สาระน่ารู้ประจำวันที่ 26 กันยายน 2566

ซีบีอาร์อีชี้อสังหาฯครึ่งแรกปี67เริ่มฟื้นตัว

ซีบีอาร์อี ประเมินตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและเอเชียแปซิฟิกกลางปี 2566 ยังคงมีความท้าทาย จากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ตลาดจีนฟื้นตัวช้า คาดการณ์ปริมาณการลงทุนด้านอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ในเอเชียแปซิฟิกปีนี้ลดลง 15% ก่อนเริ่มฟื้นตัวช่วงครึ่งแรกของปี 2567

ขณะที่ธุรกิจโรงแรมได้อานิสงส์จากความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของ Smith Travel Research (STR) รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) และรายได้เฉลี่ยต่อวันจากห้องพักที่ขายได้ (ADR) เพิ่มสูงกว่าปี 2562 อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ข้อจำกัดการเดินทางเข้ามายังประเทศไทยถูกยกเลิก มีเพียงอัตราการเข้าพักเท่านั้นที่ต่ำกว่าในปี 2562

โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 75% มาจากประเทศในเอเชีย เที่ยวบินระยะสั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัว ขณะที่นักท่องเที่ยวจากเที่ยวบินระยะไกลยังคงมีจำนวนน้อยกว่าช่วงก่อนโควิดระบาด

โชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า น่าจับตามองว่าในช่วงโลว์ซีซั่นและระหว่างไฮซีซั่น โรงแรมต่างๆ จะรักษาระดับราคาให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งจับตาสถานการณ์การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ทั้งในแง่จำนวนและข้อบ่งชี้ต่างๆ ที่จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดการเดินทางระยะไกล (Long Haul) การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนยังไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่การยกเว้นวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวจีนชั่วคราวมีแนวโน้มกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนให้เพิ่มขึ้นได้

ตลาดโรงแรมในกรุงเทพฯ คาดจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้น 10% ภายในปี 2568 ส่งผลให้มีจำนวนห้องพักรวมมากกว่า 86,000 แห่ง เสริมความมั่นใจว่าตลาดมีความเคลื่อนไหวและมีการแข่งขัน ซึ่งการที่นักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่กลับมาสู่ระดับเดิมช้าส่งผลต่อการเติบโตของตลาดและการฟื้นตัวของราคาห้องพักเมื่อไม่นานมานี้เริ่มหยุดนิ่ง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เข้าสู่ตลาดสำคัญในเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีนแผ่นดินใหญ่) ในเดือนพ.ค. 2566 อยู่ที่ประมาณ 71% ของปี 2562

“ไตรมาส 2 ปี 2566 ถือเป็นไตรมาสที่ 3 หลังการยกเลิกข้อจำกัดที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดทั้งหมดในไทย โดยแต่ละภาคส่วนของตลาดฟื้นตัวตามจังหวะของตนเอง บางธุรกิจ เช่น โรงแรม ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ธุรกิจอื่นๆ ค่อยๆ เติบโต เช่น ตลาดพื้นที่สำนักงาน ซึ่งมีพื้นที่ใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก”
 

สำหรับภาพรวมตลาดเอเชียแปซิฟิกใน “ตลาดพื้นที่สำนักงาน” มีธุรกรรมการเช่าพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งบริษัทดั้งเดิมและบริษัทใหม่ ต่างต้องการพื้นที่สำนักงานที่คล่องตัว ยืดหยุ่น บริษัทข้ามชาติถือเป็นผู้นำในการสร้างสถานที่ทำงานแห่งใหม่ในเงื่อนไขที่น่าพึงพอใจ ขณะที่บริษัทในประเทศซึ่งเป็นผู้เช่าพื้นที่ส่วนใหญ่ลังเลที่จะย้ายที่ตั้ง อาจเป็นผลจากการขาดทีมงานมืออาชีพที่จะช่วยเหลือด้านการวางนโยบาย

ในเอเชียแปซิฟิกตลาดพื้นที่สำนักงานอาจลดลงถึง 5% เพราะความต้องการที่ “ลดลง” ในจีนแผ่นดินใหญ่ ณ  เดือน มี.ค.2566 การใช้พื้นที่สำนักงานโดยเฉลี่ยของภูมิภาคคิดเป็น 65% โดยในกลุ่มเอเชียเหนือได้กลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว

เอดา ชอย หัวหน้าแผนก Occupier Research ประจำซีบีอาร์อี เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ความต้องการอาคารคุณภาพสูงและอาคารสีเขียวยังคงเป็นเทรนด์ที่โดดเด่น  “ตลาดที่อยู่อาศัย” ของประเทศไทย “บ้านเดี่ยว” นักพัฒนาและผู้ซื้อยังคงให้ความสนใจ ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมมุ่งเน้นไปที่กลุ่มระดับกลางถึงล่างในทำเลใจกลางเมืองและชานเมืองกรุงเทพฯ 

ภาค“ธุรกิจค้าปลีก”ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ของไทยแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเดือนมิ.ย. เจ้าของพื้นที่ค้าปลีกมีการลงทุนในทำเลที่มีอยู่และทำเลใหม่ โดยมีพื้นที่ปล่อยเช่าสุทธิมากกว่า 1 ล้านตารางเมตรที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ครึ่งหนึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2568

“ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้นและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศส่งเสริมความมั่นใจในตลาดนี้”

ในเอเชียแปซิฟิก ภาคการค้าปลีกมีความแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน อัตราการว่างงานในทำเลหลัก “ลดลง” ต่อเนื่อง ตลาดในหลายประเทศคาดว่าค่าเช่าจะฟื้นตัวเล็กน้อย โดยเฉพาะเขตบริหารพิเศษฮ่องกง โตเกียว และสิงคโปร์

ส่วนภาคอุตสาหกรรมของไทยความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น จากผู้ผลิตจีนที่ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โรงงานสำเร็จรูป (Ready-built Factory – RBF) และการก่อสร้างเพื่อเก็งกำไรได้รับความสนใจเพราะยังขาดซัพพลาย ผู้พัฒนารายใหม่เข้าสู่ตลาดโลจิสติกส์ เน้นการสร้างตามความต้องการของผู้เช่า (Built-to-Suit)

“ไตรมาส 2 ปี 2566 สะท้อนความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นในภาคธุรกิจส่วนใหญ่ และการมีรัฐบาลใหม่ส่งผลบวกต่อทุกภาคส่วนของสังคมและธุรกิจ”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ส่อง3เทรนด์ฮอตอสังหาฯ‘เวลเนส -อาคารประหยัดพลังงาน-คอนโดเลี้ยงสัตว์’

บิ๊กอสังหาฯ ชี้ 3 เทรนด์มาแรงในอนาคต “เวลเนส-อาคารประหยัดพลังงาน-คอนโดฯเลี้ยงสัตว์” แนะดีเวลอปเปอร์จับโอกาสตลาด “คนสูงวัย” และ “คนรักสัตว์” ที่เติบโตต่อเนื่อง เร่งหาจุดเด่นเพื่อตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้บริโภค

นายวิทยา สินทราพรรณทร ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาด บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า เวลเนส เรียลเอสเตท (Wellness Residence) เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต จากปัจจัยหลัก ได้แก่ จำนวนประชากรสูงวัยในสังคมเพิ่มสูงขึ้นใกล้แตะ 70 ล้านคน และผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา ส่งผลให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยยุคใหม่มุ่งตอบโจทย์ด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น

“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดในเซ็กเมนต์นี้เติบโตมาก และไม่ได้จำกัดอยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ขยายไปในหลายพื้นที่รอบนอก โดยเฉพาะโรงพยาบาลหลายแห่งหันมาพัฒนาโครงการ Wellness Residence กันมากขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งบ้านวัยเกษียณที่เปิดรองรับกลุ่มสูงวัย อายุ 40-60 ปีขึ้นไป” ดร.วิทยากล่าว

โดยความน่าสนใจของตลาดเซ็กเมนต์นี้ยังอยู่ที่มูลค่าตลาด โดยรายงานของ Global Wellness Real Estate Market คาดการณ์ถึงมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพทั่วโลก จะเติบโตสูงถึง 575.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2565-2570 ขณะที่ปี 2560 ที่ผ่านมาตลาดมีมูลค่าแค่ 136.23 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น

 ทั้งนี้แนวทางที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สามารถพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มคนสูงวัย ได้แก่ บ้านที่ตั้งอยู่ในทำเลขอบเมือง เช่น เขาใหญ่ หัวหิน จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี ปลูกต้นไม้จำนนมาก เพื่ออากาศที่บริสุทธ์ส่งผลต่อสุขภาวะที่ดี นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของสังคมแวดล้อมในโครงการ หรือคอมมูนิตี้ (Community) ต้องมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การจัดแข่งขันกีฬา เล่นเกม เพ้นท์รูป และสนับสนุนการทำงานของอวัยวะที่มีโอกาสเสื่อมสภาพลง เช่น โรคอัลไซเมอร์

“ที่ผ่านมามีโครงการคอนโดมิเนียมที่หันมาทำในเรื่องของการวางระบบโฮมออโตเมชั่น การออกแบบแสงไฟภายในห้องให้เอื้อต่อการใช้ชีวิต การเลือกวัสดุจากธรรมชาติ (Green Material) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้รวมเป็นเวลเนสทั้งสิ้น และเป็นจุดที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ นำมาใช้สร้างจุดเด่นให้กับโครงการ” นายวิทยากล่าว

ในส่วนของโครงการ ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่บริษัทฯ ได้พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ไลฟ์ไทม์ โฮม หรือบ้านที่อยู่ได้ตลอดชีวิต โดยศึกษาถึงความต้องการของกลุ่มคนสูงวัยที่กังวลเรื่องการเงิน โรคภัยไข้เจ็บ ความแก่ชราใครจะมาดูแล นำมาสู่การพัฒนาบ้านด้วยยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ ที่สวยงามและปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนในวัยนี้

พร้อมร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ Baycrest จากแคนาดาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัยเข้ามาให้บริการ รวมถึงโซลูชั่นบริการต่าง ๆ เช่น บริการอาหารเช้า ประกันสุขภาพ 40 ล้านบาทต่อปี การเปิดให้บริการคลินิก 9 แห่งภายในโครงการสำหรับผู้สูงอายุ เช่น ด้านอายุรกรรม ทางเดินปัสสาวะ หูตาคอจมูก ศูนย์ฟื้นฟู นอกจากนี้ยังมีลู่วิ่ง และพื้นที่ป่าที่มากถึง 30 ไร่ เป็นต้น

  อีกเทรนด์ที่มาแรงคือ คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ที่เกิดจากความนิยมในการเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่ “Friendly” แต่เป็น “Family” ที่เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว

 นายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ และกรรมการบริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดเพ็ท คอนโดมิเนียม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวมากถึง 35-40 โครงการ ประมาณ 8,000 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นโครงการจากออริจิ้นมากถึง16 โครงการ ประมาณ 3,800 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของตลาดในเซ็กเมนต์นี้ และในปีหน้าเตรียมพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มอีก 8-9 โครงการ ประมาณ 1,600 ยูนิต

โดยคาดการณ์ว่าในปี 2567 ตลาดคอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้จะเติบโตได้อีกมาก หลังจากมูลค่าตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยง มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านบาทในปี 2562 ขยายตัวเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 55,000 ล้านบาทในปี 2566 นี้

โดยเฉพาะการเลี้ยงสุนัขและแมวของครอบครัวคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก ขณะที่ในประเทศไทยช่วงปี 2562-2565  มีอัตราการเติบโตของจำนวนสุนัข และแมวที่มีเจ้าของอยู่ที่ 24% แบ่งเป็นแมวมีอัตราการเติบโตกว่า 38% และสุนัขเติบโต 18% ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวมาจากพฤติกรรมของคนรึ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยมีกลุ่มคนที่เรียกว่า Sinks (Single Income No Kid) หรือคนที่ใช้ชีวิตโสด มีความเหงา ต้องการมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน Dinks (Double Income No Kid) คนที่แต่งงานแล้วมีรายได้ทั้งคู่แต่ไม่มีลูก รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งทั้งหมดเป็นรูปแบบครอบครัวที่มีขนาดเล็กลง และมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เหมือนเป็นลูก รองลงมาเป็นการเลี้ยงสัตว์เพื่อแสดงสถานะทางสังคม และกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือดูแล

“คนรุ่นใหม่มองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นมนุษย์มากขึ้นหรือPet Humanization และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ซึ่งไม่ใช่แค่คอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้เท่านั้นที่เป็นกระแส แต่ยังรวมถึงโอกาสของธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงคาเฟ่น้องหมา น้องแมว ที่เกิดจากความต้องการของคนที่ใช้ชีวิตเหงาและโดดเดี่ยวในเมืองแต่ไม่พร้อมเลี้ยงไว้ในบ้าน หรือคนอยู่คอนโดฯที่ไม่อนุญาตให้เลี้ยงได้” นายสมสกุลกล่าว

ดังนั้นแนวทางการพัฒนาคอนโดฯที่เลี้ยงสัตว์ได้ ผู้ประกอบการต้องศึกษาและทำความเข้าใจเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว โดยคำนึงถึง Pet wellness โครงสร้างและกายภาพ ทำอย่างไรให้ดำเนินชีวิตได้อย่างแข็งแรง ด้านอารมณ์และจิตใจ สีที่นำมาใช้ในการออกแบบโครงการ สภาพแวดล้อม โภชนาการและเคมีภัณฑ์ เช่น การมีเครื่องฟอกอากาศ ราวระเบียงกันตก ปลั๊กที่ต้องเพิ่มจำนวนเพื่อความสะดวกในการใช้งาน อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ สุขภัณฑ์ ขณะที่พื้นห้องควรทำความสะอาดได้ง่าย

โดยกลุ่มออริจิ้นฯ มีบริษัทในเครือ คือ พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น  ที่ให้บริการอสังหาริฯสมัยใหม่แบบครบวงจร ซึ่งในอนาคตจะมีการดูแลน้องหมาน้องแมวมาเช็คอินจะต้องมีพาสปอร์ต ทำให้ทราบถึงน้ำหนัก ประวัติการฉีดวัคซีน ทำให้ฝ่ายบริการสามารถบันทึกและแจ้งเตือนให้เข้ารับบริการได้

นายเทพฤทธิ์ ทิพย์ชัชวาลวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า อาคารประหยัดพลังงานมีความสำคัญที่ส่งผลต่อคน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) ที่เป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีส่วนในการปล่อยคาร์บอนสูงถึง 40%จากการก่อสร้าง และการใช้อาคาร โดยระบบควบคุมอาคารทำงานด้วย Digital twin คือ ข้อมูลทางกายภาพของอาคารที่ใส่ข้อมูลทั้งหมดไปไว้ในโลกดิจิทัล ทั้งค่าฝุ่น PM2.5 การใช้งานลิฟต์โดยสาย ระบบคุมไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ การป้องกันอัคคีภัย และทุกอย่างในอาคาร จะแสดงไว้บนแดชบอร์ด (Dashboard) ทำให้บริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่าง อาคารทั่วไปมีความต้องการใช้พลังงาน 100% ขณะที่อาคารประหยัดพลังงานที่บริษัทฯ ออกแบบ สามารถลดความต้องการในการใช้พลังงานลง โดยใช้เพียง 30% เท่านั้น หากลงรายละเอียดจะพบว่าอาคารทั่วไปใช้ 800-1,200 บีทียู/ตารางเมตร ส่วนอาคารที่บริษัทออกแบบใช้เพียง 100-250 บีทียู/ตารางเมตร ประหยัดพลังงานได้ถึง 70%

 โดยอาคารสำนักงาน 5 ชั้นของบริษัท Coral สุขุมวิท 39 มีพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ออกแบบให้ใช้งาน 500,000 BTU ทำให้มีค่าไฟฟ้าเพียง 88,000 บาทต่อเดือน สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับอาคารทั่วไปที่ใช้ 3,000,000 BTU และมีค่าไฟฟ้าสูงถึง 500,000 บาทต่อเดือน ส่วนของบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร ปกติใช้งานอยู่ที่ 100,000 BTU จากการออกแบบระบบทำให้สามารถลดการใช้งานลงเหลือเพียง 10,000 BTU เท่านั้น ทั้งที่ยังเปิดแอร์ตลอดวัน และมียอดการใช้ไฟฟ้าเพียง 2,000 บาทต่อเดือน

สำหรับผลงานที่ผ่านมา คอรัล ไลฟ์ เป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวที่ได้รับมาตรฐานอาคารเขียว ประหยัดพลังงานอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีทั้งการออกแบบอาคารบ้านพักอาศัย Passive House หลังแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง The House of Cornell Tech, Roosevelt Island, New York ที่ได้รับเป็น Passive House Residential Building ของโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 26ก.ย. ที่ระดับ 36.17 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อปัจจัยที่หนุนทั้ง การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา พร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำ

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 26ก.ย. 2566ที่ระดับ  36.17 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง เล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.14 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา พร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำ ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนโมเมนตัมฝั่งอ่อนค่าของเงินบาท

ทำให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านหลักในระยะสั้น แถวโซน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่า หากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยและเดินหน้าเทขายทั้งหุ้นรวมถึงบอนด์ไทยอย่างต่อเนื่อง เงินบาทก็สามารถอ่อนค่าทดสอบโซนดังกล่าวได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงทยอยรับรู้รายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของไทย โดยหากยอดการส่งออกหดตัวน้อยกว่าคาด จนทำให้ดุลการค้าอาจไม่ได้ขาดดุลไปมากกว่า -1.8 พันล้านดอลลาร์ ตามที่ตลาดคาด ก็อาจพอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง

 อนึ่ง เราคงมองว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน จนกว่าจะเห็นปัจจัยที่สามารถกดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ ซึ่งกรณีที่จะเห็นเงินบาทแข็งค่าได้ชัดเจน ควรเห็นทั้งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และ

การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ โดยเรามองว่า ภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน (สัปดาห์นี้จะมีข้อมูลสำคัญ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และอัตราเงินเฟ้อ PCE) ทำให้ตลาดเริ่มไม่เชื่อใน Dot Plot ใหม่ของเฟด

เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ

นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.00-36.35 บาท/ดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย (แกว่งตัวในช่วง 36.09-36.22 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากความกังวลของผู้เล่นในตลาดว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น (Higher for Longer) ซึ่งมุมมองดังกล่าวยังได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อ โดยการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับหลักอีกครั้ง

แม้ว่า ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น (Higher for Longer) แต่ทว่า หุ้นธีม AI ต่างสามารถปรับตัวขึ้นได้บ้าง นำโดย Amazon +1.7% หลัง Amazon เตรียมลงทุนเพิ่มเติม เพื่อเข้ามาแข่งขันในด้าน Generative AI โดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีม AI ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ ก็สามารถช่วยหนุนให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40% 

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลดลงต่อราว -0.62% ท่ามกลางความกังวลว่าบรรดาธนาคารกลางหลักอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ หุ้นธีมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -3.4%) และกลุ่มเหมืองแร่ (Rio Tinto -1.9%) ต่างปรับตัวลงหนัก หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งคาดว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ของจีนในช่วงสุดสัปดาห์นี้

ในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในระยะนี้ ยังคงหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.55% สูงกว่าที่เราเคยประเมินไว้พอสมควร ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อ โดยต้องจับตาทั้งปัจจัยเสี่ยงการเมืองภายในสหรัฐฯ (ประเด็นผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ เพื่อหลีกเลี่ยง Government Shutdown) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน ซึ่งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ทดสอบแนวต้านสำคัญแถว 106 จุด (กรอบ 105.5-106.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และท่าทีของบรรดาธนาคารกลางหลักที่อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,935 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ซึ่งเป็นโซนแนวรับหลัก (ซึ่งหากหลุดแนวรับนี้ มีความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจลดลงสู่ระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ไม่ยาก) ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจยังคงเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดการส่งออก (Exports) และยอดการนำเข้า (Imports) ของไทยในเดือนสิงหาคม โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า ยอดการส่งออกอาจหดตัวต่อเนื่อง -3.6%y/y ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจคู่ค้า และแม้ว่า ยอดการนำเข้าจะหดตัว -10%y/y เช่นกัน แต่ทว่าโดยรวมดุลการค้า (Trade Balance) อาจขาดดุลกว่า -1.8 พันล้านดอลลาร์

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลตลาดบ้าน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Consumer Confidence

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องมาที่ระดับ 36.30-36.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.13 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวขึ้นตามบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า จะยังคงเห็นสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินจากเฟดต่อไป โดยล่าสุด ประธานเฟดสาขาชิคาโก ให้ความเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อที่อยู่เหนือระดับเป้าหมายของเฟดเป็นความเสี่ยงมากกว่าสถานการณ์ที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวจากผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงิน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.10-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนส.ค.ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. และยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สรุปดราม่าแต้มไหล! “น้องเทนนิส” รัวเตะรอบชิงฯ หยิบทอง เทควันโด เอเชียนเกมส์

กลายเป็นดราม่าสุดเข้มข้นสำหรับเกมการแข่งขัน เทควันโด กีฬาเอเชียนเกมส์ 2022 รุ่น 49 กก.หญิง รอบชิงชนะเลิศ ที่หลินอัน สปอร์ตส์ คัลเชอร์ & เอ็กซิบิชัน เซนเตอร์ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่่ผ่านมา

โดยในเกมรอบชิงชนะเลิศ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จอมเตะเบอร์ 1 ของโลกในรุ่นนี้ ดีกรีเหรียญทองโอลิมปิก 2020 และแชมป์เก่ารายการนี้ โคจรมาพบกับ กั๋ว จิง นักเทควันโดเจ้าถิ่นอันดับ 7 ของโลก

ยกแรก จอมเตะสาวไทย เป็นฝ่ายคุมเกมทำได้ดีกว่าออกนำก่อน 7-1 คะแนน แต่ในช่วงท้ายเป็นทางด้าน กั๋ว จิง ที่เปิดเกมบุกเข้าใส่รวมทั้งมีการดันเราออกนอกเวทีทำให้ไล่มา 6-7 คะแนน แต่ก็ไม่ทัน พาณิภัค นำ 1-0

ยกสอง นักเทควันโดเจ้าถิ่น เปลี่ยนแผนมาใช้การประชิดตัวแล้วดักต่อยลำตัวเก็บไปได้ 2-0 จากนั้นก็วนหนีอยู่วงนอก แม้ “น้องเทนนิส” จะดักต่อยลำตัวได้คืนมา 1 แต้มแต่ก็ไม่ทันแพ้ไป 1-2 ทำให้เสมอกัน 1-1

ยกตัดสิน กั๋ว จิง อาศัยจังหวะเตะเข้าหัวไปได้ 2 ทีทำให้มีแต้มนำ 6-0 จากนั้นเตะเข้าลำตัวอีกหนึ่งทีทำให้นำ 8-0 แต่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีคะแนนก็ไหลไปทางฝั่งจอมเตะเจ้าถิ่นอย่างรวดเร็วจนนำห่างแบบสุดกู่ถึง 23-0 คะแนน เรียกได้ว่างงกันทั้งนักกีฬา และแฟนๆ ทั่วโลก

ทำให้ทางฝั่งไทยไม่พอใจกับคะแนนที่ไหลเป็นน้ำเกินความจริง ตัดสินใจประท้วงโดย “โค้ชเช” ชัชชัย เช ลุกขึ้นชูมือประท้วง ขณะที่ทีมงานข้างสนามก็เข้าเจรจากับคณะกรรมการ ทำให้การแข่งขันต้องหยุดไปนานเกือบ 15 นาที ซึ่งสุดท้ายฝ่ายจัดชี้ว่ามีปัญหาที่ระบบเกราะของ “น้องเทนนิส” ทำให้มีการถอดติดตั้งใหม่

จากนั้นกลับมาแข่งขันกันต่อในช่วงเวลาอีกประมาณ 1 นาทีที่เหลือ ซึ่งทางคณะกรรมการปรับคะแนนให้กลับไปอยู่ที่ 0-6 แต่ทางด้านจีนไม่ยอมขอประท้วงให้กลับไปนำ 8-0 ซึ่งสุดท้ายคณะกรรมการไม่ยอมยืนยันให้นำแค่ 6-0 ตามเดิมก่อนที่ระบบจะมีปัญหา

ซึ่งในช่วงเวลาที่เหลืออีก 1 นาที 6 วินาที “น้องเทนนิส” อาศัยจังหวะถีบเข้าหัว 2 ครั้งซ้อนทำให้คะแนนไล่มาเป็น 6-6 จากนั้นพลิกเกมเตะรัวๆ ทำให้แซงนำ 12-6 แม้ จอมเตะเจ้าถิ่นจะพยายามไล่มาที่ 9-12 แต่ก็ไม่ทันื ทำให้ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ พลิกนรกคว้าชัยไปได้ 2-1 คว้าเหรียญทองแรกให้กับทัพนักกีฬาไทยในเอเชียนเกมส์หนนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“เชื้อรา” บนเตียง-ผ้าห่ม อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร

เหตุผลที่เราควรซักและตากผ้าปูเตียง และผ้าห่มบ่อยๆ เพราะส่งผลถึงสุขภาพของเราได้โดยตรง เสี่ยงโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อราคือความอับชื้นที่สะสมอยู่ในส่วนต่างๆ ของบ้าน โดยจะพบร่องรอยของเชื้อราได้ตามเฟอร์นิเจอร์เครื่องนอน ตู้เสื้อผ้า และพื้นที่ที่มีรูรั่วหรือรอยแตกของบ้านที่มีน้ำซึมและน้ำรั่วไหลเข้าภายในบ้าน ทำให้เปียกและอับชื้นเกิดเป็นแหล่งของเชื้อราได้หากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลต่อสุขภาพและก่อให้เกิดโรค 

เชื้อราบนเตียง ในผ้าห่ม ส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

เนื่องจากเชื้อราสามารถสร้างสปอร์ให้กระจายออกไปในอากาศ เมื่อสูดดมเข้าไปในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น 

  • ปวดศีรษะ 
  • มีไข้ 
  • คัดจมูก 
  • ระคายเคืองตา 

และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมา เช่น โรคหอบหืดโรคปอดอักเสบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้ เมื่อได้สัมผัสเชื้อราทางผิวหนังหรือการสูดดม จะทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ เช่น 

  • ผื่นแพ้ 
  • ตาอักเสบ 
  • เจ็บคอ 
  • น้ำมูกไหล 

เป็นต้น

วิธีกำจัดเชื้อราบนเตียง ผ้าห่ม และส่วนต่างๆ ภายในบ้าน

สำหรับวิธีการกำจัดเชื้อราในบ้าน สามารถทำตามคำแนะนำได้ ดังนี้

  1. หากเป็นผ้าห่ม ให้นำไปต้มในน้ำร้อนเดือดเพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้นนำมาซักและขยี้ให้สะอาดแล้วตากในที่ที่มีแสงแดด 
  2. หากผ้าห่มมีเชื้อราขึ้นเป็นจำนวนมาก การกำจัดเชื้อราบนผ้าห่ม อาจไม่ได้ผล ควรนำไปทิ้งเพื่อป้องกันเชื้อราลุกลามไปยังจุดอื่นๆ
  3. สำหรับเชื้อราบนที่นอนหรือฟูกที่มีร่องรอยหรือกลิ่นอับชื้น ให้กำจัดเชื้อราโดยเริ่มจากใช้น้ำยาฆ่าเชื้อฉีดพรมให้ทั่วที่นอน หรือใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลผสมน้ำอุ่นเช็ดร่องรอยเชื้อราบนที่นอน จากนั้นนำที่นอนไปตากแดดจัดๆ เมื่อที่นอนแห้งสนิท ให้ดูดฝุ่นที่นอนทั้ง 2 ด้านอีกครั้ง 
  4. หากยังพบร่องรอยเชื้อราจำนวนมากจนยากที่จะกำจัด ไม่ควรนำที่นอนหรือฟูกดังกล่าวมาใช้เพื่อสุขอนามัยการนอนที่ดี
  5. ก่อนทำความสะอาดเพื่อกำจัดเชื้อรา ผ้าห่ม ที่นอนหรือฟูก ควรสวมหน้ากากถุงมือยางป้องกันการได้รับเชื้อราเข้าสู่ร่างกาย 
  6. เมื่อทำความสะอาดและกำจัดเชื้อราเสร็จแล้ว ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดทันที

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


การบอกลาให้ประทับใจในภาษาอังกฤษ

นอกจากการบอกลาด้วยคำว่า Good bye แล้ว เรายังมีคำบอกลาแบบอื่นๆ อะไรที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจและรู้สึกดีบ้างมาดูกันเลย

คำบอกลาแบบไม่เป็นทางการ

See you soon. = ไว้เจอกันใหม่นะ (ใช้ลาแบบไม่เป็นทางการ)

See you later. = ไว้เจอกันคราวหน้านะ

See you then. = แล้วเจอกันนะ

Peace หรือ Peace out! = ต้องไปแล้ว

I’m out / I’m out of here. = ไปก่อนนะ (ใช้ลาแบบไม่เป็นทางการ)

I gotta jet =  ฉันต้องไปแล้วละ

I gotta take off = ฉันต้องไปแล้วละ

I gotta roll = ฉันต้องไปแล้ว

I gotta hit the road = ฉันต้องไปแล้ว

I gotta head out = ฉันต้องไปแล้ว

Smell you later = ไว้เจอกันใหม่

คำบอกลาแบบทั่วๆ ไป

Until the next time. = ไว้เจอกันคราวหน้านะ

I have to get going. = ฉันต้องไปแล้วนะ

I’ll talk to you later. = ไว้คุยกันวันหลังนะ

Take care. = ดูแลตัวเองนะ

I’ll see you around. = ไว้เจอกันวันหลังนะ

Have a nice day./Have a good time. = โชคดีนะ ขอให้เป็นวันที่ดีนะ

Have a good weekend/vacation = ขอให้มีวันหยุดที่ดีนะ

I must be on my way. = ฉันต้องไปแล้ว

it’s time to go. = ถึงเวลาต้องไปแล้ว

I will catch you later. = แล้วเจอกัน (ใช้ในโอกาสที่คุณเร่งรีบหรือไม่มีเวลาคุย)

I’ll see you sometime. = หวังว่าคงจะได้พบคุณอีก (โดยไม่มีการนัดหมายกันล่วงหน้า)

So long = ไว้พบกันใหม่นะ

All right then = งั้นลาแล้วนะ

I look forward to our next meeting = ผมจะรอวันที่เราได้พบกันครั้งหน้า

คำอวยพรหลังจากการบอกลาง่ายๆ

Lots of luck = ขอให้โชคดี

Best of luck. = ขอให้โชคดี

All the best. = ขอให้โขคดี

นอกจากนี้ยังมีคำทิ้งท้ายต่อจากการบอกลาอีกหลายคำ ดังนี้

Thank you for everything. = ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ

It’s really nice to know you = ดีจริงๆ เลยที่ได้รู้จักเธอ

It’s been a pleasure to have you with us = พวกเราดีใจมากที่มีเธออยู่กับเรา

How lucky I am to known someone who was hard to say goodbye to = ฉันโชคดีแค่ไหนที่ได้พบคนที่ยากจะบอกลา

I’ve had a wonderful time. = ฉันได้มีช่วงเวลาที่วิเศษจริงๆ

Look forward to seeing you again soon = ตั้งตารอที่จะพบเธออีกเร็วๆนี้น้า

Please remember me to… = ฝากความคิดถึงไปให้…ด้วย

Thank you. I enjoyed seeing you again = ขอบคุณ ฉันมีความสุขมากที่ได้พบคุณ

Say hello to your family for me = ฝากคำทักทายครอบครัวคุณด้วยนะ

Keep in touch = อย่าลืมติดต่อกันด้วยนะ

หลังจากที่เราบอกลาแล้ว หากมีโอกาสได้เจอกันใหม่ มีคำทักทายดังนี้

Long time no see = ไม่เจอกันนานเลยนะ

It was nice to see you again / It was nice seeing you = ยินดีที่ได้พบคุณนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


หายข้องใจ! ความเชื่อเดิมๆ เกี่ยวกับการเปิด-ปิด ตู้เย็น อันไหนเปลืองกว่า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่ในสมัยนี้ต้องพึ่งไฟฟ้ากันแทบจะทุกอย่าง และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าค่าไฟฟ้าบ้านเรากำลังแพงขึ้นแพงขึ้นในทุกๆ เดือน ไม่ว่าจะประหยัดยังไงก็ไม่ยอมลด

วันนี้เรามีคำถามชวนปวดหัวมาบอกกัน กับเรื่องที่ว่าเปิดตู้เย็นๆ บ่อยๆ กับเปิดค้างแบบไหนประหยัดไฟฟ้ามากกว่ากัน!!!

ความเชื่อเดิมๆ เกี่ยวกับการเปิด-ปิด ตู้เย็น มีอยู่ว่าการเปิดตู้เย็นบ่อยๆ จะทำให้เปลืองไฟมากกว่าการเปิดทิ้งไว้นานๆ ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะการเปิดตู้เย็นแต่ละครั้งนั้นใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับการเปิดทิ้งไว้นานๆ ซึ่งจะทำให้ตู้เย็นต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในตู้ให้คงที่ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เปลืองไฟมากกว่า

จากผลการทดสอบของ Energy Star พบว่าการเปิดตู้เย็น 3 ครั้งต่อวัน เปลืองไฟน้อยกว่าการเปิดทิ้งไว้นาน 24 ชั่วโมงถึง 10% นอกจากนี้ การเปิดตู้เย็นบ่อยๆ ยังช่วยให้อาหารสดใหม่อยู่ได้นานขึ้นอีกด้วย

ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าการเปิดตู้เย็นบ่อยๆ จะทำให้เปลืองไฟนั้นไม่เป็นความจริง การเปิดตู้เย็นบ่อยๆ ไม่ได้ทำให้เปลืองไฟมากกว่าการเปิดทิ้งไว้นานๆ แต่การเปิดตู้เย็นบ่อยๆ จะช่วยให้อาหารสดใหม่อยู่ได้นานขึ้น

เคล็ดลับการประหยัดไฟจากตู้เย็น

  • ปิดตู้เย็นทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน
  • ทำความสะอาดช่องแช่แข็งเป็นประจำ เพื่อขจัดน้ำแข็งที่เกาะอยู่ เพราะน้ำแข็งจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้ตู้เย็นต้องทำงานหนักขึ้น
  • เลือกตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
  • วางตู้เย็นให้ห่างจากแหล่งความร้อน
  • ปรับอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้เหมาะสม โดยไม่ควรต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส
  • เช็ครอยรั่วของตู้เย็นเป็นประจำ

การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยประหยัดไฟจากตู้เย็นได้มากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“กล้วย” และ ประโยชน์ดีๆ ต่อสุขภาพ บรรเทาโรคระบบทางเดินอาหาร-บำรุงร่างกาย

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เผยวิธีการใช้ประโยชน์จากกล้วย เป็นยาบำรุงร่างกาย ตามองค์ความรู้ด้านศาสตร์การแพทย์แผนไทย ใช้เป็นรักษาโรคทางระบบทางเดินอาหาร ยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำและบำรุงน้ำนมในสตรีให้นมบุตร โดยเฉพาะ ตำรับกล้วยดองน้ำผึ้ง ตามศาสตร์หมอพื้นบ้าน ยังเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย 

นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กล้วยสามารถนำมาประกอบอาหาร หรือปรุงเป็นยารักษาโรคได้ ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย มีการนำกล้วยน้ำว้ามาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ

“กล้วย” และ ประโยชน์ดีๆ ต่อสุขภาพ

  • กล้วยน้ำว้าดิบหรือห่าม ซึ่งมีรสฝาด จะใช้บรรเทาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ (อุจจาระไม่มีมูกเลือดปนหรือท้องเสียชนิดที่ไม่มีไข้) เนื่องจากสารแทนนินในกล้วยน้ำว้าดิบหรือห่าม มีสรรพคุณช่วยลดการหดเกร็งและลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ จะช่วยบรรเทา อาการท้องเสียได้

วิธีรับประทาน 

  1. รับประทานครั้งละ ครึ่งลูก หรือ 1 ลูก 
  2. หรือฝานเป็นแว่นๆ ตากแดดให้แห้งแล้วบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 10 กรัม ชงในน้ำร้อน 120 – 200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร หรือเมื่อมีอาการ 
  • กล้วยน้ำว้าสุก มีรสหวาน มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เนื่องจากมีสารเพคตินอยู่เป็นจำนวนมาก จึงช่วยเพิ่มกากอาหาร ให้กับลำไส้ เมื่อผนังลำไส้ถูกดันก็จะทำให้รู้สึกอยากขับถ่าย 

วิธีรับประทาน 

รับประทานครั้งละ 1 – 2 ลูก และดื่มน้ำเปล่าตามมากๆ

  • หัวปลี สรรพคุณ เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนมในสตรีให้นมบุตร โดยจะนำมาปรุงเป็นอาหาร เมนูต่างๆ เช่น ยำหัวปลี แกงเลียงหัวปลี หมกหัวปลีใส่ไก่ ฯลฯ หรือรับประทานเป็นผักเคียงในเมนูผัดไทย เป็นต้น 
  • กล้วยดองน้ำผึ้ง

กล้วยดองน้ำผึ้ง เป็นสูตรตำรับยาหมอพื้นบ้าน ที่เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงผิวพรรณ และบำรุงกำหนัด 

วิธีทำ 

  1. นำกล้วยน้ำว้าสุกปอกเปลือกแล้วใส่ลงในโหลแก้ว
  2. เติมน้ำผึ้งพอท่วม ดองไว้ 3 เดือน 

ขนาดรับประทาน รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 มิลลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง 

ตำรับนี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน 

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามโดยตรงได้ที่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หมายเลขโทรศัพท์ 0 2149 5678 หรือช่องทางออนไลน์ที่เฟซบุ๊ก และ ไลน์แอดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก line@DTAM

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/09/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a32,800.0032,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,125.0032,215.0033,400.00
ทองรูปพรรณ 90%1,912.5028,993.50n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,700.0025,772.00n/a
ทองรูปพรรณ 50%956.0014,492.96n/a
ทองรูปพรรณ 40%744.0011,279.04n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,202.0033,382.32n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/09/2566



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9539.9539.9540.7539.9540.3539.9539.9539.9539.9539.95
แก๊สโซฮอล์ 9139.6839.6840.4839.6840.0839.6839.6839.6839.6839.68
แก๊สโซฮอล์ E2037.6437.6438.4437.6438.0437.6437.6437.6437.64
แก๊สโซฮอล์ E8537.2937.2937.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.9449.3450.9449.3444.94
เบนซิน 9547.7449.3148.2447.8947.74
ดีเซล B729.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9430.4429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม40.2442.3449.4442.3441.6440.24
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า