ชัวร์หรือมั่ว? เคลียร์ 6 ข้อ เข้าใจผิด เมื่อคิด ‘ขายบ้าน’
ชัวร์หรือมั่ว? ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ชวนเคลียร์ 6 ข้อ เข้าใจผิด เมื่อคิด ‘ขายบ้าน’ ตั้งราคาตามใจฉัน ,ขายเองไม่ต้องมี ‘นายหน้า’ และ ลืมคิดเรื่องภาษี ค่าธรรมเนียมการโอนฯ ปัญหาคาใจของ ‘การประกาศขายบ้าน’
25 ม.ค.2565 – ประกาศขายบ้านเริ่มอย่างไรดี ? … อสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินมูลค่าสูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่สามารถลงทุนหรือสร้างรายได้ได้จากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนปล่อยเช่าเพื่อทำกำไรระยะยาว หรือทำกำไรระยะสั้นจากการขายต่อ
ทั้งนี้ การประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มีรายละเอียดที่แตกต่างจากการขายสินค้าทั่วไป และมีหลายจุดที่ผู้ขายอสังหาริมทรัพย์มือใหม่มักเข้าใจผิด ซึ่งจะมีผลเสียหายในภายหลัง ดังนั้น ผู้ขายมือใหม่ จึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด เพิ่มโอกาสในการเจรจาต่อรอง และมีความรู้ในการทำธุรกรรมการซื้อ-ขายให้รอบคอบและชัดเจน
ล่าสุด ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เขียนบทความ : เคลียร์ข้อสงสัยที่คนมักเข้าใจผิดเมื่อคิดขายบ้านให้กระจ่าง เพื่อให้ผู้ขายมือใหม่หรือผู้ที่วางแผนจะขายบ้านในอนาคตได้ทำความเข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ที่ดีได้อย่างถูกต้อง
เปิดวาร์ป 6 ข้อเข้าใจผิดทำคนขายบ้านสับสน
- ข้อ 1: ตั้งราคาขายตามใจฉัน
ผู้ขายต้องทำความเข้าใจและตระหนักเสมอว่า การตั้งราคาขายบ้าน ที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ขายต้องศึกษาและเปรียบเทียบราคาตลาด พิจารณาสภาพเศรษฐกิจหรือสถานการณ์แวดล้อมในเวลานั้น ๆ อาทิ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเวลานี้ ที่มีบ้าน/คอนโดฯ ที่ตั้งราคาสูงจนเกินไปอาจจะปล่อยขายได้ยากหรือปล่อยขายไม่ได้เลย
ในขณะเดียวกัน การตั้งราคาให้ต่ำกว่าราคาตลาดถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้สนใจเข้ามาติดต่อผู้ขาย ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อเสนอที่ราคาอยู่ใกล้เคียงหรือเท่ากับราคาของตลาดได้ และหากราคาขายที่คุณตั้งถูกกว่าของประกาศอื่น ๆ ในประกาศซื้อขายบ้านบนหน้าเว็บไซต์ เป็นไปได้ว่าประกาศของคุณอาจจะโดนคลิกเข้ามาชมมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาขายสามารถอ้างอิงราคาประเมินของราชการ, องค์กรอิสระหรือสถาบันทางการเงิน หรือเช็กราคาตลาด/ราคาซื้อขายจริงบนทำเลนั้น ๆ แต่ทั้งนี้ก่อนตั้งราคาขายจะต้องไม่ลืมคำนวณค่าเสื่อมราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่ประกาศขายด้วย
- ข้อ 2: สามารถปิดซ่อนปัญหาเกี่ยวกับตัวบ้านได้มิด
ปัญหาเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจะปิดอย่างไรก็ไม่มิด 100% เพราะผู้ซื้อและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้ศึกษาทำการบ้านอยู่ตลอดเวลาจากหลายช่องทาง ทั้งจากเว็บไซต์ที่ให้ความรู้เรื่องที่อยู่อาศัยหรือประสบการณ์ตรงที่มีผู้แชร์บนโลกออนไลน์ นอกจากนี้ แม้ผู้ขายจะพยายามปกปิดดีอย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านั้นอาจถูกค้นพบเมื่อถึงช่วงตรวจสอบบ้านจากผู้ซื้อ (House Inspection) ซึ่งปัจจุบันมีวิศวกรและบริษัทตรวจรับบ้านให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ หากตรวจพบปัญหามากกว่าที่คิดอาจทำให้ผู้ซื้อเกิดความไม่ไว้วางใจว่าผู้ขายตั้งใจปิดบัง และยุติการซื้อขายได้
ดังนั้น ผู้ขายควรหาทางออกโดยการเลือกซ่อมแซมจุดเสียหายที่พบทันที หรือตั้งราคาขายต่ำกว่าตลาดเนื่องจากปัญหาข้อเสียหายที่เกิดขึ้น หรือตั้งราคาขายปกติแต่ทำสัญญากับผู้ซื้อว่า ผู้ขายจะทำการออกค่าใช้จ่ายเองหากเกิดกรณีซ่อมแซมในจุดเสียหายที่ตรวจเจอ หรือตั้งราคาขายตามสภาพของบ้านในเวลานั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจบานปลายได้ในภายหลัง เพราะผู้ขายอาจจะต้องเจอกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หากสภาพบ้านไม่เป็นไปตามในสัญญาซื้อขายที่ระบุ
- ข้อ 3: เชื่อใจผู้ซื้อมากเกินไป อาจทำเสียโอกาสขาย
เมื่อตกลงซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายจะรอความชัดเจนในการตกลงวันนัดทำสัญญาเพื่อดำเนินธุรกรรมกับผู้ซื้อต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการปิดโอกาสในการขายอสังหาริมทรัพย์กับบุคคลอื่น ผู้ขายสามารถขอให้ผู้ซื้อวางเงินมัดจำ หรือขอดูจดหมายอนุมัติสินเชื่อของผู้ซื้อที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือรัฐ เพื่อเป็นการการันตีถึงเรื่องความสามารถด้านการเงินของผู้ซื้อ
รวมถึงการันตีในเรื่องเงินที่ผู้ขายจะได้รับจากการขายบ้าน ถือเป็นการสร้างความมั่นใจและความสบายใจในการซื้อขายของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ หากผู้ขายมีกรอบระยะเวลาที่จะต้องปล่อยขายบ้านให้สำเร็จ ไม่ควรเลือกผู้ซื้อที่ติดภาระในการปล่อยขายบ้านเก่าเพื่อนำเงินมาซื้อบ้านใหม่ เพราะแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการปิดดีลซื้อขายครั้งนี้นั่นเอง ถือเป็นอีกข้อควรคำนึงที่ผู้ขายควรพิจารณา เพื่อไม่ให้เป็นการปิดโอกาสขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ซื้อที่มีศักยภาพคนอื่น ๆ
- ข้อ 4: รอรับเงินแต่ลืมเตรียมค่าภาษี
เมื่อการเจรจาตกลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้หมายความว่าผู้ขายจะรอรับเงินจากผู้ซื้อเพียงอย่างเดียว เนื่องจากในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จะมีภาษีขายบ้าน (ภาษีธุรกิจเฉพาะ) ด้วย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อหลายคนมักมองข้ามไป ผู้ขายที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้อาจขาดทุนจากการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากไม่ได้คำนวณค่าธรรมเนียมและภาษีรวมไว้ในต้นทุนก่อนประกาศขาย โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายในการขายอสังหาริมทรัพย์ส่วนที่ผู้ขายต้องจ่ายนั้น จะมี 4 รายการใหญ่ ๆ
ได้แก่ ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ในอัตรา 2% จากราคาประเมิน (ผู้ซื้อและผู้ขายชำระค่าธรรมเนียม 1% เท่า ๆ กัน), ค่าอากรแสตมป์ 0.5%, ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้ขายควรคำนวณค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้ถี่ถ้วน เพื่อวางแผนลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นลงได้ เช่น ถือครองอสังหาริมทรัพย์นานเกิน 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านครบ 1 ปี ซึ่งจะทำให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ข้อ 5: ขายเองก็ได้ ไม่ต้องมีนายหน้า
ผู้ขายส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการขายที่อยู่อาศัยก็เหมือนกับการขายทรัพย์สินอื่น ไม่ซับซ้อน จึงอยากจัดการเองมากกว่าไปจ้างนายหน้าหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ (Agent) ที่มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าคอมมิชชั่น เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายกับความสะดวกที่ผู้ขายจะได้รับแล้ว การมีนายหน้าหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยนำบ้าน/คอนโดฯ ไปเสนอขายผ่านช่องทางต่าง ๆ แล้ว นายหน้ายังช่วยหาหรือนำเสนอทรัพย์สินให้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้ออีกด้วย นายหน้าที่มีประสบการณ์ช่วยให้การขายอสังหาริมทรัพย์สามารถปิดดีลได้ไวขึ้นในราคาที่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อรับได้
นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลาในการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ เอง ทั้งการต่อรองหรือพาชมสถานที่จริงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งนี้ผู้ขายควรศึกษาวิธีคำนวณค่าคอมมิชชั่นเพื่อเตรียมตัวในการเจรจาก่อนตกลงว่าจ้างกับนายหน้า โดยปกตินายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 3% ของราคาขาย ทั้งนี้อัตราค่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะมีความแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละพื้นที่ และบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ดำเนินการ
- ข้อ 6: ขายบ้านทุกครั้งต้องมีนายหน้า
ในทางตรงกันข้าม หากผู้ขายมีความรู้เกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ และมีความรู้พื้นฐานด้านเอกสารธุรกรรมการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ สามารถขายที่อยู่อาศัยได้เองโดยไม่จำเป็นต้องจ้างนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เสมอไป อย่างไรก็ตาม การประกาศขายด้วยตัวเองนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องต้นทุนในเรื่องของเวลาที่ใช้ศึกษาตลาดด้วย หากผู้ขายเข้าใจกลไกต่าง ๆ ในเรื่องเหล่านี้ดีก็จะลดค่าใช้จ่ายคอมมิชชั่นที่สามารถนำไปปรับเป็นส่วนลดให้ผู้ซื้อ หรือเป็นกำไรให้ตัวเองได้ นอกจากนี้ ผู้ขายต้องคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการเอง
เช่น การนำข้อมูลบ้านลงประกาศขายในเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยสิ่งสำคัญคือข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง นำเสนอรูปสวย ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อ ยิ่งดีขึ้นไปอีกหากเว็บไซต์รองรับวิดีโอ, Virtual Tour หรือ Live Tour ซึ่งทำให้ผู้ซื้อได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนกว่าเดิม แต่ทั้งนี้หากเป็นเว็บไซต์ที่รวมข้อมูลซื้อ-ขายด้านอสังหาริมทรัพย์อาจมีค่าธรรมเนียมประกาศตามแพ็กเกจโฆษณาของเว็บนั้น ๆ นอกจากนั้นต้องให้ข้อมูลกับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามเข้ามาเอง ซึ่งก็จะมีทั้งผู้สนใจเข้ามาดูเฉย ๆ และผู้สนใจซื้อจริง ๆ ผู้ขายจะต้องมีเวลาในการรับโทรศัพท์และนัดหมายพาชมบ้าน
สรุปได้ว่านอกจากความรู้ความเข้าใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการทำธุรกรรมแล้ว ผู้ขายควรพัฒนาทักษะและประสบการณ์ในการเจรจาต่อรอง เพื่อให้พร้อมรับมือกับผู้สนใจซื้อที่หลากหลาย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ความรู้เช่นกัน
การขายอสังหาริมทรัพย์นั้นแม้จะมีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงแต่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวจนเกินไป ผู้บริโภคต่างมีโอกาสเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายได้ในอนาคต นอกเหนือจากข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับการขายที่อยู่อาศัยเหล่านี้แล้ว ผู้ขายต้องไม่ลืมว่ายังมีตัวแปรอีกมากมายที่เข้ามามีบทบาทและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ผู้ขายจึงควรเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเงินและความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้สามารถเลือกช่วงเวลาในการขายได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อัพเดท ‘ราคาที่ดินเปล่า’ 5 อันดับทำเลรถไฟฟ้ายังพุ่ง!
เปิด 5 อันดับ ทำเลรถไฟฟ้า ‘ราคาที่ดินเปล่า’ พุ่งสูงสุด REIC เผย เส้นทางรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท จตุจักร – บางนา ยังรั้งอันดับหนึ่ง 10 ปี ราคาเปลี่ยน 305%
25 ม.ค.2565 – อัพเดทล่าสุด ดัชนี “ราคาที่ดินเปล่า” ก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2564 โดย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า จากไตรมาส 2 ปี 2563 มาจนถึงไตรมาส 4 ปี 2564 “ดัชนีราคาของที่ดินเปล่า” ในแต่ละไตรมาสเพิ่มขึ้นแบบชะลอตัวลง
โดยเฉลี่ยเหลือประมาณร้อยละ 13.8 ต่อไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงต่อเนื่องกันถึง 6 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2563 อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิด การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ต่อเนื่องกันถึง 4 ไตรมาส
ราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้ายังเพิ่มสูงสุด
ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงของดัชนีของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลยังคงแสดงให้เห็นว่า แม้ว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อยู่ก็ตาม ราคาที่ดินเปล่าฯ ก็ยังมีการเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ซึ่งน่าจะเป็นผลจากปัจจัยสำคัญหนึ่งคือ ความคืบหน้าของการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่ใกล้จะแล้วเสร็จในปี 2565
ซึ่งในไตรมาสนี้โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับราคาเพิ่มขึ้นในบริเวณที่เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว บริเวณที่เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านเป็นหลัก และบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
จะสังเกตได้ว่าในไตรมาส 4 ปี 2564 นี้ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่อยู่ในกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออกที่ราคามีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น เนื่องจากมีรถไฟฟ้าหลายสายที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่ใกล้จะแล้วเสร็จ
5 อันดับ ราคาที่ดิน เพิ่มสูงสุด
ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในทำเลที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาสนี้ พบว่า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ
- อันดับ 1 ได้แก่ BTS สายสุขุมวิท
ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตจตุจักร บางนา พญาไท และพระโขนง เป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก หากเปรียบเทียบย้อนหลังมาประมาณ 10 ปี พบว่า ราคาที่ดินในบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 305.8 หรือเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 30.6
- อันดับ 2 ได้แก่ สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี)
ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และในไตรมาสนี้ มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วร้อยละ 89.5 มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตบางกะปิ มีนบุรี และสะพานสูง เป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก หากเปรียบเทียบย้อนหลังมาประมาณ 10 ปี พบว่า ราคาที่ดินในบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 325.6 หรือเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 32.6
- อันดับ 3 ได้แก่ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง)
ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และในไตรมาสนี้ มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วร้อยละ 88.7 และมีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2565 มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตบางพลี ประเวศ และเมืองสมุทรปราการ เป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก หากเปรียบเทียบย้อนหลังมาประมาณ 10 ปี พบว่า ราคาที่ดินในบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 273.7 หรือเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 27.4
- อันดับ 4 ได้แก่ Airport Link
ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตดินแดง วังทองหลาง สวนหลวง และห้วยขวาง เป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก หากเปรียบเทียบย้อนหลังมาประมาณ 10 ปี พบว่า ราคาที่ดินในบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 290.2 หรือเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 29.0
- อันดับ 5 ได้แก่ MRT
ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว และ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทั้ง 2 โครงการ มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านในเขตบางซื่อ เป็นบริเวณที่ราคาเพิ่มขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง หากเปรียบเทียบย้อนหลังมาประมาณ 10 ปี พบว่า ราคาที่ดินในบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้า MRT เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 343.9 หรือเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 34.4 ส่วน สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) หากเปรียบเทียบย้อนหลังมาประมาณ 10 ปี พบว่า ราคาที่ดินในบริเวณเส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 337.0 หรือเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 33.7
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิดตลาด 33.00 บาทต่อดอลลาร์ จับตาผลประชุมเฟด-ยูเครน
เงินบาทเปิดตลาด 33.00 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มแกว่งในกรอบ 32.90-33.10 บาทต่อดอลลาร์ จับตาผลประชุมเฟด-สถานการณ์ยูเครน
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 65 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 33.05 บาท/ดอลลาร์
“บาทแข็งค่าจากเย็นวานนี้ ทิศทางน่าจะแกว่งตัวในกรอบรอดูผลประชุมเฟดคืนนี้” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.90 – 33.10 บาท/ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ แรงขายดอลลาร์จากผู้ส่งออกทองคำหลังราคาทองปรับตัวขึ้นมากว่า 10 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดที่ยูเครน และผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ตลาดคาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.65 และปีนี้จะมีการปรับดอกเบี้ย 3-4 ครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ไขข้อข้องใจ : ยกน้ำหนักไทยโดนแบน 3 ปี แต่ทำไมกลับมากวาด 6 เหรียญทองชิงแชมป์โลกได้ทันที
ทัพนักกีฬายกน้ำหนักไทยสามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการคว้าถึง 6 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง ในศึกชิงแชมป์โลกครั้งล่าสุด ที่ประเทศอุซเบกิสถาน
ที่ผ่านมาอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะทัพยกเหล็กไทยสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความเก่งกาจมาแล้วอย่างมากมายบนเวทีระดับโลก
ทว่าความสำเร็จในครั้งนี้ นับเป็นผลงานแรกที่เกิดขึ้นหลังจากโดนแบนห้ามแข่งขันไปนานถึง 3 ปี
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ไม่มีทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติให้ชิงชัยเลยพวกเขาทำอะไรอยู่ แล้วทำไมถึงยังคงสามารถรักษามาตรฐานไว้ได้ดังเดิม หาคำตอบกันได้ที่ Main Stand
3 ปีแห่งความว่างเปล่า
ยกน้ำหนักถือเป็นกีฬาความหวังอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยในมหกรรมระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในศึกโอลิมปิก เกมส์ ที่สามารถคว้าไปแล้วรวมทั้งสิ้น 5 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 7 เหรียญทองแดง ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดเหนือกีฬาประเภทอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2018 ผลงานที่กำลังดีอย่างต่อเนื่องต้องหยุดชะงักลง เมื่อสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ หรือ IWF ได้ตรวจพบว่านักกีฬาไทยที่ลงแข่งขันในรายการชิงแชมป์โลก ที่กรุงอาชกาบัต ประเทศเติร์กเมนิสถาน จำนวน 9 ราย มีสารต้องห้ามภายในร่างกาย จนทำให้โดนลงดาบห้ามส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันทุกรายการเป็นเวลา 3 ปี พร้อมปรับเงินอีก 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.6 ล้านบาท ทำให้พลาดการลงชิงชัยในศึกโอลิมปิก เกมส์ “โตเกียว 2020” ที่ผ่านมา
สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่มีเจตนาที่จะฝ่าฝืนข้อห้ามแต่อย่างใด
“นักกีฬาได้รับการอบรมว่า การใช้สารต้องห้ามมาจากการกิน การดื่ม หรือการใช้ยาฉีดเท่านั้น ไม่เคยทราบมาก่อนว่ายาทา หรือยานวดจะเป็นการซึมเข้าไปแล้วทำให้เกิดการออกฤทธิ์ของสารต้องห้ามด้วย ดังนั้นทุกคนที่ใช้เจลรักษาอาการบาดเจ็บจึงรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้จงใจหรือตั้งใจกระทำ”
ขณะเดียวกันทางสมาคมยังได้พยายามต่อสู้พร้อมยื่นอุทธรณ์โทษต่อศาลกีฬาโลกอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ในเดือนเมษายน 2021 ศาลกีฬาโลกจะพิจารณาคืนสิทธิ์ให้กับทัพยกเหล็กไทยสามารถส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติได้อีกครั้ง โดยมีคิวประเดิมแข่งขันในรายการใหญ่ครั้งแรกคือ ศึกชิงแชมป์โลก 2021 ณ กรุงทาชเคนต์ ประเทศอุซเบกิสถาน ระหว่างวันที่ 7-17 ธันวาคม
ทว่าในช่วง 3 ปีแห่งความว่างเปล่าที่ผ่านมา ทัพนักยกน้ำหนักไทยไม่ได้ลงแข่งขันในรายการใดเลย แถมข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ก็แทบจะจางหายไปจากหน้าสื่อจนหมดสิ้น จึงเป็นที่น่าจับตาว่าการคัมแบ็กครั้งนี้จะเป็นอย่างไร…
คัมแบ็กสวยหรู
หลังจากที่ได้สิทธิ์ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันในเวทีโลกอีกครั้ง ทัพยกเหล็กไทยจัดเต็มด้วยการส่งนักกีฬาเข้าชิงชัยในศึกชิงแชมป์โลก 2021 ถึง 14 คน แบ่งเป็น ชาย 9 คน และหญิง 5 คน จากนักกีฬาทั้งหมด 74 ชาติ จำนวน 432 คน
และเพียงทัวร์นาเมนต์แรกทัพไทยก็ไม่ทำให้แฟนกีฬาผิดหวัง ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้าไปทั้งสิ้น 6 เหรียญทอง, 4 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง รั้งอันดับ 3 บนตารางคะแนนเหรียญ เป็นรองเพียง อันดับ 1 เกาหลีใต้ (9 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน 7 เหรียญทองแดง) และอันดับ 2 อุซเบกิสถาน (6 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง)
ซึ่งหากนับเฉพาะทีมหญิง ไทยถือเป็นอันดับ 1 ด้วยผลงาน 6 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง โดยนักกีฬาที่ได้เหรียญทั้งหมดประกอบไปด้วย
ธรรญธร สุขเจริญ (รุ่น 45 กิโลกรัมหญิง) 2 เหรียญทอง ท่าสแนตช์-น้ำหนักรวม / เหรียญเงิน ท่าคลีนแอนด์เจิร์ก
สุรจนา คำเบ้า (รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง) 3 เหรียญทอง ท่าสแนตช์-คลีนแอนด์เจิร์ก-น้ำหนักรวม
ดวงอักษร ใจดี (รุ่นน้ำหนักตัวมากกว่า 87 กิโลกรัมหญิง) เหรียญทอง ท่าสแนตช์ / เหรียญเงิน น้ำหนักรวม / เหรียญทองแดง ท่าคลีนแอนด์เจิร์ก
ธาดา สมบุญอ้วน (รุ่น 55 กิโลกรัมชาย) เหรียญเงิน น้ำหนักรวม
สุทธิพงษ์ จีรัมย์ (รุ่น 73 กิโลกรัมชาย) เหรียญเงิน ท่าสแนตช์ / เหรียญทองแดง น้ำหนักรวม
จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า แม้จะโดนแบนไปถึง 3 ปี แต่ทำไมทัพยกเหล็กไทยยังคงสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมได้ต่อเนื่อง
ซุ่มซ้อม
“เราโดนแบนห้ามแข่ง แต่ไม่ได้โดนห้ามซ้อม”
คำกล่าวจาก พันโทหญิง ดร.อภิญญา ดัชถุยาวัตร เลขาธิการสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ที่เปิดเผยกับ Main Stand ได้บ่งบอกถึงข้อสรุปของผลงานของทัพยกเหล็กไทยในครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี
แม้จะโดนแบนไม่ได้ร่วมแข่งขันระดับนานาชาติถึง 3 ปี แต่ทัพยกเหล็กไทยไม่ปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ แต่ยังคงมุ่งมั่นเก็บตัวฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องที่แคมป์จังหวัดเชียงใหม่มาโดยตลอด
“ช่วงที่โดนแบนนักกีฬาเกือบทุกคนยังคงเก็บตัวฝึกซ้อมอยู่ในแคมป์ตลอด อย่างออย (สุรจนา คำเบ้า) ที่คว้า 3 เหรียญทองก็กินนอนอยู่ในแคมป์ หรือบางคนก็ใช้เวลาช่วงนี้ไปเรียนต่อบ้างแต่ก็กลับมาซ้อมต่อเนื่องและเก็บตัวจริงจังก่อนแข่ง 3-6 เดือน”
“ขณะที่ทางโค้ชก็ได้ออกแบบโปรแกรมการฝึกอย่างเหมาะสม โดยไม่ได้แตกต่างจากช่วงที่มีทัวร์นาเมนต์ปกติเท่าไหร่ มีการไล่น้ำหนักเหล็กทุกเดือนว่าใครสามารถยกได้สูงสุดเท่าไหร่ มีการจำลองสถานการณ์แข่งขันจริงบ้างเพื่อไม่ให้เด็กเบื่อ” ดร.อภิญญา เผย
เลขาธิการสมาคมยกเหล็กไทย ยังให้ความเห็นต่อว่า การที่ไม่ได้ลงแข่งขันมานานทำให้นักกีฬาขาดประสบการณ์ไปบ้าง แต่ก็มีข้อดีคือทำให้นักกีฬามีสภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์อยู่ตลอด ไม่มีปัญหาเรื่องการบาดเจ็บหรือการฟื้นตัวหลังจบการแข่งขันเมื่อต้องลงชิงชัยติดต่อกัน
“เหมือนเราซุ่มซ้อมเพื่อรอเวลาที่รายการใหญ่จะกลับมาแข่งอีกครั้ง เด็กทุกคนจึงมีความกระหายอยากจะทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด และเมื่อลงแข่งผลงานที่ออกมาก็ถือว่าเกินเป้า เด็กทุกคนทำได้ดี ทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจเพราะเฝ้ารอมานาน” ดร.อภิญญา กล่าว
เตรียมทวงความยิ่งใหญ่
หลังจบทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลก ทัพยกน้ำหนักไทยมีโปรแกรมลงแข่งขันต่อเนื่องทั้งในศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 12-23 พฤษภาคม 2022 ต่อด้วย เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 10-25 กันยายน 2022
ขณะที่ในโอลิมปิก เกมส์ ยังคงมีปัญหาเล็กน้อย โดยทางสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ ยืนยันว่าใน “ปารีส 2024” ที่ประเทศฝรั่งเศส จะมีการจัดการแข่งขันแน่นอน แต่ใน “ลอสแอนเจลิส 2028” ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังต้องรอสรุปอีกครั้งว่าจะยังมีการชิงชัยต่อหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมายกน้ำหนักเป็นกีฬาที่มีปัญหาเรื่องการตรวจเจอสารกระตุ้นในนักกีฬาจากหลายประเทศ
ทางสมาคมยกน้ำหนักไทย ยืนยันว่าหลังจากนี้จะเดินหน้าฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อเป้าหมายระยะใกล้อย่างซีเกมส์ ที่ครองความยิ่งใหญ่มาโดยตลอด และเอเชียนเกมส์ ที่เคยคว้ามาได้ 2 เหรียญทอง 12 เหรียญเงิน 8 เหรียญทองแดง
“แน่นอนว่าเป้าหมายหลังจากนี้ของเราคือซีเกมส์และเอเชียนเกมส์ ถึงตอนนี้เชื่อว่านักกีฬาทุกคนมีความมุ่งมั่นเพิ่มยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะต้องเตรียมพร้อมทั้งนักกีฬาของเราเอง รวมถึงศึกษาคู่แข่งด้วยเช่นกันว่าเขาไปถึงระดับไหนแล้ว เพราะเราห่างหายจากการแข่งขันระดับนี้มานาน” ดร.อภิญญา ทิ้งท้าย
อนาคตจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ แต่การคัมแบ็กด้วยผลงานที่ดีในครั้งนี้นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะทำให้แฟนกีฬาชาวไทยที่เฝ้ารอจะได้ร่วมลุ้นระทึกและส่งเสียงเชียร์ทัพยกเหล็กไทยอย่างเต็มที่กันอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 อันตรายที่ “วัยทำงาน” เสี่ยงร่างพัง
สำหรับมนุษย์งาน เกือบทั้งหมดของชีวิตมีแต่คำว่า “งาน ประชุม อีเมล ลูกค้า” คงไม่ผิดหรอกที่หลายคนภาคภูมิใจกับความสำเร็จของงานที่เกิดจากความทุ่มเทของตัวเอง แต่อย่าลืมว่าแม้ใจยังสู้ แต่ร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร ย่อมมีวันที่เหนื่อยและอ่อนล้า ถ้ามัวแต่เลือกงานแล้วมองข้ามตัวเอง เชื่อแน่ว่าร่างกายไปก่อนแน่ๆ แต่ถ้ายังอยากสนุกกับงานไปได้อีกนานๆ ก็ลองให้เวลาตัวเองสักนิดหันกลับมาสำรวจความผิดปกติของร่างกาย จะได้รู้ว่า ร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนภัยแล้ว ให้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข
กว่า 10% ของคนเมือง มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็น โรคออฟฟิศ ซินโดรม – Office Syndrome ซึ่งมีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้นและมลพิษต่างๆ ที่สำคัญ “พฤติกรรมการทำงาน” ก็นับว่าเป็นปัจจัยให้เกิดความเสี่ยงสูงที่สุด ด้วยสภาพการทำงานที่ต้องรีบเร่ง ล้วนมีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ทั้งการใช้คอมพิวเตอร์วันละหลายชั่วโมง การอดอาหาร อดหลับอดนอนเพื่อทำงานให้เสร็จ ทำให้ร่างกายของเราก็ต้องแบกรับภาวะความตึงเครียด ปราศจากการผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว
5 อันดับโรคยอดฮิต เกาะติดชีวิตคนเมืองมีอะไรบ้าง
- “ไมเกรน” โรคปวดศีรษะเรื้อรัง
เคยรู้สึกไหมว่าเวลานั่งทำงานเครียดเราจะรู้สึกปวดหัว ตึ้บ…ตึ้บ… บริเวณขมับ ด้านหน้าศีรษะหรือหลังต้นคอ นั่นคือ สัญญาณเตือนให้คุณรู้ล่วงหน้าว่า สภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรค ‘ไมเกรน’ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ จนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่า จุด “Trigger Point” และจุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะ ทำให้เส้นเลือดหลังจุด “Trigger Point” เกิดการขยายตัวผิดปกติ ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น นอกจากนี้ แสงแดด ความร้อน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิด ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิด “ไมเกรน” ได้เช่นกัน
“ไมเกรน” มักจะพบในช่วงอายุ 10 – 50 ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิง ร้อยละ 18 และเพศชาย ร้อยละ 6 วิธีการดูแลให้ห่างไกลจาก “ไมเกรน” ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ หรือปรึกษาแพทย์ นักกายภาพบำบัด เพื่อทำการกดจุดสลาย “Trigger Point” บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- สภาวะเสียสมดุล
ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้น เพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม พร้อมขจัดและปรับระบบให้สามารถทำงานได้อย่างปกติมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี “สมอง” เป็นจุดศูนย์รวมของการทำงานของร่างกาย “สมอง” จะทำหน้าที่ออกคำสั่งและส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาทเพื่อไปควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ รวมทั้งกล้ามเนื้อ และข้อต่อต่างๆ ซึ่งระบบรากประสาททั้งหมดออกมาตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุล ไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ (เช่น ค่อม งอ คด แอ่น)
สาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศที่ผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้กล้ามเนื้อทานไม่ไหว ร่างกายก็จะฟ้องออกมาในรูปแบบของความเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชาหรือแขนขาไม่มีแรงเป็นต้น ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลอย่างชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ด้วย
การดูแลและป้องกันนั้น มีวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกาย เช่น การยืดหยุ่นร่างกายไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติถือเป็นการคงสภาพให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถทำการปรึกษากับนักกายภาพบำบัดเพื่อทำการปรับโครงสร้างร่างกาย พร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน
- กระดูกสันหลังคดงอ “อาการปวดหลังเรื้อรัง”
หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสมัยใหม่ ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะ ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง ใส่ร้องเท้าส้นสูงบ่อยๆ เคยลองสังเกตไหมว่าร่างกายสะสมความอ่อนเพลียและเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน และรู้หรือเปล่าว่านั้นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งโดยค่าเฉลี่ย 80% มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต และกว่า 20% จะพบว่ามีอาการปวดหลังแบบเรื้อรังมาจาก “กระดูกสันหลังคดงอ”
วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธี คือ การรักษาด้วยการให้ยาและกายภาพบำบัดแบบ Passive ซึ่งช่วยลดอาการปวดได้ดี แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างพอเพียงที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซากในอนาคตได้ ส่วนวิธีการรักษาแบบ “Active Rehabilitation” นั้นเป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้อย่างถาวร ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ และการออกกำลังกายที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคล และมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดนั้นได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียวอย่างชัดเจน
- ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ
อีกโรคที่คุกคามอย่างเงียบๆ คงจะหนีไม่พ้น “ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ” หรือ “Carpal Tunnel Syndrome (CTS)” ที่กำลังขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือเมาส์คอมพิวเตอร์ในท่าเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบและเกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังบริเวณข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบนั้นก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน
อยากห่างไกลความเสี่ยงเลือกวิธีปฎิบัติง่ายๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือทุก 15 – 20 นาที หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการรักษาแบบ “Manual Therapy” หรือการบำบัดด้วยวิธีการใช้มือเป็นหลัก ผสานเข้ากับการใช้เครื่องมือบำบัดเฉพาะทาง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะการบาดเจ็บที่รุนแรง และลดอัตราการผ่าตัดลง
- “หูดับ” โรคประสาทหูเสื่อม
อีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้กับปัญหา “หูดับ” หรือโรคประสาทหูเสื่อม ซึ่งส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด หรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นต้น ส่งผลให้ระดับการได้ยินเสียงลดลง โดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 30 – 50 ปีขึ้นไป แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น สังเกตได้จากค่านิยมในการใช้มิวสิกโฟนผ่านทางมือถือและเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าประสาทหูเสื่อมสภาพ ในขั้นต้นหากรู้สึกว่าได้ยินเสียงลดลง ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนต้องตั้งใจฟังหรือให้คู่สนทนาต้องพูดซ้ำบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อตรวจหาสาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินพร้อมรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ หรือปรึกษาศูนย์ฯ บริการด้านการได้ยิน เพื่อตรวจวัดระดับของการได้ยินพร้อมรับคำปรึกษา และแนวทางฟื้นฟูการฟัง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ
และนี่เป็นเพียง 5 อันดับโรคยอดฮิตเรียกน้ำย่อยสำหรับคนเมือง พ.ศ. นี้ แต่ความเป็นจริงยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา ถ้าเรายังเลือกทำแต่งาน แล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง…ใส่ใจตัวเองสักนิด หาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วจะรู้ว่า ชีวิตที่มีสุขเป็นอย่างไร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เรียนภาษาอังกฤษผ่านบุคลิกภาพ (Personality) และอุปนิสัย (Character)
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับคำว่าบุคลิกภาพ (Personality) โดยแต่ละบุคลิกภาพมีชื่อเรียกเฉพาะในภาษาอังกฤษอีกด้วย
คำว่า Personality เป็นคำนาม แปลว่า บุคลิกภาพ มีคำอื่นที่ความหมายที่เหมือนกันเช่น individuality, character มีที่มาจากคำว่า
Person (N) – แปลว่า บุคคล
Personal (Adj) – แปลว่า ส่วนตัว | Personality จึงเป็นคำนามของ Personal นั่นเอง
เราลองมาทำความารู้จักกับสองอุปนิสัยหลักๆ ได้แก่ Introvert และ Extrovert
Introvert เป็นกลุ่มที่มีอุปนิสัย ชอบเก็บตัว (หรืออยู่กับคนกลุ่มน้อย) เงียบๆ ไม่พบปะผู้คนซึ่งรากศัพท์ตัวข้างหน้า In เป็นตัวบ่งบอกว่าซึ่งอยู่ข้างในหรือแปลความได้ว่าชอบอยู่คนเดียว ไม่แสดงตัวตนของตัวเองออกมามากนัก
Extrovert เป็นกลุ่มที่มีอุปนิสัย ชอบออกงาน สังสรรค์ พบปะผู้คนเป็นจำนวนมาก สามารถทำความรู้จักกับคนอื่นได้อย่างง่าย โดยรากศัพท์คำว่า Ex ซึ่งแปลว่าออก ในที่นี้หมายถึงการชอบแสดงออก แสดงตัวตนของตัวเอง
หากใครที่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนกลุ่มไหนสามารถลองไปทำแบบทดสอบได้ที่นี่
หลังจากที่เรารู้แล้วว่าแต่ละประเภทคืออะไร เรามีศัพท์เกี่ยวกับอุปนิสัย(Character) ต่างๆ มาฝากในวันนี้ด้วย
1. Adamant – ดื้อรั้น
2. Careful – ระแวง
3. Serious – เอาจริงเอาจัง
4. Rash – เผลอเรอ
5. Docile – ว่านอนสอนง่าย
6. Naïve – ไร้เดียงสา
7. Timid – ขี้ขลาด
8. Bold – อวดดี กล้าหาญ
9. Naughty – ซน
10. Calm – ใจเย็น
11. Hasty – ใจร้อน
12. Brave – กล้าหาญ
13. Mild – อ่อนโยน
14. Bashful – ขี้อาย
15. Jolly – ร่าเริง
16. Gentle – เรียบร้อย
17. Quiet – เงียบ
18. Hardy – พากเพียร
19. Lax – เหลวไหล
20. Quirky – เล่ห์เหลี่ยม
21. Relaxed – เรียบง่าย
22. Lonely – ขี้เหงา
23. Modest – อ่อนน้อม
24. Impish – เกเร
25. Sassy – ทะเล้น
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง จากงาน CES 2022
Consumer Electronics Show หรือ CES ของสหรัฐอเมริกา เป็นงานแสดงผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ๆ หลากหลายประเภท และมักจะเป็นงานแสดงที่หลายบริษัทเลือกที่จะใช้เป็นเวทีเปิดตัวนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ในปีนี้ งาน CES 2022 ได้กลับมาจัดขึ้นที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา อีกครั้ง หลังจากที่ต้องเปลี่ยนไปจัดแบบออนไลน์เป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เข้าชมงานในปีนี้ลดลงกว่า 70% ในขณะที่ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายบริษัทตัดสินใจถอนตัวออกจากงานกระทันหัน ตามการรายงานของสำนักข่าว The Associated Press
ไฮไลท์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่น่าสนใจจากงาน CES 2022 ในปีนี้ มีดังต่อไปนี้
คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปแบบพับได้
ASUS ได้เปิดตัว Zenbook 17 Fold คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป หรือโน้ตบุ๊คแบบพับได้ ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าหลายบริษัทจะเปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟนแบบพับได้ไปบ้างแล้ว แต่นวัตกรรมดังกล่าวยังไม่ได้ต่อยอดไปถึงคอมพิวเตอร์แบบพกพา
ASUS ซึ่งเป็นบริษัทไต้หวัน กล่าวว่า Zenbook 17 Fold นี้ เป็นคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่ทรงพลัง โดยมีหน้าจอแบบ OLED ขนาด 44 เซ็นติเมตร แต่สามารถพับให้เหลือ 32 เซ็นติเมตรเพื่อความสะดวกในการพกพา
กล้องแอร์เซลฟี (AirSelfie)
บริษัท แอร์เซลฟี (AirSelfie) เปิดตัวกล้องบินได้ชิ้นล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ของผู้ใช้ โดยกล้องตัวใหม่นี้มีชื่อว่า “แอร์พิกซ์” (Air Pix) เป็นกล้องขนาดเล็กและเบาที่สามารถบินได้และถ่ายภาพและวีดีโอที่มีความละเอียดสูง วีดีโอโฆษณาบนเว็บไซต์ของบริษัทอธิบายว่ากล้อง Air Pix สามารถบินได้ สามารถเลือกมุมจัดเฟรมถ่ายภาพได้เองอีกด้วย และยังบินลงมาจอดบนฝ่ามือของผู้ใช้ได้อีกด้วย
การสื่อสารแบบครบวงจร All-in-one
บริษัทเทคโนโลยี แองเคอร์ (Anker) เปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร หรือ “all-in-one” ตัวใหม่เพื่อพัฒนาการสื่อสารของพนักงานบริษัทที่ทำงานจากบ้านที่ชื่อว่า AnkerWork B600 โดยสามารถนำอุปกรณ์ชิ้นนี้ไปใช้วางบนจอคอมพิวเตอร์ คล้ายกับกล้องเว็บแคม แต่ AnkerWork B600 จะรวมเอาองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่ใช้ในการสื่อสารไว้ในผลิตภัณฑ์ชิ้นเดียว เช่น กล้อง ลำโพง ไมโครโฟน และไฟส่องหน้า
เราเตอร์หุ่นยนต์สำหรับอินเตอร์เน็ตไร้สาย (Robotic Wi-Fi Router)
บริษัททีพี-ลิงค์ (TP-Link) เปิดตัว เราเตอร์สำหรับเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายที่ใช้เสาเราเตอร์หุ่นยนต์ เพื่อหาและทำการล็อคสัญญาณอินเตอร์เน็ตไรสายที่ดีที่สุด เพื่อทำให้อินเตอร์เน็ตทำงานได้เร็วขึ้นและดียิ่งขึ้น ภาพผลิตภัณฑ์เราเตอร์รุ่น Archer AXE2000 Omni แสดงให้เห็นเสาเราเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ ยืดขึ้น หดลง และปรับเปลี่ยนทิศทางเพื่อหาสัญญาณอินเตอร์เน็ต
หุ่นยนตร์ช่วยเหลือลาบราดอร์ (Labrador assistive robot)
ลาบราดอร์ ผู้ผลิตหุ่นยนต์ เปิดตัวหุ่นยนต์รุ่น รีทรีฟเวอร์ (Retriever) หุ่นยนต์ประจำบ้านสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ หุ่นยนต์ขนาดเล็กและขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองถูกออกแบบมาให้ถือสิ่งของ และค้นหรือกู้คืนสิ่งของได้ ผู้ใช้สามารถใช้เสียงในการควบคุมหุ่นยนตร์จากแอพพลิเคชันบนโทรศัพท์ และยังสามารถตั้งโปรแกรมให้หุ่นยนต์โดยใช้แผนผังของบ้านเป็นตัวอ้างอิง โดยบริษัทกล่าวว่าหุ่นรีทรีฟเวอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ “เป็นมืออีกคู่หนึ่งที่คอยช่วยเหลือ และลดภาระงานในบ้าน”
ซัมซุง โอดิสซี อาร์ค (Samsung Odyssey Ark)
ในปีนี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้นำเสนอจอคอมพิวเตอร์หลายรุ่นในงาน CES ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ชอบเล่นวีดีโอเกม หรือ “เกมเมอร์” โดยเฉพาะ จอรุ่น Odyssey Ark เป็นจอโค้งที่มีความยาวเกือบ 140 เซนติเมตร ซัมซุงยังได้สาธิตให้ดูว่าด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ดังกล่าวยังสามารถปรับได้ ให้เป็นวงโค้งขึ้นมาเหนือศรีษะของผู้ใช้ เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
รถแทรกเตอร์แบบขับเคลื่อนได้เอง
ผู้ผลิตอุปกรณ์การทำไร่ทำสวนของอเมริกันอย่าง จอห์น เดียร์ (John Deere) นำเสนอในงาน CES รถแทรกเตอร์ที่ขับเคลื่อนได้เองเต็มตัว รถแทร็กเตอร์ดังกล่าวติดกล้องไว้ 6 ตัว และมีเซ็นเซอร์รอบตัวรถเพื่อช่วยนำทางการขับเคลื่อนในสวนในไร่ นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถบังคับและติดตามรถแทรกเตอร์คันดังกล่าวผ่านทางแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์ บริษัทจอห์น เดียร์กล่าวว่า รถแทรกเตอร์รุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้เกษตรกรทำงานได้มากขึ้นด้วยอุปกรณ์และแรงงานที่น้อยลง โดยบริษัทอ้างว่าจะช่วยทำให้เกษตรกรมีผลผลิตออกมาให้ทันกับความต้องการอาหารที่จะเพิ่มมากขึ้นถึง 50% ภายในอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สรรพคุณน้ำมันมะกอก (Benefits of Olive Oil)
ไขมันในอาหารมีผลต่อสุขภาพหรือไม่ ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยว่าน้ำมันมะกอกโดยเฉพาะแบบสกัดสด (Extra Virgin Olive Oil) ดีต่อสุขภาพของคุณ นี่คือผลดีต่อสุขภาพ 11 ชนิดของน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ที่มีการรับรองจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
1. น้ำมันมะกอกเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ดีต่อสุขภาพ
น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันธรรมชาติที่สกัดจากเมล็ดมะกอก น้ำมันมะกอกมีไขมันอิ่มตัวราว 14%ในขณะมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น โอเมก้า-6 และ โอเมก้า-3 ราว 11%
แต่กรดไขมันที่เด่นในน้ำมันมะกอกคือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เรียก กรดโอเลอิก เป็น 73% ของปริมาณทั้งหมด
การศึกษาพบว่า กรดโอเลอิกช่วยลดการอักเสบและอาจมีผลดีต่อยีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็ง
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวทนต่อความร้อนสูงได้ ทำให้น้ำมันมะกอกสกัดสดเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการทำอาหาร
2. น้ำมันมะกอกสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ
น้ำมันมะกอกสกัดสดมีสารอาหารมากมาย นอกจากกรดไขมันดี ยังมีวิตามินอี และเคในปริมาณเหมาะสม แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณมาก
สารต้านอนุมูลอิสระนี้มีฤทธิ์ทางชีววิทยา และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง จัดการกับการอักเสบ และป้องกันโคเลสเตอรอลในเลือดไม่ให้ผสมกับออกซิเจน(ปฏิกิริยาออกซิเดชัน) ผลดีทั้ง 2 ประการหลังนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
3. น้ำมันมะกอกมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีมาก
การอักเสบเรื้อรังถูกกล่าวหาว่าเป็นเหตุที่สำคัญของโรคต่างๆ เช่น มะเร็งโรคหัวใจ ปัญหาระบบเผาผลาญ เบาหวานประเภทที่ 2 อัลไซเมอร์ ข้ออักเสบ และภาวะน้ำหนักเกิน
ประโยชน์น้ำมันมะกอกสกัดสด คือ ช่วยลดการอักเสบต่างๆ ของร่างกาย
สารต้านอนุมูลอิสระ ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตัวที่สำคัญคือ Oleocanthal ออกฤทธิ์คล้าย Ibuprofen ซึ่งเป็นยาต้านการอักเสบ
นักวิทยาศาสตร์บางคนสรุปว่า Oleocanthal ในน้ำมันมะกอกกลั่นสด 50 CC มีฤทธิ์เท่ากับ 10% ของขนาดยา Ibuprofen ที่ใช้ในผู้ใหญ่
การวิจัยยังพบว่ากรดโอเลอิกที่พบมากในน้ำมันมะกอกสามารถลดอาการอักเสบได้ โดยดูจากระดับ C-reactive protein (CRP) ที่ลดลง
งานวิจัยหนึ่งพบว่า สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกช่วยยับยั้งยีน และโปรตีนบางตัวที่ก่อให้เกิดการอักเสบ
4. ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกอาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากการไหลเวียนเลือดในสมองถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะเป็นลิ่มเลือดหรือเลือดออกในสมอง
ในประเทศพัฒนาแล้ว โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 2 รองจากโรคหัวใจ
มีการศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างน้ำมันมะกอกและความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
การศึกษาในคน 841,000 คน พบว่า น้ำมันมะกอกเป็นแหล่งเดียวของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ที่สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง
การศึกษาในคน 140,000 คน พบว่า ผู้รับประทานน้ำมันมะกอกมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองน้อยกว่าผู้ไม่รับประทานน้ำมันมะกอก
5. น้ำมันมะกอกมีฤทธิ์ป้องกันโรคหัวใจ
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในโลก
มีการศึกษาที่น่าสนใจพบว่า 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาพบว่า โรคหัวใจเกิดน้อยมากในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน
จึงนำไปสู่การวิจัยอย่างจริงจังเกี่ยวกับอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
พวกเขาใช้น้ำมันมะกอกทำอาหาร น้ำมันมะกอกสกัดสดเป็นหัวใจสำคัญของอาหารชนิดนี้ มันช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ในหลายทาง คือ ช่วยลดการอักเสบป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีเกิดออกซิเดชัน ช่วยปรับสภาพภายในของหลอดเลือด และช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ไม่ให้มีมากเกินไป
ที่น่าสนใจคือมันแสดงให้เห็นว่าช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการเกิดโรคหัวใจ และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า น้ำมันมะกอกลดความต้องการใช้ยาลดความดันโลหิตได้ถึง 48%
หากคุณเป็นโรคหัวใจ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรือมีปัจจัยเสี่ยงที่ต่อโรคหัวใจ ลองใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารแต่ละมื้อ
6. น้ำมันมะกอกไม่ทำให้อ้วน
การกินน้ำมันมะกอกสกัดสดไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม
มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่อุดมไปด้วยน้ำมันมะกอกมีผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก
ในการศึกษาในนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวสเปน 7,000 คน นาน 30 เดือน ให้รับประทานน้ำมันมะกอกปริมาณมาก พบว่า ไม่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก
และมีการศึกษาอาสาสมัคร 187 คน นาน 3 ปี พบว่า อาหารที่อุดมไปด้วยน้ำมันมะกอกมีส่วนในการเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด และทำให้น้ำหนักลดลง
7. น้ำมันมะกอกอาจช่วยจัดการโรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาทที่พบมากที่สุดในโลก
โดยตัวการสำคัญอันหนึ่ง คือ การสะสมของ Beta-amyloid plaque ในเซลล์สมอง
การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า สารในน้ำมันมะกอกช่วยกำจัดคราบสะสมเหล่านี้
และจากการศึกษาในมนุษย์ชี้ให้เห็นว่า อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่อุดมไปด้วยน้ำมันมะกอกมีผลดีต่อการทำงานของสมองด้วย
โปรดจำไว้ว่าอาจต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลของน้ำมันมะกอกต่อโรคอัลไซเมอร์
8. น้ำมันมะกอกอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเบาหวานประเภทที่ 2
น้ำมันมะกอกอาจจะมีฤทธิ์ป้องกันเบาหวานประเภทที่ 2 ได้ดี
การศึกษาจำนวนมากพบว่า น้ำมันมะกอกส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด และความไวต่ออินซูลิน
เมื่อไม่นานมานี้มีการทดลองในคนที่สุขภาพดี 418 คน ซึ่งพบว่า มีฤทธิ์การป้องกันเบาหวานของน้ำมันมะกอก ในการศึกษานี้พบว่า อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่อุดมไปด้วยน้ำมันมะกอกลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานประเภทที่ 2 ลงได้มากกว่า 40%
สรุป
จากการศึกษาแบบสังเกต และการทดลองในคลินิกพบว่า น้ำมันมะกอกเมื่อปรุงในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานประเภทที่ 2 ได้
9. สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกอาจจะมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
มะเร็งเป็นสาเหตุการตายที่พบได้ทั่วไปในโลก คนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนมีความเสี่ยงต่อมะเร็งต่ำ และนักวิจัยจำนวนมากเชื่อว่าเป็นผลจากน้ำมันมะกอก สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกสามารถลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็ง
การศึกษาในห้องปฏิบัติการจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า สารประกอบในน้ำมันมะกอกสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้
แต่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมว่า น้ำมันมะกอกสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้อย่างไร
10. น้ำมันมะกอกช่วยรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์
ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกิดจากภูมิแพ้ตนเองซึ่งทำให้อาการปวดข้อ และข้อต่อพลิก
แม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ปกติ
สารสกัดจากน้ำมันมะกอกช่วยให้การอักเสบน้อยลง และลดความไม่สมดุลย์ของอนุมูลอิสระในผู้ที่เป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์
น้ำมันมะกอกมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับน้ำมันปลา ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบเช่นกัน
มีการศึกษาที่พบว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมันปลาช่วย ทำให้แรงบีบของมือดีขึ้น ลดการปวดข้อ และลดอาการข้อติดตอนเช้าในผู้ที่เป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ชัดเจน
11. น้ำมันมะกอกมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
น้ำมันมะกอกมีสารอาหารมากมายที่สามารถหยุดยั้งหรือกำจัดแบคทีเรียได้
แบคทีเรียชนิดหนึ่งคือ Helicobacter pylori แบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหารที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และเป็นสาเหตุมะเร็งกระเพาะอาหาร
มีการศึกษาในหลอดทดลองแสดงให้เห็นว่า น้ำมันมะกอกสกัดสดต่อสู้กับแบคทีเรียได้ถึง 8 ชนิด ซึ่งมี 3 ชนิดดื้อ ต่อยาปฏิชีวนะ
การศึกษาในมนุษย์พบว่า การรับประทานน้ำมันมะกอกสกัดสด 30 กรัมทุกวัน ช่วยลดการติดเชื้อ Helicobacter pylori ลง10-40% ภายในสองสัปดาห์
ซื้อน้ำมันมะกอกยี่ห้อไหนดี
การซื้อน้ำมันมะกอกที่ให้ถูกต้อง นั้นไม่ได้ขึ้นกับราคาน้ำมันมะกอก แต่ขึ้นกับความบริสุทธิ์ของน้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกสกัดสดมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารชีวภาพจากลูกมะกอก จึงดีต่อสุขภาพมากกว่าชนิดที่ปรับแต่งแล้ว
แต่ในตลาดน้ำมันมะกอกนั้นมีการหลอกลวงผู้บริโภคจำนวนมาก น้ำมันมะกอกที่ระบุว่าสกัดสดมักจะคือ น้ำมันมะกอกที่ถูกเจือจางด้วยน้ำมัน หรือน้ำมันมะกอกที่ปรับแต่งแล้ว
ดังนั้นจึงควรอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ชนิดสกัดสดจริงๆ 100% และควรอ่านส่วนผสมและตรวจดูใบรับรองคุณภาพด้วย
บทสรุป
น้ำมันมะกอกสกัดสดมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤประสิทธิภาพ และมีผลดีต่อหัวใจ สมอง ข้อต่อ และอิ่นๆ หรืออาจจะพูดได้ว่าน้ำมันมะกอกเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลกก็เป็นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก ihealzy.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/01/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,700.00 | 28,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,859.00 | 28,182.44 | 29,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,673.10 | 25,364.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,487.20 | 22,545.95 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 837.00 | 12,688.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 651.00 | 9,869.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,926.00 | 29,198.16 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/01/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.55 | 33.55 | 34.15 | 33.55 | 33.55 | 33.55 | 33.95 | 33.55 | 33.55 | 33.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.28 | 33.28 | 33.88 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.68 | 33.28 | 33.28 | 33.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.24 | 32.24 | 32.84 | 32.24 | 32.34 | – | 32.64 | 32.24 | 32.24 | 32.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 25.54 | 25.54 | – | – | – | – | – | – | – | 25.54 |
เบนซิน 95 | 40.96 | – | – | – | 41.41 | – | 41.86 | 41.46 | – | 40.96 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 31.44 | 30.34 | 30.64 | 29.94 | 30.44 | 30.24 | 30.34 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 31.44 | 30.34 | 30.64 | 29.94 | 30.44 | 30.24 | 30.34 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 31.44 | – | 30.64 | – | 30.44 | 30.24 | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.96 | 35.96 | 37.89 | 36.86 | 37.39 | – | – | – | – | 35.96 |
แก๊ส NGV | – | – | – | – | – | – | – | – | – | – |