สาระน่ารู้ประจำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565

อุเทน โลหชิตพิทักษ์ ‘ มือต่อ ห่วงโซ่ ‘ธุรกิจพฤกษา’ โอกาสหลังโควิด

' อุเทน โลหชิตพิทักษ์ ' มือต่อ ห่วงโซ่ 'ธุรกิจพฤกษา' โอกาสหลังโควิด

โจทย์ใหญ่ ” อุเทน โลหชิตพิทักษ์ ” ผ่าตัด บิสิเนสโมเดล บมจ.พฤกษา เป้ารายได้ 3.3หมื่นล้าน ลุยผสานบริการสุขภาพ – เฮลแคร์ กลุ่ม รพ.วิมุต ฉีกตลาดสร้างจุดแข็งโครงการที่อยู่อาศัย จับตาตั้งกองทุน 3.5 พันล้าน เติมนวัตกรรม – ดิจิทัล ลงทุนธุรกิจใหม่ รับเทรนด์อนาคตหลังโควิด19

ในปี 2565 ประชากรไทยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี คิดเป็นสัดส่วน 14% และคาดว่าจะสูงขึ้นเป็น 20% ภายในปี 2573 ขณะตลาดด้านสุขภาพและความงาม มี ขนาดใหญ่ โดยประมาณ มูลค่า 4.36 แสนล้านบาท นอกจากจะเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของกลุ่มธุรกิจทางการแพทย์ของไทยแล้ว 

สำหรับในภาคอสังหาริมทรัพย์ วิกฤติการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งก่อเกิดไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ นำไปสู่ความต้องการด้านพื้นที่ และบริการเหนือชั้น ที่พ่วงมากับการให้ความสำคัญกับความปลอดภัย สุขอนามัย และสุขภาพความเป็นอยู่ระยะยาวประชิดติดหน้าประตูบ้าน  ได้ถูกวางเป็นจุดแข็งใหม่ของบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในปี 2565  ซึ่งแม้วันนี้ ดำเนินธุรกิจมานานถึง 29 ปี เป็นที่ยอมรับอย่างวงกว้าง และเคยยืนเหนือตลาด ในฐานะเบอร์ 1 ผู้พัฒนาโครงการจำนวนมากที่สุดในแต่ละปี แต่การแข่งขันที่ดุขึ้น และความท้าทายใหม่ๆ ยังเป็นโจทย์ที่ บมจ.พฤกษา ต้องเร่งเกมให้ทัน 

ผ่ากลยุทธ์คีย์แมนใหม่ ‘อุเทน โลหชิตพิทักษ์’

บมจ.พฤกษา กลายเป็นที่จับตามองถึงก้าวใหม่อีกครั้ง หลังจากจัดทัพเสริมทีม ดึงนายอุเทน โลหชิตพิทักษ์  ซึ่งเป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์โชกโชน ในอสังหาฯและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ นั่งแท่นตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมกับนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ 

โดยการปรากฎตัวครั้งแรกของนายอุเทน หลังจาก ถูกแต่งตั้ง 4 ม.ค.2565 ประกาศปรับกลยุทธ์ใหม่ ของ บมจ.พฤกษา สู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการปรับพอร์ตโฟลิโอ มุ่งลดสินค้าคงค้าง และเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์บ้านจากเซ็กเม้นต์กลาง-ล่าง ไปสู่พรีเมียม (มากกว่า 7 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการดำเนินต่อเนื่องจาก 2 ปีก่อนหน้า ปัจจุบันพฤกษามีสินค้าคงเหลือราว 7.5 พันล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่สูงถึง 2.33 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ระบุ เพื่อต้องการเปลี่ยนเป็นสภาพคล่อง และ ลดต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะดอกเบี้ย เพื่อสร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง เสริมสภาพคล่องจากที่มีปัจจุบัน 1.2 หมื่นล้านบาท

อีกทั้งนายอุเทน ยังระบุว่า จะเสริมแกร่งธุรกิจหลัก ผ่านการจัดสรรที่ดินในมือ 157 ผืน (มูลค่า 1.54 หมื่นล้านบาท) บริหารโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนา 145 โครงการ และมียูนิตพร้อมอยู่ที่พร้อมแปลงเป็นรายได้ 2,300 ยูนิต ประเมินเป็นจำนวนที่มากพอ จะผลักดันให้เกิดการเติบโตต่อเนื่องนานหลายปี 

พฤกษา X รพ.วิมุต ธุรกิจใหม่ ผสานนวัตกรรม

ความร่วมมือทั้งกับธุรกิจอสังหาฯและโรงพยาบาลวิมุตในเครือ เป็นอีกเป้าหมายใหญ่ของฉากใหม่พฤกษา โดยมีโครงการต้นแบบ ‘ พฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน ‘ มูลค่า 7.86 พันล้านบาท ที่จะเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคมนี้ ประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย 1,577 ยูนิต และ ศูนย์สุขภาพขนาด 50 เตียง ครอบคลุมบริการรักษาตัวระยะสั้น ,รักษารายวัน , ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Home Health Care) ซึ่งนายอุเทนระบุว่า เป็นจะโมเดลธุรกิจใหม่ ที่จะใช้ขยายรายได้ในอนาคต

อีกหนึ่งกลยุทธ์ นายอุเทนยังระบุว่า พฤกษาจะเพิ่มการลงทุนในธุรกิจร่วมลงทุน ( Corporate Venture Fund ) วางเป้า 3.5 พันล้านบาท เป็นการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ นอกเหนืออสังหาฯ ตามเทรนด์โลกอนาคต ทั้งรูปแบบร่วมพันธมิตร และการลงทุนในสตาร์อัพ เช่น สิ่งประดิษฐ์ , แพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ ,อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ดูแลสุขภาพ เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะเป็นการต่อห่วงโซ่ธุรกิจของพฤกษา โฮลดิ้ง ให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่ออนาคต

' อุเทน โลหชิตพิทักษ์ ' มือต่อ ห่วงโซ่ 'ธุรกิจพฤกษา' โอกาสหลังโควิด

“ภาพใหญ่ เราจะปรับพื้นที่บ้านรองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ คอนโดฯ เดอะรีเซริฟ บริการหรู5ดาว เพราะมองการซื้อบ้านในอนาคตไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย ส่วนโอกาสใหม่ จะเน้นการให้บริการเฮลแคร์ และ New Corporate Venture การนำอิโนเวชั่นเข้ามาทั้ง 2 ธุรกิจ ด้วยวิธีคิดรูปแบบใหม่ คาดทั้งหมดจะเสริมความแข็งแกร่ง และสร้างรายได้ประจำในระยะยาว”

โจทย์ยากโลกธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงโจทย์ยากในการทำธุรกิจ นายอุเทน ระบุ 3 ข้อท้าทาย คือ 1.การปรับองค์กรให้มีความพร้อมจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนชุดความคิดให้เท่าทันตลาด การดิสรัปชั่นของโลกธุรกิจ เพราะโควิดทำให้เกิดจุดเปลี่ยนมากมาย 2.การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร หลังจากกลยุทธ์ด้านเฮลแคร์จะเป็นจุดแข็งหลักของกลุ่มบริษัท เป็นส่วนหนึ่งของการขายบ้าน ฉะนั้น หากบุคลากรไม่พร้อมและเพียงพอจะเป็นอุปสรรค และ 3. การดำเนินธุรกิจภายใต้ปัจจัยเสี่ยงควบคุมไม่ได้ เช่น การขึ้นราคาค่าแรง ,ค่าวัสดุก่อสร้าง ,อัตราดอกเบี้ย และยังรวมไปถึงสงครามระหว่างอเมริกา รัสเซีย และยูเครนอีกด้วย ซึ่งผลกระทบอาจลามมาถึงประเทศไทย 

” พฤกษาไม่เหมือนใครเลยในตลาด เราจะเปลี่ยนการทำธุรกิจอสังหาฯ ไปสู่บทบาทการสร้างที่อยู่พ่วงการใส่ใจสุขภาพ การจัดองค์กรในฐานะกรุ๊ปซีอีโอ เน้น2 ส่วนไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเสริมให้พฤกษามีจุดแข็งมากขึ้น โดยระยะ 2 เดือนที่ผ่านมา เข้ามารับหน้าที่ ศึกษาหลายองค์ประกอบ เพื่อเพิ่มโอกาสใหม่ๆ การขยายไปโลจิสติกส์ที่เคยทำมา ก็มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะเป็นอีกห่วงโซ่ของอสังหาฯ เช่นเดียวกับการลงทุนในต่างประเทศ”


ทั้งนี้ ปี 2564 บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไรสุทธิ  2,352.63 ล้านบาท ลดลง 15.1% จากรายได้ลดลง และมีการลงทุนเพิ่มในกิจการโรงพยาบาลวิมุติ 406 ล้านบาท นอกจากนี้ พบ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมบอร์ด อนุมัติการตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ของโรงพยาบาลวิมุต ชื่อ Vimut Investment Pte. Ltd. (“VI”) ในประเทศสิงคโปร์ คาดเพื่อรองรับการลงทุนและการจัดการทรัพย์สินอื่นๆ ในต่างประเทศ 

สำหรับปี 2565 กลุ่มบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่า 1.63 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย อยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท (เติบโต 23%) และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3.3 หมื่นล้านบาท (เติบโต 18%)

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE โชว์ผลงานปี 64 ทุบสถิติ ทำ All Time High กวาดรายได้ 1,167 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโต 60.86% ตอกย้ำผู้พัฒนาอสังหาฯ แนวราบ

บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE โชว์ผลงานปี 64 ทุบสถิติ ทำ All Time High กวาดรายได้ 1,167 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโต 60.86% ตอกย้ำผู้พัฒนาอสังหาฯ แนวราบ

‘บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง’ หรือ PEACE โชว์ผลงานปี 64 ทุบสถิติ ทำ All Time High กวาดรายได้ 1,167 ล้านบาท เติบโต 34.62% และกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท เติบโต 60.86% พร้อมประกาศข่าวดี บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลงวดปี 64 ในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาทต่อหุ้น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น หลังเข้าจดทะเบียนใน SET พร้อมประเมินแนวโน้มตลาดอสังหาฯ เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ ย้ำชัดเป้าหมายเติบโต 2 เท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า

นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า บริษัทฯ ทำผลการดำเนินงานปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) โดยมีรายได้รวม 1,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.62% และมีกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งยัง รักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ 38.96% นับเป็นการทำผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการทยอยรับรู้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ ที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ ทั้ง 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,700 ล้านบาท เช่น โครงการ Cher งามวงศ์วาน – ประชาชื่น, โครงการ Cher สุขสวัสดิ์ – พุทธบูชา, โครงการ Cordiz อุดมสุข และโครงการ The Glamor เป็นต้น

ทั้งนี้ โครงการของ PEACE ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ตรงกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาด จึงตั้งราคาขายของโครงการ ให้สอดคล้องความต้องการซื้อและกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี โดย ณ สิ้นปี 2564 มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 779 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในปีนี้

“ผลการดำเนินงานปี 64 นับเป็นการทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา ทั้งรายได้จากการขายและกำไรสุทธิ ซึ่งมาจากการแผนการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 7 โครงการ ภายใต้แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก ทั้ง The Glamor, Cordiz และ Cher ที่เป็นฮีโร่โปรดักส์ ทำให้สะท้อนมาเป็นผลการดำเนินงาน ที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง” นายประสพศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ หลังจาก PEACE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเพื่อตอกย้ำเป็นหุ้นปันผล (Dividend Stock) ที่ดีเพื่อตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 เป็นหุ้นปันผลในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท* โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 15 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม 2565

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PEACE กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองบ้าน-คอนโดเหลือ 0.01% รวมถึงมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) ผ่อนคลายมาตรการ LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็น 100% จนถึงสิ้นปี 2565 ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์คึกคักมากขึ้นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัวเร็วมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดีของ PEACE ถือเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งฐานลูกค้าเป็นกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือ Real Demand อีกทั้งยังมีกำลังซื้อสูงและมองหาโอกาสซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ หลังพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ซึ่งบริษัทฯ ได้ปรับรูปแบบโครงการให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุค New Normal ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยรองรับการใช้ชีวิตและมีพื้นที่สีเขียวในการผ่อนคลาย มีพื้นที่ทำกิจกรรมภายในครอบครัว ตอบสนองความต้องการคนในครอบครัวได้หลากหลายรูปแบบทั้งการ Work from Home และการเรียนผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าและเติบโตได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ขายภายในปี 2567 เพิ่มเป็น 2 เท่า และเติบโตเป็น 3 เท่า ภายในปี 2569 โดยบริษัทฯ มีความพร้อมด้านบุคลากรและฐานเงินทุนที่แข็งแรง ช่วยเพิ่มโอกาสพัฒนาโครงการสอดรับกับเรียลดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,045 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดการขายตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ประกอบด้วย 1. โครงการ Cherene กรุงเทพกรีฑา – ร่มเกล้า เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 648 ล้านบาท 2. โครงการ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ – เจษฎาบดินทร์ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,845 ล้านบาท และ 3. โครงการ Cher ราชพฤกษ์ – พระราม 5 เป็นทาวน์โฮม 2 – 3 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 552 ล้านบาท ปัจจุบัน PEACE อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อจัดซื้อที่ดินใหม่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยวางงบไว้ราว 1,200-1,500 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมในการพัฒนาโครงการใหม่ และสามารถรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต

หมายเหตุ: (*) บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลในรูปหุ้นปันผลและเงินสด รวมเป็นปันผลจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 168,000,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก ryt9.com


บาทเปิด 32.59 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มผันผวน

บาทเปิด 32.59 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มผันผวน

เงินบาทเปิดตลาด 32.59 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มผันผวน มองกรอบเคลื่อนไหววันนี้ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์

เมื่อวันที่ 25 กพ. 65 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.59 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.51 บาท/ดอลลาร์

เช้านี้บาทอ่อนค่าจากจากเย็นวาน อย่างไรก็ดี เมื่อคืนนี้ ตลาดผันผวนค่อนข้างมาก และบาทขึ้นไปค่อนข้างสูง ปัจจัยจากสถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครน และการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกต่อรัสเซีย ด้านสกุลเงินภูมิภาควันนี้ ค่อนข้างผสมทั้งอ่อนค่าและแข็งค่า

“บาทอ่อนค่าท้ายตลาด แต่เมื่อคืนบาทขึ้นไปสูง ตลาดผันผวน จากปัจจัยเรื่องสถานการณ์ยูเครน แต่พอเปิดตลาดในประเทศบาทก็กลับลงมา ” นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.40 – 32.65 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


บ้าไปแล้ว! “ซเวเรฟ” ระเบิดอารมณ์เอาไม้เทนนิสฟาดเก้าอี้ผู้ตัดสินรัวๆ

บ้าไปแล้ว! "ซเวเรฟ" ระเบิดอารมณ์เอาไม้เทนนิสฟาดเก้าอี้ผู้ตัดสินรัวๆ (คลิป)

อารมณ์หงุดหงิดจากความพ่ายแพ้ในกีฬาไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ต้องแสดงออกมาอย่างเหมาะสมเพื่อไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น แต่ถ้าหากควบคุมตัวเองไม่ได้อย่าง อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ นักเทนนิสชาวเยอรมันในการแข่งที่เม็กซิโก โอเพ่น ก็ย่อมส่งผลเสียตามมา

โดยเรื่องเกิดขึ้นหลังจบเทนนิสแมตช์ เม็กซิโก โอเพ่น 2022 เมื่อวานนี้ (23 ก.พ.) ในประเภทชายคู่รอบแรกระหว่าง อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ จับคู่กับ มาร์เซโล่ เมโล พบกับ ลอยด์ กลาสพูล จับคู่กับ ฮาร์รี เฮลิโอวารา โดยเกมจบด้วยคู่ของ กลาสพูล กับ เฮลิโอวารา ชนะไป 3-2 เกม (6-2, 4-6, 10-6)

ซึ่งหลังจากที่นักกีฬาสองฝั่งเดินจับมือกันหลังจบเกม ซเวเรฟ ได้เดินไปที่เก้าอี้ผู้ตัดสินก่อนใช้ไม้แร็กเกตฟาดอย่างแรงไป 3 ทีและตะโกนว่า “คุณนี่มันทำลายทั้งแมตช์เลย แมตช์นี้ป่วนไปหมดเพราะคุณ” แล้วก็เดินกลับมาที่ม้านั่งของตน

อย่างไรก็ดี ในช่วงคะแนนที่เขาโดนนำ 6-8 ในเกมไทเบรค ซเวเรฟ ได้ประท้วงคำตัดสินโดยตะโกนใส่ผู้ตัดสินว่า “ดูซิว่าบอลกระดอนตรงไหน? คุณกะเอาเหรอ? ไปตรวจสายตาซะ คุณมันงี่เง่าเหลือเกิน”

เมื่อแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ฝ่ายจัดการแข่งขันจึงได้สอบสวนเรื่องนี้ก่อนออกแถลงการณ์ถอดชื่อของ ซเวเรฟ ออกจากรายการ เม็กซิโก โอเพ่น 2022 ทั้งหมด แม้ว่าเขาจะยังมีโปรแกรมในประเภทชายเดี่ยวเหลืออยู่ก็ตาม ส่วนทาง สมาคมนักกีฬาเทนนิส หรือ ATP ไม่ได้แสดงความเห็นกับเรื่องนี้ รวมถึงค่าปรับและบทลงโทษต่างๆ แต่ว่าในเว็บไซต์ของ ATP ชื่อของ ซเวเรฟ ได้ถูกถอดออกจากรายการแล้ว

และเมื่อใจเย็นลง ซเวเรฟ จึงได้ออกมาโพสต์ข้อความขอโทษผ่านอินสตาแกรมของตนว่า “เป็นการยากที่จะบรรยายว่าผมเสียใจกับพฤติกรรมของตัวเองในระหว่างและหลังการแข่งขันเมื่อวานนี้มากแค่ไหน”

“ผมได้ขอโทษผู้ตัดสินเป็นการส่วนตัวจากอารมณ์ของผมที่มีต่อเขานั้นผิดและไม่เป็นที่ยอมรับ และผมก็ผิดหวังในตัวเองเช่นกัน มันไม่ควรเกิดขึ้นและไม่มีข้อแก้ตัว ผมอยากจะขอโทษแฟนๆ การแข่งขัน และกีฬาที่ผมรัก”

“อย่างที่คุณทราบ ผมฝากทุกอย่างไว้ในสนาม เมื่อวานปล่อยตัวเองไปเยอะ ผมจะใช้เวลาหลายวันนี้เพื่อไตร่ตรองเกี่ยวกับการกระทำของผมเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ผมขอโทษที่ทำให้คุณผิดหวัง”

ย้อนกลับไปในรายการ ยูเอส โอเพ่น 2020 ก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ โนวัค ยอโควิช นักเทนนิสชาวเซอร์เบียได้ตีลูกเทนนิสอัดใส่ผู้กับกับเส้นหลังไม่พอใจคำตัดสิน จนถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


6 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด

6 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด

การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน ส่งผลให้หลายคนดำรงชีวิตด้วยพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งการบริโภคอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด และไขมันสูง ขาดการทานผักผลไม้ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เคลื่อนไหวร่างกายน้อย และการใช้ชีวิตท่ามกลางมลภาวะ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนนำไปสู่ โรค NCDs

โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) คืออะไร

“โรค NCDs คือโรคที่ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ชีวิตผิด หรือว่าไม่ระวัง ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเราเพื่อต่อสู้โรคนี้ได้” หมอแอมป์ – นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ได้กล่าวถึงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-communicable diseases) กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-communicable diseases) ว่าเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ มีการดำเนินของโรคไปอย่างช้าๆ สะสมเป็นเวลานาน เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม พฤติกรรม สิ่งแวดล้อม และการดำเนินชีวิต

โรคกลุ่มนี้มี 6 โรคหลักๆ ได้แก่  โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ทำให้กลายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เฉลี่ยสูงถึง 44 คนต่อชั่วโมง โดยโรค NCDs ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย คือ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

6 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด

  1. โรคเบาหวาน (Diabetes)

จากรายงานของสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ หรือ International Diabetes Federation (IDF) ในปี 2564 พบว่าทั่วโลกมีจำนวนผู้ป่วยเบาหวานสูงถึง 537 ล้านคน และคาดว่าในอีก 24 ปีข้างหน้า ตัวเลขจะเพิ่มสูงถึง 784 ล้านคน เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่พบผู้ป่วยเบาหวานมากกว่า 4.8 ล้านคน คิดภาพง่ายๆ ว่า ในทุก 10 คน จะมีคนป่วยเป็นโรคเบาหวาน 1 คน และที่น่าตกใจคือ 40% ของกลุ่มผู้ป่วยนั้นไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน

โดยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด สูงถึง 90% เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่นๆ อาทิ จอประสาทตาถูกทำลาย(Diabetic Retinopathy), โรคไตเรื้อรัง(Chronic kidney disease), หัวใจล้มเหลว(Heart failure), หลอดเลือดสมองอุดตัน(Stroke), และการเกิดแผลเบาหวานเรื้อรัง(Diabetic ulcer) โดยเป็นผลจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่ทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย

มีการศึกษาวิจัยที่สำคัญชื่อว่า Diabetes Prevention Program (DPP) เป็นการวิจัยแบบ Randomized Controlled Trial เปรียบเทียบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Change) และการใช้ยา Metformin ต่อการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวาน ผลวิจัยพบว่าทั้ง 2 วิธีสามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Change) มีประสิทธิภาพสูงกว่าการทานยาเกือบ 2 เท่า

ในอดีตเบาหวานชนิดที่ 2 เคยถูกเข้าใจว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่มีวันรักษาหาย แต่ในปัจจุบันได้นิยามการหายของเบาหวานชนิดที่ 2 ไว้ว่า โรคเบาหวานที่อยู่ในภาวะสงบ ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือด ขณะอดอาหาร น้อยกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ น้ำตาลสะสม น้อยกว่า 6.5%) โดยไม่ต้องพึ่งยาหรือการรักษาใดๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยเป็นผลจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย จนมวลไขมันในร่างกายลดลงอยู่ในระดับปกติ ส่งผลให้เซลล์ตับกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย และเซลล์ตับอ่อนสามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่รักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดียิ่งขึ้น และยังรวมถึงเซลล์ต่างๆ ในร่างกายกลับมาตอบสนองต่ออินซูลินได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

  1. โรคอ้วน (Obesity)

ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน รายงานปี 2559 ขององค์การอนามัยโลก ระบุว่าผู้ใหญ่ 39% หรือมากกว่า 1.9 พันล้านคน มีปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วน เช่นเดียวกับประเทศไทย ข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่ ในปี 2564 อยู่ที่ 47.2% เพิ่มขึ้นจาก 34.7% ในปี 2559 ซึ่งกรุงเทพมหานคร มีความชุกภาวะอ้วนลงพุงมากที่สุด (56.1%) รองลงมาคือภาคกลาง (47.3%), ภาคใต้ (42.7%), ภาคเหนือ (38.7%), และภาคอีสาน (28.1%)

และที่น่ากังวลคือเด็กก็พบปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ ในปี 2564 ความชุกของโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในเด็ก อายุน้อยกว่า 5 ปี อยู่ที่ 9.07 %  สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 5.7%

โดยปกติแล้วการวินิจฉัยโรคอ้วนสามารถใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index; BMI) คำนวณได้จากการนำน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง ซึ่งถ้าผลที่ได้ มีค่าอยู่ในช่วง 25 – 29.9 กิโลกรัม/เมตร2 จะถือว่ามีน้ำหนักตัวเกิน และถ้าค่าสูงกว่า 30 กิโลกรัม/เมตร2 จะถือว่ามีภาวะอ้วน

แต่การใช้ดัชนีมวลกายเพียงอย่างเดียว อาจบอกผลคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากองค์ประกอบหลักของร่างกายนั้น ประกอบไปด้วย มวลน้ำ มวลกระดูก มวลไขมัน และมวลกล้ามเนื้อ  ทำให้บางคนแม้มีน้ำหนักตัวอยู่ในช่วงปกติ (BMI 18.5 – 24.9 กิโลกรัม/เมตร2)  แต่เมื่อตรวจดูองค์ประกอบร่างกาย ด้วยวิธี Dual-energy X-ray absorptiometry (DXA or DEXA) พบว่าร่างกายมีปริมาณไขมันสะสมอยู่มากเกินไป หากผู้ชายมีมวลไขมันเกิน 28% และผู้หญิงเกิน 32% จะถูกจัดว่ามีภาวะอ้วน

ซึ่งมวลไขมันที่มากเกินไปมักสะสมอยู่บริเวณสะโพก ต้นขา ต้นแขน และที่สำคัญคือบริเวณช่องท้อง (Visceral fat) ทำให้เส้นรอบเอวของเราขนาดใหญ่ขึ้น หรือที่เราเรียกว่าอ้วนลงพุง ซึ่งไขมันในช่องท้องนี้เองเป็นส่วนที่อันตรายที่สุดเพราะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases; NCDs) อีกมากมาย

  1. โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

โรคความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็น “ฆาตกรเงียบ” เพราะเป็นโรคที่ไม่มีอาการแสดง จำเป็นต้องทำการตรวจวัดความดันโลหิต หากปล่อยไว้ไม่ได้รักษาจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

โรคนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ การมีความเครียดสะสม การนอนหลับไม่เพียงพอ ภาวะโรคอ้วนและการรับประทานอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูง

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม ต่อวัน แต่ผลสำรวจล่าสุดปี 2564 โดยสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและเครือข่ายลดบริโภคเค็ม พบว่า คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงถึง 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือ 1.8 ช้อนชา หรือน้ำปลาประมาณ 10 ช้อนชา เป็นผลมาจากการรับประทานอาหารนอกบ้าน อาหารแปรรูป และอาหารสำเร็จรูป ทำให้การควบคุมปริมาณโซเดียมเป็นไปได้ยาก หรือลักษณะของอาหารท้องถิ่นบางอย่างที่มีความเค็มมาก เช่น ส้มตำปูปลาร้าหนึ่งจาน มีโซเดียม 1,278 มิลลิกรัม ทำให้คนไทยบริโภคโซเดียมเกินคำแนะนำไปเกือบ 2 เท่า

  1. โรคไขมันในเลือดผิดปกติ (Dyslipidemia)

มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง เสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อีกทั้งยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของความพิการ ในแต่ละปีมีผู้ป่วยจากโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ 15 ล้านคน ในจำนวนนี้ มีผู้เสียชีวิตมากถึง 5 ล้านคนและอีก 5 ล้านคนกลายเป็นคนพิการอย่างถาวร

การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง จำพวกของทอด ของมัน หนังสัตว์ ชีส เนื้อสัตว์แปรรูป อย่างไส้กรอก กุนเชียง เบคอน หมูยอ ซาลามี่ เป็นต้น ส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น รวมถึงการรับประทานข้าวแป้งที่ผ่านการขัดสี น้ำตาลทรายขาว (refined sugar) หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease; CVD) สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association) แนะนำให้บริโภคไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 11-12 กรัมต่อวัน (5-6% ของความต้องการพลังงานเฉลี่ย 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน) และทดแทนด้วยการรับประทานไขมันไม่อิ่มตัว จำพวกน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง เป็นต้น

  1. โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (Chronic respiratory disease)

โรคถุงลมโป่งพอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของโลก มีผู้คนเสียชีวิตจากโรคนี้มากกว่า 3 ล้านคน มีอาการไอ หายใจลำบาก มีเสมหะ ส่งผลให้เหนื่อยมากขึ้น ซึ่งสาเหตุของโรคนี้เกิดจากการสูบบุหรี่หรือสัมผัสควันบุหรี่มือสอง มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นละออง หรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ หากป้องกันหรือลดการสัมผัสกับสารก่อโรคต่างๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้

ซึ่งปัญหามลภาวะทางอากาศในปัจจุบันที่หลีกเลี่ยงได้ยาก คือ ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมของเราถึง 20 เท่า จนสามารถทะลุถุงลมจนเข้าไปในกระแสเลือดได้ เข้าไปรบกวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเรา ก่อก็ให้เกิดผลเสียมากมายมหาศาลกว่าที่เราคาดเดาได้

ซึ่งฝุ่นละอองเล็กจิ๋วนี้ล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ การปล่อยฝุ่นควันของโรงงานอุตสาหกรรม ควันพิษจากรถยนต์และเครื่องจักรกล การเผาไร่นา การเผาขยะ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ก่อเกิดมลภาวะทางอากาศทั้งสิ้น

สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือ เริ่มจากการป้องกันไม่ให้มลภาวะเข้าสู้ตัวเรา  ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากป้องกัน ลดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ติดตั้งเครื่องกรองอากาศ เป็นต้น

  1. กลุ่มโรคมะเร็ง (Cancer)

รายงานปี 2020 จาก A Cancer Journal for Clinicians ผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วโลกมีจำนวน 19.3 ล้านคน และผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เป็นจำนวนเกือบ 10 ล้านคน และคาดว่าในปี 2040 จำนวนผู้ป่วยมะเร็งจะเพิ่มขึ้นถึง 28.4 ล้านคน หรือมากขึ้นถึง 47%

ประมาณ 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ โรคอ้วนหรือการมีมวลไขมันมากเกินไป การบริโภคผักและผลไม้น้อย ขาดการออกกำลังกาย การนอนหลับไม่มีคุณภาพ การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงเดียวกับการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) แม้ว่าโรคมะเร็งจะมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ทั้งจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สารเคมี หรือการติดเชื้อต่างๆ แต่การดูแลสุขภาพ ปรับพฤติกรรม ก็ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้

ทั้งหมดในกลุ่มโรค NCDs เป็นกลุ่มโรคที่เราทำตัวให้ดี สามารถทำให้ป่วยช้าได้หรือไม่ป่วยได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ก่อนที่เราจะเดินหน้าไปสู่การป่วยหรือการทานยา คือ ตอนนี้ยังไม่ป่วย เราควรดูแลร่างกายเราให้ดีที่สุด” เป็นคำพูดที่คุณหมอแอมป์ฝากเอาไว้ให้กับทุกคน อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพของตัวเอง เพื่อร่วมสร้างสังคมไทยสุขภาพดี

นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทำให้เห็นผลกระทบของกลุ่มโรค NCDs เด่นชัดมากขึ้น เมื่อองค์การอนามัยโลก หรือ WHO รายงานว่า ผู้ที่มีโรคประจำตัวมีโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโรค COVID-19 มากกว่าผู้มีสุขภาพแข็งแรง ดังนี้

  • โรคความดันโลหิตสูง เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงมากกว่าปกติ 2.3 เท่า
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงมากกว่าปกติ 2.9 เท่า
  • โรคเบาหวาน เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงมากกว่าปกติ 3 เท่า
  • โรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงมากกว่าปกติ 3.9 เท่า
  • โรคอ้วน เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงมากกว่าปกติ 7 เท่า

วิธีลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

ทุกแนวทางมีความสำคัญ ต้องทำควบคู่กันไป ดังนี้

  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ลดของหวาน มัน เค็ม และอย่าลืมรับประทานผักครึ่งหนึ่งของจาน
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์
  3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
  4. หลีกเลี่ยงมลภาวะต่างๆ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เมื่ออยู่นอกอาคาร
  5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยควรนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม และนอนให้ได้ 8-9 ชั่วโมงทุกวัน
  6. ผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด ฝึกฝนการนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือทำกิจกรรมให้สมองสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน สมองได้พักผ่อน

คนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่เห็นว่าสมบัติที่สำคัญที่สุด คือ สุขภาพ ไม่มีอะไรที่มีค่ามากที่สุด เท่าสุขภาพที่ดี ภาษาอังกฤษคือ Health Brings Wealth สุขภาพที่ดี นำมาซึ่งทุกอย่างแล้วแต่เราอยากได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วิธีใช้คำบุพบท “With”

With / ด้วย,กับ


ใช้เพื่อบ่งบอกถึงการอยู่ด้วยกันหรือการเกี่ยวข้องกัน:


I ordered a sandwich with a drink.
>> ฉันสั่งแซนวิชพร้อมด้วยเครื่องดื่ม


He was with his friend when he saw me.
>> เขาอยู่กับเพื่อนของเขาเมื่อตอนที่เขามองเห็นฉัน

ใช้เพื่อบ่งบอกถึง “มี”:


I met a guy with green eyes.
>> ฉันเจอผู้ชายที่มีดวงตาสีเขียว


People with a lot of money are not always happy.
>> ผู้คนที่มีเงินมากมายนั้นไม่ได้มีความสุขเสมอไป

ใช้เพื่อบ่งบอกถึง “การใช้”:


I wrote a letter with the pen you gave me.
>> ฉันเขียนจดหมายด้วยปากการที่เธอได้ให้ฉันมา


This is the soup that I made with rice and barley.
>> นี่คือน้ำซุปที่ฉันทำด้วยข้าวและข้าวบาร์เลย์

ใช้เพื่อบ่งบอกถึงความรู้สึก:


I am emailing you with my sincere apology.
>> ฉันกำลังส่งอีเมลถึงคุณด้วยความเสียใจอย่างจริงใจของฉัน

ใช้เพื่อบ่งบอกถึงการเห็นด้วย หรือ ความเข้าใจ:


Are you with me?
>> คุณอยู่กับฉันใช่ไหม


Yes, I am completely with you.
>> ใช่ ฉันอยู่กับเธอโดยสมบูรณ์

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


สายงานไอทีเปย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นอันดับ 1 SMEs ปรับสู้บริษัทใหญ่

สายงานไอทีเปย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นอันดับ 1 SMEs ปรับสู้บริษัทใหญ่

จ๊อบส์ดีบี (JobsDB) เผยรายงานอัตราเงินเดือนของพนักงานไทยประจำปี 2565 (Salary Report 2022) พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และฮ่องกง ประเทศไทยมีการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเดือนค่าเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ที่ 43.1%

นางสาวดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด  แพลตฟอร์มหางานชั้นนำของเอเชีย เผยรายงานอัตราเงินเดือนของพนักงานไทยประจำปี 2565 (Salary Report 2022) พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และฮ่องกง ประเทศไทยมีการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเดือนค่าเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ที่ 43.1%

สายงานไอทีเปย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นอันดับ 1 SMEs ปรับสู้บริษัทใหญ่

“จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่าน ๆ มา ส่งผลให้ธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งธุรกิจ SMEs และธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วประเทศปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน หลายธุรกิจประยุกต์นำอุปกรณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ เข้ามาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบดำเนินการภายในองค์กรเพื่อรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค ส่งผลให้อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์/ไอทีภายในประเทศเกิดการขยายตัว และความต้องการบุคลากรจากผู้ประกอบการในธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

โดยจากผลสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์/ไอที (Computer/IT) มีการประกาศรับสมัครงานสูงสุดมากกว่า 12,200 ตำแหน่ง เมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มของ จ๊อบส์ดีบี ประเทศไทยในปีที่ผ่านมา

สำหรับสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ซึ่งวัดจากจำนวนประกาศรับสมัครงานรวมทุกอุตสาหกรรมมากถึง 26,300 ตำแหน่ง ในปี 2564 ยังคงเป็นสายงานด้านการขายและการตลาด (Sales/Marketing) เช่นเดียวกับปี 2563

“สืบเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ผู้บริโภคเริ่มมีการเปรียบเทียบสินค้ามากขึ้นทั้งในแง่ของคุณภาพ ราคา และประโยชน์ใช้สอยเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์ อีกทั้ง เมื่อมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ e-Commerce และโลจิสติกส์ รวมถึงระบบจัดส่งมากขึ้น ผู้ประกอบการเล็งเห็นถึงความสำคัญของการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ สร้าง Brand Loyalty และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ” นางสาวดวงพร กล่าวเสริม

หากกล่าวถึงภาพรวมการปรับเพิ่มขึ้นของค่าตอบแทนในประเทศไทย โดยแบ่งตามสายงาน พบว่า มีหลายสายงานได้รับการปรับเพิ่มอัตราเงินเดือน อาทิ สายงานไอที ที่ได้รับการปรับเงินเดือนสูงที่สุดถึง 41%, งานขาย งานบริการลูกค้า และงานการตลาด รวมถึงงานการศึกษา และการฝึกอบรม เงินเดือนเพิ่มขึ้น 40% สายงานสุขภาพ และความงาม เงินเดือนเพิ่มขึ้น 39% เป็นต้น

สายงานไอทีเปย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นอันดับ 1 SMEs ปรับสู้บริษัทใหญ่

นอกจากนี้ จากผลสำรวจอัตราเงินเดือน หากเปรียบเทียบทุกอุตสาหกรรมและแบ่งตามระดับงาน พบว่าในแต่ละระดับงาน มีอุตสาหกรรมที่เสนออัตราเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับ ดังนี้

•             ระดับเจ้าหน้าที่ (Entry Level) 

o             อันดับที่ 1 : อุตสาหกรรมไอที, การธนาคารและการเงิน, โทรคมนาคม เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 32,500 บาท

o             อันดับที่ 2 : อุตสาหกรรมประกันภัย เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 30,000 บาท

o             อันดับที่ 3 : อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 27,500 บาท

•             ระดับหัวหน้างาน (Manager)

o             อันดับที่ 1 : อุตสาหกรรมประกันภัย เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 62,500 บาท

o             อันดับที่ 2 : อุตสาหกรรมไอที, การธนาคารและการเงิน, โทรคมนาคม, น้ำมันและก๊าซ เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 57,500 บาท

o             อันดับที่ 3 : อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์, Trading และจัดจำหน่าย, อาหารและเครื่องดื่ม เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 50,000 บาท

•             ระดับผู้จัดการ / อาวุโส (Senior Executive)

o             อันดับที่ 1 : อุตสาหกรรมโทรคมนาคม เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 82,500 บาท

o             อันดับที่ 2 : อุตสาหกรรมไอที, ประกันภัย, การธนาคารและการเงิน, โรงแรม บริการจัดเลี้ยง เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 80,000 บาท

o             อันดับที่ 3 : อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อสังหาริมทรัพย์, Trading และจัดจำหน่าย, อาหารและเครื่องดื่ม, ขนส่ง เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 72,500 บาท

•             ระดับผู้บริหารระดับสูง (C-level Management)

o             อันดับที่ 1 : อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 125,000 บาท

o             อันดับที่ 2 : อุตสาหกรรมไอที, ประกันภัย, การผลิต เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 120,000 บาท

o             อันดับที่ 3 : อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เสนอค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ 117,500 บาท

สายงานไอทีเปย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นอันดับ 1 SMEs ปรับสู้บริษัทใหญ่

เมื่อเทียบการปรับตัวของอัตราเงินเดือนปีล่าสุดเป็นเปอร์เซ็นต์ พบว่า อุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มีการปรับเงินเดือนเพิ่มสูงสุดแบ่งตามระดับงาน และสายงาน ได้แก่

•             อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property & Real Estate) ปรับเพิ่มค่าตอบแทนพนักงานระดับผู้จัดการ / อาวุโส (Senior Executive) ในสายงานไอที สูงสุดในปี 2564 โดยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 34.6%

•             อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ปรับค่าตอบแทนให้แก่พนักงานระดับหัวหน้างาน (Manager) ในสายงานไอที เช่นเดียวกัน โดยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 27.8%

•             อุตสาหกรรมขนส่ง (Transportation) มีการปรับขึ้นค่าตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 3 ให้แก่พนักงานระดับผู้จัดการ / อาวุโส (Senior Executive) ในสายงานบริการเฉพาะทาง โดยปรับขึ้นจากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 27.1%

ผลสำรวจในปีนี้ยังได้วิเคราะห์ถึงนัยยะสำคัญอีกประเด็นหนึ่งว่า ขนาดขององค์กรอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะชี้วัดอัตราเงินเดือนอีกต่อไป โดยทั่วไปแล้ว องค์กรขนาดใหญ่มักจะเสนอเงินเดือนที่สูงกว่า แต่ปัจจุบัน บางสายงานที่เป็นที่ต้องการ หรือต้องการความรู้ ความเชี่ยวชาญ ก็มีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจ SMEs จะเสนอเงินเดือนที่มากกว่าเพื่อให้เกิดการจ้างงาน

โดยจากข้อมูลเชิงลึกของเงินเดือนในธุรกิจ SMEs เมื่อเทียบกับองค์กรขนาดใหญ่ พบว่า อุตสาหกรรม SMEs ที่มีการเติบโตมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมประกันภัย (Insurance) ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนสูงสุดอยู่ที่ 33.3% และประเภทงานที่มีการเติบโตมากที่สุดคือ งานท่องเที่ยว โรงแรม และ F&B (Hotel/Restaurant) ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนสูงสุดที่ 18.2%

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบเงินเดือนจากทุกสายงานและทุกระดับงานระหว่าง SMEs และองค์กรขนาดใหญ่ พบว่า SMEs เสนอค่าตอบแทนให้ ผู้จัดการ/อาวุโส (Senior Executive) ในสายงานการผลิต และผู้บริหารระดับสูง (C-Level Management) ในสายงานธุรการและทรัพยากรบุคคล มากกว่าองค์กรขนาดใหญ่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ผักกาดหอม (Lettuce)

ผักกาดหอมหรือผักสลัด เป็นผักที่มีลักษณะและสีสันสวยงาม จึงนิยมนำมาประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามน่าทานให้กับจานอาหาร ผักกาดหอมจะมีลำต้นอวบน้ำขนาดเล็ก และมีใบขนาดใหญ่ปกคลุมลำต้น ผักกาดหอมมีหลากหลายพันธุ์ ซึ่งลักษณะของใบและสีสันก็จะแตกต่างกันไป เช่นผักกาดหอมห่อ (Head Lettuce) จะมีใบสีเขียว อัดรวมกันแน่นจนลักษณะเป็นหัว เนื้อใบบางกรอบ

ผักกาดหอมที่คนไทยกินกันมากที่สุดก็คือ ผักกาดหอมใบ ที่มีใบสีเขียว โดยใบข้างนอกมีสีเขียวเข้มกว่าใบอ่อนด้านใน ขอบใบหยิกสวย ลำต้นลักษณะเป็นข้อสั้น เนื้อใบกรอบ รสหวานปนฝาดเล็กน้อย กินได้ทั้งแบบสด เช่น ใส่ในสลัด ยำ เมี่ยง แซนด์วิช ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน หรือกินเคียงสาคูไส้หมู แต่เมื่อนำไปปรุงสุก ใบจะอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย และรสชาติหวานขึ้น เช่น ใส่ในแกงจืดหรือก๋วยเตี๋ยว

ประโยชน์จากการกินผักกาดหอมก็คือ ช่วยให้นอนหลับง่าย ขับปัสสาวะ ล้างพิษ ขับเหงื่อ และแก้ไข้ และในผักกาดหอมหนัก 100 กรัม จะมีฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินซี 24 มิลลิกรัม รวมถึงมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเอสูง ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตาได้เป็นอย่างดี

ผักกาดหอมเป็นพืชที่ใช้สารเคมีในการปลูกค่อนข้างมาก เพราะมีแมลงศัตรูพืชและโรคเยอะ อีกทั้งต้นยังเจริญเติบโตใกล้ผิวดิน ก่อนจะกินหรือนำมาปรุงอาหาร จึงควรฉักแยกแต่ละใบออกจากลำต้น แล้วล้างให้สะอาด อีกปัญหาที่พบบ่อยของผักกาดหอมก็คือ มีรสขมจนต้องทิ้ง ซึ่งความขมก็ขึ้นอยู่กับระยะการเก็บผลผลิตและสภาพอากาศตอนปลูก โดยความขมของผักกาดหอม เกิดจากสารแลคทูคาเรียม (Lactucarium) ที่อยู่ในยางสีขาว ซึ่งมีประโยชน์ตรงที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลาย แก้ไอ และแก้ปวด

ขอบคุณข้อมูลจาก prayod.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/02/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,400.0029,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,904.0028,864.6430,000.00
ทองรูปพรรณ 90%1,713.6025,978.18n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,523.2023,091.71n/a
ทองรูปพรรณ 50%857.0012,992.12n/a
ทองรูปพรรณ 40%666.0010,096.56n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,973.0029,910.68n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/02/2565



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.1536.1537.2536.7536.9536.1536.5536.1536.7536.15
แก๊สโซฮอล์ 9135.8835.8836.9836.4836.6835.8836.2835.8836.4835.88
แก๊สโซฮอล์ E2035.0435.0436.1435.6435.8435.4435.0435.6435.04
แก๊สโซฮอล์ E8528.3428.3428.34
เบนซิน 9543.5644.8144.4644.0643.56
ดีเซล B728.5428.5430.4429.0429.6428.5428.9428.8429.0428.54
ดีเซล28.5428.5430.4429.0429.6428.5428.9428.8429.0428.54
ดีเซล B2028.5428.5430.4429.6428.9428.8428.54
ดีเซลพรีเมี่ยม34.5634.5636.8935.5636.3934.56
แก๊ส NGV15.5915.5915.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า