ยักษ์อสังหาแห่ลุย‘มิกซ์ยูส’พัทยา-บ้านหลังที่สอง
ยักษ์อสังหาเซ็นทรัล AWC MQDC แลนด์แอนด์เฮ้าส์แห่ลุย‘มิกซ์ยูส’พัทยามูลค่ารวมกว่า30,000ล้านบาทชิงกำลังซื้อต่างชาติ-บ้านหลังที่สอง ‘ฮาบิแทท’ ผุดคอนโดBranded Residenceระดับลักชัวรีเครือวินแดมนำร่องวงศ์อมาตย์ พัทยาจับกลุ่มเรียลดีมานด์และนักลงทุน
“พัทยา” ทำเลยุทธศาสตร์เมืองท่องเที่ยวแห่งภาคตะวันออก ขุมทรัพย์โซนเขตเศรษฐกิจพิเศษ “อีอีซี ”ที่มีความแข็งแกร่งของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กระจายหลากหลายเซ็กเมนต์ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ จึงเป็น “หมุดหมาย” ในการลงทุนของบรรดายักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีโครงการจำนวนมากครอบคลุมทั้งศูนย์การค้า ห้างร้านค้าปลีก โรงแรม รวมทั้ง บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กลุ่ม MQDC และ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ โดยดีเวลลอปเปอร์หลายรายอยู่ระหว่างพัฒนาเมกะโปรเจกต์ “มิกซ์ยูส” มูลค่ารวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท
ชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า พัทยาเป็นเมืองที่มีศักยภาพ เป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองเดียวที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่มีกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาทำงาน (expat )หรือ นักลงทุน เข้ามาอยู่อาศัยประจำ หรือเดินทางมาทำงาน มีคนกรุงเทพฯ มาซื้ออสังหาฯ ในพัทยาเป็น “บ้านหลังที่สอง” เพื่อพักผ่อน
ขณะเดียวกัน มีนิคมอุตสาหกรรมใหม่ที่รัฐบาลพยายามโปรโมท มีสนามบิน (ดอนเมือง -สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มีโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ฯลฯ ทำให้พัทยาได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐเข้ามากระตุ้นให้เมืองขยายและเติบโต จากลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค
ประกอบกับการเป็นเมืองที่มีการปกครองอย่างเป็นเอกเทศ ทำให้มีการพัฒนาโครงการต่างๆ ต่อเนื่อง เช่น การถมดินเพื่อขยายชายหาด หรือการพัฒนาโครงการรถไฟรางเบา ซึ่งมีหลายสี เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ที ส่งผลให้ราคาที่ดินและที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นเป็น ปัจจุบันพัทยาราคาเฉลี่ย 200,000-300,000 บาทต่อตารางเมตร คาดอนาคตขยับขึ้น 600,000-700,000 บาทต่อตารางเมตรก็เป็นไปได้
“ต่อไปอาจมีเทรนด์ใหม่ คนมีบ้านพัก หรือคอนโดมิเนียมตากอากาศอยู่พัทยาแล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงครึ่งชั่วโมงไปทำงานในกรุงเทพฯ หรืออยู่กรุงเทพฯแต่เดินทางไปทำงานในอีอีซีได้เช่นเดียวกัน”
บิ๊กโปรเจกต์ใหม่ๆ เตรียมเปิดบริการในอีก 3-5 หรือ 7 ปีข้างหน้า จะเป็น“จุดเปลี่ยน”ให้พัทยาขยับไปอีกสเต็ปหนึ่งที่”ไม่ใช่”แค่เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ อีกต่อไป!
บิ๊กอสังหาฯ แห่ผุดมิกซ์ยูส
นอกเหนือจากการลงทุนของภาครัฐ น่าสนใจอยู่ที่การลงทุนของภาคเอกชนจากบิ๊กคอร์ปในตลาดหลักทรัพย์ฯ เจาะดีมานด์นักท่องเที่ยว กลุ่มแรก บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาลงทุนในพัทยาค่อนข้างมากช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมามี โครงการเทอร์มินอล 21 พัทยา มิกซ์ยูสมูลค่า 6,000 ล้านบาท บนที่ดิน 33 ไร่ โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-90% ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแห่งที่ 3 ซึ่งจะแล้วเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า
กลุ่มที่สอง AWC กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ ทีซีซี กรุ๊ป ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ภายใต้โครงการ “อควอทีค” เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่จะร่วมยกระดับพัทยาสู่เมืองท่องเที่ยวริมทะเลระดับโลก ประกอบด้วย ศูนย์การค้าระดับลักชัวรี โรงแรม 5 ดาว ธีมปาร์ค และ Branded Residence ในเครือเจดับบลิว แมริออท ที่มีแผนลงทุนทุนกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นมิกซ์ยูส ขนาดใหญ่อยู่ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง ที่เปิดตัวใน2-3ปีข้างหน้า
กลุ่มที่สาม กลุ่มเซ็นทรัล ลงทุนทุนกว่า 3,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการล่าสุด “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” ไลฟ์สไตล์มอลล์ริมหาดวงศ์อมาตย์แห่งแรกของไทย ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลขยายการลงทุนสร้างอาณาจักรในพัทยา และจังหวัดชลบุรี มายาวนาน กลุ่มที่สี่ MQDC ในเครือซีพี มีที่ดินติดทะเล 60-70 ไร่ และไม่ติดทะเลอีกหลายร้อยไร่ในนาจอมเทียนใกล้ โอเชียน มารีน่า เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มีห้างไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่ รวมทั้งโรงแรม มี Branded Residence ในเครือสตาร์วูด
“กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา เป็นเมืองที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือนจำนวนมาก เฉพาะกรุงเทพฯ กว่า 20 ล้านคน ภูเก็ต และ พัทยา ทำเลละกว่า 10 ล้านคน ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง”
เทรนด์ Branded Residence มาแรง
การเปิดตัวของโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงปี 2567 เป็นต้นไป ทำให้ เมืองพัทยาเปลี่ยนไป! ฮาบิแทท จึงมองเห็น “โอกาส” พัฒนาแฟลกชิปคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ในรูปแบบ Branded Residence ครั้งแรก ภายใต้ชื่อ “วินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา” เป็นคอนโดไฮไรซ์ 36 ชั้น 385 ยูนิต มูลค่า 3,500 ล้านบาท โดยมี บริษัท อีซีจี เวนเจอร์ แคปปิตอล จำกัด ผู้บุกเบิกและผู้นำด้านการลงทุน Private Equity รายใหญ่ในประเทศไทย เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการครั้งนี้เพื่อสร้างโปรดักท์ทางเลือกของคนรุ่นใหม่ทั้งด้านการอยู่อาศัยและลงทุน
จากประสบการณ์กว่า 10 ปี ในธุรกิจอสังหาฯ พัฒนามากว่า 13 โครงการ บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และพัทยา มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท นับเป็นอีกก้าวสำคัญของฮาบิแททในการรุกตลาด Branded Residence รับแนวโน้มการเติบโตของตลาดในเซ็กเมนต์นี้
โดยข้อมูล Savills ระบุว่า ในรอบ 10 ปี ตลาดเอเชียแปซิฟิก มีโครงการ Branded Residence เพิ่มขึ้น 216% ข้อมูลจาก C9Hotelworks ระบุว่ามีโครงการ Branded Residence จำนวน 79 แห่ง ที่เตรียมเปิดยูนิตใหม่ในเอเชีย 16,130 ยูนิต รองรับดีมานด์ในปี 2568 โดยประเทศไทยครองสัดส่วนโครงการ Branded Residence ถึง 29% ตามด้วยฟิลิปปินส์และเวียดนาม
“Branded Residence เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง และน่าจับตามองสำหรับวงการอสังหาฯ ทั่วโลก โดยการลงทุนด้านอสังหาฯ ์เป็นเครือข่ายการลงทุนที่ใหญ่ที่สุด และถือว่ามีความเสี่ยงต่ำในการลงทุนระยะยาว ฮาบิแทท กรุ๊ป จึงได้ใช้กลยุทธ์จับมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าของโครงการให้ผู้เป็นเจ้าของ โดยบุกเบิกตลาด Branded Residence ในพัทยาเพื่อสร้างการเติบโตบนทำเลที่ได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับผู้ซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยถึง 60% อีก 40% ซื้อเพื่อลงทุน สนนราคา 4.79-60 ล้านบาท”
ซัพพลายคอนโดพัทยาเหลือน้อย
ปัจจุบันโครงการคอนโดในพัทยามีซัพพลายพร้อมขาย 107,000 หน่วย มียอดขาย 90% แต่เหลือซัพพลายเพียง 10% ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่จอมเทียนถึง 42% ทำเลวงศ์อมาตย์เพียง 7% ซึ่งในวงศ์อมาตย์มียูนิตเหลือขายเพียง 2% เท่านั้น จึงเป็น “โอกาส” ในการนำเสนอให้กับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และครอบครัวรุ่นใหม่ที่ต้องการบ้านหลังที่สอง (Vacation Home) สำหรับการพักผ่อนระดับลักชัวรี อีกทั้งเป็นสินทรัพย์ของครอบครัวและเพื่อการลงทุนในอนาคต มีระดับราคาเริ่มต้น 160,0000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่ราคาคอนโดไฮไรส์ที่เปิดขายเฉลี่ยมากกว่า 200,000-300,000 บาทต่อตารางเมตร
บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการวินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา ในไตรมาส 4 คาดสร้างยอดขาย 30-40% ก่อนเริ่มงานสร้างปี 2567 แล้วเสร็จปี 2570 เป็นช่วงเดียวกับที่เมกะโปรเจกต์ทั้งรีเทลและรถไฟฟ้าบริเวณพัทยาแล้วเสร็จ
“ไตรมาส 4 ปีนี้ตลาดอสังหาฯ น่ากลับมาคึกคักขึ้นผู้ประกอบการพยายามจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขาย ยอดโอน เวลานี้การเมืองมีความชัดเจน ได้นายกฯ ที่มาจากภาคอสังหาฯ เชื่อว่านโยบายที่ออกมาจะช่วยสนับสนุนธุรกิจอสังหาฯ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
ชนินทร์ กล่าวต่อว่า ตลาดยังมีปัจจัยลบจากเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจจีนถดถอย โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ แต่วิกฤติอาจเป็นโอกาสสำคัญในการออกมาลงทุนในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ขณะเดียวกันมีกลุ่มลูกค้ารัสเซียเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในประทศไทย โดยเฉพาะภูเก็ต เป็นผลมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ลากยาว ซึ่งทำเล “พัทยา” ตอบโจทย์ความต้องการในการอยู่อาศัยของคนต่างชาติหลายเชื้อชาติ ทั้งจีน รัสเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง ยุโรป
“แม้ว่าตลาดจีนลดลงแต่ยังมีชาติอื่นเข้ามาทดแทน โดยเฉพาะรัสเซีย คาดว่าใช้เวลา 1-2 ปี กลุ่มคนจีนที่ซื้อแมสคอนโดจะกลับมาอีกครั้ง ต้องรอดูหลังตรุษจีนปีหน้าว่ารัฐบาลจีนจะมีนโยบายอะไรออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
LPPคว้างานบริหารจัดการหอพักU-Centerจากจุฬาฯ
LPP คว้างานเช่าลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการหอพัก U-Center จาก จุฬาฯ ทุ่มงบลงทุนกว่า 150 ล้านรีโนเวทหอพักนิสิตตามแผนขยายธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ให้ครบ 360 องศา
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP ในฐานะผู้นำในธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบัน LPP ได้ขยายงานบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญและความพร้อมของบริษัท โดยล่าสุดได้รับความไว้วางใจจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เข้าบริหารจัดการหอพักนิสิตในรูปแบบสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาปรับปรุง (Renovate) พร้อมการบริหารจัดการพื้นที่หอพัก U-Center 1 และ 2 ด้วยงบลงทุนตลอดระยะสัญญากว่า 150 ล้านบาท ในการปรับปรุงอาคารและตกแต่งห้องพัก รวมถึงค่าตอบแทนการใช้พื้นที่ตลอดอายุสัญญา โดย LPP มีระยะสัญญาในการเข้าบริหารโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2566 – 31 พฤษภาคม 2574
การเข้าบริหารจัดการโครงการ U-Center ในครั้งนี้ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มศักยภาพในเรื่องของพื้นที่ใช้สอยภายในหอพักให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า รวมทั้งพัฒนาสภาพแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่นิสิตได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยการ Renovate ห้องพัก รวมถึงการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ สุขภัณฑ์ใหม่ทุกชิ้นทุกห้อง ทำให้หอพักมีสภาพเสมือนใหม่อีกครั้ง ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท ลุมพินี โปรเจคมาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด (LPS) บริษัทในเครือ LPP
นอกจากนี้ LPP ยังเป็นผู้บริหารจัดการโครงการอย่างครบวงจรด้วยประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพในการดูแลและอำนวยความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยภายในอาคาร (Building Facility Service) ให้แก่หอพัก U-Center อย่างมีศักยภาพ ตั้งแต่บริการดูแลรักษาความสะอาด การดูแลบำรุงรักษาระบบโครงสร้างอาคารและอุปกรณ์ส่วนกลาง (Engineering Service) บริการปล่อยเช่าและเข้าพักของนิสิต (Brokerage Service) ตลอดจนการจัด Co-working space ให้นิสิตมีพื้นที่ในการอ่านหนังสือหรือทำงานร่วมกัน
การจัดสรรพื้นที่ให้รองรับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ Laundry room ตู้กดซื้อสินค้าอัตโนมัติ ร้านค้าออนไลน์ Living 24 by LPP พร้อมด้วยการดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. โดยศูนย์ปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน (EOC) ที่มีมาตรการและขั้นตอนในการควบคุมและตรวจสอบตราตามจุดต่างๆ แบบเรียลไทม์ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่นิสิตและผู้ปกครองได้รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยตลอดการอยู่อาศัย
ในด้านของสถานที่หอพัก U-Center ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ที่ช่วยสนับสนุนให้นิสิตสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ประกอบกับการที่จุฬาลงกรณ์ฯ พัฒนาปรับปรุงอาคารด้านนอก และสภาพความสวยงามโดยรอบหอพัก และร้านค้าต่างๆ ก็จะทำให้ หอพัก U-Center By LPP มีความเพียบพร้อม น่าอยู่อาศัยและใช้ชีวิตมากๆ
โดยอาคารหอพัก U-Center เป็นอาคารสูง 3 ชั้น จำนวน 2 อาคาร บนที่ดินรวมกว่า 3,603.47 ตร.ว. มีจำนวนห้องพักทั้ง 2 อาคารรวม 468 ห้อง มีการแยกระหว่างหอหญิงและหอชายอย่างเป็นระบบ ในส่วนของพื้นที่ห้องพักแบ่งออกเป็น 3 Room Type ประกอบด้วย ห้องพัก 1 เตียงนอน ห้องพัก 2 เตียงนอน และห้องพัก 4 เตียงนอน
ที่นิสิตสามารถเลือกรูปแบบของการอยู่อาศัยได้อย่างเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการ โดยแต่ละห้องจะตกแต่งครบครัน Fully Furnished พร้อมให้นิสิตสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ทันที อาทิ เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน ผ้าม่าน เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ฯลฯ เปิดให้นิสิตเข้าอยู่ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา
ในเฟสแรก หรือ U1 โดยมีนิสิตเข้าอยู่แล้วเต็ม 100% และจะเปิดให้เข้าอยู่เฟส 2 หรือ U2 ในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 ซึ่งมีนิสิตลงทะเบียนแจ้งความจำนงเข้าอยู่แล้วกว่า 60% และนอกจากโครงการ U-Center แล้ว บริษัทยังมีโครงการลักษณะนี้อยู่ในแผนงานที่จะดำเนินการต่อไปอีก
นายสุรวุฒิ กล่าวต่อว่า LPP จะยังคงเดินหน้าในการต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายและพัฒนางานบริการอย่างครบวงจร ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการทั้งด้านการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ที่รองรับความต้องการและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบันอย่างมืออาชีพ โดยครอบคลุมการให้บริการตั้งแต่ต้นน้ำตลอดจนถึงปลายน้ำของธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่
งานบริหารจัดการโครงการที่พักอาศัย
งานบริหารจัดการอาคารเชิงพาณิชย์
บริการด้านวิศวกรรม
บริการฝากขาย-เช่า
ศูนย์ปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน 24 ชม. (EOC)
บริการที่ปรึกษาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด (LPS)
บริการด้านรักษาความปลอดภัย โดย บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอสโซลูชั่น จำกัด (LSS)
“ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการแข่งขันสูงในธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยด้วยประสบการณ์และจุดแข็งในเรื่องคุณภาพของงานบริการเต็มรูปแบบอย่างมืออาชีพในฐานะ Property & Facility Management Service Provider ผมเชื่อว่า LPP จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและรักษามาตรฐานในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการต่างๆ ตามแนวคิด Smooth Your Living อันเป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจของ LPP เติบโตอย่างยั่งยืน” นายสุรวุฒิกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 27ก.ย. ที่ระดับ 36.42 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อทั้ง “แรงขายสินทรัพย์ไทย- โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว – โฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์-ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน และค่าเงินหยวน”ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 27ก.ย. 2566 ที่ระดับ 36.42 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.36 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า มีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่าต่อทดสอบโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากที่ล่าสุด เงินบาทได้อ่อนค่าต่อเนื่องทะลุแนวต้านหลักในระยะสั้น แถว 36.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์,
แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ, โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว รวมถึง โฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนเอเชีย และกดดันให้เงินหยวนอ่อนค่าลง ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าเช่นกัน
อนึ่ง การอ่อนค่าของเงินบาทอาจชะลอลงแถวโซนแนวต้านได้บ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้น ผลการประชุม กนง. ในช่วงบ่ายของวันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นรอบการประชุมที่บรรดานักวิเคราะห์มีมุมมองว่า กนง. อาจขึ้นดอกเบี้ย (เหมือนที่เราคาด) และ กนง. อาจคงดอกเบี้ย ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน สะท้อนถึงความไม่แน่นอนต่อการปรับนโยบายการเงินในครั้งนี้
อย่างไรก็ดี หากผู้เล่นในตลาดประเมินว่า รอบการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. ได้จบลงแล้ว หรือ ใกล้จบลงแน่นอน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน เริ่มทยอยกลับเข้าซื้อบอนด์ไทย โดยเฉพาะบอนด์ในช่วงระยะกลาง-ระยะยาว ซึ่งอาจเห็นการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไทย ราว 5-10bps ซึ่งหากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยบ้าง ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในวันนี้ได้เช่นกัน ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.
เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย
อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.30-36.50 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.
และประเมินกรอบเงินบาท 36.20-36.65 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. (หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุแนวต้าน 36.50 บาทต่อดอลลาร์)
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 36.29-36.48 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน และความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน
ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง ซึ่งเราคาดว่า โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
ดัชนี S&P500 ดิ่งลงแรงกว่า -1.47% หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งออกมาสนับสนุนการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ยังคงส่งผลให้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจาก ความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น (Higher for Longer)
ซึ่งความกังวลดังกล่าวยังได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นและทรงตัวเหนือระดับ 4.50% ส่งผลให้หุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ต่างปรับตัวลงแรง (Amazon -4.0%, Apple -2.3%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มการเกิด Government Shutdown หากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวได้ทันกำหนด
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลดลงต่อราว -0.61% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ (ASML -2.2%) จากความกังวลแนวโน้มบรรดาธนาคารกลางหลักอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ยังคงกดดันให้
กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -1.5%) และกลุ่มเหมืองแร่ (Rio Tinto -0.6%) ต่างปรับตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) ซึ่งอาจมองได้ว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกลงทุนในหุ้นสไตล์ Defensive ไปก่อนในระยะสั้นนี้
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและข้อมูลตลาดบ้าน จะออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน แต่ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ต่างยังคงสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่องของเฟด ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นและทรงตัวเหนือระดับ 4.50% อีกครั้ง
ทั้งนี้ แม้ว่าบอนด์ยีลด์ระยะยาวจะมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น จากปัจจัยอาทิ
1) ความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินเฟด ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
2) ปัญหาการเมืองสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่สถานการณ์ Government Shutdown ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงการถูกปรับลดเครดิตเรทติ้งของสหรัฐฯ ได้
แต่เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ระดับ 4.50% มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก (Very Attractive) และมี Risk-Reward ที่คุ้มค่ามากขึ้นจากที่เราเคยประเมิน ทำให้เราคงแนะนำให้นักลงทุนทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานและความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านสำคัญแถว 106 จุด (กรอบ 105.8-106.3 จุด) ซึ่งสูงกว่าที่เราคาดไว้ว่า ดัชนีเงินดอลลาร์อาจไม่สามารถทะลุโซน 106 จุด ไปได้
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,919 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเปิดความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจลดลงสู่ระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ไม่ยาก ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจยังคงเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ควรจับตาจะอยู่ที่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเราประเมินว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติ “ไม่เป็นเอกฉันท์” ขึ้นดอกเบี้ย +25bps สู่ระดับ 2.50% ท่ามกลางแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบของภาวะ El Nino, ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และ
การฟื้นตัวของการบริโภคตามแรงหนุนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต ทั้งนี้ ควรจับตามุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ และค่าเงินบาทได้ในช่วงนี้
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมล่าสุดของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB หลังอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนและภาพเศรษฐกิจโดยรวมต่างก็ชะลอลงมากขึ้น
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) รวมถึงยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลัง ซึ่งอาจมีผลต่อราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เตะกระจาย! “บัลลังก์” ดาวรุ่งไทย คว่ำ อิหร่าน หยิบทองเทควันโดเอเชียนเกมส์
การแข่งขัน เทควันโด กีฬาเอเชียนเกมส์ 2022 รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 63 กิโลกรัม ชาย รอบชิงชนะเลิศ ที่หลินอัน สปอร์ตส์ คัลเชอร์ & เอ็กซิบิชัน เซนเตอร์ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่่ผ่านมา
“หยู” บัลลังก์ ทับทิมแดง นักกีฬาดาวรุ่งวัย 18 ปี ความหวังใหม่ของทีมชาติไทย ผ่านเข้าสู่รอบชิงฯ มาพบกับ อาลีเรซ่า ฮอสเซียนปัวร์ จอมเตะจากอิหร่านวัย 22 ปี
เปิดฉากมายกแรก จอมเตะไทย เปิดเกมลุยก่อนเอาชนะไปได้ก่อน 7-6 คะแนน ขณะที่ในยกสอง ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไล่เตะเอาชนะคู่แข่งไปได้ 11-7 ทำให้เก็บชัยได้ 2-0 คว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ
ขณะที่ รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 57 กิโลกรัม หญิง พรรณนภา หาญสุจินต์ จอมเตะสาวไทย ทำได้ดีที่สุดด้วยการหยิบเหรียญทองแดง และ รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 53 กิโลกรัม หญิง ทีมไทย เก็บเพิ่มได้อีกหนึ่งทองแดงจาก ชุติกาญจน์ จงกลรัตนวัฒนา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สาเหตุของ “ตะคริว” และวิธีบรรเทาอาการที่ถูกต้อง
ใครเคยเป็นตะคริวบ้าง เป็นเพราะอะไร และมีวิธีทำให้หายจากตะคริวได้เร็วๆ อย่างไรได้บ้าง เรามีคำตอบจาก อ. นพ.พงศ์ภัทร์ วรสายัณห์ แพทย์ฝ่ายอายุธศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มาฝากกัน
สาเหตุของอาการตะคริว
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าอาการตะคริวเกิดมาจากสาเหตุใด แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น
- ความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ทั้งจากการทำงานหรือจากกิจวัตรประจำวัน
- การอยู่ในท่าเดิมในช่วงระหว่างวันเป็นเวลานาน เช่น นั่งทำงาน นั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิ
- การนอนตะแคงหรือนอนผิดท่า
- การขาดการออกกำลังกายเพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
- อายุที่เพิ่มขึ้น ยิ่งอายุมาก ยิ่งเป็นตะคริวได้ง่าย
- อาจเป็นสัญญาณของโรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน
วิธีบรรเทาอาการตะคริวที่ถูกต้อง
หากมีอาการของตะคริว ให้ทำการยืดเหยียด กระดกปลายเท้าขึ้นและนวดที่น่องเพื่อผ่อนคลาย
หากไม่ดีขึ้นให้ทำการประคบร้อน โดยปกติอาการควรดีขึ้นภายใน 1-2 นาที
อาการตะคริว อันตรายหรือไม่?
หากเกิดอาการตะคริวบ่อยเกินไป หรือมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ฟูจิฟิล์ม ชูนวัตกรรมการแพทย์ เดินหน้ายุติวัณโรค
ฟูจิฟิล์ม เดินหน้าแคมเปญยุติวัณโรคด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ล้ำสมัย ตอกย้ำปณิธานในการสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้แก่คนทั่วโลก
กลุ่มบริษัทฟูจิฟิล์มเดินหน้าจับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วโลกเพื่อเร่งยุติการแพร่ระบาดของวัณโรคด้วยการมุ่งเน้นโครงการตรวจคัดกรองการติดเชื้อ ล่าสุดบริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้าน One Stop, Total Healthcare Solution เปิดตัววิดีโอ “Efforts to End Tuberculosis” สะท้อนให้เห็นถึงพยายามของฟูจิฟิล์มในการร่วมมือกับประเทศทั่วโลกเพื่อยุติวัณโรค
แม้แต่ในประเทศไทย ฟูจิฟิล์มก็ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเห็นถึงความสำคัญของการยุติวัณโรคเช่นกัน ซึ่งวิดีโอดังกล่าวนับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรที่ไม่หยุดยั้งพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้พันธกิจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้สังคมผ่านการร่วมแก้ไขความท้าทายด้านสุขภาพทั่วโลก ฟูจิฟิล์ม ตระหนักถึงความเร่งด่วนในการยุติการแพร่ระบาดของวัณโรค ภัยร้ายที่กระทบประชากรกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งยังเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนจำนวนมหาศาลตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ฟูจิฟิล์มจึงเดินหน้าใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสุขภาพมาต่อยอดเพื่อร่วมเป็นกลไกในการต่อสู้กับโรคร้ายดังกล่าว
วัณโรค เป็นภัยสุขภาพร้ายแรง โดยเป็นหนึ่งในสามโรคติดต่อที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ทุก ๆ ปี มีผู้ป่วยวัณโรคมากกว่า 10 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 1.5 ล้านคน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าทุก ๆ วัน จะมีผู้เสียชีวิตจากวัณโรคเกือบ 4,400 ราย และติดเชื้อกว่า 30,000 ราย ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ ทั้งนี้ เกือบ 90% ของผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาและราวครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อในพื้นที่เหล่านี้ ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการรักษาอย่างเหมาะสม
ด้วยเหตุนี้ ฟูจิฟิล์ม จึงมุ่งมั่นยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติในการยุติวัณโรคภายในปี ค.ศ. 2030 ด้วยการนำเสนออุปกรณ์เอกซเรย์แบบพกพาขนาดกะทัดรัดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองวัณโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและเข้าถึงยาก
มร.โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟูจิฟิล์ม ก้าวสู่ธุรกิจการแพทย์และสุขภาพมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ฟิล์มเอกซเรย์ที่เป็นที่ยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลก เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสุขภาวะที่ดีแก่คนทั่วโลก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพให้ครอบคลุมอย่างระบบจัดเก็บภาพและข้อมูลทางการแพทย์ PACS (Picture Archiving Communication System) รวมถึงเทคโนโลยี MRI และ CT Scan มาเสริมทัพให้โซลูชันการวินิจฉัยทางการแพทย์ของฟูจิฟิล์มครบวงจรมากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเครื่องมือเหล่านี้ได้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ขั้นสูง ก็ยิ่งยกระดับการตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ฟูจิฟิล์มก้าวเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจทางการแพทย์และสุขภาพในฐานะผู้ให้บริการ Total Healthcare Solution ชั้นนำอย่างแท้จริง เป้าหมายหลักของเราคือการยกระดับด้านการแพทย์และสุขภาพให้สอดคล้องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในการยุติวัณโรคภายในปี ค.ศ. 2030 เราจึงเร่งเดินหน้าต่อสู้กับวัณโรค โดยมุ่งเน้นที่การตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ ผ่านนวัตกรรมอันล้ำสมัยของเรา”
การตรวจพบการติดเชื้อตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นหัวใจสำคัญของการยุติการแพร่ระบาดของวัณโรคตามแผน SDGs ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยเครื่องเอกซเรย์ FDR Xair ของฟูจิฟิล์ม ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญที่จะช่วยบรรลุเป้าหมายนี้ ด้วยขนาดที่กะทัดรัด น้ำหนักเบา และทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ในตัว ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำการตรวจคัดกรอง วัณโรคในพื้นที่ห่างไกลได้ ฟูจิฟิล์ม ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อดำเนินโครงการตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในการใช้ระบบเอกซเรย์เพื่อตรวจคัดกรองวัณโรคและขยายการคัดกรองวัณโรคในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
มร.โซ มารูโอะ กล่าวเสริมว่า “ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ ฟูจิฟิล์มจะยังเดินหน้ารับมือกับความท้าทายเพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขที่ทั่วถึงและมีคุณภาพ ผ่านการร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในขับเคลื่อนการตรวจวินิจฉัยและคัดกรองวัณโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
นอกจากนี้ เรายังทำงานร่วมกับองค์กรไม่แสวงหากำไร “STOP TB Partnership” ที่จัดตั้งขึ้นโดยสำนักงานบริการโครงการแห่งสหประชาชาติ (UNOPS) เพื่อสนับสนุนการคัดกรองวัณโรคในกลุ่มประชากรในถิ่นทุรกันดาร การดำเนินงานทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพของฟูจิฟิล์ม เราพร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย เวียดนาม และประเทศไทย และอีกหลากหลายประเทศทั่วโลก โครงการคัดกรองวัณโรคในอินเดียและอีกหลากหลายโครงการเพื่อสังคมในไทยนับเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของเรา”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทอสเท็ม เปิดโรงงานโชว์ศักยภาพการผลิต พร้อมชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ตอกย้ำความเป็นผู้นำผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร
ทอสเท็ม (TOSTEM) เปิดให้ชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ที่โชว์จุดเด่นของการดีไซน์ ออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโรงงานโชว์นวัตกรรมในการผลิต นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ศักยภาพการผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นรูปอะลูมิเนียม ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
หนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD ตอกย้ำความเป็นผู้นำผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร หนึ่งศตวรรษแห่งความเชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียม ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จาก TOSTEM
นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM) เปิดเผยว่า ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) เป็นศูนย์นวัตกรรมที่จัดสร้างขึ้นเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอจุดเด่นของการออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการติดตั้งบานประตู-หน้าต่างของ TOSTEM ไว้ภายใน TOSTEM Innovation Center แห่งนี้ โดยผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดงภายใน มีทั้งประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้วที่ผลิตจากอะลูมิเนียมภายใต้แบรนด์ TOSTEM
ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในตลาดอาเซียน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นให้ลูกค้าโครงการ สถาปนิก ได้สัมผัสก่อนใคร เพื่อให้ผู้รับชมมีความเข้าใจ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้พนักงานทุกคนของ TOSTEM และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม สามารถเข้ามาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อีกด้วย
ภายใน Innovation Center แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.Material Board (Disassemble) เป็นบอร์ดสำหรับอธิบายคุณสมบัติ และส่วนประกอบต่างๆ ของประตูและหน้าต่างจากทอสเท็มแต่ละซีรีส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นรายละเอียดแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การเลือกบานประตูและหน้าต่างที่เหมาะสมกับโครงการ และเลือกประตู-หน้าต่างที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย
2. ส่วนตรงกลางโชว์รูม ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น โดย TOSTEM ภูมิใจนำเสนอ Panoramic Door ที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโปร่งสบาย สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ในมุมกว้าง มาพร้อมกับฟังก์ชันมือจับที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ภายใน TOSTEM Innovation Center ยังมีผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างรุ่นต่างๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่จัดแสดงอยู่ภายในเพื่อให้เข้าถึงนวัตกรรมและเป็นไอเดียให้กับผู้เข้าชม เช่น GIESTA Door Smart Lock ซึ่งเป็นประตูที่มีความพิเศษกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน โดยสามารถปิด – เปิดผ่านสมาร์ทโฟน หรือ รีโมทได้ และบานเกล็ดอัตโนมัติที่ควบคุมการปิด-เปิดได้ด้วยรีโมทคอนโทรล และภายใน TOSTEM Innovation Center ยังมีห้องฝึกอบรมการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TOSTEM สำหรับอบรมตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ TOSTEM ให้สามารถติดตั้งผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด โดยผู้อบรมเป็นทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากทอสเท็ม
สำหรับ ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของบริษัท ทอสเท็ม ไทย จำกัด (TOSTEM THAI CO., LTD.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์สำหรับอาคารที่อยู่อาศัยและบานประตูหน้าต่างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น
ด้วยกระบวนการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่การรีดขึ้นรูปอะลูมิเนียมผ่านแม่พิมพ์ หรือที่เรียกว่า ALUMINIUM EXTRUSION ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD อีกทั้งยังมีระบบ PRE ENGINEERED การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมประกอบจากโรงงานโดยตรง ซึ่งทำให้ประตูหน้าต่างของทอสเท็มมีคุณภาพสม่ำเสมอกันทุกชุด สามารถผลิตได้ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ
และศูนย์ปฎิบัติการทดสอบประสิทธิภาพทอสเท็มไทย หรือ Quality Performance Test Center (QPTC) ในการทดสอบวัสดุอะลูมิเนียมสำหรับอุตสาหกรรม โดยให้ความใส่ใจในเรื่องของมาตรฐาน รวมถึงความปลอดภัยต่อทุกชิ้นงาน และส่วนสำคัญของการส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่มาจากการใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงทุกกระบวนการจนกว่าจะส่งมอบให้ลูกค้า
โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 539,000 ตารางเมตร หรือราว 400 ไร่ มีพนักงานกว่า 6,000 คน และมีการผลิตงานตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยศักยภาพของเครื่องจักรและกำลังคน ทางโรงงานมีกำลังผลิตอะลูมิเนียมถึง 7,000 ตันต่อเดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/09/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,750.00 | 32,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,121.00 | 32,154.36 | 33,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,908.90 | 28,938.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,696.80 | 25,723.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 954.00 | 14,462.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 742.00 | 11,248.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,198.00 | 33,321.68 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/09/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.45 | 39.45 | 40.25 | 39.45 | 39.75 | 39.45 | 39.45 | 39.45 | 39.45 | 39.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.18 | 39.18 | 39.98 | 39.18 | 39.48 | 39.18 | 39.18 | 39.18 | 39.18 | 39.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.14 | 37.14 | 37.94 | 37.14 | 37.44 | – | 37.14 | 37.14 | 37.14 | 37.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.79 | 36.79 | – | – | – | – | – | – | – | 36.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.34 | 49.94 | 49.34 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 47.24 | – | – | – | 48.71 | – | 47.74 | 47.39 | – | 47.24 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.24 | 42.34 | 49.44 | 42.34 | 41.64 | – | – | – | – | 40.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |