สาระน่ารู้ประจำวันที่ 26 กันยายน 2568

อสังหาฯ ยื่น 9มาตรการฟื้นตลาด สู้เศรษฐกิจซบ-รีเจกต์เรตพุ่ง

  • ภาคเอกชนเสนอ 9 มาตรการต่อรัฐบาลเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ รับมือภาวะเศรษฐกิจซบเซาและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น
  • ข้อเสนอหลักมุ่งเน้นการลดภาระผู้ซื้อ เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง, การต่ออายุมาตรการ LTV และการสนับสนุนทางการเงินผ่านซอฟต์โลน
  • มาตรการดังกล่าวมีขึ้นหลังมีการคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ปี 2568 อาจหดตัว 5-15% จากกำลังซื้อที่อ่อนแอและข้อจำกัดด้านสินเชื่อ

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไร้เสถียรภาพ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ยังไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนชะลอตัว ทั้งฝั่งอุปสงค์ที่อ่อนแรง และข้อจำกัดด้านสินเชื่อที่ยังคงสูง ส่งผลให้ภาพรวมตลาดมีแนวโน้มติดลบระหว่าง 5–15% โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ขณะที่กลุ่มบ้านจัดสรรยังพอไปได้
จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ระบุว่า ครึ่งแรกปี2568  ยอดขายใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลลดลง 22,032 หน่วย  คาดการณ์ว่า ยอดโอน343,678 หน่วยมูลค่า964,027ล้านบาท ยอดเปิดตัวโครงการใหม่52,000 หน่วยมูลค่า390,000ล้านบาท ยอดปล่อยสินเชื่อ582,800ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบ2ปีก่อนหน้า

อธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวในประชุมสัมมนาวิชาการประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “วิเคราะห์ พลิกฟื้น จุดเปลี่ยนตลาดอสังหาริมทรัพย์” สะท้อนเสียงสะท้อนจากภาคธุรกิจที่ยังเต็มไปด้วยความกังวล พร้อมกันนั้น ยังได้มีการเสนอชุดมาตรการ 9 ข้อที่ภาคเอกชนผลักดันผ่านสภาหอการค้าไทยไปยังภาครัฐ เพื่อบรรเทาผลกระทบระยะสั้น และวางรากฐานให้ตลาดเริ่มกลับเข้าสู่สมดุล
 

9 มาตรการภาคเอกชนเสนอรัฐ

 มาตรการที่เสนอครอบคลุมทั้งฝั่งอุปสงค์และซัพพลาย เช่น

1.การต่ออายุมาตรการ LTV

2.ลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนอง

3.ออกมาตรการ “บ้านดีมีดาวน์”

4.การรับประกันสินเชื่อผ่าน บสย.

5.ปล่อยกู้ซอฟต์โลน

6.ออกสิทธิประโยชน์ดึงต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาว

7.ลดภาษีที่ดิน 50-90% สำหรับบ้านหลังแรก

8.ทบทวนขนาดบ้านจัดสรรให้เหมาะสม

9.ค้ำประกันอสังหาฯเชิงพาณิชย์ผ่าน บสย.

ทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายาม “ประคองตลาด” ท่ามกลางพายุลูกใหญ่ที่ยังไม่ผ่านพ้น ทั้งหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง รีเจกต์เรตที่ไม่ลดลงมา 3 ปี และเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

ต่างชาติเริ่มขยับ แต่ยังไม่ใช่คำตอบ

แม้จะมี “สัญญาณบวก” จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามา เช่น เมียนมา และไต้หวัน แต่กำลังซื้อนี้ยังไม่เพียงพอชดเชยการหดตัวในประเทศ ขณะที่เงินบาทแข็ง ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ

“ผู้ประกอบการต้องไม่ประมาท เพราะอสังหาฯ เป็นธุรกิจที่ต้องแบกรับต้นทุนสูง หากสะสมสต็อกมากเกินไป จะยิ่งหนัก ต้องเร่งระบายของ เพื่อให้มีรายได้หมุนเวียน”

แม้มาตรการภาครัฐจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการ “ซื้อเวลา” ให้ธุรกิจ แต่การปรับตัวของผู้ประกอบการเองเป็นสิ่งจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการบริหารสต๊อกอย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบสินค้าให้ตรงกับกำลังซื้อจริง และการหาช่องทางเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ และต่างชาติ

ขณะที่ภาครัฐจำเป็นต้อง “เร่งมือ” ในการตัดสินใจด้านนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน การคลายเกณฑ์สินเชื่ออย่างระมัดระวัง และการกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ศุภาลัย ชี้ช่องว่างตลาด! ส่งคอนโดพรีเมียมราคาคุ้ม ชิงเรียลดีมานด์ฝั่งธนฯ

ศุภาลัย ชี้ช่องว่างตลาด! ส่งคอนโดพรีเมียมราคาคุ้ม ชิงเรียลดีมานด์ฝั่งธนฯ

ซัพพพลายคอนโดฯ ราคาตํ่ากว่า 3 ล้านหดตัวแรง ศุภาลัยเล็งเห็นช่องว่าง เดินเกมรุกตลาดฝั่งธนฯ เปิดโครงการใหม่พร้อมราคาคุ้มค่า หวังจับเรียลดีมานด์

ท่ามกลางบรรยากาศตลาดคอนโดมิเนียมที่ยังอยู่ในช่วงซบเซา ที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงรอดูแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่กลับซ่อนโอกาสในบางเซ็กเมนต์ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่มองเห็นช่องว่าง (Market Gap) และอาศัยจังหวะเช่นนี้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านกลยุทธ์ราคา การควบคุมต้นทุน และการเลือกทำเล เพื่อจับกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ยังมีอยู่จริงในกรุงเทพฯฝั่งธนบุรี

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย ระบุว่า หากย้อนกลับไปในปี 2563 ตลาดคอนโดฯ เคยมีการเปิดตัวมากถึง 2,300 ยูนิต โดยเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 48% อยู่ในกลุ่มราคาตํ่ากว่า 3 ล้านบาท แต่เพียงปีถัดมาเมื่อราคาที่ดินและค่าก่อสร้างปรับตัวขึ้น ซัพพลายก็หดตัวลงเหลือเพียง 911 ยูนิต และสัดส่วนตํ่ากว่า 3 ล้านบาทหล่นลงเหลือ 11% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค (Real Demand) โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ต้องการคอนโดฯ ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท กลับยังคงเหนียวแน่นในทำเลที่เชื่อมต่อการเดินทางสะดวก โดยพื้นที่เขตคลองสานและทำเลรอบวงเวียนใหญ่มีอัตราการดูดซับ (Absorption Rate) สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดอย่างต่อเนื่อง

สะท้อนว่าผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงยังคงมองหาสินค้าในทำเลเดินทางสะดวก เพียงแต่ตลาดกลับไม่สามารถตอบสนองซัพพลายได้เพียงพอ จึงเกิดเป็นโครงการ “ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน-วงเวียนใหญ่” ซึ่งศุภาลัยเลือกเปิดตัวโครงการในปีนี้ โดยวางยูนิตกว่า 43% ให้อยู่ในระดับราคาตํ่ากว่า 3 ล้านบาท และส่วนใหญ่ไม่เกิน 5 ล้านบาท

หนึ่งในจุดแข็งของศุภาลัยคือการบริหารต้นทุนอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถนำ “ราคาเดิม” กลับมาสู่ตลาดได้อีกครั้ง ทั้งที่ต้นทุนวัสดุและแรงงานสูงขึ้น โดยที่ดินแปลงพัฒนาใหม่ถูกซื้อมาในราคา 260,000 บาทต่อตารางวา ตํ่ากว่าระดับสูงสุดในทำเลที่แตะ 290,000 บาท อีกทั้งยังใช้กลยุทธ์ตัดพื้นที่ส่วนเกินจากแปลงไปทำสำนักงานขายและขายต่อภายนอก ส่งผลให้ต้นทุนเฉลี่ยของโครงการลดลง ถึงหลักพันบาทต่อตารางเมตร

อีกทั้ง ศักยภาพด้านการเจรจาต้นทุนก่อสร้างกับซัพพลายเออร์ ยังทำให้บริษัทคุมค่าใช้จ่ายได้ แม้ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่ยังสามารถรักษาสเปคพรีเมียมโดยไม่ต้องลดคุณภาพ ซึ่งสะท้อนความแข็งแรงของสถานะทางการเงินและประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง ขณะที่ปีนี้ยังกันงบซื้อที่ดินไว้ถึง 8,000 ล้านบาท ซึ่งจากการสังเกตพบว่าราคาที่ดินเริ่มลดลงราว 10% เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีก่อน ถือเป็นจังหวะเหมาะสำหรับการเข้าซื้อเพื่อเก็บสะสมที่ดินในพอร์ต

ทั้งนี้ พื้นที่ตากสิน-วงเวียนใหญ่ถือเป็นทำเลทองที่ได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ MRT สายสีม่วงใต้ ซึ่งคาดว่าจะเปิดใช้ปี 2572 และอยู่ห่างเพียง 350 เมตรจากโครงการใหม่ของศุภาลัย นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับ BTS สายสีเขียว วงเวียนใหญ่และโพธิ์นิมิตรในระยะเดินทางสั้น พร้อม Shuttle Bus ที่ใช้เวลาเพียง 11 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน การขยายระบบรางดังกล่าว ทำให้พื้นที่นี้มีโอกาสพัฒนาเป็น Multi-Modal Hub ที่เชื่อมทั้งรถไฟฟ้า ทางถนน และทางนํ้าในอนาคต และจะเป็นอีกแรงหนุนให้ตลาดที่อยู่อาศัยในฝั่งธนฯ มีมูลค่าเพิ่มต่อเนื่อง

นายชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ เน้นยํ้าว่า ราคาที่สามารถแข่งขันได้ ไม่ได้มาจากการลดสเปควัสดุ แต่ยังคงมาตรฐานระดับพรีเมียมไว้ครบถ้วน ทั้งระบบ Digital Door Lock เครื่องปรับอากาศแบบ Cassette พร้อม PM 1.0 Filter ครัว Smart Kitchen สุขภัณฑ์ Comfort Clean รวมถึงเครื่องทำนํ้าร้อนที่มักไม่ถูกใส่ในโครงการทั่วไป

สำหรับการออกแบบยังคงเน้นการใช้งานจริง อาคารรูปตัว L ช่วยลดความร้อนแดดบ่าย และเปิดรับลมธรรมชาติ ห้องพักถูกออกแบบตามทิศทางแสงและลม เช่น ยูนิตทิศตะวันตกถูกจัดวางครัวด้านนอกเพื่อช่วยกันความร้อน สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในสไตล์ Modern Living Standard โดยมี Crown Sky Lounge และลู่วิ่งดาดฟ้าที่สามารถชมวิวแม่นํ้าเจ้าพระยาเป็นไฮไลต์

นายไตรเตชะยังเผยว่าในปีนี้ จะมีการเปิดตัวคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพียง 50,000-55,000 ยูนิต ซึ่งถือว่า “ใกล้จุดตํ่าสุด” ในรอบ 5 ปี ขณะที่การแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้นจน Gross Margin ของผู้พัฒนา 12 รายหลัก ลดตํ่ากว่า 30% ต่อเนื่อง 4 ไตรมาส เป็นสัญญาณว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่ในฐานะ “ผู้ได้เปรียบ” ซึ่งศุภาลัยประเมินว่า หากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ตลาดมีโอกาสฟื้นไปแตะ 70,000 ยูนิตในปี 2569 หรือเติบโต 50-60% จากระดับปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ การเปิดเกมลงทุนในช่วงตลาดหดตัวจึงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับรอบฟื้นตัวที่จะตามมา

โครงการนี้จึงสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของบริษัทในการใช้ “ช่องว่างตลาด” เป็นตัวกำหนดทิศทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ที่แท้จริง ซึ่งจะพร้อมเปิดพรีเซลส์ในวันที่ 18-19 ตุลาคม 2568 สำหรับผู้ซื้อแล้วอาจเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสได้ซื้อสินค้าในราคาที่คุ้มค่าบนทำเลศักยภาพ ด้วยราคาที่ตํ่ากว่าตลาดราว 30% ขณะที่สำหรับศุภาลัย การเดินหมากครั้งนี้คือการยํ้าบทบาทของบริษัทในฐานะผู้พัฒนาอสังหา ริมทรัพย์รายใหญ่ที่อ่านเกมตลาดได้เฉียบคม และพร้อมเดินหน้าในรอบฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียม

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26ก.ย.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจถูกชะลอการอ่อนค่าตามแรงขายเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐปรับขึ้นกดดันราคาทองคำ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26 ก.ย.2568 ที่ระดับ  32.22 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.13 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น และเงินบาทอาจกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) หลังเงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยอ่อนค่าลงจนทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์

และอ่อนค่าลงต่อจนทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ซึ่งการอ่อนค่าลงของเงินบาทดังกล่าว ก็ใกล้เคียงกับที่เราประเมินไว้ ณ วันที่ 10 กันยายน ว่า เงินบาทอาจอยู่ที่ระดับ 32.00+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนกันยายน (คาดการณ์ ณ วันที่ 4 มิถุนายน มองเงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.75+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทั้งนี้ เรามองว่า ต้องจับตาการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นต่างชาติ อย่างใกล้ชิด

 หลังบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ระบุว่า นักลงทุนแนว Systematic Hedge Funds ได้ทยอยสะสมสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ไว้พอสมควร ซึ่งข้อมูล Positioning ของผู้เล่นในตลาดจากหลายแห่งที่เราติดตาม ก็สะท้อนภาพว่า ผู้เล่นในตลาดต่างมีสถานะ Net Long THB พอสมควร

ทว่า เราเริ่มเห็นการปรับลดสถานะดังกล่าว ซึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในกลุ่ม Systematic Hedge Funds อาจต้องทยอยปิดสถานะ Long THB (เช่น stop loss) ซึ่งอาจยิ่งหนุนการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้ในระยะสั้น

 โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยเพิ่มสถานะ Long THB ในช่วงเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ จุด Stop Loss ของผู้เล่นกลุ่มดังกล่าว อาจอยู่ในโซน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ดังนั้น ควรต้องจับตาว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้อย่างชัดเจนหรือไม่ในระยะสั้นนี้

ทั้งนี้ เรามองว่า แม้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินบ้าง แต่ผู้เล่นในตลาดต่างก็รับรู้พอสมควรจากทั้งรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ก่อนหน้ามาบ้างแล้ว

 อีกทั้งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดก็มีการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ทำให้ เรามองว่า รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ ที่จะรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย อาจไม่ได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างมีนัยสำคัญ

และคาดว่า อาจต้องรอลุ้นข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ซึ่งจะรับรู้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม ถึงจะเห็นการปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง)

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.35 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง มากกว่าที่เราประเมินไว้ และสามารถอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.11-32.32 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง จากเดิมผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 70% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้

และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า กลายเป็น ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 58% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และมีโอกาสเพียง 44% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026 หลัง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ล้วนออกมาดีกว่าคาด

อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 +3.8% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี รวมถึง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.18 แสนราย และ 1.926 ล้านราย ตามลำดับ

 นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมในช่วงแรก ตามการย่อตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงรอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง อีกทั้งราคาทองคำก็เริ่มทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง กลับสู่ระดับใกล้เคียงก่อนช่วงรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ Oracle -5.6% และ Tesla -4.4% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.33% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.66% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นกลุ่มยาและการแพทย์ หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เริ่มกาสอบสวนประเด็นความมั่นคงของชาติ จากการนำเข้าสินค้าในกลุ่มดังกล่าว

นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ยังได้ส่งผลกระทบให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ฝั่งยุโรป เคลื่อนไหวทรงตัวหรือย่อตัวลง 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด จนทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น เข้าใกล้ระดับ 4.20% ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อย ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม

การเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ดังกล่าว ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง

 ทั้งนี้ เราย้ำว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง

 เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ล้วนออกมาดีกว่าคาด

 กอปรกับในช่วงปลายเดือน เงินดอลลาร์ก็ได้แรงหนุนจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด (ปรับลดสถานะ Short USD หรือมองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) และโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ (Month-end flows) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 98.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงสู่โซน 3,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง สู่ระดับล่าสุดแถว 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดและแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด โดยการรับรู้ข้อมูลเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของประธาน ECB   

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.18-32.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.46 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.13 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นตามการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด (ตัวเลข final ของจีดีพีสหรัฐฯ ประจำไตรมาส 2/68 +3.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตลาดคาดที่ +3.3% ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลงไปที่ 218,000 ตำแหน่ง ตลาดคาดที่ 233,000 ราย) 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.10-32.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  ราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนส.ค. 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“หูด” โรคผิวหนังที่พบบ่อย มีกี่ชนิด พร้อมสาเหตุ-วิธีรักษา

โรคหูด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยไม่จำกัดเพศ และอายุ แม้ว่าจะไม่ได้อันตรายมากนัก แต่ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเป็นแผลติดเชื้อที่หนักกว่าเดิม รักษายากกว่าเดิมได้

โรคหูด คืออะไร?

โรคหูด คือ โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อ HPV (Human Papilloma Virus) ที่ผิวหนัง หรือเยื่อบุแผล หรือรอยถลอก ผิวหนังที่เปื่อยยุ่ย ฉีกขาด ด้วยการสัมผัสโดยตรงจากคนที่เป็นหูด หรือสัมผัสทางอ้อมผ่านสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น สระว่ายน้ำ สถานที่ออกกำลังกาย ราวจับต่างๆ และอาจติดเชื้อที่ผิวหนังได้เอง

หูดที่ผิวหนัง มี่กี่ชนิด?

หูดที่ผิวหนัง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  1. หูดบริเวณผิวหนัง เช่น หูดที่ผิวหนัง ฝ่ามือ และฝ่าเท้า
  2. หูดบริเวณเยื่อบุผิวหนัง โดยเป็นหูดที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ หรือที่เรียกว่า หูดหงอนไก่ มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งปากมดลูกด้วย

ลักษณะของหูด

แบ่งออกเป็น 5 ลักษณะตามอาการ ได้แก่

  1. หูดธรรมดา ลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวค่อนข้างขรุขระ สีเหมือนผิวหนังหรือสีดำ อาจมีเม็ดเดียวหรือหลายเม็ด
  2. หูดผิวเรียบ ลักษณะเป็นตุ่มแบน ผิวเรียบ สีเหมือนผิวหนัง
  3. หูดฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นปื้นหนาแข็งฝังอยู่ในเนื้อ สีค่อนข้างเหลือง เมื่อยืนเดินลงน้ำหนักหรือกดทับจะเจ็บ
  4. หูดที่อวัยวะเพศ ลักษณะเป็นตุ่มนูนสูงคล้ายหงอนไก่ พบบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก และขาหนีบ
  5. หูดที่เป็นติ่งเนื้อแข็งยื่นจากผิวหนัง ลักษณะเป็นตุ่มขรุขระแต่ยาวคล้ายนิ้วมือเล็กๆ มักพบบริเวณใบหน้า และลำคอ

วิธีรักษาโรคหูด

  1. ทายาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก กรดแลคติก กรดไตรคลออะซิติก หากทายาอาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน แต่เป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่ต้องเจ็บตัว แต่ควรรับยาหลังตรวจจากแพทย์ ให้แพทย์เลือกตัวยา และบอกวิธีใช้อย่างละเอียดให้ ไม่ควรซื้อยามาทาเอง
  2. จี้ด้วยความเย็นจากไนโตรเจนเหลว ผู้ป่วยอาจรู้สึกแสบๆ เจ็บๆ ระหว่างถูกจี้ หลังจี้แผลอาจพองเป็นตุ่มน้ำ แผลจะค่อยๆ ยุบแห้งตะสะเก็ดและหายได้เอง แต่อาจต้องจี้หลายครั้งจนกว่าจะหายขาด
  3. จี้ไฟฟ้า สามารถทำลายหูดได้เด็ดขาดในครั้งเดียว หรือไม่กี่ครั้ง แต่อาจมีแผลเป็นได้
  4. ผ่าตัดเอาก้อนหูดออก หากวิธีอื่นๆ ที่ทำมาข้างต้นไม่ได้ผล
  5. ทายากระตุ้นภูมิ (DCP) หากใช้วิธีอื่นไม่ได้ผล หรือมีก้อนหูดจำนวนมาก แต่อาจใช้เวลารักษาหลายเดือน และต้องเดินทางไปทายาที่โรงพยาบาลทุกสัปดาห์

วิธีป้องกันโรคหูด

  1. หากเป็นหูด ควรรีบพบแพทย์เพื่อรีบทำการรักษา และเพื่อป้องกันการกระจายเชื้อโรคสู่ผู้อื่น
  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อรักษาสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ให้ภูมิต้านทานแข็งแรง ต่อต้านเชื้อโรคได้อยู่เสมอ
  3. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่เป็นโรคหูดหงอนไก่
  4. ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV สามารถฉีดได้ทั้งชาย และหญิง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สองนักแบดหญิงเดี่ยวไทย “เม-ศุภนิดา” และ “หมิว-พรปวีณ์” โชว์ฟอร์มเยี่ยม เอาชนะเจ้าถิ่นกรุยทางสู่รอบ 8 สุดท้ายได้สำเร็จ ในศึกแบดมินตัน โคเรีย โอเพ่น 2025 ขณะที่คู่ผสม “ไตเติ้ล-เจน” พลาดท่าตกรอบอย่างน่าเสียดาย

การแข่งขันแบดมินตันรายการ โคเรีย โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 475,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,200,000 บาท ที่เมืองชูวอน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ก.ย.68 ที่ผ่านมา ในรอบสอง

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มือวางอันดับ 6 ของรายการ มืออันดับ 12 ของโลก พบกับ ปาร์ค กาอึน มืออันดับ 90 ของโลก จากเกาหลีใต้  เกมนี้ เม ศุภนิดา ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างเด็ดขาด เอาชนะไปแบบขาดลอย 2-0 เกม 21-6 และ 21-12 “เม” ศุภนิดา ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับ อากาเนะ ยามากูชิ มือวางอันดับ 2 ของรายการ มืออันดับ 4 ของโลกจากญี่ปุ่น

ด้าน “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 3 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลก พบกับ คิม จูอิน มืออันดับ 176 ของโลกจากเกาหลีใต้ เกมนี้ หมิว พรปวีณ์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปได้สนุก 2-0 เกม  21-14 และ 21-17 หมิว” พรปวีณ์ ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับ เหยา เจียมิน มืออันดับ 16 ของโลกจากสิงคโปร์ 

ประเภทคู่ผสม รอบสอง “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มืออันดับ 14 ของโลก แพ้  เกา ซินวา กับ เฉิน ฟางฮุ้ย คู่มือวางอันดับ 4 ของรายการ คู่มืออันดับ 5 ของโลกจากจีน 0-2 เกม 14-21 ,17-21 

สำหรับการแข่งขันในรอบก่อนรองชนะเลิศ จะแข่งขันในวันศุกร์ที่ 25 ก.ย.68 นี้ แฟนๆแบดมินตันสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง True Sport 7 (686) ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ประโยคลงท้าย Email ภาษาอังกฤษ

ประโยคลงท้าย Email ภาษาอังกฤษ

ประโยคก่อนที่จะปิดอีเมล

คำลงท้ายอีเมล ภาษาอังกฤษ ก่อนจบอีเมล ใช้สำหรับการแสดงความมีน้ำใจ การแสดงคำขอบคุณ หรือการย้ำจุดประสงค์ของอีเมล

แสดงถึงคำขอบคุณ
  • Thank you for your help. / time / assistance / support
  • I really appreciate the help. / time / assistance / support you’ve given me.
  • Thank you once more for your help in this matter.

การย้ำจุดประสงค์ของการเขียนอีเมล

  • I look forward to hearing from you soon / meeting you next Thursday.
  • I look forward to seeing you soon.
  • I’m looking forward to your reply.
  • We hope that we may continue to rely on your valued custom.
  • We look forward to a successful working relationship in the future.
  • Please advise as necessary.
  • I would appreciate your immediate attention to this matter.

การแสดงให้เห็นในน้ำใจ หรือยินดีให้ความช่วยเหลือในครั้งต่อไป

  • If I can be of assistance, please do not hesitate to contact me.
  • If you require any further information, feel free to contact me.
  • If you require any further information, let me know.
  • Please feel free to contact me if you need any further information.
  • Please let me know if you have any questions.
  • I hope the above is useful to you.
  • Should you need any further information, please do not hesitate to contact me.
  • Please contact me if there are any problems.
  • Let me know if you need anything else
  • Drop me a line if I can do anything else for you

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


กลุ่มซีดีจี โกอินเตอร์ พัฒนาระบบทะเบียนราษฎรดิจิทัลเกาะมัลดีฟส์

  • กลุ่มบริษัทซีดีจีได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลมัลดีฟส์ให้เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาระบบทะเบียนราษฎรและบัตรประชาชนดิจิทัล (CRVSID)
  • มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการภาครัฐที่ไม่เท่าเทียมของประชาชนบนหมู่เกาะต่างๆ และยกระดับประเทศสู่ดิจิทัลตามมาตรฐานสากล (ICAO)
  • ระบบใหม่จะช่วยรวมศูนย์ข้อมูลประชากร ทำให้การวางนโยบายของรัฐบาลแม่นยำขึ้น (Data-Driven Policy) และสร้างความเท่าเทียม โปร่งใสในการให้บริการ

บริษัท คอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด  ในกลุ่มซีดีจี ต่อยอดบทบาทผู้นำด้านเทคโนโลยีของไทย สู่ก้าวสำคัญบนเวทีโลก หลังได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลมัลดีฟส์ ในการออกแบบและกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีระบบทะเบียนราษฎรและข้อมูลบัตรประชาชนดิจิทัล (CRVSID) ภายใต้โครงการ D’MADD

โดยมุ่งยกระดับระบบบริการประชาชนให้เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ถือเป็นกุญแจสำคัญที่เปลี่ยนประเทศหมู่เกาะมัลดีฟส์จากการเข้าถึงบริการรัฐที่ยังไม่เท่าเทียม สู่การเป็นประเทศดิจิทัล ที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม โปร่งใส สอดรับตามมาตรฐาน ICAO เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

นายทวีศักดิ์ นิลวัชรมณี ประธาน บริษัท คอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มัลดีฟส์มีหมู่เกาะมากกว่า 1,000 เกาะ กำลังเผชิญความท้าทายด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐที่ไม่เท่าเทียม และข้อมูลทะเบียนราษฎรที่กระจายไม่เป็นหนึ่งเดียว ทำให้การบริหารจัดการและการกำหนดนโยบายขาดความแม่นยำ โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่อยู่ห่างไกลหรืออยู่ในภาวะเปราะบาง ซึ่งมักเผชิญอุปสรรคในการลงทะเบียนทั้งจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ โอกาสทางการศึกษา และการรับรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็น เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา และสวัสดิการสังคม เนื่องจากไม่มีเอกสารทางกฎหมายที่ครบถ้วน”

การมีระบบทะเบียนราษฎรและบัตรประชาชนแบบใหม่ ช่วยให้ทุกอย่างสะดวกยิ่งขึ้น ผ่านการบูรณาการร่วมกับแพลตฟอร์มเดิม เพื่อให้การตรวจสอบ และการยืนยันตัวตนเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ในการเข้าถึงบริการออนไลน์จากภาครัฐ เช่น การยื่นภาษี หรือการขออนุญาตต่าง ๆ ผ่านฐานข้อมูลสำคัญที่ถูกต้อง และเป็นปัจจุบันทั้งแจ้งเกิด แจ้งตาย หรือย้ายถิ่นฐาน ทำให้ทราบจำนวนประชากรจริง

โดยระบบดังกว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการวางนโยบายต่าง ๆ ได้ตรงจุด อาทิ การศึกษา สาธารณสุข การจัดการแรงงาน ตลอดการรับมือกับภัยพิบัติ เป็นต้น ผลักดันให้การทำงานของรัฐก้าวสู่ Data-Driven Policy ที่สะท้อนคุณค่าหลัก 3 ด้านคือ

  1. ความเท่าเทียม (Equity) ประชาชนทุกเกาะมีสิทธิ์เข้าถึงบริการรัฐอย่างเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์ที่เคยเป็นอุปสรรค
  2. ความโปร่งใส (Transparency) ข้อมูลทะเบียนราษฎรถูกรวมศูนย์ ทุกหน่วยงานใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อน และเปิดทางให้ระบบราชการตรวจสอบได้มากขึ้น
  3. ความมั่นใจ (Trust) มาตรฐาน ICAO ร่วมกับเทคโนโลยี Biometric และระบบปกป้องข้อมูลขั้นสูง
    ทำให้ประชาชนมั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานโลก

สิ่งที่ คอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) ได้ริเริ่มในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนาระบบใหม่ให้มัลดีฟส์ แต่คือการสร้างจุดเปลี่ยนด้านทะเบียนราษฎรและบัตรประชาชนดิจิทัล สู่มาตรฐานสากล ICAO ที่รองรับการยืนยันตัวตนอย่างปลอดภัย และสามารถเชื่อมต่อกับระบบสากลอื่น ๆ ได้ เช่น e-Passport และ e-KYC ของภาคการเงิน ถือเป็นก้าวสำคัญที่พิสูจน์ว่ามัลดีฟส์สามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไปอีกขั้น”

“โครงการนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เราได้มีบทบาทในการพัฒนาระบบทะเบียนราษฎรให้ก้าวไปสู่มาตรฐานดิจิทัล ตั้งแต่การให้คำปรึกษาในการเลือกรูปแบบระบบที่เหมาะสม ทั้งการใช้ซอฟต์แวร์ หรือระบบที่ยืดหยุ่นต่อการปรับใช้สอดคล้องกับศักยภาพบุคลากรในประเทศ พร้อมจัดทำเอกสารข้อกำหนดระบบ (SRS) เพื่อยกระดับจาก ‘ระบบราชการกระดาษ’ ไปสู่ ‘มาตรฐานดิจิทัล’ ที่ใช้งานได้จริง และที่สำคัญคือสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของกลุ่มบริษัทซีดีจีที่ยึดมั่นใน Technologies for a Better Society ” ส่งมอบคุณค่าที่แท้จริงให้กับประชาชน” 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


รู้จัก “ผักลืมผัว” ผักพื้นบ้านชื่อแปลก อร่อยจนได้ชื่อ กินแล้วจะลืมจริงไหม?

ผักลืมผัวคืออะไร?

ผักลืมผัว หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Lobelia thorelii E. Wimm. เป็นพืชล้มลุกในวงศ์ Campanulaceae พบได้บ่อยตามคันนาและหัวไร่ปลายนา โดยเฉพาะพื้นที่ดินทราย เมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าวจะออกดอกสีม่วงสดใสปกคลุมเป็นผืนสวยงาม

ที่มาของชื่อชวนสะดุด

แม้ชื่อจะดูแปลกและชวนสงสัย แต่แท้จริงแล้ว ผักลืมผัวไม่ได้ทำให้ลืมสามี หากแต่มีที่มาจากความอร่อย เวลากินสดกับน้ำพริก ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกปลาร้าบองหรือน้ำพริกจรั๊วะโดง อร่อยจนภรรยากินเพลิน ลืมเก็บไว้ให้สามี จึงกลายเป็นที่มาของชื่อเล่นชวนยิ้มนี้

การเก็บและการกิน

วิธีเก็บที่นิยมคือหาโคนต้นแล้วดึงขึ้นจากผืนทราย จะได้ทั้งต้นพร้อมกิ่งก้าน ชาวบ้านนำมารับประทานสดคู่กับน้ำพริกนานาชนิด โดยสามารถกินได้ทั้งต้น

ลักษณะของผักลืมผัว

ผักลืมผัวเป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว กิ่งก้านแผ่แนบไปตามพื้นดิน ใบเดี่ยวเรียงเวียน ใบโคนมักกลม ส่วนใบด้านบนรูปไข่ ขอบหยักไม่เป็นระเบียบ เส้นใบนูนชัดเจน ดอกมีลักษณะเดี่ยวหรือติดเป็นช่อเล็กที่ปลายยอด สีม่วงสด ผลและรังไข่มีขน เมล็ดเป็นทรงสามเหลี่ยม

การกระจายพันธุ์และความหายาก

ผักชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์จำกัด พบเฉพาะในไทยและลาว ส่วนกัมพูชามีโอกาสพบได้ แต่ยังไม่มีรายงานชัดเจน ปัจจุบันกลับหายากขึ้น เนื่องจากพื้นที่เกษตรนิยมใช้ยาฆ่าหญ้า ทำให้ผักลืมผัวค่อย ๆ ลดจำนวนลง

เกร็ดทางวิชาการ

คำระบุชนิด “thorelii” ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Clovis Thorel ผู้เคยเดินทางสำรวจลุ่มแม่น้ำมูลและโขงในช่วงปี ค.ศ. 1866–1868

สรุป

แม้ชื่อจะชวนให้สงสัย แต่ผักลืมผัวเป็นเพียงผักพื้นบ้านหายากที่มีรสชาติอร่อย กินกับน้ำพริกได้อย่างเข้ากัน ถือเป็นอีกหนึ่งพืชท้องถิ่นที่สะท้อนวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของคนไทย หากพบเจอจึงนับว่าพิเศษ เพราะในปัจจุบันเริ่มหาดูได้ยากแล้ว

เอกสารอ้างอิง:
de Wilde, W. J. J. O. & Duyfjes, B. E. E. (2014). Campanulaceae. In: T. Santisuk & H. Balslev (eds.), Flora of Thailand 11(4): 517–537. The Forest Herbarium, Bangkok.
ที่มา : หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a57,000.0057,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,685.0055,864.6057,900.00
ทองรูปพรรณ 90%3,316.5050,278.14n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,948.0044,691.68n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,658.2525,139.07n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,289.7519,552.61n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,818.6557,890.73n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.6532.6533.1532.6532.6532.6532.6532.6532.6532.65
แก๊สโซฮอล์ 9132.2832.2832.2832.2832.2832.2840.8449.8449.8432.28
แก๊สโซฮอล์ E2030.4430.9430.4430.4430.4430.4430.4428.3930.44
แก๊สโซฮอล์ E8532.2832.28
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.9449.81
เบนซิน 9541.4441.0941.0941.44
ดีเซล31.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม24 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:0024 Sep 05:00
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า