คอนโดBranded Residenceไทยมาแรง!เปิดมากสุดในเอเชียดึงต่างชาติ-นักลงทุน
ทึ่ง!คอนโดBranded Residenceไทยมาแรง!เปิดมากสุดในเอเชียเหยียบ5,000 หน่วยจาก 34 โครงการคาด7 ปีจากนี้โตกว่า 70% ชี้เป็นแม่เหล็กดึงลูกค้าต่างชาติ-นักลงทุนดันขายสูงกว่าคอนโดทั่วไป10% หากเป็นแบรนด์โรงแรม5 ดาวราคาพุ่งกว่า 3.5แสนบาทต่อตร.ม.
“Branded Residence” เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง และน่าจับตามองสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยภูมิภาคเอเชียนับว่ามี Branded Residence มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จากข้อมูล C9Hotelworks ประเทศไทยมีเกือบ 5,000 หน่วย จาก 34 โครงการ มากที่สุดในเอเชียเทียบฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ศรีลังกา ส่วน Savills ระบุว่า 10 ปีที่ผ่านมาตลาดเอเชียแปซิฟิก มีโครงการ Branded Residence เพิ่มขึ้น 216%
ชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ไทยมีซัพพลาย Branded Residence ราว 29% จากซัพพลาย Branded Residence ทั้งหมดในตลาดเอเชียแปซิฟิก ที่น่าสนใจ ประเทศไทยมีเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 คือกรุงเทพฯ อันดับ 8 ภูเก็ต อันดับ 9 พัทยา จึงเป็นโอกาสที่ดีในการนำเสนอ Branded Residenceให้ชาวต่างชาติ รวมทั้งนักลงทุน
“ก่อนโควิดต่างชาตินิยมซื้อคอนโด Branded Residence จึงมักขายหมดโควตา 49% เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจเพราะลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่คอนโดตากอากาศ แต่มองหาคอนโดที่มีบริการโรงแรมเข้ามาช่วยดูแลผู้เช่า เจ้าของไม่ต้องปวดหัว”
คาดการณ์ Branded Residence ในประเทศไทย เฉลี่ยภายในปี 2573 หรือ 7 ปีจากนี้ จะเติบโตกว่า 70% !! หรือเฉลี่ยปีละกว่า 10% ซึ่งโครงการ Branded Residence มีมากสุดไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่อยู่ที่ภูเก็ต!
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า Branded Residence หรือโครงการที่อยู่อาศัยที่มีโรงแรมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของที่อยู่อาศัยที่พบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวของไทย เช่น พัทยา ภูเก็ต สมุย ชะอำ หัวหิน กระบี่ พังงา ที่มีบริการโรงแรมระดับ 3-5 ดาว เพื่อดูแลส่วนกลางและบริการต่างๆ จะได้ไม่ต้องจัดจ้างพนักงานเพิ่ม
“ในกรุงเทพฯ มีหลายโครงการที่เปิดขายมานาน บางแห่งมากกว่า 10 ปี ซึ่งโครงการรูปแบบนี้มักจะมีแบรนด์ของโรงแรมเป็นส่วนหนึ่งของชื่อโครงการเพื่อสื่อถึงความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะต่างชาติ จึงมีราคาขายที่สูงกว่าคอนโดทั่วไปราว 10%”
ปัจจุบันมีคอนโด Branded Residence ในกรุงเทพฯ เปิดขาย 4,200 ยูนิต ส่วนใหญ่เปิดขายตั้งแต่ ปี 2558 แต่ช่วงปี 2562 แทบจะไม่มีโครงการรูปแบบนี้เปิดขาย และกลับมาเปิดขายอีกครั้งปลายปี 2566
คอนโด Branded Residence ในกรุงเทพฯ มีทั้งการขายแบบกรรมสิทธิ์ในเอกสารสิทธิ์ถาวร และการขายแบบสิทธิการเช่า 30 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งการขายแบบสิทธิการเช่าอาจตั้งราคาขายค่อนข้างสูงเทียบการขายแบบกรรมสิทธิ์ เพราะแบรนด์โรงแรมที่เข้ามาบริหารอยู่ในระดับที่สูงกว่า หากเป็นแบรนด์โรงแรม 5 ดาว บางโครงการเปิดขายมากกว่า 350,000 บาทต่อตร.ม.หรือเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทต่อยูนิต
ขณะที่โครงการที่ขายแบบกรรมสิทธิ์อาจมีราคาขายต่ำกว่าค่อนข้างมาก ราว 220,000 บาทต่อตร.ม. ถ้าเปิดขายก่อนปี 2560 ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 170,000 บาทต่อตร.ม. แต่โครงการที่ขายแบบสิทธิการเช่าราคาขายหรือมูลค่าจะ ”ลดลง” เมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อระยะเวลาในสัญญาเช่าลดน้อยลงจากที่เปิดขายวันแรก
สำหรับอัตราการขาย Branded Residence ในกรุงเทพฯ เฉลี่ย 78% ทำให้ยูนิตเหลือขายไม่มาก ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ชั้นในตามแนวถนนสุขุมวิท และพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ หรือรูปแบบเฉพาะ เช่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา รอบสวนลุมพินี หรือใน CBD จึงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อชาวไทยและต่างชาติ
แม้ว่าหลายโครงการจะขายแบบสิทธิการเช่าระยะยาวก็ตาม โครงการรูปแบบนี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนที่ดินราคาสูงในพื้นที่เมืองชั้นในหรือบนที่ดินสิทธิการเช่าระยะยาว ผู้ประกอบการจึงต้องเพิ่มการบริหารและบริการรูปแบบนี้เข้าไปในโครงการเพื่อที่จะปรับราคาขายให้เหมาะสมกับราคาที่ดินและต้นทุนพัฒนาโครงการ
ราคาขายเฉลี่ยของ Branded Residence ปัจจุบันอยู่ที่ 250,000 บาทต่อตร.ม. บางโครงการมากกว่า 300,000 และ 400,000 บาทต่อตร.ม. !!
แนวโน้มโครงการ Branded Residence ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวชายทะเล ทว่าจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นไม่มากเฉลี่ยเปิดปีละ 1-2 โครงการ เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก เช่น กลุ่มทีซีซี มี Branded Residence ในโครงการวันแบงค็อก และ เอเชียทีค รวมถึงพื้นที่ “ล้ง 1919” ที่เปลี่ยนเป็นแบรนด์โรงแรมหรูระดับโลก The Ritz-Carlton
สอดคล้องกับทิศทางของ Branded Residence ในหลายประเทศทั่วโลก เพราะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของ”นักลงทุน”ที่ต้องการเป็นเจ้าของโครงการ Branded Residence ที่อาจมีเพียง 1 โครงการในประเทศนั้นๆ หากแต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในระยะยาว คือ แบรนด์โรงแรมที่มีส่วนร่วมกับโครงการ จะยืนระยะไปได้นานแค่ไหน?
ก่อนหน้านี้มีเรื่องของการเปลี่ยนแบรนด์โรงแรมในการบริหารหรือมีส่วนร่วมในโครงการ ถ้าแบรนด์โรงแรมที่เข้ามาบริหารใหม่หลังจากแบรนด์เดิมนั้นมีชื่อเสียงไม่เหมือนเดิม จะมีผลต่อราคาขายในอนาคตหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่าราคาขายช่วงแรกเป็นราคาที่ตั้งมาจากแบรนด์โรงแรมเข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการโรงแรม
อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงส่วนของค่าส่วนกลางที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจมีผลต่อการรักษามาตรฐานบริการและการบริหารส่วนกลางในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“กับดัก”ของคนอยากมีบ้าน”ไร้เงินออม”หันมาเช่าแทนซื้อ
เกาะติดเทรนด์ที่อยู่อาศัยชาวอาเซียน “ความท้าทายการเงิน” กับดักของคนอยากมีบ้าน ผลสำรวจดีดีพร็อพเพอร์ตี้ชี้อัตราดอกเบี้ยมีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาเช่าแทนซื้อเหตุไม่มีเงินออม
ความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยล่าสุดใน 4 ตลาดหลักของอาเซียนประกอบด้วยประเทศไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และเวียดนาม จากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study และแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียนรอบล่าสุดจากเว็บไซต์ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป (NYSE: PGRU) เผยให้เห็นมุมมองและความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค แม้จะเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เป็นปัจจัยสั่นคลอนสภาพคล่องทางการเงินอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรการซื้อที่อยู่อาศัยก็ยังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ชาวอาเซียนให้ความสำคัญ
แม้อสังริมหาทรัพย์จะเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูง แต่ยังมี”โอกาส”ต่อยอดลงทุนได้ในระยะยาว จึงทำให้มากกว่าครึ่งของผู้บริโภคในอาเซียนยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ไม่น้อย โดยเกือบ 2 ใน 3 ของชาวสิงคโปร์ (64%) วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 1 ปีข้างหน้า ตามมาด้วยชาวเวียดนาม (61%) ชาวมาเลเซีย (56%) และชาวไทย (53%) ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในตลาดอาเซียน
สวนทางกับดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์และความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยครองอันดับหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่ายังมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ผลกระทบทางการเงินยังผลักดันให้คนรุ่นใหม่เลือกเช่าแทนจนเกิดเป็นเทรนด์ Generation Rent ในปัจจุบัน
นอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว อัตราดอกเบี้ยยังถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคในอาเซียนส่วนใหญ่กว่า 3 ใน 4 ต่างมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยชาวมาเลเซีย 86% มองว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับสูง รองลงมาคือชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 81%, ชาวไทยอยู่ที่ 76% และชาวเวียดนามอยู่ที่ 75%
• มากกว่าครึ่ง (51%) ของชาวสิงคโปร์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมองว่าการจะมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเองมีความยาก โดยมีค่าเฉลี่ยสูงในกลุ่มผู้ที่มีสถานะโสด (55%) ขณะที่คู่สมรสที่มีบุตรก็มีมุมมองเช่นเดียวกัน (49%) อันเป็นผลมาจากความท้าทายต่าง ๆ ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง และราคาอสังหาฯ ที่เป็นปัจจัยขัดขวางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้
ซึ่งมากกว่าครึ่ง (53%) ของชาวสิงคโปร์เผยว่าจะชะลอแผนซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์เงินเฟ้อจะดีขึ้น ขณะที่ผู้เช่าส่วนใหญ่ (37%) วางแผนจะเช่าต่ออีกไม่เกิน 2 ปีและจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ดี หากเผชิญสถานการณ์ที่โครงการขึ้นค่าเช่า ผู้เช่าเกือบครึ่ง (44%) จะเลือกมองหาโครงการอื่นที่มีค่าเช่าถูกกว่าแทน และ 37% จะลดการใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อนำมาจ่ายค่าเช่าที่สูงขึ้นนี้
สำหรับปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของประชากรสิงคโปร์นั้น มากกว่า 2 ใน 3 (71%) ให้ความสำคัญกับขนาดที่อยู่อาศัยมากที่สุด ตามมาด้วยราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย 69% ส่วนประเภทที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก มีสัดส่วนเท่ากันที่ 39%
• เหตุผลสำคัญที่ชาวมาเลเซียวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เน้นไปที่การลงทุนเป็นหลัก โดยเกือบครึ่ง (46%) ซื้อเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ ตามมาด้วยซื้อเพื่อลงทุนหารายได้จากค่าเช่า (43%) มีเพียง 25% เท่านั้นที่ซื้อเพราะต้องการพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเพียง 27% เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง
ขณะที่มากกว่าครึ่ง (54%) เผยว่าเก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่วนอีก 18% ยังไม่ได้เริ่มแผนเก็บเงินใด ๆ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการใช้จ่ายยังคงเป็นความท้าทายของคนหาบ้าน โดยชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ (41%) เผยว่าหน้าที่การงานที่ไม่มั่นคงและรายได้ที่ไม่แน่นอนถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่ออสังหาฯ
อย่างไรก็ดี ราคาขายเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอยถือเป็นปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุด (42%) ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลส่วนใหญ่ที่ชาวมาเลเซียเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนเป็นหลัก ตามมาด้วยพิจารณาจากประเภทที่อยู่อาศัย (36%) และขนาดที่อยู่อาศัย (31%) ส่วนปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจนั้น เกือบครึ่ง (49%) จะให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งมากที่สุด ตามมาด้วยความปลอดภัยของโครงการ (47%)
• มากกว่าครึ่ง (59%) ของชาวเวียดนามเผยว่าเหตุผลหลักที่ทำให้วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้ามาจากความต้องการซื้อเพื่อลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลาน (26%) และต้องการพื้นที่ส่วนตัว (22%)
ขณะเดียวกัน เหตุผลหลักของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้านั้น ส่วนใหญ่ (38%) เผยว่าไม่ต้องการปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งและชอบความยืดหยุ่นของการเช่า ตามมาด้วยมองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพง จึงอยากเก็บเงินไว้แทน (29%) และไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้ (27%) อย่างไรก็ดี ผู้เช่าส่วนใหญ่ (31%) วางแผนจะเช่าที่อยู่อาศัยไม่เกิน 2 ปี ก่อนจะซื้อเป็นของตัวเองในอนาคต โดยหากบ้าน/คอนโดฯ ที่เช่าอยู่มีการปรับราคาขึ้น ผู้เช่าส่วนใหญ่ (30%) เลือกที่จะวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยให้เร็วขึ้น รองลงมาคือเลือกหาที่ใหม่ที่ค่าเช่าถูกกว่าแทน และจะลดค่าครองชีพลงเพื่อมาใช้จ่ายค่าเช่า ในสัดส่วนเท่ากันที่ 28%
• เหตุผลที่ทำให้ชาวไทยตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมาจากความต้องการของตนเองเป็นหลัก แตกต่างจากชาวมาเลเซียและชาวเวียดนามที่ให้ความสำคัญไปที่การลงทุนมาเป็นอันดับแรก
โดยชาวไทยส่วนใหญ่ (44%) ซื้อเพราะต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด รองลงมาคือ ซื้อเพื่อการลงทุน (28%) และต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลาน (24%) ซึ่งวัยทำงานมักจะเริ่มขยับขยายที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการสร้างครอบครัวในอนาคต
อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงความพร้อมทางการเงินของคนไทย มีผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเพียง 2 ใน 5 (24%) เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในเวลานี้ ขณะที่ส่วนใหญ่ (54%) เก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น และ 1 ใน 5 (21%) ยังไม่ได้เริ่มแผนเก็บเงินใด ๆ
ขณะเดียวกัน ปัจจัยทางการเงินยังคงเป็นความท้าทายเมื่อต้องยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยมากกว่าครึ่งของชาวไทย (56%) เผยว่ารายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคงถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้าน ตามมาด้วยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี (32%) และสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ไม่เอื้ออำนวย (29%)
นอกจากนี้ ความท้าทายทางการเงินยังส่งผลให้ชาวไทยหันมาเลือกการเช่าแทน เกือบ 2 ใน 3 (64%) ของผู้ที่เลือกเช่าเผยว่าไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่ 41% มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไปจึงขอเก็บเงินไว้แทน และไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องซื้อในเวลานี้ (30%)
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย เกือบครึ่งของชาวไทย (45%) เลือกจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก (41%) และราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (38%) ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจ มากกว่าครึ่งจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการเป็นหลัก (51%) และต้องเดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (50%) ตามมาด้วยเลือกจากทำเลที่ตั้งของโครงการ (47%)
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 26ต.ค.”อ่อนค่า”ที่ระดับ 36.24 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก จับตานักลงทุนต่างชาติจะกลับมาเทขายทั้งหุ้นและบอนด์ไทยเพิ่มเติมหรือไม่
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 26ต.ค.2566ที่ระดับ 36.24 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.22 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินอาจกดดันให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก
(แนวต้านถัดไปจะอยู่ในโซน 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งต้องจับตาว่า นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาเทขายทั้งหุ้นและบอนด์ไทยเพิ่มเติมหรือไม่ หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงในคืนที่ผ่านมา อีกทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้นใกล้โซน 5% อีกครั้ง
นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน โฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าก็อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง
ทั้งนี้ เรามองว่า หากราคาทองคำยังคงทรงตัวแถว 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ปรับตัวขึ้นบ้าง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้
ทว่า เรายังมองว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน จนกว่าตลาดจะคลายกังวลต่อแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หรือ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer)
เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาด ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน ตั้งแต่ช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB รวมถึงถ้อยแถลงของประธาน ECB (ในช่วงเวลาประมาณ 19.15 น. และ 19.45 น. ตามเวลาประเทศไทย) และรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 (ในช่วงเวลาประมาณ 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย)
โดยหาก ECB กังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนมากขึ้น พร้อมส่งสัญญาณจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยที่ชัดเจน ขณะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อได้ไม่ยาก ซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์ได้
เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน สถานการณ์สงครามที่เสี่ยงทวีความรุนแรงและบานปลาย ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.15-36.35 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงาน GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ
และมองกรอบในช่วง 36.05-36.55 บาท/ดอลลาร์ หลังตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงาน GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 36.13-36.25 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกจำกัดโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำสามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.)ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างเทขายหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ อาทิ Alphabet -9.5% หลังรายงานผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง
นอกจากนี้ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่เข้าใกล้ระดับ 5.00% อีกครั้ง ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) ซึ่งแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ ดังกล่าวได้กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.43% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.43% ทั้งนี้
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.04% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ไม่ได้แย่ไปกว่าคาดมาก ส่วนหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ผลประกอบการออกมาดีกว่าคาดก็ยังคงสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ อาทิ Dassault System +8%, Hermes +2.8%
ฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดอาจสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) และความกังวลแนวโน้มปริมาณการออกบอนด์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามการขาดดุลงบประมาณ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.95% อีกครั้ง
สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ได้ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงมีความผันผวนอยู่ และจะยังไม่สามารถกลับมาเป็นแนวโน้มขาลงได้ง่าย จนกว่าตลาดจะเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง และเฟดอาจไม่สามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบ Higher for Longer ได้ ทว่า เราคงคำแนะนำเดิมว่า นักลงทุนสามารถทยอย Buy on Dip ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก Risk-Reward ของการถือบอนด์ระยะยาวในช่วงยีลด์สูงมีความคุ้มค่าและน่าสนใจอยู่มาก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินผันผวนและปิดรับความเสี่ยง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 106.5 จุด (กรอบ 106.2-106.6 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงสามารถทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากแรงซื้อทองคำในช่วงตลาดการเงินผันผวน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดก็เริ่มคลายกังวลต่อสถานการณ์สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาสไปพอสมควร
ทั้งนี้ เรามองว่า ราคาทองคำมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงและปรับตัวลดลงได้ หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะเฟด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ถ้ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3
โดยในส่วนของการประชุม ECB นั้น เราประเมินว่า ECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วที่ระดับ 4.00% (Deposit Facility Rate) หลังภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น อนึ่ง เราจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB และแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน
สำหรับรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 นั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวกว่า +4.1%q/q, เทียบรายปี (GDPNow โดย Atlanta Fed ประเมิน +5.4%)
อย่างไรก็ดี แม้ว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 อาจขยายตัวได้แข็งแกร่ง ทว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอลงมากขึ้นในระยะข้างหน้า ตามภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังการเริ่มเก็บหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (Student Loans) ในเดือนตุลาคม และปริมาณเงินออมส่วนเกิน (Excess Saving) ที่ได้ลดลง จนอาจหมดไปแล้วสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงผลการประชุม ECB ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงนี้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าลงอีกครั้ง มาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 36.30-36.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับค่าเงินสกุลหลักและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยเฉพาะยีลด์ระยะยาวที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย. ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้เบื้องต้นที่ 36.15-36.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางสกุลเงินเอเชีย สถานการณ์ในตะวันออกกลาง และผลการประชุม ECB ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 3/2566 จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนก.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สมราคาราชินีเอเป้! “สายสุนีย์” ทุบเจ้าภาพ ผงาดซิวทองฟันดาบเอเชียนพาราเกมส์
การแข่งขัน ฟันดาบ เอเชียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 ที่เอชดียู ยิมเนเซียม เมืองหางโจว ประเทศจีน เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 มีการแข่งขันประเภทเอเป้ บุคคลหญิง คลาสบี “แวว” สายสุนีย์ จ๊ะนะ ราชินีฟันดาบเอเป้ของไทย ดีกรีเหรีญทองแดงพาราลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ญี่ปุ่นและเจ้าของเหรียญทอง เอเชียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 3 ที่อินโดนีเซีย ได้คิวลงทำการแข่งขันหลังจากคว้ามา 2 เหรียญทองแดงในประเภทฟอยล์ บุคคลและทีมหญิง มาก่อนหน้านี้
รอบ 16 คนสุดท้าย สายสุนีย์ เอาชนะ อิชาห์ มาตาร์ จากคูเวต ไปขาดลอย 15-2 ก่อนในรอบ 8 คนสุดท้ายจะเอาชนะ หงา ติง ตง จากฮ่องกง ไปแบบไม่ยาก 15-8 ตบเท้าเข้าสู่รอบรองชนะเลิศดวลกับ อันริ ซากุราอิ จากญี่ปุ่น ซึ่ง “แวว” ก็ไม่พลาดเอาชนะไปได้ 15-7 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปเจอกับ ลัน ซู อา จากจีน เจ้าภาพ
เปิดฉากมาทาง สายสุนีย์ ทำได้ดีกว่าทิ้งห่างไป 4-1 จากนั้นทาง ลัน ซู เอา ก็พยายามสู้จนตามมาเสมอกันที่ 5-5 หลังจากนั้นทาง “แวว” ก็เร่งเครื่องฉีกหนีไปอีก 11-5 แม้ว่าทางเจ้าภาพจะไล่ตามมาเป็น 11-8 แต่เจ้าของเหรีญทองแดงพาราลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ญี่ปุ่น อาศัยความเก๋าทำแต้มรวดเดียวเอาชนะไปได้ 15-9 คว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จและเป็นการป้องกันแชมป์เอาไว้ได้อีกสมัย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
7 วิธีคลายเครียด-ลดความดันโลหิต ลดเสี่ยงโรคหัวใจ-เส้นเลือดสมองแตก
ความเครียด และความดันโลหิตสูง เป็นตัวการสำคัญของโรคหัวใจ และหลอดเลือด หากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนเครียดง่าย หงุดหงิดง่าย และยังมีปัญหาในเรื่องความดันโลหิตสูง เรามาลดความเสี่ยงเหล่านี้ด้วยเคล็ดลับจาก Harvard Health Publishing กันดีกว่า
- นอนหลับให้เพียงพอ หากนอนหลับไม่เพียงพอ คือน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน รวมถึงหากนอนไม่ค่อยหลับ หลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน อาจทำให้คุณกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังทำให้เป็นคนเนือยนิ่ง ไม่กระตือรือร้น พลังงานตก และยังส่งผลถึงร่างกายโดยรวมอีกด้วย
- เรียนรู้วิธีผ่อนคลายความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ ยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกวิธีหายใจเข้าออก เล่นโยคะ ฟังเพลงช้าๆ เบาๆ เป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดที่น่าสนใจ
- เข้าหาเพื่อนฝูง รู้หรือไม่ว่าเพื่อนสนิทตัวดีของคุณเป็นยาผ่อนคลายความเครียดมือฉมังที่เราไม่ควรมองข้าม เมื่อไรก็ตามที่เครียด เรียกเพื่อนมานั่งคุยปรับทุกข์ด้วยกัน หรือจะทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน เท่านี้ก็ผ่อนคลายความเครียดได้มากกว่าที่คุณคิดแล้ว
- วางแผนเวลาในการทำงานให้ดี หากเราจัดตารางทำงานได้อย่างเป็นระเบียบล่วงหน้า แล้วสามารถทำตามเวลาที่วางแผนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี จะทำให้งานสำเร็จลุล่วง และไม่ต้องกังวล หรือเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต
- อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาคาราคาซังนานๆ ต้นเหตุของความเครียดมักมาจากเรื่องราวที่ไม่ได้ถูกพูดคุยกันอย่างละเอียดตรงๆ การพูดคุยกันตรงๆ เพื่อหาข้อตกลง พร้อมวิธีแก้ไขให้มันดีขึ้น จะช่วยสางปัญหาที่ทำให้เครียดไปได้ทีละเรื่องๆ และทำให้สมองของคุณโล่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่มีปัญหา ควรรีบพูดคุยให้เข้าใจตรงกันทุกฝ่ายให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้ปัญหา และความไม่เข้าใจก่อตัวขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ และสุขภาพจิตของเรา
- ให้รางวัลตัวเอง ทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จตามแผนที่วางเอาไว้ หรือมีปัญหาที่ต้องแก้ไขจนทำให้เริ่มรู้สึกเครียด ให้บอกตัวเองว่า “เมื่อฉันทำสิ่งนี้เสร็จ ฉันจะไปหาของอร่อยๆ กิน” หรือ “หากฉันแก้ปัญหานี้ได้ ฉันจะรีบไปดูหนังเรื่องโปรดที่อยากดูมานานให้ได้” เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้กำลังใจตัวเองก่อนที่จะเริ่มมีความเครียดเกิดขึ้น
- ขอความช่วยเหลือ หลายครั้งที่มีความเครียดเกิดขึ้น เราอาจจัดการกับตัวเองได้อย่างเฉียบแหลม แต่ก็น่าจะมีหลายครั้งที่เราเริ่มรู้สึกจนตรอก ไร้ซึ่งวิธีที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น การคิดทบทวนอยู่คนเดียวอาจได้มุมมองด้านเดียว ดังนั้นเราจึงควรมองหาตัวช่วยที่เราไว้ใจได้ และถามหาความเห็นจากเขาเหล่านั้น คำตอบจากคนอื่นอาจเป็นคำตอบที่ดี และเราคาดไม่ถึงก็ได้
นอกจากการดูแลจิตใจ และสมองให้ปลอดโปร่ง เพื่อลดตึงความเครียดแล้ว ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงเป็นปกติอยู่เสมอ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานผักผลไม้ และอาหารที่มีใยอาหารมากๆ รวมถึงโปรตีนไขมันต่ำ และไขมันดีจากปลา น้ำมันมะกอก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เท่านี้จะช่วยควบคุมอารมณ์ และระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติได้อย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
โกหก ภาษาอังกฤษพูดว่ายังไงกันนะ?
คำที่นิยมใช้มากที่สุดคือคำว่า Lie (ลาย) ซึ่งเป็นได้ทั้งคำนาม (Noun) แปลว่าคำโกหก และคำกริยา (Verb) ที่แปลว่าโกหก
ตัวอย่างการใช้คำว่า Lie เป็นคำนาม เช่น
Never tell me a lie again! (อย่าโกหกฉันอีกเป็นอันขาด!)
Your lies pain me (คำโกหกต่างๆของเธอมันทำร้ายฉัน)
ตัวอย่างการใช้คำว่า Lie เป็นคำกริยา เช่น
Don’t lie to me (อย่ามาโกหกฉัน)
Are you lying to me? (นี่แกโกหกฉันอยู่ใช่ไหม?)
มีอีกคำที่เอาไว้ด่าใส่หน้าคนขี้โกหก นั่นก็คือคำว่า Liar (ไล อ่าร์) แปลว่า คนขี้โกหก
You are a liar (เธอมันคนขี้โกหก)
Don’t trust him, he is such a liar (อย่าไปเชื่อเขา เขาเป็นคนขี้โกหก)
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายศัพท์ที่มีความหมายในเชิงการโกหก การหลอกลวง ได้แก่
1. Bluff (บลัฟ): การหลอกให้หลงกล
Is he going to jump or is he only bluffing? (นี่เขากำลังจะโดดจริงหรือแค่หลอกให้หลงกลเฉยๆ)
2. Canard (แค นาร์ด): เรื่องเท็จ รายงานเท็จ
Look! It is a canard (ดูสิ นี่มันรายงานเท็จนี่)
3. Deceit (ดิ ซีท): การหลอกลวง
Finally, his deceits were revealed (ในที่สุดการหลอกลวงของเขาก็ถูกเปิดโปง)
4. Deception (ดิ เซพ เชิ่น): การหลอกลวง ตบตา
It wasn’t really magic – just some kind of clever visual deception (ไม่ใช่เวทย์มนต์อะไรหรอก มันก็แค่ภาพตบตาเจ๋งๆ)
5. Distortion (ดิส ทอร์ เชิ่น): การบิดเบือน
False retelling of events is an example of distortion (การเล่าเรื่องแบบผิดๆเป็นตัวอย่างของการบิดเบือน)
6. Equivocation (อิค ควิ เวอะ เค เชิ่น): การพูดกำกวม อ้อมค้อม
He answered openly without equivocation (เขาตอบคำถามอย่างเปิดเผย ปราศจากการพูดกำกวม)
7. Exaggeration (อิ๊ค แซก เจอะ เร เชิ่น): การพูดเกินจริง
Honestly, without any exaggeration, the fish was three metres long (นี่ไม่ได้พูดเกินจริงเลยนะ ตัวปลามันยาวตั้ง 3 เมตรจริงๆ)
8. Fable (เฟเบิ้ล): เรื่องโกหก เรื่องที่แต่งขึ้น
What you have said is just a fable (ที่เธอพูดมามันเรื่องโกหกทั้งนั้น)
9. Fabrication (แฟ บริ เค เชิ่น): การปลอมขึ้นมา
The whole story about how her stepson died was a fabrication (เรื่องการตายทั้งหมดของลุกเลี้ยงเธอมันเป็นเรื่องปลอม)
10. Fairy tale (แฟรี่ เทล): เรื่องแหกตา เรื่องโกหก
He’s telling us another fairy tale about how great the software will be (เขากำลังเล่าเรื่องแหกตาเกี่ยวกับความดีงามของซอฟต์แวร์ตัวนี้ให้เราฟัง)
11. Fallacy (แฟล เลอะ ซี่): เรื่องหลอกลวง
It’s a common fallacy that women are worse drivers than men (เรื่องหลอกลวงที่รู้กันดีคือผู้หญิงขับรถแย่กว่าผู้ชาย)
12. Falsehood (ฟ้อลซ์ หูด): การโกหก
She doesn’t seem to understand the difference between truth and falsehood (ดูเหมือนว่านางจะไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างความจริงกับการโกหกนะ)
13. Falsify (ฟ้อลซิไฟย์): ปลอมแปลง
The certificate had clearly been falsified (ประกาศนียบัตรนี่ถูกปลอมแปลงชัดๆ)
14. Falsity (ฟ้อลซิติ): เรื่องปลอม
Believe me, it’s not the falsity (เชื่อฉันเถอะ มันไม่ใช่เรื่องปลอมนะ)
15. Fib (ฟิบ): โกหกเล็กๆน้อยๆ
I can tell he’s fibbing because he’s smiling! (ฉันบอกได้เลยว่าเขาโกหกอยู่ ก็เพราะเขากำลังยิ้มอยู่นั่นไงล่ะ!)
16. Fiction (ฟิค เชิ่น): เรื่องโกหก
When he’s telling you something, you never know what’s fact and what’s fiction (ตอนที่เขากำลังเล่าเรื่องบางอย่าง เธอไม่เคยรู้เลยว่าอันไหนเรื่องจริงกันไหนโกหก)
17. Half-truth (ฮ้าฟ ทรูท): เรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้าง
I don’t care! half-truth is a whole lie (ฉันไม่สนใจหรอก เรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างก็คือเรื่องโกหกนั่นแหละ)
18. Humbug (ฮัม บั๊ก): การหลอกลวง ต้มตุ๋ม
Don’t try and humbug me, tell me everything (อย่าแม้แต่จะลองหลอกฉัน บอกฉันมาให้หมดเดี๋ยวนี้)
19. Invention (อิน เว้น เชิ่น): การกุเรื่องขึ้น เรื่องที่กุขึ้น
Her story is a total invention (เรื่องของเธอน่ะมันเป็นเรื่องที่กุขึ้นทั้งหมด)
20. Jive (ไจ้ฟ์): หลอก เรื่องเหลวไหล
Quit jiving me and just tell me where you were! (เลิกหลอกฉันได้แล้ว แค่บอกมาซะทีว่าเธออยู่ไหน!)
21. Libel (ไล้ เบิ้ล): ใส่ร้ายป้ายสี
She threatened to sue that guy for libel (เธอขู่ว่าจะฟ้องผู้ชายคนนั้นข้อหาใส่ร้ายเธอ)
22. Mendacity (เมน แด ซิ ติ): การโกหก
You need to overcome this mendacity, or no one will ever believe anything you say (คุณต้องเอาชนะการโกหกนี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครเชื่อที่คุณพูดอีกเลย)
23. Slander: คำพูดให้ร้าย ใส่ร้าย
She regarded his comment as a slander on her good reputation (หล่อนถือว่าคอมเม้นท์ของเขาเป็นคำพูดให้ร้ายต่อชื่อเสียงของเธอ)
24. Untruth (อัน ทรู้ท): คำโกหก
Don’t told him an untruth (อย่าโกหกเขาเชียว)
25. Whopper (ว้อพ เผอะ): การโกหกที่ร้ายแรง
He told us a real whopper (เขาเล่าเรื่องโกหกคำโตให้เราฟังเลยล่ะ)
มีแต่คำน่าสนใจทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ แหม เรื่องโกหกไม่ได้มีน้อยๆเลยนะเนี่ย ทุกคนอย่าลืมหยิบยกไปใช้บ้างนะคะ เพื่อความหลากหลายและมีสไตล์มากกว่าเดิม
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ไม่รู้ก็รู้ซะ…มือถือควรปรับแสงสว่างแค่ไหน? ถึงถนอมสายตาจากแสงของหน้าจอ
ระดับความสว่างหน้าจอมือถือที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพแวดล้อม กิจกรรมที่กำลังทำ และการตั้งค่าส่วนบุคคล
โดยทั่วไปแล้ว ระดับความสว่างที่เหมาะสมควรทำให้สามารถมองเห็นข้อความและภาพบนหน้าจอได้อย่างสบายตา โดยไม่ควรสว่างเกินไปจนแสบตาหรือมืดเกินไปจนอ่านไม่ออก
ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างจ้า เช่น กลางแจ้ง ระดับความสว่างควรอยู่ในระดับสูงสุด เพื่อให้สามารถมองเห็นหน้าจอได้ชัดเจน
ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย เช่น ห้องนอน ระดับความสว่างควรอยู่ในระดับต่ำ เพื่อให้ไม่รบกวนสายตา
กิจกรรมที่กำลังทำก็อาจส่งผลต่อระดับความสว่างหน้าจอที่เหมาะสม เช่น หากกำลังดูวิดีโอหรือเล่นเกม ระดับความสว่างอาจอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ เพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจน
การตั้งค่าส่วนบุคคลก็อาจส่งผลต่อระดับความสว่างหน้าจอที่เหมาะสม เช่น หากชอบอ่านหนังสือบนมือถือ ระดับความสว่างอาจอยู่ในระดับต่ำ เพื่อให้สบายตา
วิธีปรับความสว่างหน้าจอมือถือนั้นแตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของมือถือ โดยทั่วไปแล้ว สามารถปรับความสว่างหน้าจอได้ดังนี้
- ปัดหน้าจอขึ้นหรือลงจากขอบด้านบนของหน้าจอ
- เลื่อนแถบความสว่างหน้าจอให้อยู่ในระดับที่ต้องการ
- เข้าสู่การตั้งค่า > การแสดงผลและความสว่าง > ความสว่าง > ปรับระดับความสว่างตามต้องการ
นอกจากการปรับความสว่างหน้าจอด้วยตนเองแล้ว มือถือบางรุ่นยังมีโหมดปรับความสว่างอัตโนมัติ ซึ่งจะปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการปรับความสว่างหน้าจอมือถือให้เหมาะสม
- ปรับความสว่างหน้าจอให้อยู่ในระดับที่มองเห็นข้อความและภาพบนหน้าจอได้อย่างสบายตา
- ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
- ปิดโหมดปรับความสว่างอัตโนมัติหากต้องการปรับความสว่างหน้าจอด้วยตนเอง
- ลดความสว่างหน้าจอเมื่อไม่ได้ใช้งาน
การลดระดับความสว่างหน้าจอมือถือลงจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่และถนอมสายตาได้ และแน่นอนว่าแสงสว่างบนหน้าจอคอมฯ และมือถือควรอยู่ในระดับความสว่างที่ 300-500 ลักซ์หรือสังเกตง่ายๆ ก็คือ เวลาที่เราจ้องมองนั้นไม่ควรหรี่ตามากเกินไป เพราะจะทำให้ดวงตาทำงานหนักมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“อบเชย” กับประโยชน์ด้านสุขภาพ ที่ไม่เชยเหมือนชื่อ
ถ้าพูดถึง “อบเชย” หลายคนอาจจะงงสงสัยว่ามันคืออะไรกันนะ ? แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นซินนามอนคงพอร้องอ๋อกันบ้างใช่มั้ยคะ เจ้าอบเชยหรือซินนามอนนี้เป็นสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอม นิยมเอามาทำทั้งของคาวและของหวาน นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสุขภาพรักษาโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย วันนี้ Hello คุณหมอจะพามาดูประโยชน์ของอบเชยกันค่ะ จะมีดียังไงบ้างเราไปดูกันเลย
“อบเชย” ชื่อนี้ไม่เชยอย่างที่คิด
อบเชยมีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศศรีลังกา อยู่ในวงศ์ Lauraceae สกุล Cinnamomum พบเฉพาะในทวีปเอเชียและออสเตรเลีย ถือได้ว่าเป็นยาขนานเอกที่มีสรรพคุณทางยาสูงถูกใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เพียงนำเปลือกมาต้มน้ำ เปลือกของอบเชยสามารถแก้อาการปวดศรีษะ แก้ไอ แก้อ่อนเพลียได้ เห็นไม่คะว่าอบเชยนั้น ไม่ได้เชยเหมือนชื่อเลย เรามาทำความรู้จักประโยชน์ของอบเชยให้มากขึ้นกันดีกว่า
คุณค่าทางโภชนาการของ “อบเชย”
อบเชยน้ำหนัก 100 กรัม ให้พลังงาน 247 กิโลแคลอรี่ โดยมีสารอาหารต่างๆ ดังนี้
- โซเดียม 10 mg
- โพแทสเซียม 431 mg
- แคลเซียม 1,002 mg
- แมกนีเซียม 60 mg
- เหล็ก 8.3 mg
- วิตามินซี 3.8 mg
- น้ำตาล 2.2 g
- โปรตีน 4 g
- คาร์โบไฮเดรต 81 g
- ใยอาหาร 53 g
- ไขมันทั้งหมด 1.2 g
ที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย
อบเชยกับประโยชน์ด้านสุขภาพ ที่ไม่เชยเหมือนชื่อ
- แก้อาการวิงเวียนศรีษะ อ่อนเพลีย
หากคุณรู้สึกวิงเวียนศรีษะ อ่อนเพลีย เพียงนำเปลือกอบเชยมาต้มดื่มจะช่วยบรรเทาอาการวิงวิงศรีษะ แก้ท้องเสีย แก้ไอ ช่วยบำรุงสุขภาพ เมื่อดื่มบ่อยๆ จะช่วยย่อยสลายไขมันและควบคุมระดับไขมันในเลือดได้เป็นอย่างดี
- ป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน
เพียงทานอบเชยเป็นประจำ ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีปะสิทธิภาพ โดยทำหน้าที่กระตุ้นโปรตีนที่ช่วยป้องกันเซลล์สมองไม่ให้เสื่อมสภาพไว ช่วยกระตุ้นประสาทและลดความเครียดลงได้เป็นอย่างดี
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด
อบเชยมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะมากสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หากคุณได้กินอาหารที่มีรสหวานหรือน้ำตาลสูงเข้าไป อบเชยจะช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลง และยังมีคุณสมบัติพิเศษป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อนอีกด้วย
- กำจัดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องปาก
จากผลการวิจัยพบว่าอบเชยนั้นมีคุณสมบัติช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก นอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่อยู่ในน้ำลายได้อีกด้วย เพียงต้มน้ำประมาณ 1 แก้ว และใส่ผงอบเชยประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำมากรองเอาเฉพาะน้ำ รอจนหายร้อนจึงนำมาบ้วนปา ช่วยทำให้ลมปากสดชื่น
ข้อควรระวัง
เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ และสตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทานอบเชย และผู้ป่วยมีไข้ เป็นโรคริดสีดวงทวาร อุจจาระแข็ง เป็นต้น อบเชยจีนมีสารคูมารินซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อตับ และการได้รับสารนี้ในปริมาณมากเกินไปอาจมีปัญหาต่อตับ สำหรับคนที่ป่วยเกี่ยวกับโรคตับ ไม่ควรรับประทานอบเชย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/10/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 34,000.00 | 34,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,202.00 | 33,382.32 | 34,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,981.80 | 30,044.09 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,761.60 | 26,705.86 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 991.00 | 15,023.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 771.00 | 11,688.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,282.00 | 34,595.12 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/10/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.25 | 38.25 | 38.75 | 38.25 | 38.55 | 38.25 | 38.25 | 38.25 | 38.25 | 38.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.98 | 37.98 | 38.48 | 37.98 | 38.28 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.94 | 35.94 | 36.44 | 35.94 | 36.24 | – | 35.94 | 35.94 | 35.94 | 35.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.09 | 36.09 | – | – | – | – | – | – | – | 36.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.44 | 49.24 | 49.44 | 49.24 | – | – | – | – | – | 44.44 |
เบนซิน 95 | 46.04 | – | – | – | 47.51 | – | 46.54 | 46.19 | – | 46.04 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.24 | 43.34 | 47.94 | 43.34 | 42.94 | – | – | – | – | 41.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |