ธุรกิจแนะยกระดับปลอดภัยภูเก็ต-พัทยา เพิ่มโควตาซื้อคอนโด-ขยายเช่าระยะยาว
ภาคธุรกิจ แนะรัฐวางโรดแมปหนุนศักยภาพ “ภูเก็ต-พัทยา” เมืองระดับโกลบอล ดึงอำนาจซื้อทั่วโลก ชงรัฐเพิ่มโควตาต่างชาติซื้อคอนโด 69% ขยายเวลาเช่าระยะยาว 50-90 ปี แก้นอมินี “ส.โรงแรมภาคใต้” แนะยกระดับความปลอดภัยหลังต่างชาติแห่เข้าไทย
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า การขับเคลื่อนการลงทุนและการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ยังมีการขยายตัวสูงในเมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยวนั้น การสนับสนุนจากภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญโดยเฉพาะการขจัดอุปสรรคในเรื่องกฎหมายเพื่อปลดล็อกปัญหาต่างๆ เช่น ผลักดันและปรับปรุงเกณฑ์การถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติจาก 49% เป็น 69%
การเพิ่มค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับต่างชาติส่วนที่เกินจาก 49% ในอัตราที่กำหนดเพื่อนำไปจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางและจำกัดสิทธิ์ส่วนเพิ่มเกินกว่า 49% ที่ชาวต่างชาติถือครอง ไม่ใช้สิทธิในการออกเสียงในนิติบุคคลอาคารชุดเพื่อไม่ให้ต่างชาติมีอำนาจควบคุม
นอกจากนี้นโยบายระยะยาว อยากเสนอให้ภาครัฐวางโครงสร้างการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติและสิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบทางภาษีและค่าธรรมเนียมให้อยู่ในระบบและถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการมีที่อยู่ของประชาชนระดับกลางล่าง จากการจัดเก็บภาษีจากต่างชาติที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์ไทย
ชงรัฐขยายลีสโฮลด์ 90 ปีดึงดูดต่างชาติ
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการรัฐที่เข้ามาสนับสนุน เพื่อดึงดีมานด์จากต่างชาติเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เกิดการหมุนเวียนมากขึ้นท่ามกลางกำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง โดยมาตรการที่น่าสนใจที่สุด คือ การขยายระยะเวลาในการเช่าระยะยาว หรือ ลีสโฮลด์ เช่นเดียวกับนานาประเทศ ทั้งอังกฤษ สหรัฐ มีระยะเวลาการเช่าระยะยาว 90-99ปี ขณะที่ประเทศไทยปัจจุบันกำหนดไว้ 30 ปี
“แค่อายุคนๆ เดียวไม่จูงใจสำหรับคนเช่า อย่างน้อยควรรองรับถึง 3 เจนเนอเรชั่น หรือประมาณ90ปี เพื่อดึงดูดกำลังซื้อต่างชาติซึ่งไม่สามารถครอบครองที่ดินได้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีมัลติพลายเออร์ เอฟเฟกต์ มีผลกระทบต่อทุกๆ วงการที่เกี่ยวข้อง หากจะดึงดูดดีมานด์ต่างชาติก็ต้องมีมาตรการหรือ เงื่อนไขที่ดึงดูดใจให้เขาซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้นในระหว่างที่เข้ามาเที่ยวหรือทำงาน”
ขยายเช่าระยะยาว 50 ปีแก้นอมินี
นายพัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวว่า อยากให้ทบทวนการขยายระยะเวลาในการเช่าระยะยาวออกไปเป็น 50 ปี จากเดิม30ปี เพื่อจูงใจกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาเช่าระยะยาว เนื่องจากกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตไม่ใช่วัยเกษียณอีกต่อไป แต่กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 30-40ปี คนซื้ออายุน้อยลง ทำให้ตอบโจทย์กลุ่มคนซื้อและช่วยแก้ปัญหานอมินีได้เพราะเป็นระยะเวลาไม่ได้นานจนเกินไปจนทำให้เกิดวาทกรรมขายชาติ
“รัฐบาลควรใช้ภูเก็ตเป็นพื้นที่นำร่องเหมือนการทำแซนด์บ็อกซ์ว่ามาตรการได้ผลดีมากน้อยแค่ไหนหรือปรับอย่างไรเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศก่อนนำไปใช้ในพื้นที่อื่นต่อไป รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมจังหวัดภูเก็ตเพื่อรองรับดีมานด์คนต่างชาติ คนไทยและแรงานที่เข้ามาในพื้นที่มากขึ้น”
เพิ่มสัดส่วนซื้อฟรีโฮลด์ตามทำเลรับดีมานด์
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ก่อนโควิด-19 ต่างชาติที่ซื้อคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมากที่สุด คือ “จีน” แต่หลังจากโควิด รัสเซีย เป็นอันดับหนึ่ง ในปี 2566 มีสัดส่วนการซื้อ 31% ของต่างชาติที่ซื้อทั้งหมด รองลงมาเป็น จีน 18% ฝรั่งเศส 8%
ที่น่าสนใจคือมีการจดทะเบียนการเช่าระยะยาวในภูเก็ตเกินกว่า 3 ปีที่เป็นคอนโดมิเนียมของคนต่างชาติค่อนข้างมากล่าสุดในปี 2566 การโอนกรรมสิทธิ์ของต่างชาติจำนวน 941 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 4,479 ล้านบาท มีคนต่างชาติเช่าระยะยาว 776หน่วย สัดส่วนใกล้เคียงกันระหว่างการเช่าระยะยาวกับการซื้อฟรีโฮลด์
“จำนวนการซื้อฟรีโฮลด์ ที่มีโควตา 49% ในโครงการคอนโดมิเนียมเต็ม จึงต้องใช้วิธีการเช่าลีสโฮลด์แทน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียมในภูเก็ตของชาวต่างชาติมากขึ้นกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ขณะเดียวกันหากต้องการซื้อบ้านแนวราบหรือวิลล่าต้องซื้อในแบบลีสโฮลด์หรือเป็นการจดทะเบียนนิติกรรมในบริษัทที่เป็นคนไทย ซึ่งจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
ข้อมูลสะท้อนว่า โควตาการซื้อ 49% ของคนต่างชาติที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในภูเก็ต ”ไม่เพียงพอ” อาจศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นในทำเลที่เหมาะสมเพื่อรองกับดีมานด์ที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงการขยายระยะเวลาในการเช่าระยะยาวเพื่อไม่ให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการดึงเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามาในประเทศ
โรงแรมหวังรัฐอัดงบอบรมพนักงาน
นายศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า สมาคมฯ ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณและการจัดหลักสูตรอบรมทักษะพนักงานโรงแรมในช่วงโลว์ซีซันแก่ผู้ประกอบการโรงแรมที่ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท ตามมติของคณะกรรมการค่าจ้างกำหนดให้ลูกจ้างทำงานในประเภทกิจการโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานที่พักเพื่อการท่องเที่ยว ประเภทโรงแรมระดับการให้บริการ 4 ดาวและมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 400 บาทในบางพื้นที่ของ 10 จังหวัดท่องเที่ยว ยกเว้น จ.ภูเก็ต ที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. เป็นต้นไป
“จริงๆ สมาคมโรงแรมไทยไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าวตั้งแต่แรกแล้ว เพราะผู้ประกอบการยังไม่พร้อมปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงโลว์ซีซัน เฉพาะที่ภูเก็ตเป็นช่วงที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 30-40% ไม่มากเท่าไฮซีซัน หลายโรงแรมต้องรับมือด้วยการปรับแผนคุมค่าใช้จ่ายเรื่องคน ทั้งจำนวนและการบริหารคนที่มีอยู่ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ทางสมาคมฯ จึงมองว่าอยากให้ภาครัฐมอบอะไรกลับคืนแก่ผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องนำร่องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท”
ประกอบกับโรงแรมหลายแห่งซึ่งอยู่ในระดับลักชัวรีที่ไม่ได้สมัครเข้าตรวจสอบมาตรฐานดาวโรงแรมว่าอยู่ในระดับ 4 ดาวขึ้นไป ไม่ได้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามอัตราดังกล่าว จึงไม่แน่ใจว่าภาครัฐจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
สำหรับภาพรวมตลาดโรงแรมที่พัก จ.ภูเก็ต ในปัจจุบัน พบว่ามีโรงแรมในระบบจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 933 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักกว่า 70,000 ห้อง และเมื่อรวมโรงแรมในระบบและนอกระบบ มีจำนวนรวมกว่า 3,000 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักรวมเกิน 200,000 ห้อง
แนะปรับกฎหมายให้ที่พักไม่ใช่โรงแรมส่ง ‘ร.ร.4’
นอกจากนี้ ต้องการให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมายให้สถานประกอบการที่ไม่ใช่โรงแรม รายงานเอกสารประเภทเดียวกับทะเบียนผู้เข้าพัก (ร.ร.4) ให้กับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อความปลอดภัยสูงสุด หลังจากมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น และทางรัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นการเดินทางด้วยการยกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) แก่นักท่องเที่ยวตลาดเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นมาตรการอำนวยความสะดวกที่ดี ช่วยภาคการท่องเที่ยวได้อย่างมาก
อีกประเด็นที่สมาคมฯ อยากเรียกร้องให้ภาครัฐรับไปพิจารณาอย่างเร่งด่วน คือการปรับขึ้นค่าอาหารว่างระหว่างการประชุมสัมมนา (ค่าเบรก) ของข้าราชการในสถานที่เอกชน อาทิ โรงแรม จากอัตราไม่เกิน 50 บาทต่อคนต่อมื้อ ซึ่งอยู่ที่อัตรานี้มานานกว่า 10-20 ปี ตั้งแต่ค่าจ้างขั้นต่ำต่อวันน้อยกว่าปัจจุบันมาก จึงมองว่าถึงเวลาภาครัฐควรจะปรับขึ้นค่าเบรกได้แล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
NOBLE วางเป้ารายได้ปีนี้ 14,000 ล้านบาท ขยายพอร์ตใหม่ 7 โครงการ 22,610 ล้านบาท
บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กางแผนธุรกิจปี 2567 วางเป้ารายได้ 14,000 ล้านบาท กำแบ็กล็อก 21,000 ล้านบาท เดินหน้าเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 22,610 ล้านบาท หวังยอดขายปีนี้แตะ 20,600 ล้านบาท
นายศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 2567 อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท โดยบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่าประมาณ 21,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปีนี้จะทยอยรับรู้จำนวน 8,800 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันในปี 2567 บริษัทฯ วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 22,610 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,080 ล้านบาท และโครงการแนวสูงรวมจำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,530 ล้านบาท ซึ่งกระจายอยู่ทุกทิศของกรุงเทพฯ เพื่อจตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในช่วงไตรมาส1/67 บริษัทฯได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 1 โครงการ ได้แก่ โครงการโนเบิล นอร์ส กรุงเทพกรีฑา (Noble Norse Krungthep Kreetha) โครงการบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการรวม 1,480 ล้านบาท ซึ่งได้กระแสที่ดีมากจากกลุ่มลูกค้า และจากแผนการเปิดโครงการในครั้งนี้ ทำให้เบื้องต้นบริษัทฯคาดว่ายอดขาย (Presale) ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้จำนวน 20,600 ล้านบาท
สำหรับงบลงทุนในปี 2567 บริษัทฯได้ตั้งไว้อยู่ที่ 6,000-8,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต, ลงทุนก่อสร้างโครงการ และลงทุนในบริษัทร่วมทุน (JV) เพื่อสร้างการเติบโตให้หลากหลายช่องทาง หลังจากภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ที่ในเบื้องต้นคาดว่ายังคงชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจ โดยจะได้เห็นได้จากในไตรมาส1/67 ที่ยอดขายไม่เป็นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้บริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์ไปในทางขยายตลาดไปในกลุ่มอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความผันผวน
นอกจากนี้เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคตส่งผลให้ในปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการในมือ อาทิ โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory), โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง (Under Construction) และโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดขาย (New Project) ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพมูลค่ารวม 34,625 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27พ.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 36.65 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทโมเมนตัมยังอ่อนค่า ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ตลาดลุ้น รายงานดัชนี PMI ของจีน จับตาราคาทองคำปรับฐาน ส่วนเงินดอลลลาร์อาจแข็งค่าจากแรงหนุนจากเงินยูโรอ่อนค่า
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27พ.ค. 2567ที่ระดับ 36.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 36.68 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในกรอบ 36.63-36.70 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแกว่งตัวในกรอบของเงินดอลลาร์ ซึ่งเผชิญแรงขายทำกำไรจากผู้เล่นในตลาดบ้าง
อีกทั้งบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ลดความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำก็ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ และยังคงอยู่ในช่วงการปรับฐาน (Correction)
สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็ย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น
สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน และ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนเมษายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน) จะมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องได้หรือไม่ โดยหากอัตราเงินเฟ้อ PCE ไม่ได้ชะลอตัวลงต่อเนื่อง หรือ
กลับออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจยิ่งกดดันให้ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดมากขึ้น เช่น ผู้เล่นในตลาดอาจคาดว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้เพียง 1 ครั้งในช่วงปลายปี ส่งผลให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ไม่ยาก (สมการประเมิน ดัชนีเงินดอลลาร์ หรือ DXY อย่างง่าย คือ DXY = 107 – จำนวนครั้งในการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้)
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ หรือ Fed Beige Book และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งยูโรโซน ทั้งอัตราเงินเฟ้อ CPI คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สำรวจโดย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าของ ECB
โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า ECB มีโอกาสที่จะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนชะลอลงมากขึ้น ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสดังกล่าวและอาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) ผันผวนอ่อนค่าลงได้ เนื่องจากในช่วงนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างกลับมากังวลว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน จากรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม โดยหากรายงานดัชนี PMI ของจีนทยอยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เล่นในตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจหนุนให้เงินหยวนจีน (CNY) มีโอกาสทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
หรือ อย่างน้อยก็ชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวนได้ในช่วงนี้ ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในกรุงโตเกียว เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในปีนี้
▪ฝั่งไทย – แม้ว่าอาจไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญมากนัก ทว่าผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องโดย 40 สมาชิกวุฒิสภา เพื่อถอดถอนนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ทั้งนี้ เราประเมินว่า ปัจจัยดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ
และอาจเป็นเพียง Noise ในระยะสั้น โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน คือ มุมมองของตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและผลกำไรของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่ายังคงอยู่ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติได้เช่นกัน นอกจากนี้ ควรรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ของจีน ซึ่งหากออกมาดีกว่าคาด อาจช่วยลดทอนการอ่อนค่าของสกุลเงินฝั่งเอเชียได้บ้าง
ทั้งนี้ เรามองว่า ยังคงต้องจับตาทิศทางราคาทองคำ อย่างใกล้ชิด หลังราคาทองคำมีแนวโน้มอยู่ในช่วงปรับฐาน (Correction) และโฟลว์ธุรกรรมทองคำก็มีผลกับทิศทางเงินบาทพอสมควร
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้ หากอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอลงตามคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) หากผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า ECB จะลดดอกเบี้ยได้ในเดือนมิถุนายน
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.40-37.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.75 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.62-36.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนที่ 36.69 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยแม้เงินบาทฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย (จากที่อ่อนค่าในสัปดาห์ที่แล้ว) ตามทิศทางของเงินหยวน และสกุลเงินอื่นในเอเชีย ขณะที่แรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน เนื่องจากตลาดยังคงรอปัจจัยใหม่ๆ มากระตุ้น และตลาดการเงินของอังกฤษ และสหรัฐฯ ปิดทำการในวันนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.55-36.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ของสกุลเงินในเอเชีย และตัวเลขกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ของจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ครีม-บุศนันทน์” แผ่วปลายพ่าย “สินธุ” พลาดเข้าชิง แบดมินตันมาเลเซีย
“ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ หญิงเดี่ยวมือ 20 ของโลก เปิดหัวดี เก็บเกมแรก จาก ปุซาลา สินธุ มือ 15 ของโลกจากอินเดียได้ก่อน ทว่ามาแผ่วปลาย ถูกนักตบสาวดีกรีแชมป์โลก 2019 ยกระดับเกม ก่อนเร่งเครื่องแซงในอีก 2 เกมถัดมา พ่ายไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม ในรอบรองชนะเลิศ หญิงเดี่ยว แบดมินตัน เปอโดรัว มาเลเซีย มาสเตอร์ส 2024 ที่มาเลเซีย โดยเกมนี้สู้กันดุเดือดและดวลกันนานกว่า 1 ชั่วโมง 28 นาที
การแข่งขันแบดมินตัน เปอโดรัว มาเลเซีย มาสเตอร์ส 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 420,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,120,000 บาท ที่เอเซียต้า อารีน่า ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบรองชนะเลิศ หนึ่งเดียวของไทยที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือ 20 ของโลก วัย 28 ปี ลงสนามดวลกับ ปุซาลา สินธุ มือ 5 ของรายการ มือ 15 ของโลก ดีกรีแชมป์โลก 2019 และเจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิกโตเกียวเกมส์ จากอินเดีย โดยสถิติการพบกันของคู่นี้ บุศนันทน์ เป็นรองค่อนข้างเยอะ เพราะพบกันมา 18 ครั้ง ชนะได้เพียงครั้งเดียว โดยแพ้ไปถึง 17 ครั้ง
เกมแรก ทั้งคู่ระมัดระวัง ผลัดกันเล่นเกมบุก ผ่านครึ่งทาง บุศนันนท์ ขึ้นนำ 11-9 ออกมาเล่นกันต่อ เป็น “ครีม” ที่ตีได้อย่างละเอียดและแม่นยำ ทำ 5 คะแนนรวด ทิ้งห่าง 16-9 ก่อนประคองปิดเกม 21-13 ขึ้นนำก่อน 1-0 กลับมาสู้กันต่อ ในช่วงครึ่งแรกเกมที่ 2 เป็น สินธุ ที่เริ่มจับจังหวะตัวเองได้ดีขึ้นนำก่อน 11-9 แม้ บุศนันทน์ ที่เกมนี้จะยังคงเล่นได้เหนียวแน่น แต่ก็เป็นรองเรื่องความเด็ดขาดและแม่นยำ ทำให้แพ้เกมนี้ 16-21 เสมอกัน 1-1 เกม
เกมที่ 3 เกมตัดสิน “ครีม” ถูก สินธุ บีบให้เป็นฝ่ายตั้งรับ และเป็นสาวอินเดียที่เปิดเกมบุกกดดันเข้าใส่ ทำให้ “ครีม” ตั้งรับไม่ถนัดนัก โดยตามห่างถึง 2-7 และ 5-11 หลังจากนั้น บุศนันทน์ มาเร่งเกมและทำได้ดีขึ้น ไล่มา 10-13 ทว่าสุดท้าย บุศนันทน์ ที่มีหลุดและพลาดเองหลายช็อต ส่งผลให้ไล่ไม่ทัน พ่ายไป 12-21 ทำให้แพ้ไป 1-2 เกม 21-13, 16-21 และ 12-21 พลาดเข้าชิงชนะเลิศอย่างน่าเสียดาย โดยเกมนี้แข่งขันกันดุเดือดและใช้เวลานานถึง 1 ชั่วโมง 28 นาที
สำหรับรอบชิงชนะเลิศ ในวันอาทิตย์ ที่ 26 พ.ค.นี้ สินธุ จะชิงชนะเลิศกับ หวัง ซี่ยี่ มือ 2 ของรายการ และมือ 7 ของโลกจากจีน ที่เอาชนะ จาง ยี่มาน มือ 6 ของรายการ และมือ 16 ของโลกจากจีน 2-0 เกม 21-9, 21-11
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“กาแฟ Slow Bar” คืออะไร ต่างจากกาแฟทั่วไปอย่างไร
การนั่งชิล นั่งทำงานตามคาเฟ่ ร้านกาแฟได้รับความนิยมยังไม่จบสิ้น แต่ก็มีข้อสงสัยเวลาเห็นร้านกาแฟบางร้านบอกว่าตัวเองเป็น slow bar coffee คำว่า slow bar คืออะไร กาแฟ Slow Bar ต่างจากกาแฟทั่วไปอย่างไร
กาแฟ Slow Bar คืออะไร
Slow Bar คือวิธีการชงกาแฟที่เน้นความพิถีพิถัน ช้า ๆ แต่ละเมียดละไม เต็มไปด้วยเสน่ห์และความคลาสสิกต่างจากการชงแบบ Speed Bar ที่เน้นความรวดเร็ว
หัวใจสำคัญของ Slow Bar คือบาริสต้าจะชงกาแฟให้เราแก้วต่อแก้วด้วยมือ โดยไม่ใช้เครื่องชงเอสเปรสโซ่ นิยมใช้การดริปกาแฟ หรือเครื่องชงแบบพกพา
เสน่ห์ของ Slow Bar อยู่ที่:
- ศิลปะการชง: บาริสต้าจะโชว์ทักษะการชงกาแฟอย่างประณีตต่อหน้าลูกค้า
- รสชาติ: ได้กาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม หอมกรุ่น
- บรรยากาศ: อบอุ่น เป็นกันเอง ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การชงกาแฟแบบใกล้ชิด
- ชุมชน: บาริสต้าสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนกับลูกค้า
Slow Bar กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มคอกาแฟตัวยง แต่การชงแบบ Speed Bar ก็ยังคงตอบโจทย์คนรักกาแฟทั่วไป
Advertisement
ปัจจุบันร้านกาแฟ Specialty หลายแห่งจึงมีบริการทั้งแบบ Slow Bar และ Speed Bar แบ่งโซนชัดเจน ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน
กาแฟ Slow Bar ต่างจากกาแฟทั่วไปอย่างไร
Slow Bar คือ วิธีการชงกาแฟที่เน้นความพิถีพิถัน ช้า ๆ ใช้เวลานาน บาริสต้าจะชงด้วยมือผ่านเครื่องชงแบบพกพา/ชงมือ เช่น ดริป ไซฟ่อน หรือ มอคค่าพอท ใช้เวลานานถึง 5 นาที บางเมนูอาจใช้เวลานานถึง 20 นาที หรือข้ามวัน เน้นกาแฟดำ กาแฟสกัดเย็น และเอสเปรสโซ่
กาแฟทั่วไป หรือที่บางคนเรียกว่า Speed Bar คือ วิธีการชงกาแฟที่เน้นความรวดเร็ว พบได้ทั่วไปตามร้านกาแฟ ซื้อ-ดื่ม-จ่าย จบ ชงด้วยเครื่องเอสเปรสโซ่ ได้เอสเปรสโซ่ช็อตใน 25-30 วินาที ใช้เวลาต่อแก้วเพียง 5 นาที เมนูที่ได้ มักเป็นเมนูทั่วไป เช่น อเมริกาโน่ คาปูชิโน่ ลาเต้ ฯลฯ
สรุป
- Slow Bar: เน้นความพิถีพิถัน ช้า ดื่มด่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การชงแบบพิเศษ
- Speed Bar: เน้นความรวดเร็ว ทันใจ เหมาะกับผู้ที่ต้องการกาแฟด่วนๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Soft Skills ที่จะเป็นสำหรับการทำงานในยุคปัจจุบัน
ในยุคปัจจุบัน นอกจากสกิลความรู้และความชำนาญในการทำงานแล้ว ในองค์กรส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับทักษะเสริมอื่น ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพราะหากองค์กรเลือกรับแต่พนักงานที่มีความสามารถในตำแหน่งตัวเองอย่างเดียว แต่ไม่สามารถทำงานร่วมกับทีมหรือพนักงานคนอื่นๆ ย่อมจะส่งผลเสียต่องานภาพรวมขององค์กรมากกว่า โดยทักษะเสริมที่ว่า เราเรียกมันว่า Soft Skills นั่นเอง
โดย Soft Skills ที่ควรฝึกฝนตนเองไว้สำหรับการทำงานจะมีอะไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน
Soft Skills คืออะไร
Soft Skills คือ ทักษะความสามารถทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการพัฒนาตัวเอง เป็นทักษะต้องใช้การฝึกฝนในระยะเวลานานผ่านประสบกาณ์ต่างๆ หรืออาจได้มาจากนิสัยส่วนตัวของคน ๆ นั้น ซึ่งจะแตกต่างจากทักษะในการทำงานเฉพาะที่สามารถเรียนรู้ได้จากตำรา และความชำนาญในการทำงาน ดังนั้น Soft Skills จึงเป็นทักษะที่เจ้าขององค์กรในปัจจุบันต้องการจากพนักงานไม่แพ้ทักษะการทำงานในหน้าที่ประจำ
Communication ( ทักษะในการสื่อสาร )
หนึ่งในทักษะสำคัญที่ควรมีสำหรับการทำงาน ทักษะการสื่อสารนั้นจะรวมทั้งการ ฟัง พูดนำเสนอ อ่านสรุปความหมาย เขียนเอกสารและอีเมล เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับทั้งเพื่อนร่วมงาน และทางผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระชับ มีความชัดเจน สื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง และมีความน่าสนใจ และการมีทักษะในการสื่อสารที่ดียังแสดงถึงทักษะความเป็นผู้นำของคุณได้อีกด้วย
Collaboration / Teamwork ( ทักษะการทำงานร่วมกัน และการทำงานเป็นทีม )
คงเป็นเรื่องยากที่จะพลักดันให้สำเร็จลุล่วงได้โดยดี เพื่อการเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจต่าง ๆ ถ้าหากยังขาดการทำงานเป็นทีมของคนในองค์กร หรือแม้กระทั้งการทำงานกับลูกค้า ดังนั้นทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
Critical Thinking ( ทักษะการคิดวิเคราะห์ )
เป็นทักษะที่ทำให้เกิดการคิด พิจารณาโดยอาศัยหลักเหตุผลมาประกอบการวิเคราะห์สถานการณ์หรือข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
Continuous learning ( ทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง )
ทักษะที่เจ้าขององค์กรคาดหวัง คือการที่พนักงานมีความใฝ่ที่จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลดีให้องค์กรได้พนักงานที่เก่งยิ่งขึ้น แสดงถึงความกระตือรือร้นของพนักงานอีกด้วย
Decision making ( ทักษะในการตัดสินใจ )
ในชีวิตประจำก็มักจะมีเรื่องที่ทำให้เราต้องเลือกหรือตัดสินใจอยู่เรื่อย ๆ เช่นเดียวกับการทำงานที่เราต้องมีทักษะในการตัดสินใจ มาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ จะมามัวแต่ลังเลไม่ได้ โดยต้องเข้าใจถึงประโยชน์และความเสี่ยงต่าง ๆ มีการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ เพื่อให้การลงมือทำงานเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
Emotional intelligent ( ทักษะความฉลาดทางอารมณ์ )
ทักษะความสามารถในการ ควบคุมจัดการอารมณ์ตัวเองในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
Negotiation ( ทักษะการเจรจาต่อรอง )
ทักษะในการต่อรองเจรจา จำเป็นต้องมีศิลปะในการพูดเพื่อการโน้มน้าวใจ ทั้งเพื่อการสื่อสารกับลูกค้าร่วมถึงเพื่อนร่วมงาน เพื่อการปิดดีลที่ดีที่สุด
Positive Attitude ( ทักษะการมีทัศนคติในเชิงบวก )
การที่มีทัศนคติเชิงบวก ช่วยในการปรับมุมมองของคนนั้นให้ดีขึ้น ไม่จมอยู่กับความทุกข์ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งตัวเองและองค์กร และเป็นตัวช่วยเพิ่มพลังบวกทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานดียิ่งขึ้น
Time Management ( ทักษะการจัดการเวลา )
การจัดการเวลาเป็นอีกทักษะที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนทำงาน ที่นอกจากจะเป็นตัวในช่วยให้การจัดการเวลในการทำงาน ยังรวมไปถึงการจัดการบริหารเวลาในชีวิตตัวเองด้วย เป็นส่วนสำคัญของการ Work Life Balance ทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตจริงมีความสุขยิ่งขึ้น
Problem Solving ( ทักษะการแก้ปัญหา )
ในการทำงานจริงมักจะไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ต้องพบปัญหาต่าง ๆ ที่ซับซ้อน องค์กรจึงต้องการพนักงานที่มีทักษะในการจัดการหาสาเหตุ ไปจนถึงการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
วิธีเช็คเพจปลอม ที่ได้ผลแน่นอน ก่อนถูกหลอกต้องรู้
เพจปลอม หมายถึง เพจบนโซเชียลมีเดียที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบเพจจริง โดยมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ มิจฉาชีพมักใช้เพจปลอมเพื่อหลอกลวงผู้ใช้ โดยวิธีการต่างๆ เช่น หลอกลวงให้โอนเงิน, เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ขโมยข้อมูลส่วนตัว ซึ่งวิธีสังเกตเพจปลอม มีได้หลายวิธี
ล่าสุดนี้ Facebook เพจ “สืบนครบาล IDMB“ ได้เผย วิธีการเช็คว่าเพจปลอมต้องทำอย่างไรจากกรณีมิจฉาชีพ สร้างเพจปลอมหลอกขายปลาแซลม่อน
วิธีเช็คเพจปลอม ง่ายๆ ดังนี้
- เข้า Facebook Page ต้องสงสัย กดที่ “เกี่ยวกับ“
- คลิกที่ “ความโปร่งใสของเพจ” กด “ดูทั้งหมด“
- ระบบจะแสดงประวัติการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
หากมีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะเกินไปก็อาจจะเข้าข่าย เพจปลอมและหลอกลวงได้ครับ ดังนั้นเราควรดูให้ดีก่อนที่จะถูกหลอกครับ
และมีอีกหลายวิธีที่ช่วยให้คุณสังเกตเพจปลอมบนโซเชียลมีเดีย ได้เช่น
- ตรวจสอบชื่อเพจ เพจปลอมมักใช้ชื่อที่คล้ายคลึงกับเพจจริง แต่จะมีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องหมายจุลภาค (,) เครื่องหมายจุด (.) หรือตัวอักขระพิเศษอื่นๆ
- ดูจำนวนผู้ติดตาม เพจปลอมมักมีจำนวนผู้ติดตามน้อย หรือเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ๆ
- ตรวจสอบเครื่องหมายยืนยันตัวตน เพจจริงของบุคคลสาธารณะหรือองค์กรที่มีชื่อเสียง มักจะมีเครื่องหมายยืนยันตัวตนสีฟ้า
- ตรวจสอบช่องทางการติดต่อ เพจปลอมมักไม่มีช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน หรือติดต่อยาก
วิธีป้องกันตัวจากเพจปลอม
- อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์จากเพจที่ไม่น่าเชื่อถือ: ลิงก์หรือไฟล์จากเพจปลอมอาจมีมัลแวร์หรือไวรัสที่สามารถเข้าถึงข้อมูลในอุปกรณ์ของคุณ
- อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว: หลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัตรประชาชน รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัญชีธนาคาร บนโซเชียลมีเดีย
- ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่คุณอ่านบนโซเชียลมีเดียนั้นถูกต้อง ก่อนที่จะแชร์ต่อ
- แจ้งเพจปลอมให้ผู้ให้บริการทราบ: คุณสามารถแจ้งเพจปลอมให้ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียทราบ เพื่อดำเนินการปิดกั้นเพจ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ผนังกระดาษ” บ้านคนญี่ปุ่น กับ 5 ข้อดีที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อน
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบ้านญี่ปุ่นถึงมีผนังกระดาษ? บทความนี้ ยูคาริ อิชิอิ ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น จะมาอธิบาย 5 เหตุผลที่บ้านญี่ปุ่นนิยมใช้ “ผนังกระดาษ” บ้านญี่ปุ่นโบราณอาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนมี “ผนังกระดาษ” มากมาย อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ดูเหมือน “ผนังกระดาษ” เหล่านั้นคือประตูสไลด์ที่ทำจากกระดาษเรียกว่า “โชจิ” (shoji) หรือ “ฟุสุมะ” (fusuma)
- โชจิ เป็นประตูสไลด์แบบกั้นห้อง สามารถกั้นระหว่างห้องกับสวนด้านนอก หรือกั้นระหว่างห้องกับโถงทางเดิน นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นหน้าต่างเพื่อรับแสงอีกด้วย
- ฟุสุมะ เป็นประตูสไลด์ประเภททางเข้าห้อง ทำหน้าที่แบ่งห้อง เหมือนเป็นผนังห้อง
คำถามก็คือในญี่ปุ่นที่มีฝนชุกและอากาศชื้น ทำไมบ้านญี่ปุ่นถึงยังนิยมใช้ประตูสไลด์กระดาษแบบ “ผนังกระดาษ” อยู่?
1.ประตูสไลด์กระดาษ เปลี่ยนใหม่ได้ง่าย
เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีป่าไม้มากและมีฝนชุก วัสดุก่อสร้างบ้านจึงนิยมใช้ไม้ หญ้า และวัสดุจากธรรมชาติอื่นๆ ประตูสไลด์แบบโชจิและฟุสุมะ ทำจากกระดาษญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรียกว่า “วาสึ” โดยติดลงบนโครงไม้
ข้อดี ของประตูประเภทนี้คือสามารถเปลี่ยนแผ่นกระดาษได้เมื่อเก่า เปื้อน หรือฉีกขาด ทำให้ประตูดูเหมือนใหม่เสมอ สอดคล้องกับสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่นที่นิยมความสะอาด ความใหม่ และการเปลี่ยนแปลง เช่น การกลับด้านเสื่อทาทามิ หรือมุงหลังคาใหม่ ดังนั้นประตูสไลด์กระดาษแบบโชจิและฟุสุมะ จึงเป็นองค์ประกอบของบ้านที่เหมาะกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น
2.บ้านช่องโปร่งไม่มีการแบ่งแยกระหว่างคนในครอบครัว
ประตูฟุสุมะแบบสไลด์ ถึงจะกั้นห้อง แต่ก็ทำให้รับรู้ถึงผู้คนที่อยู่ในห้องอีกฝั่งได้ นอกจากนี้ เสียงพูดคุยจากห้อง ยังเล็ดลอดออกมาตามทางเดิน กล่าวได้ว่าบ้านญี่ปุ่นโบราณนั้น แทบจะไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย หรืออาจจะพูดว่า มี “พื้นที่ส่วนตัว” น้อยมาก ห้องต่างๆ เป็นพื้นที่สำหรับครอบครัว และไม่มีการแบ่งแยกกันระหว่างสมาชิก คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ “การเอาใจใส่” และ “การเห็นอกเห็นใจ” คนรอบข้าง
ด้วยเหตุนี้การที่ห้องต่างๆ ถูกกั้นด้วยประตูสไลด์ โชจิ หรือฟุสุมะ ซึ่งทำให้รับรู้ถึงกิจกรรมของผู้อื่น จึงเหมาะกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น เนื่องจากสมาชิกในครอบครัว หรือกลุ่มคน ต่างรับรู้ถึงกันและกัน ยามที่ใช้เวลาร่วมกัน
3.ประตูสไลด์กระดาษ สร้างบรรยากาศภายในห้องที่สวยงาม
ประตูสไลด์แบบโชจิและฟุสุมะในบ้านญี่ปุ่นโบราณ มักทำจาก “วาสึ” (กระดาษญี่ปุ่น) วาสึเป็นกระดาษดั้งเดิมของญี่ปุ่น ทำจากเส้นใยของพืชชนิดต่างๆ เช่น โคโซะ มิทสึมาตะ และกัมปิ
จุดเด่นของวาสึ คือ มีเนื้อสัมผัสเส้นใยที่เป็นเอกลักษณ์ สวยงาม
เมื่อนำวาสึมาใช้ทำประตูจะช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องให้ดูหรูหรา สง่างาม และรู้สึกผ่อนคลาย
4.ปรับแสงสว่างได้อย่างอิสระ
ประตูโชจิทำจากกระดาษญี่ปุ่นบนโครงไม้ ดังนั้น ประตูโชจิ จึงมีหน้าที่ในการปรับแสงสว่างภายในห้องแม้จะปิดประตูโชจิ แต่ห้องก็ไม่มืด เพราะแสงจากภายนอกหน้าต่าง สามารถผ่านทะลุเข้ามาได้
ด้วยเหตุนี้ ประตูโชจิ จึงนิยมใช้เป็นหน้าต่าง หรือประตู ที่เปิดโล่งออกด้านนอก ช่วยให้ภายในห้องสว่างตลอดทั้งวัน ในบ้านยุคใหม่ ประตูโชจิ มีหน้าที่คล้ายกับ “ม่านลูกไม้” เพราะช่วยให้มองไม่เห็นภายในห้องจากด้านนอก ขณะเดียวกัน ยังคงช่วยรักษาความสว่างภายในห้องได้
ในยุคสมัยที่ยังไม่มีกระจก ประตูโชจิ มีประโยชน์มาก เนื่องจากสามารถรับแสงสว่าง ซึ่งประตูไม้หรือประตูโลหะ ไม่สามารถทำได้
5.ประตูน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะกับการปรับเปลี่ยนพื้นที่
จุดเด่นของห้องญี่ปุ่นคือ “ความยืดหยุ่น” เนื่องจากผู้อยู่อาศัยสามารถปรับเปลี่ยนขนาดห้องได้อย่างคล่องตัวตามสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้านจำนวนมาก หรือมีการจัดงานเลี้ยง คนญี่ปุ่นมักจะรื้อถอนประตูฟุสุมะแบบสไลด์ ระหว่างห้องสองห้องออก เพื่อใช้พื้นที่ทั้งสองห้องเป็นห้องใหญ่ห้องเดียว
ประตูฟุสุมะ เป็นประตูที่ทำจากโครงไม้ ปิดทับด้วยกระดาษทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้มีน้ำหนักเบามาก
ข้อดี ของประตูฟุสุมะ คือ ง่ายต่อการรื้อถอน และเคลื่อนย้าย
ความยืดหยุ่นขององค์ประกอบภายในบ้าน สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/05/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,600.00 | 40,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,630.00 | 39,870.80 | 41,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,367.00 | 35,883.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,104.00 | 31,896.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,184.00 | 17,949.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 921.00 | 13,962.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,725.00 | 41,311.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/05/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.15 | 38.15 | 39.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.78 | 37.78 | 38.58 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.04 | 36.04 | 37.04 | 36.04 | 36.04 | – | 36.04 | 36.04 | 36.04 | 36.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.79 | 35.79 | – | – | – | – | – | – | – | 35.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 46.74 | 49.84 | 49.94 | 49.84 | – | – | – | – | – | 46.74 |
เบนซิน 95 | 46.04 | – | – | – | 48.01 | – | 46.54 | 46.19 | – | 46.04 |
ดีเซล | 32.44 | 32.44 | 32.94 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 32.44 | – | – | – | 32.44 | – | – | – | – | 32.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.44 | 46.64 | 47.94 | 46.64 | 46.64 | – | – | – | – | 44.44 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |