล้นเมียนมา-สหรัฐมาแรง

- ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ชะลอตัว ยอดขายโครงการใหม่ลดลง สวนทางกับสต็อกเหลือขายที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้องใช้เวลาระบายสต็อกนานเกือบ 5 ปี
- ความต้องการซื้อจากนักลงทุนจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ได้กลุ่มลูกค้าใหม่จากเมียนมาและสหรัฐอเมริกาเข้ามาเป็นกำลังซื้อหลักทดแทน
- พฤติกรรมผู้บริโภคในพื้นที่เปลี่ยนจาก “ซื้อ” เป็น “เช่า” มากขึ้น เนื่องจากปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อ ทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริงลดลง
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า จังหวัดเชียงใหม่ยังคงเป็นตลาดใหญ่ของภาคเหนือ ด้วยสัดส่วนกว่า 50% ของตลาดที่อยู่อาศัยใน 5 จังหวัด แต่เมื่อแยกพิจารณรายละเอียดกลับพบว่า ยอดขายโครงการใหม่ลดลง 13.4% ขณะที่ สต็อกเหลือขายพุ่งขึ้น 4.3% ส่งผลให้อัตราดูดซับเฉลี่ยเหลือเพียง 1.6% ต่อเดือน และต้องใช้เวลานานถึง 57 เดือน กว่าจะขายหมด! เทียบกับ 47 เดือน ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ตลาดที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่ ชะลอตัวต่อเนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหัวใจหลักของจังหวัด”
เปิดใหม่น้อย ขายไม่ทัน สต็อกบวม
ตัวเลขที่น่ากังวลไม่ใช่แค่ยอดขายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ “หดตัว” อย่างรุนแรง โดยครึ่งแรกของปี 2568 มีโครงการใหม่เพียง 284 หน่วย ลดลงถึง 66.2% มูลค่ารวมลดลง 74% เทียบปีก่อนหน้า แยกตามประเภท พบว่า “บ้านจัดสรร” เปิดใหม่ลดลง -76.8% “คอนโดมิเนียม” ลดลง 52.6% “วิลล่า” แม้จะเปิดใหม่ไม่มาก แต่ยอดขายกลับพุ่งสูงถึง 700% ในครึ่งปีแรก ซึ่งอาจสะท้อนความสนใจของกลุ่มเป้าหมายใหม่จากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนระยะยาว

สัญญาณเปลี่ยนจาก “เช่า” แทน “ซื้อ”
อรรคเดช อุดมศิริธำรง นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ ระบุว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในเชียงใหม่กำลังเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จาก “ซื้อ” มาเป็น “เช่า” โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ สังเกตได้จากการค้นหาที่อยู่อาศัยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ลดลง แม้เชียงใหม่จะมีเพจวิวสูงที่สุด แต่กลับลดลงกว่า 20% สะท้อนว่าความต้องการซื้อจริงถดถอย!
ขณะที่ยอดเช่ากลับเพิ่มสูงขึ้น จำนวนยูนิตว่างให้เช่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนพฤติกรรมของทั้งสองฝั่ง “ผู้ซื้อ” ยังไม่พร้อมตัดสินใจซื้อ และผู้ประกอบการเลือกนำสินทรัพย์ปล่อยเช่าเพื่อรักษาสภาพคล่อง
ดีมานด์จีนหาย “เมียนมา-สหรัฐ” แทนที่
ตลาดต่างชาติที่เคยพึ่งพานักลงทุนจีนเริ่มเปลี่ยนโฉม จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจจีนและภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในประเทศไทย ทำให้ความสนใจจากนักลงทุนจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทว่า กลับเป็นกลุ่มลูกค้าชาว “เมียนมา” ที่ขยับขึ้นมาแทนที่ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางที่มองหาความปลอดภัย และระบบการศึกษาที่ดีกว่าสำหรับลูกหลาน ทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวเมียนมาในเชียงใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“การเดินทางจากมัณฑะเลย์ หรือ ย่างกุ้งมายังเชียงใหม่สะดวก ด้วยวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ส่งผลให้เชียงใหม่กลายเป็นจุดหมายใหม่ของชาวเมียนมาที่ต้องการย้ายถิ่นฐานระยะยาว”
ขณะเดียวกัน “ตลาดสหรัฐ” เริ่มมีบทบาทมากขึ้น มีการสร้างสถานกงสุลสหรัฐแห่งใหม่ในเชียงใหม่ และขยายบุคลากรจาก 200 คนเป็นกว่า 1,000 คน ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยทั้งซื้อและเช่าในระดับบนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ครึ่งปีหลังหวัง “ดอกเบี้ยลด-การเมืองนิ่ง”
แม้ครึ่งปีแรกจะหนักหนา แต่แสงสว่างปลายอุโมงค์อาจเริ่มเห็นรางๆ จากหลายปัจจัยสนับสนุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การปล่อยสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ที่เริ่มผ่อนคลาย ความชัดเจนทางการเมืองหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปี
“ธรรมชาติของตลาดอสังหาริมทรัพย์ภาคเหนือ มักฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีฤดูกาลท่องเที่ยวชัดเจนอย่างเชียงใหม่ หากไม่มีปัจจัยลบใหม่เพิ่มเติม เชื่อว่าตลาดจะค่อยๆ กลับมาได้”
โอกาสในวิกฤติผู้เล่นที่พร้อมจะปรับตัว
แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ในครึ่งปีแรกของ 2568 จะไม่สดใส แต่ก็ไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการขยับจากตลาดขายสู่ตลาดเช่า การจับดีมานด์ใหม่จากกลุ่มต่างชาติที่กำลังขยาย หรือการปรับโมเดลธุรกิจให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ปีนี้อาจยังมี “จังหวะ” ให้ฟื้นตัว หากผู้ประกอบการเข้าใจตลาด สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนไป!
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25 ก.ย.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเร่งการอ่อนค่าในระยะสั้น ผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายดอลลาร์โซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.30-32.50บาทต่อดอลลาร์ ในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.95-32.20 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้25 ก.ย.2568 ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มมีกำลังมากขึ้น หลังเงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยอ่อนค่าลง มากกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า
และสามารถทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ Trend-Following การอ่อนค่าของเงินบาทดังกล่าว จะเพิ่มโอกาสที่เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง
อีกทั้ง เราพบว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ทยอยประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง
ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรม Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) เพิ่มเติม จากบรรดาผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งอาจเร่งการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้ โดยโซนแนวต้านถัดไปของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยเรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออก ก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ในช่วงดังกล่าว
นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เข้าสู่ช่วงการพักฐาน อีกทั้ง ในระยะสั้น เรามองว่า ควรจับตาการปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย
โดยเฉพาะ บอนด์ไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติ อย่างใกล้ชิด หลังล่าสุด Fitch Ratings ได้ปรับคงเครดิตเรทติ้งของไทย ไว้ที่ระดับ BBB+ แต่มีการปรับลดแนวโน้มลง เป็น Negative จาก Stable ท่ามกลางความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังของไทย จากความวุ่นวายของสถานการณ์การเมือง และแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันรอบด้าน
โดยจากงานวิจัยในอดีต เราพบว่า การปรับลดแนวโน้มดังกล่าว อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า บรรดา Rating Agency อาจมีการปรับลดเครดิตเรทติ้งตามมาในอนาคต ส่งผลให้ บรรดานักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ต่างทยอยขายสินทรัพย์ของประเทศนั้นๆ ออกมาก่อน
อนึ่ง เรามองว่า แม้บรรดานักลงทุนต่างชาติจะทยอยขายสินทรัพย์ไทย อย่างบอนด์ไทยระยะยาวเพิ่มเติม แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อได้ ตามแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสลดดอกเบี้ยจากระดับ 1.50% ในปัจจุบัน สู่ระดับ 1.00% ภายในปีหน้า
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.95-32.20 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.99-32.14 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยเฉพาะแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2026 จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ในช่วงนี้
สะท้อนว่า เฟดยังคงระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จากความเสี่ยงเงินเฟ้อที่ยังมีอยู่ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันก่อน จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนกันยายน ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 87.7 จุด แย่กว่าคาด
ซึ่งทางฝั่ง IFO ก็มองว่า ทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ยังสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจใหญ่ อย่าง เยอรมนี ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
สอดคล้องกับสัญญาณเชิงเทคนิคัลที่มีความ Bearish ต่อแนวโน้มราคาทองคำมากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าพอสมควร แต่การอ่อนค่าก็ยังมีความค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ Alphabet -1.8%, Oracle -1.7% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด
โดยเฉพาะในปี 2026 ลงบ้าง จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้ ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของ Tesla +4.0% ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.33% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.19% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม นำโดย Hermes -3.1% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน
รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงาน จากอานิสงส์ของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ซึ่งการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานรัสเซียโดยกองทัพยูเครนล่าสุด ก็มีส่วนหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ในช่วงนี้ ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
โดยเฉพาะในปี 2026 ลงบ้าง กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาทยอยปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 4.14% สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง
ทั้งนี้ เราย้ำว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง
เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) หลังรายงานดัชนี IFO Business Climate ของเยอรมนี ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนมองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.5-97.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า บรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ที่อาจเริ่มสถานะ Short ทองคำ หลังในเชิงเทคนิคัลนั้น ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง จากภาพ RSI Bearish Divergence ใน Time Frame Daily ทำให้โดยรวม ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ อย่าง Existing Home Sales
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ที่จะรับรู้ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“หมิว พรปวีณ์” ฉลุย ลิ่วรอบ 2 แบดมินตัน โคเรีย โอเพ่น “พิ้งค์ พิชฌามลณ์” ร่วงรอบแรก

การแข่งขันแบดมินตันรายการ โคเรีย โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 475,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,200,000 บาท ที่เมืองชูวอน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันพุธที่ 24 ก.ย.68 ที่ผ่านมา ในรอบแรก มีนักแบดมินตันไทยลงสนามในช่วงเย็นอีก 3 คู่
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 3 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลก เอาชนะ ฮาน เฉียนซี่ มืออันดับ 34 ของโลกจากจีน เกมแรก หมิว พรปวีณ์ เปิดเกมได้อย่างเฉียบขาดตั้งแต่ต้น และคุมเกมได้เหนือกว่าก่อนที่จะมาปิดเกมแรกเอาชนะไปได้ที่ 21-14
เกมสอง หมิว พรปวีณ์ ก็ยังรักษาฟอร์มการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่จะมาปิดแมตช์เอาชนะไปได้แบบขาดลอยที่ 21-11 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-0 เกม “หมิว” พรปวีณ์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ คิม จูอิน มืออันดับ 176 ของโลกจากเกาหลีใต้
ส่วน “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มืออันดับ 39 ของโลก พบกับ นัตสึกิ นิไดระ มืออันดับ 25 ของโลกจากญี่ปุ่น เกมแรก ทั้งคู่ต่างเล่นทำแต้มกันอย่างสนุก ก่อนที่จะเป็น นัตสึกิ นิไดระที่มาเร่งเกมในช่วงครึ่งเกม และปิดเกมแรกไปได้ก่อนที่ 21-17
เกมสอง “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ แก้เกม และเล่นได้ดีขึ้นทำแต้มทิ้งห่างได้ตลอด จนกระทั่ง นัตสึกิ นิไดระ กลับมาเล่นได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งค่อยไล่ทำแต้ม และในมาเบียดแซงชนะในช่วงปลายเกมได้ที่ 21-19 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-0 เกม ส่งผลให้ “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ จบเส้นทางในศึกโคเรีย โอเพ่นไว้เพียงรอบแรก
ด้าน “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 36 ของโลก แพ้ เหยา เจียมิน มืออันดับ 16 ของโลกจากสิงคโปร์ 0-2 เกม 10-21 และ 20-22
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร? เช็กสัญญาณอันตราย และวิธีการรักษา

“นิ่วในถุงน้ำดี” โรคฮิตที่ตรวจสุขภาพทีไร เจอแทบทุกปี! หลายคนอาจเริ่มคุ้นชื่อโรคนี้จากผลตรวจสุขภาพประจำปีที่บริษัทจัดให้ ไม่ว่าจะเอ็กซ์เรย์ หรืออัลตร้าซาวนด์ ก็มักเจอ “ก้อนเล็กๆ” ในถุงน้ำดีโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความน่ากังวลคือ นิ่วในถุงน้ำดีมักไม่มีอาการในระยะแรก ทำให้คนจำนวนมากไม่รู้ว่าตัวเองมี จนกว่าจะเริ่มปวดท้อง แน่นท้อง หรือมีอาการรุนแรงต้องผ่าตัด ซึ่งสาเหตุหลักๆ มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกิน โดยเฉพาะอาหารไขมันสูง หรือการงดมื้ออาหารเป็นเวลานาน ดังนั้นแม้ผลตรวจจะทำให้เครียด แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่รู้ทัน เพื่อจะได้ดูแลตัวเองก่อนจะสายเกินไป
การที่คนรอบข้างทยอยกันเป็นเรื่อยๆ แสดงว่ามันต้องมีปัจจัยอะไรใกล้ตัวที่ทำให้เกิดโรคนี้ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวก็ได้ จริงไหม? Sanook! Health เลยหาคำตอบมาให้ทุกคนได้ลองเช็คกันค่ะ ว่าคุณกำลัง “มีความเสี่ยง” ต่อ โรคนิ่วในถุงน้ำดี อยู่หรือเปล่า
นิ่วในถุงน้ำดี ลักษณะเป็นอย่างไร
นิ่วมีลักษณะเป็นก้อนกลมหรือเหลี่ยมๆ สีเข้มๆ ซึ่งเกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) หรือคอเลสเทอรอลที่มีอยู่ในน้ำดี เป็นผลมาจากการขาดสมดุลของน้ำดี

อันตรายของนิ่วในถุงน้ำดี
หากก้อนนิ่ว (ซึ่งจะเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียว หรือเป็นก้อนเล็กๆ หลายก้อนก็ได้) ไปอุดถุงน้ำดี อาจทำให้ถุงน้ำดีอักเสบ และหากมีก้อนนิ่วติดค้างอยู่ที่ถุงน้ำดีเป็นเวลานาน อาจกระตุ้นให้เกิดเป็นมะเร็งถุงน้ำดีได้
ใครที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
- ผู้หญิง อายุ 40 ปีขึ้นไป รูปร่างท้วม และอาจมีบุตรหลายคน
- ผู้ป่วยที่มีภาวะเป็นเบาหวาน โรคอ้วน
- ผู้ป่วยทาลัสซีเมีย โลหิตจาง
- ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง บริโภคอาหารมัน อาหารทอดมากเกินไป
- ผู้ที่ทานยาลดไขมันบางชนิด ทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
- ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินไป ทำให้ละลายไขมันมากเกินไป
4 สัญญาณอันตราย อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
- อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี จะมีอาการปวดท้อง แน่น จุกเสียด บริเวณใต้ชายโครงขวา หรือลิ้นปี่
- ท้องอืด อิ่มง่าย อาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะหลังทานอาหารมันมาก หรือทานอาหารมื้อใหญ่
- ในรายที่เกิดอาการถุงน้ำดีอักเสบ อาจมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
- ในบางรายอาจมีภาวะดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
วิธีการรักษานิ่วในถุงน้ำดี
- นิ่วชนิดไม่มีอาการ อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาใดๆ เพียงแต่เข้ามาตรวจเช็คร่างกายเรื่อยๆ หากไม่แสดงอาการเลย ก็อาจไม่ต้องทำการรักษาใดๆ ตลอดชีวิต
- นิ่วชนิดมีอาการ หากมีอาการข้างเคียง เช่น ปวดท้อง แพทย์อาจสั่งยาให้ทาน หรือแนะนำให้ผ่าตัด ขึ้นอยู่กับขนาดนิ่ว และความรุนแรงของอาการ โดยสมัยนี้จะใช้วิธีใช้กล้องส่องผ่านหน้าท้อง ทำให้เจ็บแผลน้อย ฟื้นตัวเร็วภายใน 1-2 วัน
วิธีป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี
- ควบคุมอาหาร ไม่ทานอาหารทอด อาหารมันมากจนเกินไป รวมไปถึงอาหารหวานจัด เช่น น้ำอัดลม อาหารกระป๋อง สำเร็จรูป และอาหารแช่แข็งด้วย
- ควบคุมน้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคอเลสเตอรอล อย่าให้สูงจนเกินไป
- เลือกทานอาหารจำพวกแป้งไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ผักผลไม้สด ถั่ว และธัญพืชต่างๆ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ครั้งละ 20-30 นาที
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 6 เดือน หรือทุกปี
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เคล็ดลับออกแบบ ‘UX’ สำหรับ ‘Chatbot’ ใช้งานง่าย เป็นธรรมชาติ และมีความเป็นมนุษย์

ในยุคที่ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) มากขึ้น “Chatbot” ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือหลักที่หลายองค์กรเลือกใช้
ทั้งสำหรับให้บริการข้อมูล ตอบคำถาม ไปจนถึงช่วยประเมินสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งหัวใจสำคัญของ Chatbot ที่ประสบความสำเร็จคือ Usability หรือ “ความสามารถในการใช้งานได้ดี”
ในบทความนี้เราจะมานำเสนอ แนวคิดการออกแบบ UX ของ Chatbot โดยเน้น Usability พร้อมแนวทางการใช้ Sentiment Detection เพื่อเสริมความเป็นมนุษย์ และอ้างอิงกรอบสากล เช่น ISO 9241-11, Nielsen’s Heuristics, PARADISE และ SASSI
ปัจจัย Usability ที่ควรคำนึงถึง :
การออกแบบ Conversational User Interface (CUI) นั้นต่างจาก UI แบบดั้งเดิม โดยผู้ใช้มักคาดหวังการโต้ตอบ “เหมือนคุยกับมนุษย์” ดังนั้นการประเมิน Usability จึงควรอิงกรอบสากล
เช่น ISO 9241-11 (1998): Effectiveness, Efficiency, Satisfaction, Nielsen’s Heuristics: Learnability, Error Prevention, Satisfaction, PARADISE Framework (1997): Naturalness, Clarity, Willingness to use, SASSI (2000): Likability, Humanness, Cognitive Demand
จากกรอบแนวคิดข้างต้น สามารถสรุปปัจจัย Usability ที่เกี่ยวข้องกับ Chatbot ในบริบทนี้ได้ 5 ประเด็นหลัก
- Effectiveness – ผู้ใช้ได้ข้อมูล/บริการที่ถูกต้อง
- Learnability ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
- Reliability เชื่อถือคำตอบได้
- Humanness การสื่อสารใกล้เคียงมนุษย์
- Likability ผู้ใช้รู้สึกบวกกับประสบการณ์ที่ได้รับ
ความท้าทาย Chatbot ที่ “ไม่เหมือนมนุษย์” แม้ Chatbot จะตอบได้ถูกต้อง แต่หากขาดความเป็นมนุษย์ (Humanness) ผู้ใช้มักจะไม่พึงพอใจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงินและบริการลูกค้า
โดย Accenture ได้สรุปไว้ว่า “การออกแบบ Chatbot ต้องใส่ใจความไว้วางใจ ความอ่อนไหวทางอารมณ์ และความยุติธรรม เพื่อสร้างประสบการณ์ที่มีความหมาย”
อีกทั้งงานวิจัยของ Brave & Nass (2003) ยังพบว่า บุคลิกและอารมณ์ของ Chatbot ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ (Reliability) ความผูกพัน (Intimacy) และความชื่นชอบ (Likeability) ดังนั้นองค์กรจำนวนมากจึงหันมาใช้ Sentiment-Aware Design โดยฝังระบบตรวจจับอารมณ์เพื่อปรับโทนการตอบให้เหมาะกับอารมณ์ผู้ใช้
ตัวอย่าง:
ผู้ใช้: “นี่คุณจะให้รอไปถึงเมื่อไหร่!”
Chatbot: “ขออภัยจริง ๆ ค่ะ ดิฉันเข้าใจว่าคุณไม่สะดวก เดี๋ยวจะรีบตรวจสอบให้นะคะ”
ตามกรอบ SASSI ปัจจัยด้านความเป็นมนุษย์ (Humanness) และความน่าชื่นชอบ (Likeability) ส่งผลต่อความเต็มใจในการใช้งานและความพึงพอใจโดยรวม
กรณีศึกษา: Chatbot ที่เข้าใจอารมณ์
ทีม UX/UI ของเราได้รับมอบหมายให้ปรับปรุง Chatbot ภาคการเงิน โดยทำ A/B Testing ระหว่างเวอร์ชันปกติ กับเวอร์ชันที่ใช้ Sentiment-Aware Response
- กลุ่มผู้ใช้ที่ได้โต้ตอบกับเวอร์ชัน Sentiment-Aware ให้คะแนนความพึงพอใจสูงกว่า
- ผู้ใช้บอกว่า Chatbot “เข้าใจอารมณ์” และรู้สึกเหมือนคุยกับ “ผู้ช่วยจริง”
ปัจจัยที่ช่วยเพิ่ม Usability
- ลดความเป็นทางการ
- ใช้ Emoji อย่างเหมาะสม
- ตอบสั้น กระชับ และมีอารมณ์ร่วม
Insight จากผู้ใช้:
- “รู้สึกว่า Chatbot แสดงความรับผิดชอบต่อความไม่พอใจ”
- “คุยแล้วไม่รู้สึกเหมือนโดนเท เหมือนมีคนรับฟัง”
แม้อาจจะไม่ได้ทำให้คะแนนความพึงพอใจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในทุกกรณี แต่เห็นชัดในผู้ใช้ที่อยู่ในอารมณ์ลบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับแบรนด์
LLM กับบทบาทใหม่ของ Chatbot
การมาของ Large Language Model (LLM) เช่น GPT, Claude, Gemini ทำให้ Chatbot ตอบได้หลากหลายและยืดหยุ่นขึ้น แต่ก็นำมาซึ่งความท้าทายทางด้าน UX
- Latency: อาจตอบช้า → ต้องใส่ Feedback เช่น “กำลังพิมพ์…”
- AI Hallucination: คำตอบอาจผิด → ควรมี Disclaimer หรืออ้างอิง
- Tone & Persona: LLM อาจตอบไม่คงที่ → ต้องใช้ Prompt Control หรือ UX Layer
- Context Management: ควรให้ผู้ใช้เห็นหรือลบประวัติการสนทนาได้เอง
โดยเฉพาะในบริบทการเงิน การผสาน LLM กับ Sentiment Detection เป็นทางออกสำคัญ เพื่อควบคุมโทนและทำให้คำตอบเหมาะสมยิ่งขึ้น
ข้อเสนอแนะสำหรับนักออกแบบ Chatbot
- ฟังมากกว่าตอบ: ปรับภาษาตามอารมณ์ ไม่ตอบแบบเดียวซ้ำๆ
- Answer Variations: ลดความจำเจ
- ใช้ Emoji อย่างเหมาะสม: เพิ่มอารมณ์ในบริบทที่เป็นมิตร
- ปรับ Tone & Politeness: ใช้ภาษาสุภาพขึ้นเมื่อผู้ใช้ไม่พอใจ
- ยอมรับข้อจำกัด: เช่น “ข้อนี้อาจยังตอบไม่ได้แต่ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ได้ค่ะ”
- ทดสอบกับผู้ใช้จริง: เก็บ Feedback เรื่อง Emotional Experience ไม่ใช่แค่ Task Success
สรุปแล้วการออกแบบ UX สำหรับ Chatbot ต้องสมดุลระหว่าง ความถูกต้อง (Effectiveness) และ ความรู้สึกเชิงอารมณ์ (Humanness & Likability)
Chatbot ที่ดีไม่ใช่เพียง “ผู้ช่วยที่ตอบไว” แต่ควรเป็น ตัวแทนแบรนด์ที่เข้าใจและใส่ใจผู้ใช้ ดังนั้นการประยุกต์ใช้กรอบสากล เช่น ISO 9241-11, PARADISE, SASSI ร่วมกับ Sentiment-Aware Design และ LLM จะช่วยยกระดับ Chatbot ให้เป็น Touchpoint ที่สร้างคุณค่า และเสริมความไว้วางใจระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คำแสลงภาษาอังกฤษที่ชาวโซเชี่ยลใช้ในทุก ๆ วัน

ถ้าคุณเบื่อกับคำศัพท์ที่เรียนในหนังสือ ลองหันมาให้คำแสลงวันรุ่นภาษาอังกฤษบ้างก็ได้ อย่างการพิมพ์ตอบแชทกับเพื่อน หรือตั้งแคปชั่นสั้น ๆ ในโซเชียลมีเดียใหเดูน่าสนใจก็ได้นะ เพราะนอกจากจะได้ความรู้ใหม่แล้ว ก็ยังทำให้คุณเรียนภาษาอังกฤษสนุกขึ้นด้วย
อัปเดตคำแสลง ศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยทั้งในชีวิตจริง และโลกโซเชียล
พักสมองมาลองเรียนรู้คำแสลงภาษาอังกฤษที่วัยรุ่นอเมริกันชอบใช้กันดูบ้าง คำแสลง (Slang) เป็นคำศัพท์วัยรุ่นภาษาอังกฤษที่พูดกันแบบไม่เป็นทางการ เอาไว้พูดกับเพื่อน คนที่สนิท รวมถึงการตั้งแคปชั่นชิค ๆ ให้ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะ TikTok โซเชียลมีเดียสุดฮอตที่มักจะปล่อยศัพท์ Slang ใหม่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย มาดูกันว่ามีคำไหนน่าสนใจบ้าง
1. It’s giving. แปลว่า เยี่ยมไปเล้ยย (คำชม)
Someone gave me a like. That’s my giving.
2. BDE ย่อมาจาก Big Dick Energy แปลว่า มั่นหน้า มั่นโหนก
I feel that have BDE when I got accepted to be a main character in a play.
3. Beta แปลว่า ผู้ชายที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ประหม่า
He is trying to take his ex-girlfriend back after she cheated on him so he is beta.
4. Era แปลว่า ช่วงนี้กำลังอินกับ…
Tom has been eating ramen for 4 weeks. He is in ramen era.
5. Iykyk เป็นตัวย่อของ If you know you know. And now you know.
แปลว่า ถ้าคุณรู้ว่าคืออะไร ก็เป็นไปตามนั้นนั่นแหละ
6. Slay แปลว่า เจ๋ง, ยอดเยี่ยม, สุดยอดไปเลย มีความหมายเดียวกันกับ amazing, cool, great
Every eyes at the ball look at her amazing dress. She slayed it last night.
7. Fell off แปลว่า ตกกระป๋อง, ไม่โด่งดัง
A celeb disappeared from the media for the whole year. She fell off.
8. Gatekeep แปลว่า ไม่บอกหรอก
ใช้เวลาที่มีคนทักว่า เสื้อสวยจัง ซื้อที่ไหนหรอ? แต่คุณไม่อยากบอก ก็ตอบกลับไปว่า “Cool kid don’t gatekeep.”
9. Situationship แปลว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน
We are stuck in a situationship for 9 months since we never made a commitment to be in a relationship.
10. Bad take แปลว่า เข้าใจผิด
She thought my puppy was dead but he was still alive. What a bad take!
11. Fit แปลว่า เสื้อผ้า
I packed all of my winter fits for a trip to Alaska.
12. CEO (of Something) แปลว่า มีความถนัดเป็นพิเศษ
Jane is a daugher of a top ranked tennis player, so she must be a CEO of playing tennis.
13. Bones Day or No Bones Day แปลว่า วันที่สดใส เบิกบาน, วันที่มีแรงทำงาน หรือทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Noodle said it was a no bones day, so I’m not doing anything today.
14. BFFR ย่อจากคำว่า Be F*cking For Real แปลว่า ทำให้จริงจัง หรือชัดเจน
You think I want anything to do with your man? BFFR.
15. Private not secret แปลว่า เปิดเผยแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
ใช้กับคนที่ชอบโพสอะไรบางอย่างที่อยากอวดลงโซเชียลมีเดีย แต่เซ็นเซอร์ชื่อ หรือหน้าที่สามารถระบุตัวตน หรือสถานที่ไม่ให้ใครรู้
16. Cap แปลว่า โกหก
No cap, I was able to get tickets to Taylor Swift’s tour.
17. Sleep on แปลว่า เมิน, ไม่สนใจ
To sleep on something.
18.Main character แปลว่า เห็นแก่ตัว, เอาผลประโยชน์เข้าตัว, เอาแต่ใจ
She was acting like she was the main character.
19. Dop แปลว่า เพลงเพราะ, ทำนองไพเราะ, เพลงคุณภาพเยี่ยม
A bop is a term for a great song.
20. Spilling the tea แปลว่า นินทา, พูดลับหลัง, เม้าเรื่องชาวบ้าน
I shouldn’t spill the tea, but have you heard that Ben and your sister are dating?
21.Vibe check แปลว่า มีเซนส์ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร, คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
I have a vibe check that he is cheating on me.
22. Rent free แปลว่า ติดอยู่ในหัว, ตราตรึงใจ, ภาพจำ (ในแง่ดี)
Taylor Swift’s new records have been living rent free in my head all day.
23. Rizz แปลว่า มีเสน่ห์
Ken is rizz so that’s the reason Barbie is in love with him.
24. Lit แปลว่า สุดยอดไปเลย
Last night was lit.
25. Ghost แปลว่า ขาดการติดต่อแบบไม่บอกก่อนล่วงหน้า
Nick is ghosting once he found out that his girlfriend was dating other guy.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
10 อาหารต้านมะเร็ง ยิ่งทานยิ่งสตรอง!

ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นโรคมะเร็งใช่ไหมคะ แต่จะให้ซื้อยา หรืออาหารเสริมมาทานก็ไม่แน่ใจในเรื่องของประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง หรือแม้กระทั่งราคาที่แพงลิบลิ่ว Sanook! Health จึงขอแนะนำอาหารธรรมดาๆ หาได้ตามท้องตลาด แต่ต้านมะเร็งได้อยู่หมัดมาให้เลือกทานกันตามใจชอบเลยค่ะ
มะเร็ง คืออะไร ?
มะเร็ง คือ โรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าปกติ ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ฉะนั้น เซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้จึงสามารถแพร่กระจายและลุกลามไปทั่วร่างกาย มีผลทำให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ รวมถึงอวัยวะต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ก่อให้เกิดโรคและมีอาการต่างๆ เกิดขึ้นตามมา หากว่าเกิดมะเร็งในอวัยวะสำคัญๆ หรือเซลล์มะเร็งนั้นได้แพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะสำคัญ ทำให้อวัยวะนั้นๆ ล้มเหลว ทำงานได้ไม่ปกติ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ในที่สุด อวัยวะสำคัญที่อาจเป็นเป้าหมายของเซลล์มะเร็ง ได้แก่ ตับ ปอด สมอง กระดูก ไขกระดูก และไต
มะเร็ง เกิดขึ้นได้อย่างไร
สาเหตุของการเกิดมะเร็งนั้นยังไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเกิดขึ้นและมีการแพร่กระจายได้อย่างไร แต่ในปัจจุบันแพทย์ได้มีการวิจัยและพบปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งก็มีความเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดน่าจะมาจากปลายปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน น้อยมากที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยเดียว โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคมะเร็ง ได้แก่ ..
- มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เกิดขึ้นได้จากมั้งพันธุกรรมที่มีการถ่ายทอดและไม่ถ่ายทอด
- การสูบบุหรี่
- การดื่มเหล้า
- ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
- ขาดการกินผักและผลไม้
- กินอาหารจำพวกไขมัน หรือเนื้อแดงต่อเนื่องเป็นประจำ
- การสูดดมสารพิษบางอย่างเป็นประจำ
- ร่างกายได้รับโลหะหนัก จากการหายใจ อาหาร และ/หรือน้ำดื่ม เช่น สารปรอท
- ติดเชื้อไวรัสบางชนิด อาทิ ไวรัสเอชไอวี (HIV) ไวรัสเอชพีวี (HPV)
- ติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด อาทิ เชื้อเอชไพโลริในกระเพาะอาหาร
- ติดเชื้อพยาธิบางชนิด อาทิ พยาธิใบไม้ตับ
- มีการใช้ยาฮอร์เพศอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
- อยู่ในวัยสุงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น เซลล์ในผู้สูงอายุก็จะมีการเสื่อมและซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสาเหตุให้เซลล์กลายพันธ์ไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ง่าย
มะเร็ง ต่างจากเนื้องอกอย่างไร ?
บางคนอาจจะยังมีความสงสัยอยู่ว่าการเป็นโรคมะเร็งกับการเป็นเนื้องอกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร ในตอนนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างของทั้งสองอาการให้เห็นกันชัดๆ โรคมะเร็งนั้นจะต่างจากการเป็นเนื้องอกก็ตรงที่ ก้อนเนื้อ หรือแผลที่เป็นมะเร็งนั้นจะลุกลามเข้าสู่อวัยวะข้างเคียงได้เร็วกว่า เข้าต่อมน้ำเหลือ แพร่กระจายเข้าสู่หลอดเลือด เข้าสู่กระแสเลือด ตลอดจนหลอดน้ำเหลืองต่อเนื่องไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ทั่วร่างกาย โดยมากมักแพร่สู่ปอด ตับ สมอง กระดูก และไขกระดูก ฉะนั้น โรคมะเร็งจึอาจมองได้ว่าเป็นโรคที่เรื้อรัง รุนแรง มีการรักษาที่ซับซ้อนและต้องทำอย่างต่อเนื่อง
4. สาหร่ายทะเล เป็นแหล่งแร่ธาตุชั้นดี เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย มีให้เลือกทานหลายชนิด แต่ควรเลือกทานสลับชนิดกันไปเรื่อยๆ ไม่ควรทานสาหร่ายชนิดเดียวติดต่อกันนานเกินไป หรือใครอยากลองสาหร่ายพวงองุ่นก็ดีนะคะ เทรนด์กำลังมาเลยล่ะ (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ประโยชน์ของสาหร่ายพวงองุ่น ที่นี่)
5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ทั้งสตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เชอร์รี่ ทั้งอร่อยสดชื่น และมีประโยชน์มากมาย ทั้งวิตามินต่างๆ และกากใยอาหาร ทานสดจะได้คุณค่าสูงสุดค่ะ
6. ปลาน้ำเย็น ส่วนใหญ่จะเป็นปลาทะเล เช่น แซลมอน ที่มีโอเมก้า 3 และไขมันที่ดีต่อร่างกาย ปลาคอท ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน
7. เครื่องเทศต่างๆ เช่น เก๋ากี้ (หรือโกจิเบอร์รี่) พริกไทย กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ สามารถนำมาทำอาหาร หรือทานสดได้ (หากทานได้) ช่วยต้านมะเร็ง และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อีกด้วย
8. โยเกิร์ต ไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องการขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังช่วยต้านมะเร็ง เพราะมีสารอนุมูลอิสระ ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต และชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย หรือจะลองกรีกโยเกิร์ต ที่เข้มข้นกว่า สารอาหารมากกว่า และมีโปรไบโอติกส์ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ดีกว่าด้วย
9. เห็ดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดออรินจิ และอื่นๆ ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด มีเส้นใยอาหารที่ช่วยเรื่องการย่อย และการขับถ่ายให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิตามินต่างๆ ที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย
10. น้ำดื่มธรรมดาๆ นี่แหละ น้ำดื่มสะอาด ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น เป็นตัวกลางสำคัญที่จะทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการนำพาเอาของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย
มะเร็ง รักษาหายหรือไม่ ?
อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป สำหรับใครที่เคยได้ยินมาว่า โรคมะเร็ง นั้นเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หรือเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดยาก เพราะเท่าที่ได้มีการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวเรื่องโรคมะเร็งมา พบว่า โรคนี้เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โอกาสในการรักาาให้หายก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้ ..
- ระยะของโรค
- ชนิดของเซลล์มะเร็ง
- วิธีการรักษา สามารถผ่าตัดได้หรือไม่ หากผ่าตัดได้ จะสามารถนำก้อนมะเร็งออกได้ทั้งหมดหรือไม่
- มะเร็งชนิดที่พบในผู้ป่วย เป็นชนิดที่ดื้อต่อรังสีรักษา และ/หรือยาเคมีบำบัด และ/หรือยาที่ใช้รักษาตรงเป้าหรือไม่
- ช่วงอายุ
- สุขภาพของผู้ป่วย
ถ้าจะให้อธิบายกันอย่างเห็นภาพแล้วละก็ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งนั้นในภาพรวมอัตราการรอดจะอยู่ที่ประมาณ 5 ปี ภายหลังที่ทำการรักษา โดยแบ่งเป็นรายละเอียดดังนี้ ..
- โรคมะเร็งระยะ 0 โอกาสหายจะอยู่ที่ 90 – 95%
- โรคมะเร็งระยะที่ 1 โอกาสหายจะอยู่ที่ 70 – 90%
- โรคมะเร็งระยะที่ 2 โอกาสหายจะอยู่ที่ 70 – 80%
- โรคมะเร็งระยะที่ 3 โอกาสหายจะอยู่ที่ 20 – 60%
- โรคมะเร็งระยะที่ 4 โอกาสหายจะอยู่ที่ 0 – 15%
แพทย์จะรู้ได้อย่างไรว่าป่วยเป็นมะเร็ง
การที่จะรู้ได้ว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจรักษาเป็น โรคมะเร็ง หรือไม่นั้น แพทย์จะสามารถตรวจสอบได้จากประวัติอาการต่างๆ ของผู้ป่วย , การตรวจร่างกาย , การตรวจเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะที่มีอาการ ผ่านการตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ แต่หากต้องการรู้ผลที่แม่นยำ แพทย์ก็จะทำการเจาะ หรือดูดเซลล์จากก้อนเนื้อเยื่อเพื่อตรวจทางเซลล์วิทยา หรือตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยาโดยแพทย์เฉพาะทาง
เห็นไหมคะว่าอาหารแต่ละอย่างอยู่รอบตัวเราทั้งนั้น แค่ปลานึ่ง ผักต้ม น้ำพริก แกงจืด ยำเห็ด ตบด้วยน้ำผลไม้ปั่น ทุกอย่างรสชาติดี และมีประโยชน์ในราคาสบายกระเป๋า เพราะฉะนั้นเรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีด้วยกันดีกว่าค่ะ
เนื้องอก หรือโรคเนื้องอก อันได้แก่ การมีก้อนเนื้อที่ผิดปกติ จะแตกต่างจากก้อนเนื้อของมะเร็งตรงที่ก้อนเนื้อนั้นโตช้า ไม่ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะข้างเคียง ไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ไม่แพร่กระจายทางกระแสโลหิต ตลอดจนกระแสน้ำเหลือง ฉะนั้น การเป็นเนื้องอกทำการรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัด
คราวนี้เมื่อรู้ถึงที่มาที่ไปของโรคมะเร็งแล้ว เรามาดูกันซิว่าการรับประทานประเภทไหนบ้างที่จะช่วยให้เรานั้นห่างไกล หรือมีโอกาสเสี่ยงจะเป็นโรคมะเร็งได้น้อยลง …
1. ผัก
ผักหลายชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น
– ผักสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว ส้ม แดง ม่วง เช่น ผักโขม แครอท มะเขือเทศ
– กะหล่ำต่างๆ เช่น กะหล่ำปลี บล็อกโคลี กะหล่ำดอก
– หัวหอม และกระเทียม
2. ถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ที่นอกจากจะช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังดีต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยโปรตีนที่ดี และกากใยอาหารตามธรรมชาติ ขับถ่ายได้สะดวกอีกด้วย
3. ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี ต้านมะเร็งก็ดี วิตามินบีก็ได้ ลดความดันโลหิตก็เยี่ยม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/09/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 56,750.00 | 56,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,669.00 | 55,622.04 | 57,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,302.10 | 50,059.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,935.20 | 44,497.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,651.05 | 25,029.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,284.15 | 19,467.71 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,802.07 | 57,639.38 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/09/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.65 | 32.65 | 33.15 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.28 | 32.28 | 32.78 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.44 | 30.44 | 30.94 | 30.44 | 30.44 | – | 30.44 | 30.44 | 30.44 | 30.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.39 | 28.39 | – | – | – | – | – | – | – | 28.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.84 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.84 |
เบนซิน 95 | 40.94 | – | – | – | 49.81 | – | 41.44 | 41.09 | – | 40.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |