ESTAR ปรับตัว ฝ่าปัจจัยลบ รุก มิกซ์ยูส-คอมมูนิตี้มอลล์ เสริมรายได้
ESTAR ปรับตัวฝ่าปัจจัยลบรุกมิกซ์ยูส-คอมมูนิตี้มอลล์ เสริมรายได้ระยะยาวเพิ่มความแข็งแกร่งเปิดแผนธุรกิจปีเสือ ผุด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ล้าน คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯชั้นใน –แนวราบระยอง
“ESTAR” ประเมินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ยังต้องเผชิญปัจจัยลบ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อของลูกค้า ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPL) ทำให้การปล่อยสินเชื่อยังคุมเข้ม
ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมา แต่ท่ามกลางปัจจัยลบยังมีปัจจัยบวก จากนโยบายภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ เช่น การผ่อนคลายมาตรการ LTV การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ปริมาณบ้านคงค้างที่ลดลงจากการชะลอตัวในการเปิดการขายโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา แต่เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงยังคงมีอยู่ในตลาดสำหรับบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมในระดับราคากลาง-ล่าง
ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ด้านการขายและการตลาด ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ พร้อมเร่งสร้างการรับรู้รายได้จากการขายและโอนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จแล้ว
รวมทั้งหันไปรุกตลาดแนวราบ โดยESTARเปิดโครงการใหม่ คือแวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา-บ้านฉาง ใน จ.ระยอง เป็นบ้านเดี่ยว ราคา 4.5-6.5 ล้านบาท บนพื้นที่ 27 ไร่ จำนวน 104 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 540 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทในปี 2564 มียอดขาย 1,334 ล้านบาท และยอดรายได้อยู่ที่ 1,326 ล้านบาท โดยมีผลกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท
ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในปี 2565 จะเป็นปีแห่งการเติมเต็มความสุขให้กับผู้อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด Smart Living 360 ภายใต้ 4 แกนหลักสำคัญ ที่คิด ครบ จบ คุ้ม ทั้งฟังก์ชั่นและการใช้พื้นที่ภายในห้องไปถึงพื้นที่ส่วนกลางจัดเต็มรองรับวิถีชีวิตแบบ New normal ได้แก่
CREATIVE DESIGN ที่นอกจากจะออกแบบอาคารและรูปแบบภายในห้องให้สวยงาม มีฟังก์ชั่นที่ครบครันแล้ว ยังสามารถใช้พื้นที่ได้คุ้มทุกตารางนิ้ว ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยให้ยืดหยุ่นได้ตามไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเพื่อปรับประโยชน์การใช้งานให้เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ
BALANCING LIFE เพื่อให้ทุกๆวันคือวันพักผ่อน จึงเน้นการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้สามารถใช้งานได้จริง ทั้งพื้นที่ส่วนกลางแบบแยกส่วนรองรับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) รวมไปถึงพื้นที่จัดกิจกรรมไม่ว่าจะเป็น Studio kitchen หรือ Workshop space เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน และใส่ใจสุขภาพด้วยระบบ System shower & Massage jacuzzi เพื่อความผ่อนคลาย ไปจนถึงพื้นที่ออกกำลังกายแบบ Oversized อาทิ ลู่วิ่งรอบสนามกอล์ฟ สนามกีฬาเอนกประสงค์ในหมู่บ้าน เป็นต้น
ENVIRONMENT FRIENDLY คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมโดยนำพลังงานสะอาดมาใช้ในโครงการ เช่น สถานี EV Charger ระบบเช่ารถ Haup car แบบ sharing economy หรือ การนำ Solar cell เข้ามาใช้ในพื้นที่รอบสนามกอล์ฟ
LIVING INNOVATION ต่อยอดการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายด้วยนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย อาทิ ระบบการเข้าบ้านแบบดิจิตอล ระบบตรวจจับการบุกรุก กล้องวงจรปิด และเพื่อความสะดวกสบาย อาทิ การเปิด-ปิดการใช้ไฟฟ้า ระบบระบายอากาศอัตโนมัติ เป็นต้น
โดยในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ด้วยเป้าหมายยอดขาย และเป้าหมายยอดรายได้ที่ราว 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “Quintara Lite” เป็นคอนโดมิเนียมซีรีย์ใหม่ในราคาที่จับต้องได้ เริ่มต้นไม่ถึง 2 ล้านบาท แต่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองอย่างรัชดาและสุขุมวิท
โดยนำเอาแนวคิด Smart Living 360 เข้ามาใส่ อาทิ การออกแบบขนาดห้องพักที่พอดีกับไลฟ์สไตล์คนเมือง (Creative Design) นำพื้นที่ทุกตารางนิ้วมาใช้ประโยชน์ ส่วนกลางรองรับวิถีชีวิต New normal & lifestyle ไม่ว่าจะเป็น Pocket seat, Kitchen studio, Workshop space, private class room(Balancing Life) และยังมี สถานี Ev Charger (Environment Friendly) ฯลฯ
ส่วนที่จังหวัดระยองจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในพื้นที่โครงการอีสเทอร์น สตาร์ ฟอร์เรสโต้ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ซึ่งในภาพรวมจะประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยกว่า 1,000 หลังคาเรือน บนทำเลเชื่อมต่อสุขุมวิท-บูรพาพัฒน์ ที่ยังคงความร่มรื่นของต้นไม้และส่วนกลาง โดยมีแผนเปิดตัวขายในช่วงกลางปีและปลายปี โดดเด่นด้วยแบบบ้านที่สวยงาม และฟังก์ชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบ (Creative Design)
มี NEIGHBORHOOD MALL ด้านหน้าพื้นที่โครงการ ระบบความปลอดภัย 3 ชั้น (Balancing Life) และมีแผนการนำ Solar cell มาใช้ในพื้นที่รอบสนามกอลฟ์อีก (Environment Friendly) นอกจากนั้น ยังมีแผนพัฒนามิกซ์ยูส-คอมมูนิตี้ ในบริเวณอีสเทอร์น สตาร์ พาร์ค ที่ประกอบด้วยสนามกอลฟ์ โรงแรม บ้านพักอาศัย และศูนย์สุขภาพเพื่อบริการที่ครบวงจรและตอบโจทย์แนวโน้มที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นอีกด้วย
ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อว่า บ้านและคอนโดมิเนียมของเรา นอกจากจะมีราคาสบายกระเป๋าเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เรายังคิดครบคิดจบทั้งภายในห้องพักอาศัย ให้สวยงามและยืดหยุ่นต่อการใช้งาน และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ส่วนกลางตามไลฟ์สไตล์ของคนสมัยใหม่
ภายใต้แนวคิด Touchless & Distancing และการ Work from home รองรับการใช้เวลาในการอยู่บ้านกับครอบครัวมากขึ้น พร้อมความสมดุลด้วยส่วนกลางสีเขียวที่รายล้อม และการบริการครบวงจรมากขึ้นด้วยรีเทล ไปจนถึงนวัตกรรมต่างๆ ที่เข้ามาเสริมการใช้ชีวิต
“เพราะESTARมองถึงวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ที่มีความฉลาดคิด ชอบใช้ชีวิตสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์ที่เด่นชัด แต่ก็รักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จึงได้นำพฤติกรรมต่างๆ ของคนใช้ชีวิตยุคใหม่ผสานเข้ากับงานออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการความเป็นส่วนตัว การเดินทางที่สะดวก สิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ตอบโจทย์ และการชอบอยู่กับธรรมชาติ จึงเป็นที่มาของ Smart Living 360 ” ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวในตอนท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
FPIT ทุ่ม 5 ปี ลงทุน 5 หมื่นล้าน จับตาปั้นทาวน์ชิป บางนา 4.6 พันไร่
FPIT ธุรกิจอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม กลุ่มเจ้าสัวเจริญ เดินหน้างัดที่ดินเปล่านับ 8 พันไร่ พื้นที่ กทม.,อยุธยา และอีอีซี ปั้นพอร์ตโรงงาน คลังสินค้า และ แวร์เฮ้าส์ เขย่าตลาดไทย – ต่างชาติ เผยแผน 5 ปี วางงบลงทุน 5 หมื่นล้านบาท จับตาพลิกที่ดิน บางนา-ตราด 4,600 ไร่ สู่ทาวน์ชิปอนาคต
24 มีนาคม 2565 – บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล จำกัด หรือ FPIT ในเครือ FPT กลุ่มเจ้าสัวเจริญ โดยนายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FPIT เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2565 และ ระยะ 5 ปีข้างหน้า ว่า จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกไทย หลังสถานการณ์โควิด19 และการกลับเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้พื้นที่พาณิชย์เชิงอุตสาหกรรมกลับมาเติบโต และเป็นโอกาสของธุรกิจอย่างมาก
อีกทั้ง ยังมองว่า ในอนาคต อาคารอุตสาหกรรม จะกลายเป็นตัวกลางของการทำธุรกิจในหลายประเภท ซึ่งพื้นที่โรงงาน คลังสินค้า ในรูปแบบต่างๆ จะเข้ามามีความสำคัญอย่างมาก พลิกโฉมจากอดีต ให้ผู้ผลิต และลูกค้ามาเจอกันเร็วขึ้น เพียงไม่กี่ชั่วโมง ผ่านการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่กำลังจะเติบโตอย่างรวดเร็ว
สานต่อกลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับโอกาสข้างต้น ภายใต้กรอบกลยุทธ์ ที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2564 ในแง่ “น่านน้ำสีม่วง” (Purple Ocean Strategy) และวางยุทธศาสตร์ “เราพร้อม” (We are ready) และ “เราต่าง” (We are different) นั้น สำหรับปี 2565 ได้จัดงบลงทุนเพิ่มจำนวน ราว 1 หมื่นล้านบาท จัดงบลงทุนเพิ่มจำนวน หนึ่งหมื่นล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการดำเนินงานในโครงการปัจจุบัน และโครงการเมกะโปรเจ็คท์ รวมถึงการขยายฟุตพรินท์ในต่างประเทศ โดยโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทย ด้วยความมุ่งมั่นของ FPIT ในการพลิกโฉมการให้บริการอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรมสู่ยุคใหม่ การันตีด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสากล ซึ่งจะมีเพิ่มไฮไลท์ในทุกมิติ ได้แก่
- โซลูชั่นครบวงจร
- การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
- ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้งานในอาคาร
- การประยุกต์ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อบริการแก่ลูกค้า
” ในปี 2565 นี้ บริษัทฯ จะต่อยอดความสำเร็จของกลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง ที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และเพิ่มขีดสามารถขององค์กรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงหลังยุคโควิด-19 สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน นำเสนอจุดแข็งที่โดดเด่นและแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นอย่างชัดเจน ในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะลงนามสัญญาพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมใหม่ พื้นที่รวมกว่า 200,000 ตารางเมตร และยังมีลูกค้าในไปป์ไลน์ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาอีกจำนวนมาก เนื่องจากความต้องการใช้พื้นที่อาคารโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก “
FPIT วาง 5 ปีทุ่ม 5 หมื่นล้าน ขยายพอร์ตโฟลิโออาคารอุตสาหกรรม
นายโสภณ ยังระบุว่า ปัจจุบัน FPIT มี พอร์ตโฟลิโออาคารอุตสาหกรรมของ ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 3.1 ล้านตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย รวมถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งยังมีโรงงานมาตรฐานและคลังสินค้าสำเร็จรูปพร้อมให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการพื้นที่แบบเร่งด่วน FPIT ยังคงเป้าหมายในการขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมสู่ 4 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 หรือ ตั้งเป้าขยายพื้นที่ 150,000-200,000 ตารางเมตรต่อปี
นอกจากการลงทุนในประเทศไทยแล้ว FPIT ยังใช้ประสบการณ์ที่มีเพื่อลงทุนในต่างประเทศ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2558 ที่บริษัทฯได้เริ่มเข้าไปลงทุนในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าสำหรับเช่าในประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 150,000 ตารางเมตร และล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา FPIT ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม ที่เมืองบินห์เยือง ประเทศเวียดนาม ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าอย่างท่วมท้น จึงเตรียมเดินหน้าเปิดโครงการเฟส 2 เพิ่มเติมอีก 70,000 ตารางเมตร จึงจะทำให้บริษัทฯ มีพื้นที่เช่าให้บริการในประเทศเวียดนามรวมทั้งสิ้นกว่า 100,000 ตารางเมตร
ขณะระยะ 5 ปี วางงบลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ไว้ทั้งสิ้น 5 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยต่อปี 1 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทวางเป้าหมายรายได้จากค่าเช่าที่ระดับ 5,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน ซึ่งรายได้ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้รวมในพอร์ต FPT
เดินหน้าปั้นที่ดินเปล่าในมือ 3 โลเคชั่นศักยภาพ กว่า 8,000 ไร่
สำหรับ ศักยภาพด้านทำเลซึ่งเป็นจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจ FTIP นั้น นายโสภณ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทและภายใต้กลุ่มบริษัท มีที่ดินเปล่า ซึ่งเป็นแลนด์แบงก์สะสมพร้อมนำมาพัฒนาราว 8,000 ไร่ แบ่งใน 3 พื้นที่สำคัญ ได้แก่
- พื้นที่รอบกทม. ย่าน บางนา บางพลี และลาดกระบัง ประมาณ 5,000 ไร่
- พื้นที่ทางด้านเหนือของกทม. นวนคร วังน้อย และอยุธยา ประมาณ 1,000 ไร่
- พื้นที่อีอีซี ศักยภาพสูงสุด 2,000 ไร่
“กลยุทธ์การแข่งขัน จากการเร่งตัวของคู่แข่งที่เข้ามาในอุตสาหกรรมมากขึ้น ยังเป็นเรื่องของศักยภาพทำเลที่เรามี เป็นข้อได้เปรียบ เนื่องจากซื้อ ประมูลสะสมไว้ค่อนข้างเยอะ อีกด้าน ด้วยอาคารแบบมาตรฐาน ทำให้ได้สัญญาเช่า เก็บค่าเช่าแบบระยะยาว เป็นน่านน้ำหลักที่เรามีประสบการณ์ ขณะเดียวกัน ลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการอาคารรูปแบบสั่งสร้าง เราก็มีความพร้อมในการออกแบบให้ด้วย ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ 60% ของตลาดภายใน 5 ปี ”
ส่วนโปรเจ็กต์เปิดใหม่ในปีนี้ 4 แห่งนั้น ประกอบไปด้วย
- โครงการ GOMICO พระประแดง
- โครงการบางพลีหมายเลข7
- โครงการ ในพื้นที่บางปะกง ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับญี่ปุ่น (มิตซุย ฟูโดซัง)
- โครงการ บริเวณ บางนา กม. 32
“สำหรับแผนพัฒนาพื้นที่ใหม่ ปี 2565 หลักๆ คือ เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และ โลจิสติกส์-บิสเนสปาร์คขนาดเล็กใกล้เมือง ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยบริษัทฯ จะใช้ประสบการณ์และความชำนาญที่สั่งสมมายาวนานกว่า 30 ปี พร้อมกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ “
“ตัวแปรของธุรกิจ คือ อาณาจักรพื้นที่ บริเวณ บางนา – ตราด ราว 4.6 พันไร่ ซึ่งมีเป้าหมาย ต้องการพลิกเป็น ทาวน์ชิฟขนาดใหญ่ และมีความเป็นไปได้ ที่อาจจะออกมาในรูปแบบ มิกซ์ยูสผสมผสาน กับ 2 ธุรกิจหลักในเครือ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย และพื้นที่คอมเมอร์เชียล เราจะทดลองในทาวน์ชิฟแห่งนี้ ขณะนี้กำลังทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อทำให้เกิดขึ้นมาได้จริงๆ “
3 ปัจจัยหนุนพื้นที่อุตสาหกรรมโต
นายโสภณ กล่าวสรุปว่า พื้นที่เชิงอุตสาหกรรมของไทยได้รับอานิสงค์เติบโตสูงขึ้นมา 40-50% จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การเร่งเครื่องกลับอีกครั้งของภาคการส่งออก ทำให้หลายภาคธุรกิจมีความต้องการด้านพื้นที่สต็อกสินค้า ขณะเดียวกัน ก็กังวลถึงปัญหาซัพพลายเชน ทำให้มีการขยายพื้นที่ จึงเป็นโอกาสของธุรกิจ 2. ความขัดแย้งของมหาอำนาจ แต่กลายเป็นโอกาสของไทย ทำให้ไทยไปอยู่พื้นที่โลก เป้าหมายประเทศที่นักลงทุนอยากย้ายฐานการผลิตเข้ามา และ 3.เทคโนโลยีดิสรัปชั่น เป็นเทรนด์เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว โดยทำให้อสังหาฯ ที่เคยต้องใช้ทุนในการพัฒนาจำนวนมาก ปรับมาสู่การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้มาก ซึ่งจะเป็นโจทย์ท้าทายให้บริษัทต้องปรับให้ทัน
อีกทั้ง เรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามยูเครน- รัสเซีย ทำให้ธุรกิจภาคการส่งออกได้รับผลกระทบอีกครั้ง ด้วยค่าขนส่งที่แพงขึ้น ระบบคอนเทนเนอร์มีบทบาทสำคัญ ข้อดี อาจมีลูกค้าเช่าเก็บโรงงาน คลังสินค้าเพื่อเก็บของต่อ เนื่องจากส่งออกไปยุโรปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยืดเยื้อรุนแรงขึ้น การลงทุนข้ามชาติก็อาจมีปัญหาเช่นกัน ซึ่งจะกระทบต่อพื้นที่เชิงอุตสาหกรรม ธุรกิจของเรา
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด33.45/48 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มแข็งค่า
เงินบาทเปิดตลาด 33.45/48 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มแข็งค่า ให้กรอบ 33.30-33.70 บาทต่อดอลลาร์ จับตาประชุมกนง.สัปดาห์หน้า
เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 65 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 33.45/48 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเย็นวานนี้(24มี.ค.) ที่ปิดตลาดที่ระดับ 33.65 บาท/ดอลลาร์
วันนี้เงินบาทคาดว่ายังมีทิศทางที่แข็งค่าต่อ โดยวันนี้อาจจะยังไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามมาก ยังคงเป็นปัจจัยเดิมจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่ปัจจัยในประเทศต้องไปรอสัปดาห์หน้า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะมีทิศทางเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไร
“วันนี้บาทน่าจะยังไปในทิศทางแข็งค่า เพราะคงไม่ผ่านแนวต้าน ปัจจัยตอนนี้ยังไม่มีอะไรใหม่ ยังเป็นเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่วนปัจจัยในประเทศ รอดู กนง.สัปดาห์หน้า” นักบริหารเงินระบุ
นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.30 -33.70 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ภาวะหัวใจล้มเหลว กับ 4 สัญญาณอันตราย
แนะผู้ป่วยที่มี ภาวะหัวใจล้มเหลว ปรับพฤติกรรม ดูแลตนเอง ควบคุมปัจจัยเสี่ยง ป้องกันไม่ให้ภาวะหัวใจล้มเหลวกำเริบมากขึ้น นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า หัวใจเป็นอวัยวะในทรวงอก อยู่ระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง ทำหน้าที่คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย หากการทำงานของหัวใจผิดปกติ จะส่งผลให้เกิดปัญหาต่ออวัยวะทั้งหมดของร่างกายได้
ภาวะหัวใจล้มเหลว คืออะไร
ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือที่เรียกว่า Heart Failure คือ ภาวะที่หัวใจอ่อนแรงไม่สามารถสูบฉีดเลือดไป เลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างปกติ เนื่องจากหัวใจมีการบีบตัวหรือคลายตัวที่ผิดปกติ บางครั้งหัวใจมีขนาดโตหรือ หนากว่าปกติ
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
สาเหตุที่ทำให้ภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดได้จาก
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคลิ้นหัวใจรั่ว หรือลิ้นหัวใจตีบ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการหรือบกพร่อง
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- การติดเชื้อของกล้ามเนื้อหัวใจ หรือลิ้นหัวใจ
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
- กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงจากสารพิษต่างๆ เช่น การดื่มสุรา หรือยาเสพติด
- พันธุกรรม
- โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
- โรคต่อมไร้ท่อ
เป็นต้น
สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะหัวใจล้มเหลวกำเริบมากยิ่งขึ้น เกิดได้จาก
- รับประทานอาหารรสเค็ม หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง
- ดื่มน้ำมากเกินไป (มากกว่าที่ปัสสาวะออกจากร่างกาย)
- รับประทานยาที่ไม่สม่ำเสมอ
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- รับประทานยากลุ่ม NSAIDS
- ไทรอยด์เป็นพิษ
- ติดเชื้อในร่างกาย
- ภาวะซีดหรือเลือดจาง
อาการของภาวะหัวใจล้มเหลว
นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวมักจะมีอาการดังนี้
- เหนื่อยง่าย หรือหอบ นอนราบไม่ได้ ต้องหนุนหมอนเพิ่มหรือนั่งหลับ สะดุ้งตื่นมาตอนกลางคืน เพราะอึดอัดหายใจลำบาก
- บวมที่ข้อเท้าและหน้าแข้ง
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 2 กิโลกรัม ใน 2 วัน
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และท้องอืด
วิธีป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว
ผู้ป่วยควรดูแลและควบคุมปัจจัยเสี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะหัวใจล้มเหลวกำเริบมากขึ้น ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง ดังนี้
- ชั่งน้ำหนักทุกวัน ก่อนทานอาหารเช้าทุกวัน หรือภายหลังเข้าห้องน้ำขับถ่ายแล้วในช่วงเช้า และจดบันทึกน้ำหนักเพื่อช่วยประเมินตนเอง
- ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ตามแผนการรักษาของแพทย์
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม จำกัดปริมาณโซเดียมที่รับประทานต่อวัน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างพอดี อาจเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินทางราบ หากหอบเหนื่อยควรหยุดพักทันที
- งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ทุกประเภท เพราะสารพิษในบุหรี่จะส่งผลให้เส้นเลือดหัวใจตีบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้การบีบตัวของหัวใจลดลง
- รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
- ตามคำแนะนำของแพทย์ มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
- ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีในกรณีไม่มีข้อห้าม
ผู้ป่วยควรสังเกตอาการตนเอง หากพบว่ามีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีป้องกันความรุนแรงของโรค และนำไปสู่แนวทางการรักษาที่ถูกวิธี เพื่อรักษาชีวิตผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Update !! Starbucks กำลังทดลองขายสิ่งนี้ ??
Starbucks is testing out its own version of boba-style iced coffee
สตาร์บัคส์กำลังทดลองวางขายไข่มุกกาแฟในแบบฉบับของตัวเองแล้ว!
ในยุคสมัยนี้ เมนูเครื่องดื่มกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มอย่างเจ้าชาไข่มุกนี่เองก็เป็นที่นิยมสุดๆ และตอนนี้ก็มีร้านเปิดขายไปทั่วสหรัฐอเมริกาเลย
และนี่อาจเป็นข่าวดีสำหรับสายชาไข่มุกกันอย่างเราๆ ก็เพราะว่าร้านกาแฟชื่อดังอย่าง “สตาร์บัคส์” ได้ยืนยันแล้วว่ากำลังทดลองขายเครื่องดื่มใหม่ 2 เมนู ที่เป็น “Coffee popping pearls” ไข่มุกกาแฟป๊อป! เป็นไข่มุกลูกกลมๆ ที่มีรสชาติเป็นกาแฟสไตล์สตาร์บัคส์เองเลย แต่ตัวไข่มุกจะมีความป๊อปเหมือนกันกับไข่มุกในชาไข่มุกไต้หวันอยู่ ซึ่งวางขายทั้งหมด 2 สาขาในสหรัฐอเมริกา เฉพาะช่วงหน้าหนาวนี้
“COFFEE POPPING PEARLS” — SMALL BALLS OF STARBUCKS COFFEE THAT POP LIKE THE TAPIOCA PEARLS FOUND IN THE TAIWANESE BUBBLE TEA BEVERAGES.
เมนูไข่มุกกาแฟใหม่ของสตาร์บัคส์นี้ จะเป็นเมนูที่มีรสชาติยืนพื้นของกาแฟแบบกาแฟสกัดเย็น (Cold-brew) แบบฉบับของสตาร์บัคส์ และมีความหวานเข้ามาจากบราวน์ชูการ์ด้วย โดยจะมี 2 เมนูชื่อว่า The “Iced Chai Tea Latte with Coffe Pearls” และ “In the Dark”
ขณะเดียวกันนี้เอง ก็ได้มีกระแสไวรัลเกิดขึ้นจากใน Tiktok เมื่อผู้ใช้แอคเคาท์ชื่อ @kirbyssister ได้ลงคลิปวีดิโอ ที่เป็นการรีวิว แสดงถึงป้ายเมนูใหม่นี้จากสตาร์บัคส์สาขาใกล้บ้านของเธอ และได้มีการรีวิวถึงขนาดแก้วและรสชาติของเมนูใหม่นี้ด้วย
“REALLY SMALL AND AWKWARD TO DRINK,” AND TASTED “ODDLY SALTY-SWEET.”
เธอเขียนข้อความและพูดในคลิปไว้ว่า “ไข่มุกขนาดเล็กมาก รู้สึกแปลกๆงงๆที่จะดื่ม รสชาติก็ออกเค็มและหวานแปลกๆ” แต่นี่ก็เป็นในความคิดเห็นของเธอนะ
ในส่วนของราคา “Iced Chai Tea Latte with Coffe Pearls” จะวางขายอยู่ที่ 5.45 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 181 บาท และ “In the Dark” จะอยู่ที่ 5.25 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 175 บาท โดยที่ขนาดจะวางขายเฉพาะไซส์ Grande เท่านั้น
สตาร์บัคส์มีการเปลี่ยนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญและโฟกัสอย่างมากก็คือ ประสบการณ์ทางรสชาติที่ลูกค้าจะได้จากสตาร์บัคส์ไป
การทดลองเมนูใหม่ๆ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้เป็นวิถีที่สตาร์บัคส์ทำมาตลอด เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและจดจำเมนูในแบบระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น เอสเพลซโซ (espresso), กาแฟสกัดเย็น (cold brew), ความสดชื่น, อาหาร, และอื่นๆ
รู้ไหมว่าชาไข่มุก ได้ถูกคิดค้นขึ้นที่ประเทศไต้หวัน ในช่วงปีค.ศ. 1980 และก็เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางไม่เพียงแต่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ประเทศไทศเราเองก็เป็นที่นิยมสุดๆ สักเกตได้จากมีแบรนด์ชาไข่มุกเกิดใหม่เยอะมาก และถึงแม้จะมีเกิดใหม่หลายแบรนด์ แต่หลายๆแบรนด์ก็เป็นที่นิยมและขายดีซะด้วยนะ ยังไม่รวมไปถึงแบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังดั้งเดิมหลายๆแบรนด์ ก็ต้องมีอย่างน้อย 1 เมนูที่เป็นชาไข่มุก หรือไม่ก็ต้องมีไข่มุกไว้สำหรับสั่งเพิ่มทอปปิ้งในเครื่องดื่มด้วย อย่างตอนนี้ที่ Dunkin’ ก็ได้เริ่มมีวางขายเมนูไข่มุกแล้วเช่นกัน
ไข่มุกนี่เป็นนิยมต่อเนื่องมาหลายปีแล้วนะเนี่ย มาติดตามกันดีกว่าว่าไข่มุกที่ถูกเพิ่มเป็นเมนูใหม่ในหลายๆแบรนด์นั้นจะเป็นยังไงกันบ้าง ถ้ามีโอกาสจะลองไปตามชิมและมารีวิวให้ทุกคนอ่านกันนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
“ดีอีเอส” ติดตั้งสถานีตรวจวัดฝุ่น PM ทั่วประเทศ 8000 เเห่ง ดูแลสุขภาพประชาชน
“ดีอีเอส” โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เอ็นทีจัดทำศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ติดตั้งสถานีตรวจวัดฝุ่น PM 8,000 แห่งกว่า 5,000 ตำบล เพื่อเตือนภัยประชาชนพร้อมเปิดโอกาสให้หน่วยงานใช้ประโยชน์ข้อมูลฟรี
วันนี้ (23 มีนาคม 2565) เวลา 09:30 น. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดที่ทำการศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามภารกิจหลักของรัฐบาลที่ต้องการดูแลสุขภาพของประชาชนตามนโยบาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมี นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เข้าร่วม ณ อาคาร NT Tower บางรัก กรุงเทพฯ
ศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (National Environmental Data) เป็นโครงการที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มอบทุนอุดหนุนการวิจัยให้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เป็นผู้ดำเนินการเพื่อติดตั้งสถานีตรวจวัดฝุ่น และภูมิอากาศในประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) เพื่อแจ้งเตือนแก่ประชาชน
โดยนายชัยวุฒิ กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินี้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ก็จะมีอีกหลายโครงการที่ได้ใช้เงินกองทุน DE และก็เป็นโครงการที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติดำเนินการโดยโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจสังคมหรือเรียกสั้นๆว่า กองทุน DE เป็นกองทุนที่ต้องการนำเงินมาใช้ในการสนับสนุนโครงการที่ใช้ดิจิทัลในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน
รวมถึงการเป็นโครงการนำร่องต่างๆที่จะนำเทคโนโลยีต่างๆสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ชึ่งวันนี้ก็เป็นโครงการวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 ซึ่งเป็นการวัดฝุ่นควันซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในด้านสิ่งแวดล้อม ในช่วงที่ผ่านมาที่ประชาชนให้ความสนใจกันมาก ทางบริษัทได้จัดตั้งศูนย์นี้ขึ้นมาในการที่จะตรวจวัดอากาศทั่วประเทศ 8,000 กว่าจุด และมีระบบข้อมูลศูนย์ข้อมูลเพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้ามาตรวจสอบตรวจเช็คข้อมูลเป็นระบบOpenData โดยเอกชนและบริษัทต่างๆ สามารถมาขอข้อมูลเพื่อไปใช้ในประโยชน์ได้ เราก็พยายามขยายผลโครงการนี้ต่อไปในการเพิ่มจุดตรวจวัด ควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาค่อยไม่มีวัดหรือเก็บข้อมูลในเชิงระบบบิ๊กดาต้า นำระบบดิจิทัลมาใช้ โดยจะทำเฟส 2 ต่อไป
สำหรับ ศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีเป้าหมายในการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จำนวนทั้งสิ้น 8,000 สถานี ทั้ง 77 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 900 อำเภอ 5,000 ตำบล โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมาย คือพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง หรือเป็นพื้นที่ที่มีผลกระทบหรือความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
โดยสถานีทั้งหมดจะสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ ฝุ่น PM 1 PM 2.5 PM 10 อุณหภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ รวมทั้งทิศทางและความเร็วลม ซึ่งสถานที่ติดตั้งสถานีฯ ทั้งหมดของโครงการได้รับความร่วมมือจากกระทรวงหลักต่างๆ ของประเทศ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ซึ่งข้อมูลคุณภาพอากาศและภูมิอากาศ จะถูกเก็บทุก ๆ 5 นาที และส่งผ่านเครือข่าย LoRaWAN ของเอ็นที และเข้าสู่คลังข้อมูล (Big Data) เพื่อทำการจัดเก็บและวิเคราะห์ต่อไป และเมื่อโครงการฯ เก็บสะสมข้อมูลได้ต่อเนื่องมากเพียงพอจะทำให้สามารถวิเคราะห์และพยากรณ์โอกาสที่จะเกิดปัญหาฝุ่น PM เฉพาะพื้นที่ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ใบชิโสะแดงกับประโยชน์มากมายในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น
หากพูดถึงใบชิโสะ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงใบไม้สีเขียวที่ใช้รับประทานกับปลาดิบซึ่งเป็นใบชิโสะสีเขียว ชิโสะเป็นพืชในตระกูลมินต์ซึ่งจะมีกลิ่นฉุนแต่จะช่วยดับความคาวของอาหารทะเลได้เป็นอย่างดี นอกจากชิโสะเขียวแล้วก็มีใบชิโสะแดงซึ่งคนญี่ปุ่นนิยมเอามาใช้ประโยชน์มากมาย มารู้ประโยชน์ต่อสุขภาพและวิธีการนำไปใช้ประโยชน์มากมายของใบชิโสะแดงกันนะคะ
ชิโสะแดงและประโยชน์ต่อสุขภาพ
ชิโสะแดง ( Akashiso, あかしそ) เป็นพืชที่อุดมไปด้วยแอนโทไซยานิน กรดไขมันโอเมก้า 3 6 และ 9 แคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก วิตามิน A B2 และ C สารสำคัญในใบชิโสะแดงมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านไวรัสและยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ เช่น ช่วยบรรเทาอาการไอและปวดศรีษะ บรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียนในระหว่างตั้งครรภ์ ช่วยลดปฏิกิริยากการเกิดภูมิแพ้ที่รุนแรง ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้องรังและช่วยชะลอความแก่ เป็นต้น
การนำใบชิโสะมาใช้ประโยชน์
แม้ว่าไม่นิยมนำมารับประทานสดเหมือนใบชิโสะสีเขียวแต่คนญี่ปุ่นนำใบชิโสะมาใช้ประโยชน์มากมายดังนี้
น้ำใบชิโสะ เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ช่วยสร้างความสดชื่นในช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี วิธีการทำน้ำชิโสะแดงนั้นทำง่ายๆ โดยการนำใบชิโสะแดงที่ล้างสะอาดมาต้มในน้ำเดือด (2 ลิตร) ประมาณ 3-4 นาที และตักเอาใบชิโสะออก เติมน้ำตาล 300 กรัม น้ำส้มข้าวหมัก 1 ถ้วยตวง (หรือน้ำเลมอน 2 ผล) น้ำส้มข้าวหมักจะเปลี่ยนสีน้ำตาลดำของใบชิโสะให้เป็นสีแดงสวยงาม จากนั้นจึงนำมากรองและเก็บแช่ตู้เย็น นำมาดื่มแก้ร้อนโดยเจือจางในน้ำเย็นหรือโซดาในอัตราส่วนน้ำชิโสะแดง 1 ส่วนต่อน้ำเย็น 3 ส่วน
ชาจากใบชิโสะแดง ใบชิโสะแดงตากแห้งมีประโยชน์ในการดื่มเป็นชาเพื่อบรรเทาอาการไอและมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียได้ดี
ใช้เติมแต่งสีธรรมชาติของผักดอง ใบชิโซะแดงถูกใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในของดองญี่ปุ่น เนื่องจากการทำปฏิกิริยากับกรดแลกติกที่เกิดขึ้นในขณะการดองผัก เปลี่ยนให้ชิโสะสีน้ำตาลดำเป็นสีแดงสวยงาม ซึ่งจะเปลี่ยนผักดอง เช่น บ๊วยดอง หัวไชเท้าดอง แตงกวาดองและขิงดองให้มีสีชมแดงชมพูสวยงาม
ทำเป็นยูคาริ ผงโรยยอดนิยมของคนญี่ปุ่น
ชิโสะแดงเป็นพืชที่ปลูกได้ตลอดทั้งปีในญี่ปุ่นและดูเหมือนว่าจะเจริญได้ในภูมิอากาศที่ร้อน เช่น เมืองไทย ได้ด้วย ด้วยคุณค่าและประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ใบชิโสะแดงจึงเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่นค่ะ สำหรับเมืองไทยน้ำใบชิโสะแดงน่าจะมีประโยชน์ในการคลายร้อนและให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีไม่น้อยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก th.anngle.org
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/03/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,000.00 | 31,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,008.00 | 30,441.28 | 31,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,807.20 | 27,397.15 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,606.40 | 24,353.02 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 904.00 | 13,704.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 703.00 | 10,657.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,081.00 | 31,547.96 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/03/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.95 | 39.95 | 40.55 | 40.35 | 40.35 | 39.95 | 39.95 | 39.95 | 40.35 | 39.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.68 | 39.68 | 40.28 | 40.08 | 40.08 | 39.68 | 39.68 | 39.68 | 40.08 | 39.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 38.84 | 38.84 | 39.44 | 39.24 | 39.24 | – | 38.84 | 38.84 | 39.24 | 38.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.14 | 32.14 | – | – | – | – | – | – | – | 32.14 |
เบนซิน 95 | 47.36 | – | – | – | 48.21 | – | 47.86 | 47.86 | – | 47.36 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 31.04 | 30.14 | 30.34 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 30.14 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 31.04 | 30.14 | 30.34 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 30.14 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 31.04 | – | 30.34 | – | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.96 | 35.96 | 37.49 | 36.56 | 36.79 | – | – | – | – | 35.96 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |