กทม. หั่นทิ้ง2ช่วง ลุย”สะพานเกียกกาย” บูมฝั่งธนฯ
คอลัมน์ เล็งทำเล ชาวบ้านโวย หั่นทิ้ง2ช่วง ลุย”สะพานเกียกกาย” บูมฝั่งธนฯ ITD เข้าพื้นที่ก่อสร้างตัวสะพานช่วง2 คาดแล้วเสร็จปี 67
กรุงเทพมหานคร(กทม.) ลงมือก่อสร้างโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเกียกกายและถนนเชื่อมต่อเพื่อบรรเทาปัญหาจราจร ฝั่งธนบุรี และฝั่งพระนคร วงเงินประมาณ 12,717.4 ล้านบาท โดยปลายปี 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน 5 เขตในท้องที่แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท และแขวงจตุจักร แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโดยมีระยะทางยาวกว่า 6 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น5ช่วง
ช่วงที่1 เริ่มต้นจากถนนเลียบทางรถไฟสายใต้ ผ่านถนนจรัญสนิทวงศ์บริเวณบางอ้อ ข้างโรงพยาบาลยันฮี จนถึงริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี
ช่วงที่ 2 ช่วงที่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณแม่น้ำ ขึ้นฝั่งหลังวัดแก้วฟ้าจุฬามณี (จุดสิ้นสุดถนนทหาร)
ช่วงที่ 3 จากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร (วัดแก้วฟ้าจุฬามณี) ไปจนถึงแยกสะพานแดง ถนนเตชะวณิช (สุดถนนทหาร เริ่มต้นถนนประดิพัทธ์)
ช่วงที่ 4 จากแยกสะพานแดง(ถนนเตชะวณิช) ตรงไปถึงแยกประดิพัทธ์ ข้ามทางรถไฟเลี้ยวซ้ายขนานไปกับทางรถไฟ จากนั้นเลี้ยวขวาไปจนถึงทางแยกที่ถนนพระราม 6 ตัดกับถนนกำแพงเพชร ใกล้ทางเข้าสถานีกลางบางซื่อ (สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์)
ช่วงที่ 5 จากปลายช่วงที่ 4 ตรงไปตามถนนกำแพงเพชร เลี้ยวซ้ายไปตามถนนพหลโยธิน สิ้นสุดที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต โดยมีทางลงแยกไปลงที่ถนนกำแพงเพชร 2 มุ่งหน้าขนส่งหมอชิต 2
จากการคัดค้านของประชาชนกลุ่มรักษ์บ้านกำเเพงเพชร 5 ส่งผลให้กทม.ยกเลิกก่อสร้างช่วงที่ 4 และช่วงที่5 ระยะทางยาว 1,400เมตรและ1,600เมตร ตามลำดับหรือประมาณ3กิโลเมตร ออกไป เนื่องจากเห็นว่า เป็นชุมชนขนาดใหญ่ตลอดแนวมีบ้านเรือนประชาชนเกิดขึ้นหนาแน่น ปัจจุบันมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นอำนวยความสะดวก
จึงลดความจำเป็นเร่งด่วนและลดผลกระทบจากการเวนคืนทั้งสองช่วงลงกว่า100แปลง เหลือเพียง 3ช่วงที่มองว่ามีความเหมาะสม และเตรียมออกพระราชกฤษฎีกาจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อไป
ขณะสภากรุงเทพมหานครได้อนุมัติงบประมาณปี 2566 ให้เริ่มก่อสร้างในช่วงที่ 2 (สะพานข้ามเจ้าพระยา)“ฐานเศรษฐกิจ”ลงพื้นที่สำรวจ การก่อสร้าง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ วัดแก้วฟ้าจุฬามณี และ สภาเกียกกาย จุดสิ้นสุดถนนทหาร พบว่าบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (ITD) ผู้ชนะประมูล
ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเกียกกายช่วงที่2 รวมทางขึ้นลงขนาด6ช่องจราจรมีระยะทางยาว365.77เมตร เริ่มสัญญาตั้งแต่วันที่24มิถุนายนปี2565ถึง วันที่ 9ธันวาคม2567
ระยะเวลาก่อสร้าง 900วัน วงเงิน 925,079,874.41บาท (925 ล้านบาทเศษ) ปัจจุบันมีการก่อสร้างท่าเรือเกียกกายใหม่ ทดแทนโครงสร้างเดิมที่ทรุดโทรม จากนั้นจะก่อสร้าง ตัวสะพาน คล่อมท่าเรือฯ โดยลากจากถนนทหารข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปลงฝั่งธนบุรี
บริเวณลานจอดรถของผู้มาใช้บริการโรงพยาบาลยันฮี บริเวณด้านหลัง อาคารศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ หรือร้านอาหาร หัวปลาหม้อไฟช่องนนทรีเดิม บริเวณนี้ จะถูกเวนคืนเพื่อก่อสร้างเป็นจุดขึ้น-ลง สะพานเกียกกายรับปริมาณรถข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จากถนนทหาร บริเวณอาคารรัฐสภาฝั่งพระนคร
ข้ามฝั่งของถนนจรัญสนิทวงศ์ ลอดผ่านเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ไปลงบริเวณจรัญสนิทวงศ์ซอย 93/1 เข้าพื้นที่ชุมชนสงวนทรัพย์ บนที่ดินเช่าเก่าแก่ อายุกว่า 50 ปี ชุมชนนี้ถูกเวนคืนยกเวิ้งไม่ต่ำกว่า 80-100 หลังคาเรือนจาก 167 หลังคาเรือน นอกจากนี้แนวเส้นทางจะ ผ่านตลาดบางอ้อ
วิ่งตัดเข้ากับกับถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นอีกจุดที่จะสร้างทางต่างระดับขึ้นลงจากถนนจรัญสนิทวงศ์ ตรงไป ยังทางพิเศษ(ทางด่วน)บางซื่อ-สะพานพระราม 6-ถนนบรมราชชนนี โดยจะมีทางต่างระดับขึ้นลงเชื่อมกับถนนโลคัลโรดทางรถไฟสายใต้ และทางด่วน แล้วค่อยๆ ลดระดับลงพื้นดิน
จากนั้นจะตวัดไปด้านซ้าย คู่ขนานไปกับถนนนครอินทร์ ไปเชื่อมกับถนนราชพฤกษ์และถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดโครงการ ทั้งนี้หากก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี2567 จะช่วยระบายรถได้เป็นอย่างดีนับ1แสนคันต่อวัน
อีกทั้งยังสร้างความเจริญในพื้นที่ ช่วงที่มีการเวนคืนเขตทางใหม่ย่านฝั่งธนบุรีจะทำให้ราคาขยับสูงมีโครงการบ้านจัดสรรเข้าปักหมุดทั้งสองข้างทางอย่างแน่นอนจากการประเมินของนายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ จำกัด สะท้อนว่า ปัจจุบันราคาที่ดินติดถนนจรัญสนิทวงศ์
ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3 แสนบาทต่อตารางวา ในซอยราคา 1.5 แสนบาทต่อตารางวา หากมีการตัดถนนใหม่ อย่างสะพานเกียกกายและถนนเชื่อมต่อ กรณีก่อสร้างเป็นถนนระดับดินราคาจะขยับ 2-3 เท่าตัว
อย่างไรก็ตามที่ดินย่านถนนจรัญฯก่อนจะมีรถไฟฟ้าราคาที่ดิน ติดถนนไม่เกิน 1 แสนบาทต่อตารางวา สภาพส่วนใหญ่เป็นชุมชนเก่าแก่ ต่อมาเมื่อมีรถไฟฟ้าสายสีนํ้าเงิน ผู้ประกอบการมักซื้ออาคารพาณิชย์เก่ารวมแปลงขึ้นคอนโดมิเนียม
ต้องจับตาฝั่งธนบุรี วันนี้อึกกระทึกไปด้วยคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ย่านอยู่อาศัย ที่เติบโตสูงจากอานิสงก์รถไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานรัฐ!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จับชีพจร ตลาดอสังหาฯ ราคาไม่เกิน 3 ล้านยังครองตลาด
จับชีพจร ตลาดอสังหาฯ ราคาไม่เกิน 3 ล้านยังครองตลาด คอลัมน์ Property Inside : สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด (Property DNA)
ตลาดคอนโดมิเนียม หรือ บ้านจัดสรร ปี2566 มีการขยายตัวไปในทิศทางที่ดีกว่าปี 2565 เพราะปัจจัยบวกหลายอย่างที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้นแน่นอนเมื่อเทียบกับช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เพราะเรื่องของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายความกังวลลงไปมาก
อีกทั้งเรื่องของการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของประเทศไทยกลับมาเดินหน้าแบบช้าๆ ปี2565 เป็นปีแรกในรอบ 2 – 3 ปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 11 ล้านคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มหลักเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี
แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังคงน้อยกว่าช่วงปี2562 แต่ก็มากกว่าปีพ.ศ.2563 – 2564 แบบชัดเจน ซึ่งถือเป็นการกลับเข้าสู่ภาวะปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป คนทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร หรือบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเริ่มกลับมามีรายได้ หรือเริ่มกลับขยายธุรกิจกันอีกครั้ง
ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แน่นอน แม้ว่าปี2566 อาจจะยังมีปัจจัยลบในเรื่องของเงินเฟ้อที่เกิดจากการปรับเพิ่มของราคาน้ำมัน ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ของโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศอาจจะมีผลต่อการส่งออกของประเทศไทย ซึ่งเริ่มเห็นทิศทางการชะลอตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี2565
หากการชะลอตัวต่อเนื่องและมากขึ้นก็มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี2566 เพราะประเทศไทยส่งออกสินค้าไปต่างประเทศค่อนข้างมาก และถ้าเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศยังไม่ดีขึ้นก็อาจจะมีผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยเช่นกัน
ตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงหรือที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิตยังเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ และเป็นกลุ่มของระดับราคาที่มีฐานผู้ซื้อใหญ่ที่สุดในตลาด ยังคงเป็นตลาดที่มีการขยายตัวในเรื่องของการเปิดขายโครงการใหม่ และกำลังซื้อไปได้ดีต่อเนื่องจากปี2565
ผู้ประกอบการยังคงเปิดขายโครงการในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเนื่องทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล คอนโดมิเนียมหรือบ้านราคาไม่แพงเป็นกลุ่มของที่อยู่อาศัยที่เหมาะกำลังซื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ไม่สูงมาก และระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิตดูมีความเป็นไปได้ที่จะตอบสนองต่อกำลังซื้อหลักของประเทศไทย
เมื่อภาวะเศรษฐกิจในปี2566 ยังคงไม่ได้อยู่นภาวะที่บอกได้ว่าฟื้นตัวแบบชัดเจน และยังคงมีความเสี่ยงอยู่ การที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องการเดินหน้าเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่อง เพื่อรักษาการขายตัวของรายได้ และผลประกอบการในปี 2566 และหลังจากนั้น การเปิดขายโครงการที่สอดคล้องกับกำลังซื้อ
ส่วนใหญ่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด และสอดคล้องกับภาวะตลาดที่สุด ซึ่งเห็นได้จากปี2565 ที่ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการในกลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงการในระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อยูนิต
รวมไปถึงมีการพูดถึงการขยายขอบเขตของราคาที่อยู่อาศัยตามเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI ให้อยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อยูนิตก็ดูเป็นความสอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง
ทำเลกรุงเทพมหานครรอบนอก ยังคงเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เพราะการเน้นเปิดขายโครงการใหม่ที่ราคาขายไม่แพง ทำเลที่สามารถพัฒนาได้ก็ต้องเป็นทำเลในพื้นที่กรุงเทพมหานครรอบนอก หรือทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง ที่มีแผนจะเปิดให้บริการในปี.2566 หรือหลังจากนั้น เพราะราคาที่ดินยังคงสามารถพัฒนาโครงการราคาไม่แพงได้
โดย บางทำเลอาจจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อ เช่น
- พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่
- พื้นที่รอบๆ แหล่งงานขนาดใหญ่ เช่น นิคมอุตสาหกรรม
- รวมไปถึงพื้นที่ที่เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีการขยายตัวของประชากรต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และไม่ไกลจากแนวเส้นทางรถไฟฟ้า
พื้นที่ฝั่งธนบุรี จะมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากขึ้น เพราะการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และอุปทานเหลือขายในหลายทำเลลดลงเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากขึ้นแน่นอน
โครงการที่อยู่อาศัยราคาแพงหรือที่มีราคาขายมากกว่า 25 – 30 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปยังคงเป็นบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโดมิเนียม โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา เพราะความต้องการยังคงมีอยู่ ขณะการแข่งขันในตลาดนี้ไม่ได้สูงมาก มีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถเปิดขายโครงการระดับนี้ได้ต่อเนื่อง
อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคานี้ หลายโครงการที่เปิดขายในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ปิดการขายในเวลาไม่นาน และผู้ประกอบการก็ยังคงมีรายชื่อหรือรับรู้ว่ามีคนที่แสดงความจำนงค์ว่าจะซื้อบ้านในระดับราคานี้ จากการเปิดขายโครงการก่อนหน้านี้
รวมไปถึงมีรายชื่อของผู้ที่ต้องการซื้อจริงๆ แต่ติดขัดปัญหาในโครงการก่อนหน้านี้ ซึ่งกลุ่มของผู้ซื้อเหล่านี้คาดว่าสามารถกลับมาเป็นกลุ่มผู้ซื้อในโครงการใหม่ได้ในปี2566 ดังนั้น ตลาดบ้านจัดสรรในระดับราคา 25 – 30 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายแพง หรือคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายต่อตารางเมตรมากกว่า 300,000 บาทขึ้นไป
ยังคงไม่มีการเปิดขายโครงการมากแบบที่ผ่านมา และทำเลที่เปิดขายโครงการรูปแบบนี้ก็ยังต้องเป็นทำเลที่อยู่รอบสวนลุมพินีเท่านั้น จึงจะได้รับความสนใจ หรือถ้าไกลออกไปก็ต้องมีรูปแบบโครงการที่โดดเด่น และไม่เหมือนใคร หรือเป็นรูปแบบโครงการที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังแข็งค่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เหตุดอลลาร์อ่อนค่า และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (26ม.ค.2566)ที่ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.83 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้าน คือ ปัจจัยที่ช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา
ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างรอรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงาน GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 และ รายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน เพราะหากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นได้บ้าง
นอกจากนี้ หากตลาดพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง จากรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าว หากราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ
เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ยังคงรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ทำให้โฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้เช่นกัน
ทั้งนี้ เราคงมองโซนแนวต้านสำคัญของเงินบาทอยู่ในช่วง 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับสำคัญยังคงเป็นช่วง 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.02%
โดยปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ ความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจออกมาย่ำแย่ หลังจากที่หลายบริษัทในสัปดาห์นี้ อาทิ บริษัทเทคฯ ใหญ่อย่าง Microsoft ได้รายงานผลประกอบการล่าสุดแย่กว่าคาด
พร้อมกับให้มุมมองแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตแย่กว่าที่ตลาดคาดอีกเช่นกัน ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 ในไตรมาสที่ 4 อาจลดลงถึง -3%y/y แย่ลงจากที่เคยประเมินไว้ว่าจะลดลง -1.6%y/y ในตอนต้นปี
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวลดลง -0.29% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่อาจออกมาแย่กว่าคาดเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันไม่ให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นยุโรปกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นในระยะสั้นนี้
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 101.6 จุด หลังผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า
ขณะเดียวกัน ความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในฝั่งสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ การลงทุนในสินทรัพย์ อย่าง หุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจน้อยลง เมื่อเทียบกับการลงทุนในภูมิภาคอื่นๆ (นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์ผลประกอบการตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงดีขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่คาดการณ์ผลประกอบการในฝั่งสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลดลง) ทั้งนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด กอปรกับ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับ สู่โซนแนวต้านแถว 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
ซึ่งเรามองว่า การปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านดังกล่าวของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงาน GDP ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งตลาดประเมินว่า ในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวได้ +2.6% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี
แต่ก็เป็นการชะลอลงของเศรษฐกิจจากที่โตได้กว่า +3.2% ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด รวมถึงแรงกดดันจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาทิศทางตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims)
หลังจากล่าสุด หลายบริษัทเอกชน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มเทคฯ ได้ทยอยปรับลดการจ้างงานลง ถึง 8.4 หมื่นต่ำแหน่งนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากรายงานผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจช่วยทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้บ้าง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.72-32.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ย่อตัวลงตามทิศทางบอนด์ยีลด์ของสหรัฐฯ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เฟดอาจชะลอขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุม FOMC วันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.
นอกจากนี้ตลาดยังน่าจะกลับมาให้น้ำหนักกับโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของไทยในรอบการประชุมถัดๆ ไปด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 32.65-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อาทิ ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/2565 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดอร์ทมุนด์ บุกเฉือน ไมนซ์ 2-1 ขึ้นที่ 3 บุนเดสลีกา
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ บุกคว้าชัยเหนือ ไมนซ์ หวุดหวิด 2-1 ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 3 ศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี
การแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมนี ฤดูกาล 20222-23ระหว่าง ไมนซ์ 05 เปิดสนามเมวา อารีนา รับการมาเยือนของ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ไมนซ์ ปรับแผนเล็กน้อย โอลเซ่น ลงมาคุมหลังแทน ฮัค แล้วแดนกลางเลือกยัดมาสามคนปล่อย โอนิซิโว กับ อิงวาร์ทเซ่น ยืนค้ำหน้า
ดอร์ทมุนด์ ขาดคนสำคัญแบบ เบลลิงแฮม ที่หายไปในเกมนี้ต้องให้ ชาน ลงมาเล่นกลางแทน ส่วนแนวรับสลับให้ ซูเลอ เป็นตัวจริง
ผลปรากฎว่า ครึ่งแรกมาแค่ 2 นาที ไมนซ์ ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ เอดิมิลสัน แฟร์นานเดส เปิดลูกเตะมุมจากฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษ อี แจ ซอง โหม่งเข้าไปตุงตาข่าย
จากนั้นนาทีที่ 4 ดอร์ทมุนด์ ตีเสมอเป็น 1-1 จากการยิงของ ยูเลียน รีเยอร์สัน ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้
ครึ่งหลัง ถึงช่วงทดเจ็บ นาทีที่ 90+3 ดอร์ทมุนด์ ขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะเปิดลูกเตะมุมจากฝั่งขวาเข้ากรอบเขตโทษ เซบาสเตียน อัลแลร์ โหม่งไปเสาไกล โจวานนี เรย์นา ยิงจ่อๆ เข้าไปเลย
ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเกม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ บุกมาชนะ ไมนซ์ 2-1 ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 3 นำหน้า 3 ทีมตามหลังอยู่แต้มเดียว
- ติดตามผลบอล บุนเดสลีกา เยอรมัน ทุกคู่ที่นี่ https://www.sanook.com/sport/program/
- ดูตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ล่าสุด ได้ที่นี่ https://sport.sanook.com/football/table/premierleague/
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 สัญญาณอันตราย ควร “ตรวจสายตา” ด่วน
ปัจจุบันคนไทยมีปัญหาสายตาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีตัวการร้ายทำลายสายตาอยู่รอบตัว ทั้งจากการทำงานและการเรียนที่ต้องจ้องหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน หรือการใช้ชีวิตประจำวันที่เกิดจากรังสียูวีของแสงแดดและดวงไฟ
นายแพทย์นพวุฒิ ตรีพรชัยศักดิ์ จักษุแพทย์จากแว่นท็อปเจริญ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาการผิดปกติของค่าสายตาที่สังเกตได้ และผู้ที่ควรหมั่นตรวจวัดสายตาหรือตรวจเช็กสุขภาพดวงตาเป็นประจำ ดังนี้
สัญญาณอันตราย ควร “ตรวจสายตา” ด่วน
หากคุณมีปัญหาสายตาในลักษณะนี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ ได้แก่
- ปวดตา
- ภาพโฟกัสเบลอ
- วิงเวียนศีรษะ
- แสบตา ตาแห้ง
- เห็นภาพซ้อน
กลุ่มคนที่ควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ
- วัยทำงานและวัยเรียน ที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต เป็นประจำ
กลุ่มวัยทำงานและวัยเรียน ควรตรวจเช็คสุขภาพดวงตาและอัพเดทค่าสายตาเป็นประจำทุกปี เนื่องจากปัญหาสายตาของคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้สายตาจ้องหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีแสงสีฟ้าที่เป็นภัยต่อดวงตาอย่างต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเรียนออนไลน์ หากดวงตากระทบกับแสงสีฟ้านานเกินไป จะส่งผลเสียต่อเซลล์จุดรับภาพของดวงตา ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม โดยจะมีอาการปวดตาและภาพโฟกัสเบลอ
วิธีถนอมสายตาระหว่างเรียน-ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต
- ควรใช้สายตาตามหลัก 20-20-20 นั่นคือใช้สายตา 20 นาที ควรพักสายตาโดยมองไประยะไกล 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
- ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม
- สวมแว่นตาที่ประกอบเลนส์ป้องกันแสงสีฟ้า (Blue Cut)
- เปลี่ยนอิริยาบถหรือเคลื่อนไหวบ่อยๆ เพื่อลดอาการปวดเมื่อยของร่างกาย
- นั่งทำงานในห้องแอร์เป็นเวลานาน มีโอกาสเกิดภาวะตาแห้งจากฟิล์มน้ำตาระเหย ทำให้แสบตาและตาแดง โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ แนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นที่ผิวตา กะพริบตา 15 ครั้งต่อนาที และสลับสวมแว่นสายตาขนาดใหญ่เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง
- ผู้ที่ใช้สายตากลางแจ้งเป็นเวลานาน
เช่น ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะ นักกีฬากลางแจ้ง หรืออาชีพที่ต้องทำงานกลางแดด หากต้องเผชิญกับแสงแดดที่มีรังสียูวีในปริมาณมากซึ่งเป็นอันตรายต่อดวงตา อาจทำให้เกิดโรคต้อเนื้อ กระจกตาอักเสบ ปวดตา รวมทั้งโรคต้อกระจกและจอตาเสื่อมได้
วิธีถนอมดวงตา เมื่อต้องทำงานกลางแดด
เมื่อต้องออกไปเผชิญกับแสงแดด แนะนำให้สวมแว่นกันแดดเพื่อถนอมดวงตาจากแสงแดดจ้าและรังสียูวี ควรเลือกสวมแว่นกันแดดคุณภาพ เนื่องจากการสวมแว่นกันแดดจะทำให้รูม่านตาขยายขึ้นจากความเข้มของเลนส์ หากสวมแว่นที่ไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสียูวี จะยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตามากขึ้น
- คนชอบดูซีรีส์หรืออ่านหนังสือในเวลากลางคืน
ใครที่ชอบดูละคร ซีรีส์ หนัง หรืออ่านหนังสือตอนกลางคืน จนเป็นไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันที่อาจส่งผลทำให้การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะคนที่ชอบดูซีรีส์ในที่มืดหรือมีแสงสว่างน้อย นอกจากจะทำให้เกิดภาวะอาการตาล้าแล้ว ยังส่งผลกระทบอื่นๆ ร่วมด้วยได้ เช่น สารสื่อประสาทในระบบสมองไม่สมดุล ทำให้ร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่า วิงเวียนศีรษะ สายตาพร่ามัว
วิธีถนอมสายตา หากจำเป็นต้องอ่านหนังสือตอนกลางคืน
สำหรับผู้ที่ชอบอ่านหนังสือเป็นประจำ หากอ่านหนังสือในระยะใกล้เกินไปหรือในที่แสงไม่เพียงพอเป็นเวลานาน สามารถเกิดอาการปวดตา ล้าตา และเห็นภาพซ้อนได้เช่นกัน จึงควรปฏิบัติ ดังนี้
- ควรอ่านหนังสือให้มีระยะห่างจากดวงตาไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตรในที่แสงสว่างเพียงพอ
- พักสายตาเป็นระยะ
- สวมแว่นมองใกล้ที่เป็นเลนส์ลดการล้าตา
- หากใครที่เริ่มมองเห็นภาพไม่ชัด แนะนำให้เข้ารับการตรวจวัดสายตา เลือกตัดเลนส์ที่เหมาะสม เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนขึ้นจะช่วยลดอาการล้าของดวงตาได้
- ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรืออาชีพงานฝีมือที่ต้องใช้ความละเอียดสูง
ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรืออาชีพงานฝีมือที่ต้องใช้ความละเอียดสูง เป็นกลุ่มที่มีการใช้สายตามากและขาดการป้องกันในบางครั้ง โดยเฉพาะงานที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ทั้งจากลักษณะงานที่ทำหรือความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม แนะนำให้สวมแว่นเซฟตี้เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด รวมถึงสิ่งแปลกปลอมหรือสารเคมีกระเด็นเข้าตา เพราะหากเกิดความรุนแรงกับดวงตาแล้วแม้จะรักษาหาย แต่ดวงตาก็อาจไม่กลับไปเป็นปกติสมบูรณ์ได้ดังเดิม
ทั้งนี้ผู้ที่มีปัญหาสายตาก็ควรใช้แว่นสายตาที่ทำให้มองเห็นชัดเจนเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
- ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว
เมื่ออายุมากขึ้น ขบวนการเพ่งมองก็จะลดลง ทำให้เกิดภาวะสายตายาวระยะใกล้ โรคต้อกระจก โรคต้อหิน หรือโรคจอตาเสื่อม
ดังนั้นการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำจะทำให้คงการมองเห็นอยู่ตลอดจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเครื่องมือการตรวจวัดสายตาอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องวัดความดันตาร่วมด้วย หากตรวจพบอาการผิดปกติก็สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันที และยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียดวงตาในผู้สูงวัย รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูงและไขมันสูง เป็นต้น
เตรียมตัวก่อนตรวจสายตา
สำหรับการตรวจวัดสายตาและตรวจเช็คสุขภาพดวงตา ผู้เข้ารับบริการควรเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการตรวจวัดสายตาด้วย เช่น การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ หรือผู้ที่สวมใส่คอนแทคเลนส์ จำเป็นต้องถอดคอนแทคเลนส์ก่อนรับการตรวจอย่างน้อย 20 นาทีโดยเปลี่ยนเป็นการสวมแว่นสายตาแทน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิดมาตรการคุมเข้ม แก้ปัญหาซิมผี บัญชีม้า จำคุก 3 ปีปรับไม่เกิน 3 แสน
เปิดมาตรการคุมเข้ม แก้ปัญหาซิมผี บัญชีม้า หลัง ครม.ไฟเขียว เห็นชอบหลักการ พ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ความคืบหน้าแก้ปัญหาอาชาญกรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญหาซิมผี และ บัญชีม้า ระบาดหนัก ทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. แก้ไขปัญหาซิมผี ดังนี้
กรณีผู้มี 100 ซิมขึ้นไป ประมาณ 8,000 ราย ยืนยันตัวตนภายในมกราคม 2566
กรณีผู้มี 30 ซิมขึ้นไป ประมาณ 22,000 ราย ยืนยันตัวตนภายใน มีนาคม 2566
กรณีผู้มี 5 ซิม ขึ้นไป ประมาณ 380,000 ราย ยืนยันตัวตนภายใน มิถุนายน 2566
ปัญหาเรื่องซิมผี และ บัญชีม้า ที่ระบาดอย่างต่อเนื่องกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ภายใต้การกำกับดูแลของ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ได้หามาตรการป้องกัน จนล่าสุด คณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. …. สาระสำคัญดังนี้
1. สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ มีอำนาจแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีและธุรกรรมของลูกค้าผ่านระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูล
2. ผู้ให้บริการโทรคมนาคม มีอำนาจแลกเปลี่ยนข้อมูล และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตเข้าถึงข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนได้
3. สำนักงาน กสทช.เป็นหน่วยงานจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางเท่าที่จำเป็น เกี่ยวกับข้อมูลการลงทะเบียนผู้ใช้งาน ข้อความสั้น เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและป้องกัน
4. ขั้นตอนในการระงับการทำธุรกรรม อาทิ กรณีสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจพบเหตุอันควรสงสัยเองหรือได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงาน ให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจระงับการทำธุรกรรม แล้วแจ้งให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจที่รับโอนระงับการทำธุรกรรมต่อไปทันทีเป็นการชั่วคราว หากตรวจสอบแล้วไม่พบเหตุสงสัย ให้สามารถดำเนินการทำธุรกรรมต่อไปได้
กรณีได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย ให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจระงับการทำธุรกรรมและแจ้งให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจที่รับโอนระงับการทำธุรกรรมไว้ทันทีเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในเวลา 48 ชั่วโมง และให้พนักงานสอบสวนดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีและกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์นั้นภายในเวลา 7 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง
5.การแจ้งข้อมูลหรือหลักฐาน สามารถแจ้งผ่านทางโทรศัพท์หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
6.กำหนดบทลงโทษ แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
1) ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดบัญชี บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้มีเจตนาใช้เพื่อตน และห้ามไม่ให้ผู้ใดยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้ซิมโทรศัพท์ของตนในทั้งที่รู้หรือควรจะรู้ ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในการทุจริตหรือทำผิดกฎหมาย ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2) ห้ามไม่ให้ผู้ใดเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขายบัญชี บัตรอิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือซิมโทรศัพท์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการกระทำความผิดอาญา ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,0000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้านนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส เปิดเผยว่าภายหลังจาก ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.ก. ดังกล่าว กระทรวงดีอีเอส ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ก่อนประกาศใช้บังคับต่อไป
“การจัดทำกฎหมายฉบับนี้ เป็นความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน กสทช. ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เป็นต้น และเชื่อมั่นว่ากฎหมายฉบับนี้ จะช่วยในการแก้ปัญหา ซิมผี บัญชีม้า และลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ได้อย่างแน่นอน” นายชัยวุฒิ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
มหัศจรรย์ “ดอกเกลือ” กับคุณประโยชน์รอบด้าน
ดอกเกลือ เป็นวัตถุดิบอย่างหนึ่งที่ได้จากการผลิตเกลือทะเล ซึ่งพบว่ามีประโยชน์มากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึงกันเลยค่ะ โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรค การดูแลสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับดอกเกลืออย่างละเอียดและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง
มาทำความรู้จักกับ ดอกเกลือ กันเถอะ
ดอกเกลือคือผลผลิตแรกของการทำนาเกลือ ซึ่งมีลักษณะเป็นเกลือทะเลที่อยู่บนผิวน้ำ หากชิมรสจะมีความรู้สึกว่าไม่เค็มมากเท่าไรและมีความหวานบ้างเล็กน้อยดอกเกลือที่มีความบริสุทธิ์มากๆ จะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น ไอโอดีน แคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นต้น ดอกเกลือยังมีค่าความชื้นสูงกว่าเกลือธรรมดาทั่วไปถึง 5 เท่า ทำให้สามารถนำแร่ธาตุเหล่านั้นซึมซับสู่ผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นที่นิยมในการนำมาใช้รักษาโรคผิวหนัง และใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สปา รวมไปถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
ดอกเกลือ กับ เกลือทั่วไป มีความแตกต่างกันอย่างไร
หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าดอกเกลือนั้นมีความแตกต่างจากเกลือธรรมดาอย่างไร นอกจากจะมีความบริสุทธิ์สะอาดมากกว่าเกลือเม็ดทั่วไปแล้วยังมีความแตกต่างในหลายๆด้านดังนี้
รสชาติ
ดอกเกลือจะมีความเค็มน้อยกว่าเกลือทั่วไป ซึ่งตอบโจทย์ให้กับคนที่ต้องการลดระดับความเค็มลงมาได้
ราคา
เนื่องจากดอกเกลือมีปริมาณน้อยและหายากเมื่อเทียบกับเกลือทั่วไป จึงทำให้ดอกเกลือมีราคาสูงกว่า
การใช้ประโยชน์
ดอกเกลือกับเกลือทั่วไปต่างก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ ดอกเกลือใช้สำหรับในการรักษาสุขภาพในด้านโรค ด้านความงาม และการปรุงอาหารที่ไม่ต้องการรสเค็มมากนัก ส่วนเกลือทั่วไปจะให้ประโยชน์ทางด้านการปรุงอาหารประเภทกะปิ ปลาร้า หรือซอสและผักดอง เป็นต้น
ดอกเกลือกับการใช้รักษาโรค
ด้วยความที่ดอกเกลือนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ดังนั้นหากใครเป็นโรคต่างๆ ที่กล่าวถึงมานี้ เราสามารถใช้ดอกเกลือช่วยบรรเทาอาการหรือรักษาโรคอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง
กลาก เกลื้อน และโรคสะเก็ดเงิน
ให้นำดอกเกลือผสมน้ำแล้วนำมาอาบบริเวณที่เป็นโรค
ปวดข้อต่อ
นำดอกเกลือละลายกับน้ำอุ่นแล้วใช้ผ้าชุบน้ำ จากนั้นให้ประคบตรงข้อต่อที่ปวด
กลิ่นเท้าเหม็น
นำดอกเกลือผสมกับน้ำอุ่นแล้วแช่เท้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ทำซ้ำบ่อย ๆ
รักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ
นำดอกเกลือผสมกับน้ำเล็กน้อยแล้วขัดหนังศีรษะให้ทั่ว เมื่อขัดแห้งแล้วให้ล้างออกเพื่อขจัดเศษเกลือ
ผมร่วง
นำดอกเกลือละลายในน้ำอุ่นแล้วจุ่มผมลงไปให้เปียกชุ่มจนถึงหนังศีรษะ นวดหนังศีรษะประมาณ 3 นาที จากนั้นหมักไว้ด้วยการโพกผ้าขนหนูอีก 3 นาทีเช่นเดียวกัน เสร็จแล้วก็สระผมให้สะอาดและควรทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง
โรคช่องปาก
นำดอกเกลือผสมกับยาสีฟันหรือนำมาผสมกับน้ำแล้วบ้วนปากก็ได้
ดอกเกลือ กับสุขภาพความงาม
เมื่อสุขภาพความงามนั้นกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยในยุคนี้ หลายคนจึงสรรหาวิธีการมากมายที่จะช่วยถนอมดูแลผิวพรรณให้ดีที่สุด ซึ่งดอกเกลือก็สามารถช่วยในด้านนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการนำมาผสมกับน้ำมันที่มาจากธรรมชาติหรือส่วนผสมอื่นๆ สำหรับการสครับผิวหรือขัดผิว ช่วยในเรื่องของผิวพรรณดังนี้
แก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลดรอยจุดด่างดำ
จากสถาบันวิจัยเกลือ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า ดอกเกลือสามารถลดรอยจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำ แก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้เป็นอย่างดี มีแร่ธาตุโพแทสเซียมช่วยให้ผิวสดชื่นขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลัดเซลล์ผิว ขจัดสิ่งตกค้าง
เพียงนำดอกเกลือมาผสมครีมอาบน้ำหรือสมุนไพรต่างๆมาขัดผิวจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำเพียง 1 ครั้ง/สัปดาห์จะสังเกตได้ว่าผิวจะดูผ่องสดใสมากขึ้น เพราะดอกเกลือมีคุณสมบัติในขจัดสิ่งสกปรกตกค้างและความมันส่วนเกินในร่างกาย
ล้างสารพิษ ดีท็อกซ์ผิว
ความเข้มข้นของดอกเกลือมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค แร่ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต จึงทำให้ผิวดูผ่องใส เปล่งปลั่งและตึงกระชับ
มหัศจรรย์ของดอกเกลือกับคุณประโยชน์รอบด้านจากที่เราได้กล่าวมาข้างต้นนี้ คงจะดีไม่น้อยหากเราหันกลับมาใส่ใจดูแลตัวเองกันมากขึ้นเพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่ดีของเรา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/01/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,950.00 | 30,050.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,940.00 | 29,410.40 | 30,550.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,746.00 | 26,469.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,552.00 | 23,528.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 873.00 | 13,234.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 679.00 | 10,293.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,010.00 | 30,471.60 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/01/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.65 | 36.65 | 37.55 | 37.15 | 37.15 | 36.65 | 36.65 | 36.65 | 37.15 | 36.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.38 | 36.38 | 37.28 | 36.88 | 36.88 | 36.38 | 36.38 | 36.38 | 36.88 | 36.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.74 | 34.74 | 35.64 | 35.24 | 35.24 | – | 34.74 | 34.74 | 35.24 | 34.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.19 | 35.19 | – | – | – | – | – | – | – | 35.19 |
เบนซิน 95 | 44.06 | – | – | – | 45.01 | – | 44.56 | 44.51 | – | 44.06 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.84 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.84 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.84 | – | 34.94 | – | 34.94 | – | 35.24 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.86 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |