‘Quiet Luxury’ ดันอสังหาฯหัวหิน-ภูเก็ตบูม รับดีมานด์เศรษฐีไทย-รัสเซีย
กลุ่มชาญอิสสระ เป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่เข้ามาพัฒนาโครงการในเมือง “หัวหิน” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทำเลทองของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีใกล้กรุงเทพฯ ตอบโจทย์เศรษฐีไทยที่มีไลฟ์สไตล์ “Quiet Luxury” รวมทั้งต่างชาติอย่างรัสเซีย
10 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวอิสสระและโชควัฒนา ลงขันพัฒนาอสังหาฯ ในหัวหิน ภายใต้ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เริ่มต้นจากโครงการทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ-หัวหิน ซึ่งเป็นที่ดินของตระกูลโชควัฒนา ต่อมาซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อพัฒนาโครงการศศรา หัวหิน และโครงการซาซ่าส์ หัวหิน ตามลำดับ
ดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวว่า กลุ่มชาญอิสสระ มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ระดับลักชัวรี ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม หรือ บ้าน ทำให้ได้การตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่มีไลฟ์สไตล์ “Quiet Luxury” หรือชีวิตเรียบหรูแบบไม่ต้องป่าวประกาศ ทั้งรูปแบบดีไซน์ที่คลาสสิกเหนือกาลเวลา ทำเลที่ตั้งมีความเป็นส่วนตัว นอกเหนือจากทำเลในกรุงเทพฯ ลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 หลังที่ 3 หรือซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า
“หัวหิน” เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญใกล้กรุงเทพฯ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยมีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะนอกจากมีทะเลหาดทรายสวยแล้วยังเป็นที่ตั้งของสนามกอล์ฟ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐกำลังพัฒนา อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน โครงการมอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ การโครงการปรับปรุงและขยายสนามบินหัวหิน จึงเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง
สอดคล้องกับข้อมูลไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย พบว่า คอนโดมิเนียมบริเวณเขาตะเกียบมีอัตราการขายสูงสุดในอัตรา 96% รองลงมาได้แก่ คอนโดมิเนียมฝั่งไม่ติดทะเลและเขาเต่า มีอัตราการขาย 93% และ 91% ตามลำดับ ปัจจุบันที่ดินติดทะเลบริเวณหัวหินที่จะพัฒนาโครงการแทบไม่มีเหลือแล้ว
ล่าสุด พบห้องมีราคาขายเฉลี่ย 150,000 บาทต่อตร.ม. ในส่วนพื้นที่ฝั่งภูเขาที่ไม่ติดทะเลยังมีพื้นที่เหลือให้พัฒนาโครงการอีกมาก และน่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนเพราะอยู่โซนตัวเมืองหัวหิน เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ สามารถทำราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรได้ต่ำกว่า 100,000 บาท
สำหรับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่เห็นวิวทะเลมีราคาเสนอขายเฉลี่ย 143,000 บาทต่อตร.ม. ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% จากปี 2564 โดยโครงการใหม่ที่เห็นวิวทะเลมีราคาขายต่อห้องเฉลี่ยสูง 250,000 บาทต่อตร.ม. ส่วนราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่ไม่เห็นวิวทะเลในบริเวณนี้มีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 69,800 บาทต่อตร.ม. ราคาขายค่อนข้างทรงตัวและลดลง 1.3%จากปี 2564
ดิฐวัฒน์ ระบุว่า ตลาดคอนโดมิเนียมหัวหินฟื้นตัวมากขึ้นทำให้ยูนิตเหลือขาย”ลดลง “โดยเฉพาะโครงการติดทะเลที่มียูนิตเหลือขายไม่มาก และที่ดินในการพัฒนาโครงการติดทะเลในตัวเมืองหัวหินหรือเขาตะเกียบก็เหลือน้อย และยากที่จะพัฒนาโครงการ หากมีการพัฒนาโครงการที่ติดทะเล ราคาขายจะปรับตัวสูงขึ้น
ยกตัวอย่าง “ศศรา หัวหิน” สร้างเสร็จพร้อมอยู่มียอดขายแล้ว 70% เหลือขาย 30 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 220,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท สำหรับห้องเหลือขายมีทั้ง 1, 2 และ 3 ห้องนอน ซึ่งเป็นเพนต์เฮ้าส์ติดหน้าหาดเหลือ 2 ยูนิต เริ่มต้น 45-55 ล้านบาท คาดว่า ไตรมาสแรกปี 2568 จะปิดโครงการได้
โครงการ “ซาซ่าส์ หัวหิน” ซอยอ่าวหัวดอน บนที่ดิน 3 ไร่ 3 งาน เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 3 อาคาร 248 ยูนิต มูลค่า 1,709 ล้านบาท มีห้อง 3 รูปแบบ 1, 2 และ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 32-183 ตร.ม. ราคา 4.7-26 ล้านบาท เปิดตัว 1 มี.ค.ที่ผ่านมา มียอดขาย 20% เป็นคนไทยและต่างชาติสัดส่วน 50% เท่ากัน
“ลูกค้าคนไทยเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการซื้อเพื่อมาพักผ่อนและปล่อยเช่า เพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวและพักในหัวหินเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสที่ดีในการปล่อยเช่าระยะยาว ผลตอบแทน 6-7% ขณะเดียวกัน มีกลุ่มคนต่างชาติเข้ามาซื้อมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ คนรัสเซีย ที่หนีภัยสงคราม”
อีกหนึ่งเมกะโปรเจกต์ของชาญอิสสระในปี 2567 จะเป็นมิกซ์ยูสที่มีทั้งคอมเมอร์เชียล เรสซิเดนซ์เชียล และโฮเทลแอนด์รีสอร์ท บนทำเลศักยภาพในภูเก็ต บนที่ดินกว่า 70 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท รองรับดีมานด์จากคนไทยและต่างชาติที่สนใจซื้ออสังหาฯในภูเก็ตมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
REIC มองที่อยู่อาศัยภูธร รับแรงบวกท่องเที่ยวโต
REIC มองตลาดอสังหาฯ ภูธร ปี67 ส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ต่างชาติเข้ามาในประเทศมากขึ้น แต่ภาพรวมตลาดเติบโตได้เล็กน้อย ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา รอลุ้นภาวะเศรษฐกิจโต กำลังซื้อดี
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูมิภาคปี2567 ส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ต่างชาติเข้ามาในประเทศมากขึ้น นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศในปี 2567 ว่า ในภาคเหนือตลาดที่อยู่อาศัยของ 5 จังหวัดหัวเมืองสำคัญ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก นครสวรรค์ และลำพูน ในปีนี้คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 3,142 ยูนิต มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,629 ยูนิต มูลค่า 11,047 ล้านบาท
โครงการอาคารชุด 512 ยูนิต มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมยอดขายใหม่อาจมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.8% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราดูดซับโครงการอาคารชุด ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มจาก 1.9% ในปี 2566 เป็น 4.3% ในปี 2567 ขณะที่อัตราดูดซับ โครงการแนวราบหรือโครงการบ้านจัดสรรยังคงทรงตัวอยู่ที่ 1.5%
“ตลาดนครราชสีมา มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อัตราดูซับน่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้หน่วยเหลือขายลดลง ส่วนขอนแก่นการขายน่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม แต่อัตราดูดซับอาจจะลดตํ่าลงเล็กน้อย เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการใหม่เข้ามาสู่ระบบมาก อุดรธานีภาพรวมอาจจะไม่ต่างจากปี 2566 แต่อัตราดูดซับน่าจะตํ่าลดเล็กน้อย และตลาดรวมยังคงอยู่ในสภาวะทรงตัว แต่หน่วยเหลือขาย อาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากอัตราดูดซับลดตํ่าลง อุบลราชธานี ตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ในภาพรวมตลาดยังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง แต่ยอดขายยังคงอยู่ในระดับทรงตัว มีเพียงขอนแก่นเท่านั้นที่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาในพื้นที่ จึงมีความต้องการซื้ออาคารชุดและมีความหลากหลายในด้านความต้องการซื้อมากกว่าจังหวัดอื่นๆ โดยเป็นการซื้อเพื่อการพักอาศัยและเพื่อการลงทุน”
ส่วนตลาดพื้นที่ภาคตะวันตกมีการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยังเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจทั้งในด้านโครงการอาคารชุด และโครงการบ้านจัดสรร ส่วนจังหวัดเพชรบุรียังคงทรงตัว และการเปิดตัวโครงการอาคารชุดน่าจะลดลงเนื่องจากมีโครงการคงค้างเหลือขายอยู่อีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเนื่องจากมีการขยายตัวในด้านการจ้างงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และเป็นทางเลือกของการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้กรุงเทพฯ ขณะที่จังหวัดสระบุรี เป็นพื้นที่ที่น่ากังวลที่สุดเพราะตัวเลขการขายชะลอตัวอย่างมาก และคาดว่าน่าจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2568
สำหรับตลาดอสังหาฯ ภาคใต้ REIC ยังคงมองสถานการณ์เป็นบวก ตลาดภูเก็ต มีหน่วยขายใกล้เคียงปีที่ผ่านมา การเปิดตัวใหม่อาจจะเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายดีต่อเนื่อง เพราะอัตราดูดซับยังดี ส่วนจังหวัดสงขลา ได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ ทำให้เห็นตัวเลขทิศทางดีขึ้น การเปิดตัวใหม่ใกล้เคียงเดิม และอัตราการดูดซึมยังใกล้เคียงปีที่ผ่านมา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่ในเมืองมีจำนวนหน่วยขายตํ่ากว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังอยู่ระดับพันหน่วย การพัฒนาโครงการใหม่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราดูดซับลดลงเล็กน้อย จังหวัดนครศรีธรรมราช การเปิดตัวใหม่ค่อนข้างใกล้เคียงเดิม ส่วนยอดขายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่อัตราการดูดซับอาจจะลดลงเล็กน้อย ทำให้ซัพพลายสะสมปรับตัวลงเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ 26มี.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 36.35 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนในช่วงนี้ จากปัจจัยกดดันทั้ง โฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ โฟลว์ซื้อน้ำมันจากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อเนื่องและบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินอาจกดดันให้ นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่ม
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 26มี.ค. 2567 ที่ระดับ 36.35 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.40 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีอยู่ และเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ โดยในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงปลายเดือนทำให้
เรายังคงเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ อีกทั้งการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบต่อเนื่องในช่วงนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาท ผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมัน นอกจากนี้ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็อาจกดดันให้ นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ดี เราคาดว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจยังเป็นไปอย่างจำกัดอยู่ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ ส่วนสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็อาจไม่สามารถอ่อนค่าหนักได้ หลังทางการญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า พร้อมเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินเยน ทำให้เรามองว่า เงินดอลลาร์ก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นไปได้มากนัก จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะหากออกมาดีกว่าคาด และสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ก็จะยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น
จากความกังวลของผู้เล่นในตลาดว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่า 3 ครั้งในปีนี้ เช่นเดียวกัน ควรจับตารายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของไทย เพราะหากไทยขาดดุลการค้ามากขึ้นและแย่กว่าคาด ก็จะเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงในระยะสั้นได้
อนึ่ง เรายังขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.20-36.45 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.30-36.40 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ที่มาพร้อมจังหวะย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ก่อนที่เงินดอลลาร์จะรีบาวด์ขึ้นบ้างและแกว่งตัวในกรอบ sideways เช่นกัน
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่จะประกาศในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงทยอยขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Meta -1.3%, Apple -0.7%, Alphabet -0.5% หลังทั้ง 3 บริษัทเสี่ยงถูกดำเนินการสอบสวนในประเด็นละเมิดกฎหมายควบคุมตลาดดิจิตอลโดยสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งหากมีความผิดจริงก็อาจกระทบต่อผลกำไรของบริษัทได้ ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Exxon Mobil +1% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.31%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.04% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +0.7% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการทยอยปรับเป้าดัชนี STOXX600 สูงขึ้นของบรรดานักวิเคราะห์ในตลาด อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปออกมาบ้าง ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปไกลมากนัก
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4.25% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอยู่บ้าง จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ปลายสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลอุปทานน้ำมันในระยะสั้นอาจลดลงตามสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ร้อนแรงขึ้นและการปรับลดกำลังการผลิตของรัสเซีย ก็มีส่วนหนุนการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อนึ่ง เรายังคงชอบบอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่บอนด์ยีลด์สูงกว่าระดับ 4.20% ซึ่งเปิดโอกาสในการทยอยซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวได้ ด้วย Risk-Reward ที่มีความคุ้มค่าพอสมควร
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมเคลื่อนไหว sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ และบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พอช่วยพยุงเงินดอลลาร์ไว้ได้บ้าง
ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) สามารถรีบาวด์ขึ้นบ้าง ทว่า จังหวะปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงท้ายตลาดก็ยังคงกดดันราคาทองคำ ทำให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,170 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ จะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders), ดัชนีราคาบ้านสหรัฐฯ, ดัชนีกิจกรรมในภาคการผลิตและภาคการบริการจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของไทย เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและทิศทางของดุลบัญชีเดินสะพัด โดยรายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้ในระยะสั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.36-36.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย นำโดย เงินเยน และเงินหยวน ที่ฟื้นตัวขึ้นท่ามกลางสัญญาณของทางการที่ไม่อยากให้ค่าเงินผันผวนในด้านอ่อนค่าเร็วเกินไป
อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภาพรวมในยังเป็นการแกว่งตัวในกรอบ เนื่องจากตลาดยังคงรอปัจจัยใหม่ๆ อาทิ ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/66 ในวันพฤหัสบดี และดัชนีราคา PCE/Core PCE Price Indiced เดือนก.พ. ซึ่งเป็นตัวเลขเงินเฟ้อที่เฟดติดตาม ในวันศุกร์นี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.25-36.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ตัวเลขการส่งออกเดือนก.พ.ของไทย สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“พัชรินทร์-ฐานทัพ”ผงาดแชมป์เทนนิสอาชีพไทยแลนด์ 2 สัปดาห์ติด
“อีฟ” พัชรินทร์ ชีพชาญเดช ควง “แซค” ฐานทัพ สุขสำราญ คว้าแชมป์ประเภทเดี่ยวหญิงและชายได้สำเร็จ หลังชนะคู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ ศึกเทนนิสอาชีพ รายการ “ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยนชิพ” ประจำปี 2567 สนามที่ 2 ชิงเงินรางวัลรวม 600,000 บาท ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อวันอาทิตย์ 24 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา
การแข่งขันเทนนิสอาชีพ รายการ “ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยนชิพ” ประจำปี 2567 สนามที่ 2 ชิงเงินรางวัลรวม 600,000 บาท ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อ 24 มี.ค. 2567 เป็นการแข่งขันวันสุดท้าย โดย นายกฤตชัย เนยโอชา กรรมการอำนวยการสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานฝ่ายผู้ตัดสิน ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัล
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “อีฟ” พัชรินทร์ ชีพชาญเดช นักหวดสาวขอนแก่น มืออันดับ 5 ของไทย มือวางอันดับ 1 ของรายการ เจ้าของแชมป์สนามแรก พบกับ “เบนซ์” นาตาชา แสงพระจันทร์ นักหวดสาวลูกครึ่งไทย-ลาว จากชัยภูมิ มือ 11 ของไทย และมือวางอันดับ 4 ของรายการ ผลการแข่งขัน ปรากฏว่า ในแมตช์นี้เป็น พัชรินทร์ ที่หวดได้แน่นอนกว่า รักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้ ก่อนเป็นฝ่ายชนะ 2-0 เซต 6-3 และ 6-2 ในเวลา 1 ชั่วโมง 29 นาที
พัชรินทร์ ได้ครองแชมป์ประเภทหญิงเดี่ยวเป็นสนามที่ 2 ติดต่อกันของปีนี้ พร้อมรับเงินรางวัลจำนวน 36,000 บาท ขณะที่ นาตาชา รองแชมป์ ได้รับเงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อนับรวมผลงานในรายการ “ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยนชิพ” ที่ผ่านมากับปีนี้ ส่งผลให้ พัชรินทร์ มีผลงานคว้าแชมป์หญิงเดี่ยวไปครองได้ทั้งหมด 8 ครั้งแล้ว
ด้านประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “แซค” ฐานทัพ สุขสำราญ นักหวดหนุ่มลพบุรี ดีกรีแชมป์สนามแรก มืออันดับ 7 ของไทย และมือวางอันดับ 1 ของรายการ พบกับ “วิน” ณัฐสิทธิ์ กุลสุวรรณ์ นักหวดหนุ่มกาญจนบุรี มืออันดับ 12 ของไทย และมือวางอันดับ 4 ของรายการ ผลปรากฏว่า เซตแรก แข่งขันไปได้เพียง 4 เกม ซึ่ง ฐานทัพ นำ 4-0 ทางด้าน ณัฐสิทธิ์ ได้แจ้งขอถอนตัวออกจากการแข่งขัน เนื่องจากเจ็บข้อศอกขวา ส่งผลให้ ฐานทัพ ชนะไปด้วยสกอร์ 4-0 Ret. (รีไทร์) พร้อมรับเงินรางวัล จำนวน 60,000 บาท ส่วน ณัฐสิทธิ์ รองแชมป์ ได้รับเงินรางวัล จำนวน 36,000 บาท
ขณะที่ประเภทคู่ผสม รอบชิงชนะเลิศ “แมน” ณัฐนนท์ กัจฉปานันท์ จากยะลา และ “หมิว” สลักทิพย์ อุ่นเมือง จากนนทบุรี ผนึกกำลังเอาชนะ ศุภศิษฏ์ อภิธนวิทย์ จากนนทบุรี และ ชนิกานต์ ศิลกุล จาก กทม. 2-0 เซต 7-6(2) และ 6-1 ส่งผลให้ ณัฐนนท์ และ สลักทิพย์ ได้ครองแชมป์ประเภทคู่ผสม พร้อมรับเงินรางวัลร่วมกัน จำนวน 15,700 บาท ส่วน ศุภศิษฏ์ และ ชนิกานต์ คู่รองแชมป์ ได้รับจำนวน 7,800 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“Nasal Cryotherapy” รักษาภูมิแพ้ด้วยความเย็น
“ภูมิแพ้” เรียกได้ว่าเป็นโรคฮิตสำหรับคนเมืองโรคหนึ่งเลยทีเดียวอาจจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงนัก แต่ก็สามารถกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเราโดยตรง ส่งผลให้เสียสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ และยังสร้างความรำคาญให้กับตัวผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีน้ำมูกไหลหรือจามอยู่ตลอดเวลา
“โรคภูมิแพ้” เกิดจากอะไร?
โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เกิดจากเยื่อบุจมูกไวผิดปกติเมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่น ควัน ของที่มีกลิ่นฉุน และการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เป็นต้น อาการของโรคภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้ เช่น คันจมูก จามติดต่อกันหลายครั้ง มีน้ำมูกใสไหลตลอดเวลา เสมหะไหลลงคอ จมูกไม่ได้กลิ่นหรือได้กลิ่นลดลง เจ็บคอ ระคายคอ ไอ เสียงแหบ หรืออาจมีอาการอื่นๆ เช่น คันตา คันคอ คันหู หรือคันที่เพดานปาก ปวดศีรษะ ปวดหู หูอื้อ เป็นต้น โดยทั่วไปผู้ป่วยมักบรรเทาอาการด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ร่วมกับการใช้ยารับประทาน การใช้ยาพ่นจมูก
แต่บางครั้งถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ ข้างต้นแล้ว อาการของโรคภูมิแพ้โดยเฉพาะอาการน้ำมูกไหลยังไม่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยการใช้เทคโนโลยี Nasal Cryotherapy ซึ่งเป็นการรักษาภูมิแพ้ด้วยความเย็น มาใช้ในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด
การรักษาภูมิแพ้ด้วยความเย็น “Nasal Cryotherapy”
Nasal Cryotherapy เป็นเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้ความเย็นรักษาไปยังเส้นประสาทที่ส่งมาเลี้ยงช่องจมูก ส่งผลให้จมูกบวมและน้ำมูกไหล ด้วยวิธีการใช้ความเย็นจี้เพื่อขัดขวางสัญญาณที่ส่งมาจากประสาท ทำให้ช่วยลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการน้ำมูกไหลเรื้อรัง อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น
ทำการรักษาโดยแพทย์หู ลำคอ และจมูก (ENT) ซึ่งเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการดูแลและรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่มีผลต่อหูคอจมูกและโครงสร้างอื่น ๆ ในบริเวณลำคอและศีรษะ โดยแพทย์หูคอจมูกได้รับการฝึกฝนและได้รับใบอนุญาตศัลยแพทย์ที่มีคุณสมบัติในการรักษาภูมิแพ้
ข้อดีของการรักษา
- พักฟื้นน้อย นอนโรงพยาบาลเพียง 1 คืน
- ไม่มีบาดแผลภายนอก
- เห็นผลดีในการรักษา
การรักษาภูมิแพ้ด้วยความเย็น “Nasal Cryotherapy” มีความปลอดภัยและรวดเร็วกว่าการรักษาแบบดั้งเดิม และการรักษานี้จะต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ หลังจากการรักษาแพทย์จะมีแนวทางการดูแล ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษา และสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละบุคคล เพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และคืนคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย
บทความโดย : นายแพทย์ปวีณ เพชรรักษ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้าน โสต ศอ นาสิกวิทยา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ศูนย์โสต-ศอ-นาสิก โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กิจวัตรประจำวัน (Daily Routine)
คำศัพท์กิจวัตรประจำวัน (Daily Routine)
เรียนรู้กิจกรรมระหว่างวัน ที่เรามักทำบ่อยๆ เป็นประจำทั้งคำศัพท์และรูปภาพประกอบ มีดังนี้
Do the laundry แปลว่า ซักผ้า
- I often do the laundry on Saturday morning.
Hang the clothes แปลว่า ตากผ้า
- You should hang the clothes when the sun shines.
Iron the clothes แปลว่า รีดผ้า
- My mom loves ironing the clothes.
Make the bed แปลว่า จัดเตียงนอน
- We are taught to make the bed after getting up
Vacuum the floor แปลว่า ดูดฝุ่นบนพื้น
- I vacuum the floor once a week.
Go to bed แปลว่า เข้านอน
- Go to bed late will have bad effect to our health.
Wake up แปลว่า ตื่นนอน
- I often wake up at 6 o’clock in the morning.
Brush the teeth แปลว่า แปรงฟัน
- The doctors advise us to brush the teeth twice a day.
Drive to work แปลว่า ขับรถไปทำงาน
- My father sometimes drives to work instead of taking a bus.
Get home แปลว่า กลับบ้าน
- It’s time to get home.
Take a bath แปลว่า อาบน้ำ
- When exactly, when did you last take a bath?
Brush your hair แปลว่า หวีผม, แปรงผม
- Do not brush your hair with too much force.
Surf the net แปลว่า เล่นอินเตอร์เน็ต
- He surfed the net looking for ways to study.
Play with friends แปลว่า เล่นเกมกับเพื่อนๆ
- One day while playing with my friends, I accidentally broke a window in a store near our home.
Put on makeup แปลว่า แต่งหน้า
- Should I put on some makeup?
Wash the car แปลว่า ล้างรถ
- On his last day, while washing the managing director’s car, Wilson found money in the trunk.
Get dressed แปลว่า แต่งตัว
- Don’t you think she ought to get dressed while we discuss it?
Go out with a friend แปลว่า ออกไปเที่ยวกับเพื่อน
- I’m gonna go out with my friends.
Take pictures แปลว่า ถ่ายรูป
- He brought her to our house before the dance so we could take pictures.
Play the guitar แปลว่า เล่นกีต้าร์
- I was gonna sing and play the guitar in the bar.
Water the plant แปลว่า รดน้ำต้นไม้
- My mom is watering the plants in the garden.
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส กางผลศึกษาทักษะ AI เพิ่มค่าจ้างบุคลากรมากกว่า 41%
AWS เผยผลการศึกษา ชี้ทักษะด้านAI สามารถเพิ่มค่าจ้างบุคลากรในไทยได้มากกว่า 41% รวมถึงเปิดโอกาสก้าวหน้าในสายอาชีพเพื่อตอบรับการใช้งาน AI ที่ เพิ่มขึ้น นายจ้างชาวไทยกว่า 9 ใน 10 มองการจ้างบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI นั้นเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ
อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ได้เผยแพร่การศึกษาล่าสุด ที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ถูกนำมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ บุคลากรไทยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI มีโอกาสเห็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างมากกว่า 41% โดย 2 หมวดที่มีโอกาสเพิ่มรายได้สูงที่สุดคือพนักงานด้าน IT (54%) และด้านการดำเนินธุรกิจ (51%)
นอกจากโอกาสในการเพิ่มค่าจ้าง บุคลากรในประเทศไทยอีก 98% คาดว่าการเพิ่มทักษะด้าน AI จะส่งผลให้พวกเขามีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเพิ่มความมั่นคงในอาชีพ และส่งเสริมความใฝ่รู้ให้แก่พวกเขา บุคลากรในประเทศไทย 95% ระบุถึงความสนใจในการพัฒนาทักษะ AI เพื่อโอกาสในการก้าวหน้าในสายงานอาชีพไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุรุ่นไหน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าบุคลากร 93% ในกลุ่ม Gen Z 95% ในกลุ่ม Gen Y และอีก 95% ในกลุ่ม Gen X รายงานถึงความต้องการเรียนรู้ทักษะด้าน AI ในขณะที่ 97% ในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มักอยู่ในช่วงเกษียณอายุแล้ว กลับรายงานว่าพวกเขาสนใจจะลงทะเบียนในหลักสูตรเพื่อยกระดับทักษะด้าน AI หากได้รับโอกาส
ผลการศึกษายังพบว่าประสิทธิผลที่ได้รับจากบุคลากรไทยที่มีความพร้อมด้านทักษะ AI นั้นอาจมีมากอย่างมหาศาล ผลสำรวจจากนายจ้างคาดว่าประสิทธิภาพขององค์กรจะเพิ่มขึ้น 58% เนื่องจากเทคโนโลยี AI สามารถพัฒนาการสื่อสารได้ถึง 66% ปรับงานซํ้าซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ 65% และส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ถึง 60% นอกจากนี้ จากผลสำรวจบุคลากรเชื่อว่า AI สามารถยกระดับประสิทธิผลในการทำงานของตนเองได้มากถึง 56% อีกด้วย
องค์กรในประเทศไทยเดินหน้าเต็มที่กับ AI
พัฒนาการของ AI ในประเทศ ไทยนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 98% ของนายจ้างมองว่าบริษัทของตนจะปรับเปลี่ยนสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในปี 2571 ในขณะที่นายจ้างส่วนใหญ่ (97%) เชื่อว่าแผนก IT จะได้รับประโยชน์มากที่สุด พวกเขายังมองว่าแผนกอื่นๆ นั้นสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงฝ่ายวิจัยและพัฒนา (95%) ฝ่ายการเงิน (95%) ฝ่ายการดำเนินธุรกิจ (94%) ฝ่ายขายและการตลาด (93%) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (91%) และฝ่ายกฎหมาย (90%)
นายอภินิต คาอุล ผู้อำนวยการบริษัท Access Partnership กล่าวว่า “คลื่นยุคใหม่แห่ง AI กำลังขยายตัวทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมไปถึงประเทศไทย และกำลังเปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจและวิธีการทำงานในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ผลการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าสังคมโดยรวมจะได้รับผลประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับบุคลากรในไทยที่มีทักษะ และด้วยจำนวนองค์กรที่คาดว่าจะใช้โซลูชันและเครื่องมือ AI เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บวกกับการพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้นายจ้างและภาครัฐต้องให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ พร้อมรับมือกับความก้าวหน้าของ AI ทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
Generative AI เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาและไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนา นิยาย รูปภาพ วิดีโอ เพลง และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้เป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยเทคโนโลยีนี้ได้พลิกโฉมการทำงานขององค์กรต่างๆ ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 98% ของนายจ้างและลูกจ้างในผลสำรวจคาดว่าจะมีการนำเครื่องมือด้าน Generative AI มาใช้ในที่ทำงานภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยมีนายจ้างจำนวน 74% มองว่าการ ‘เพิ่มนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์’ จะเป็นประโยชน์อันดับแรกที่องค์กรจะได้รับ ตามด้วยการปรับงานซํ้าซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติอีก 66% และการสนับสนุนการเรียนรู้อีก 62%
ด้านนายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ประจำ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “Generative AI มอบโอกาสพลิกโฉมธุรกิจในประเทศไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และผลการศึกษาในครั้งนี้ตอกยํ้าให้เห็นถึงความสำคัญในอนาคตด้านทักษะ AI สำหรับพนักงานอย่างชัดเจน อุตสาหกรรมต่างๆ ได้ปรับตัวใช้ AI อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่บริการทางการเงินไปจนถึงการก่อสร้าง การค้าปลีก หรือแม้แต่ภาครัฐที่มุ่งเน้นพัฒนานโยบายด้านการส่งเสริม AI จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานที่มีทักษะด้าน AI ถึงมีความสำคัญในการเสริมสร้างวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานในประเทศไทย ที่ AWS เราได้ช่วยองค์กรต่างๆ เช่น DailiTech ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทย ในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากร เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตแห่งยุค Generative AI”
ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนด้านทักษะ AI ในไทย
ผลการศึกษานี้เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาขาดแคลนทักษะด้าน AI ในบุคลากรไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อปลดล็อกศักยภาพและประโยชน์ของ AI ได้อย่างเต็มรูปแบบ การจ้างบุคลากรที่มีความพร้อมในทักษะ AI ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในกลุ่มนายจ้างไทย 9 ใน 10ราย (94%) โดย 64% ในนี้ระบุว่าไม่สามารถหาบุคลากรที่มีทักษะ AI ตามที่พวกเขาต้องการได้ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังเผยให้เห็นถึงช่องว่างด้านการฝึกอบรม โดย 89% ของนายจ้างระบุว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการดำเนินโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้าน AI และพนักงานอีก 81% กล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าทักษะด้าน AI จะเป็นประโยชน์แก่สายอาชีพใดได้บ้าง
เร่งการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลในประเทศไทย
AWS ได้ฝึกอบรมผู้คนมาแล้วกว่า 50,000 คนในประเทศไทย ในทักษะด้านคลาวด์นับตั้งแต่ปี 2560 แต่ด้วยการนำเทคโนโลยีที่พึ่งพาระบบคลาวด์ในการใช้งาน เช่น AI มาใช้อย่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะบุคลากรในวงกว้าง เพื่อให้องค์กร ต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเติบโตได้ในอนาคตแห่งยุค AI
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 บริษัท Amazon ได้เปิดตัวโครงการ ‘AI Ready’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มี ในการฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ให้กับผู้คนจำนวน 29 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2568 แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โครงการ ‘AI Ready’ มอบหลักสูตรฝึกอบรมด้าน AI และ Generative AI แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่เหมาะกับผู้เรียนไม่ว่าจะต้องการเน้นทักษะเทคนิคเฉพาะทางหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเสริมสร้างทักษะด้าน AI ในแบบที่ต้องการ โครงการนี้ยังไม่รวมหลักสูตรอบรมและเนื้อหาการเรียนการสอนด้าน AI แมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning : ML) และ Generative AI อีกกว่า 100 รายการที่ AWS มอบให้ผ่านช่องทาง AWS Skills Builder และ AWS Educate ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้บนระบบดิจิทัลของเรา เหมาะสำหรับการเรียนรู้ในทุกระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูง ล่าสุด AWS ได้มีการประกาศนวัตกรรม Generative AI ใหม่ ภายในงาน AWS re:Invent 2023 อย่าง Amazon Q ซึ่งเป็นผู้ช่วยรูปแบบ Generative AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละธุรกิจได้อย่างง่ายดาย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ประโยชน์ของ “ผงโกโก้” เคล็ดลับเสริมสุขภาพที่คุณไม่ควรพลาด
ช็อกโกแลตมีประโยชน์ต่อสุขภาพ นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าจะมองลึกไปถึงวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการทำช็อกโกแลตอย่างโกโก้ล่ะ พวกเรารู้อะไรเกี่ยวกับ โกโก้ บ้าง โดยเฉพาะ ผงโกโก้ วัตถุดิบสำคัญที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลายชนิด ถ้าอยากรู้ว่าผงโกโก้จะดีต่อสุขภาพอย่างไรล่ะก็ ตามไปดูกันเลยในบทความนี้จาก Hello คุณหมอ
สารอาหารใน ผงโกโก้
โกโก้ ทำมาจาก เมล็ดของต้นกาเกา (Cacao) ซึ่งเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากแถบอเมริกาใต้ เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับทำช็อกโกแลต เมนูของหวานอันเลื่องชื่อที่ได้รับความนิยมไปทั่วทั้งโลก โกโก้ที่เป็นเมล็ด จำเป็นต้องนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปออกมาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ ผงโกโก้ โดยผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ จะให้
โปรตีน 1 กรัม ไขมันทั้งหมด 13.7 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม ไฟเบอร์ 3 กรัม ปริมาณแป้งสุทธิ 1 กรัม และอุดมไปด้วยสารอาหารที่ประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ แมกนีเซียม โพแทสเซียม แมงกานีส ทองแดง ประโยชน์ของ ผงโกโก้
หากใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ โกโก้ ก็คงจะต้องรู้กันดีอยู่แล้วว่าเมนู โกโก้ร้อน และ โกโก้เย็น นั้น อร่อยจนอดใจไม่ไหวมากแค่ไหว แต่นอกเหนือจากความอร่อยจนลืมไม่ลงนั้น โกโก้ ยังให้ประโยชน์มากกว่านั้นอีก
- ช่วยต้านมะเร็ง
ผงโกโก้ ช่วยในการต้านมะเร็งเพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงกว่าอาหารทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ หรือไวน์แดง สารต้านอนุมูลอิสระสำคัญใน โกโก้ ก็คือ สารโพลีฟีนอลส์ (Polyphenols) สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) สารไนอาซีน (Niacin) ซึ่งสารอาหารสำคัญเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าช่วยในการ ปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายโดยแบคทีเรีย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งที่มีอยู่แล้วมีการแพร่กระจาย ช่วยกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งตาย
- ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ
สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในผงโกโก้ เป็นตัวช่วยสำคัญที่ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เพราะมีสรรพคุณในการป้องกันการอุดตันในเลือด และลดการปิดกั้นการไหลเวียนของหลอดเลือดซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ในโกโก้ยังมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ไขมันอิ่มตัว และกรดโอเลอิก (Oleic acid) ที่ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง
- ลดความดันโลหิต
สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ยังคงเป็นพระเอกใน โกโก้ และผงโกโก้ มีผลการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานโกโก้เป็นประจำ จะมีการขยายตัวของหลอดเลือดซึ่งช่วยให้ระบบเลือดสามารถไหลเวียนได้ดี และยังช่วยลดความเครียดที่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการมีความดันโลหิตสูงอีกด้วย
- ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
สารโพลีฟีนอลส์ (Polyphenols) ในโกโก้และผงโกโก้ ช่วยชะลอกระบวนการย่อยอาหาร ช่วยให้สามารถดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลได้ดี และสารโพลิฟินอลส์ (Polyphenols) ยังมีส่วนช่วยในการสลายน้ำตาลกลูโคส เพื่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุล และเพิ่มความต้านทานต่ออินซูลินได้
- ป้องกันภาวะสมองเสื่อม
สารโพลีฟีนอลส์ (Polyphenols) และ สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ใน โกโก้ ได้รับการค้นพบว่ามีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานรของสมอง ช่วยให้เลือดไหวเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดี และยังช่วยป้องกันโรคความเสื่อมของระบบประสาท (Neurodegenerative) เช่น ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease)
- ช่วยให้อารมณ์ดี ลดซึมเศร้า
เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกอ่อนล้า หดหู่ เศร้าโศก ให้โกโก้อยู่เป็นเพื่อนคู่ใจของคุณสิ สารอาหารในโกโก้หรือผงโกโก้ รวมถึงช็อกโกแลตที่ทำมาจาก โกโก้ ก็มีส่วนช่วยลดอาการเซื่องซึม เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
- ช่วยในการลดน้ำหนัก
คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังมองหาตัวช่วยในการลดน้ำหนักอยู่รึเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็ ไม่ควรมองข้ามเคล็ดลับดีๆ อย่างผงโกโก้ เพราะใน โกโก้ จะให้คาร์โบไฮเดรตต่ำ กินแล้วทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ป้องกันการสะสมไขมันและยังเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย โดยมีผลการวิจัยว่าผู้ที่รับประทานโกโก้ หรือรับประทานอาหารที่มีโกโก้เป็นส่วนประกอบ เช่น ช็อกโกแลต สามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่กินช็อกโกแลตเลย แต่ขอแนะนำให้เป็นดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นนะ
- ช่วยสร้างสมดุลของเกลือแร่ในเลือด
ปัญหาเกลือแร่ในเลือดไม่สมดุลนั้น เนื่องมาจากร่างกายมีสารอาหารประเภท โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโซเดียมไม่เพียงพอ ซึ่งการรับประทานโกโก้ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารดังกล่าวได้อย่างครบถ้วน
- โกโก้ดีต่อสุขภาพฟัน
การรับประทาน โกโก้ เป็นประจำ มีส่วนช่วยให้สุขภาพช่องปากแข็งแรงได้ เพราะในโกโก้นั้นมีสารที่ชื่อว่า ทีโอโบรมีน (Theobromine) ช่วยในการต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย และทำให้ฟันแข็งแรง แต่ข้อสำคัญคือไม่ควรเติมน้ำตาลลงไปในโกโก้
- ผลข้างเคียงที่ควรระวัง
แม้ว่า โกโก้ จะเป็นตัวช่วยในการมีสุขภาพที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข้อแนะนำและข้อควรระวังบางประการสำหรับการรับประทานโกโก้ ดังนี้
- ผู้ที่มีอาการวิตกกังวล ควรระวังการกินโกโก้ เนื่องจากคาเฟอีนในโกโก้ อาจส่งผลให้มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ไม่ควรรับประทานโกโก้ในปริมาณมาก เนื่องจากอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
- ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน การรับประทานผงโกโก้ อาจทำให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลงกว่าเดิม
- ผู้ที่เป็นต้อหิน ควรระมัดระวังโกโก้ เนื่องจากสารคาเฟอีนในโกโก้จะมีผลต่อความดันที่ดวงตา
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หากรับประทานโกโก้อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้
การรับประทานโกโก้แม้จะไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง แต่ผู้ที่มีอาการทางสุขภาพอยู่แต่เดิมแล้ว ควรขอคำแนะนำจากคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญว่าสามารถรับประทานได้หรือไม่ และปริมาณเท่าใดจึงจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพ ที่สำคัญคือควรรู้จักงดหวานในการกินผงโกโก้เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/03/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 37,300.00 | 37,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,416.00 | 36,626.56 | 37,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,174.40 | 32,963.90 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,932.80 | 29,301.25 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,087.00 | 16,478.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 846.00 | 12,825.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,504.00 | 37,960.64 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/03/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.15 | 39.15 | 39.75 | 39.15 | 39.15 | 39.15 | 39.15 | 39.15 | 39.15 | 39.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.68 | 37.68 | 38.48 | 37.68 | 37.68 | 37.68 | 37.68 | 37.68 | 37.68 | 37.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.04 | 37.04 | 37.84 | 37.04 | 37.04 | – | 37.04 | 37.04 | 37.04 | 37.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.79 | 36.79 | – | – | – | – | – | – | – | 36.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 46.84 | 49.44 | 49.44 | 49.44 | – | – | – | – | – | 46.84 |
เบนซิน 95 | 47.04 | – | – | – | 48.21 | – | 47.54 | 47.19 | – | 47.04 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.84 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |