สาระน่ารู้ประจำวันที่ 27 มิถุนายน 2568

ดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชารุกโรงแรม-อพาร์ตเมนต์ในEEC

สห โตคิว คอร์ปอเรชั่นเครือสหพัฒน์จับมือดุสิตธานี เปิดเกมรุกผุดโรงแรม-อพาร์ตเมนต์ กลิ่นอายญี่ปุ่นในEEC รองรับนักธุรกิจ–นักท่องเที่ยวทั่วโลก

ในจังหวะที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังเร่งเครื่องเต็มสปีด “ศรีราชา” หนึ่งในหัวเมืองสำคัญกำลังถูกวางตำแหน่งใหม่ให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก เมื่อสองกลุ่มทุนใหญ่ “สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น” ในเครือสหพัฒน์ จับมือกับ “ดุสิตธานี” เปิดตัวโครงการ “ดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชา” ที่พักระดับลักชัวรีผสานกลิ่นอายญี่ปุ่น ตั้งเป้าดึงดูดทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

โครงการนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จของทั้งสองพันธมิตร หลังเคยจับมือกันในโครงการระดับพรีเมียมมาแล้วทั้งที่กรุงเทพฯ และชลบุรี โดยคราวนี้เป็นการเปิดหน้ารุกตลาดโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ในทำเลศักยภาพสูงสุดของภาคตะวันออก

“นี่คือก้าวแรกของเป้าหมายใหม่ เพื่อสร้างจุดศูนย์กลางแห่งใหม่ของธุรกิจและการพักผ่อนในศรีราชา” ชินจิ สุยะมะ กรรมการผู้จัดการ สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น

 ผสานความละเมียดญี่ปุ่นกับบริการแบบไทย 

ดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชา จะเป็นอาคารสูง 12 ชั้น รวม 195 ห้องพัก รองรับทั้งระยะสั้นและระยะยาว ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องอาหาร ห้องประชุม สปา ออนเซนแบบญี่ปุ่นแท้ และซาวน่าสาธารณะ พร้อมตอบโจทย์ผู้เข้าพักทุกเชื้อชาติที่แสวงหาความหรูหรา ผ่อนคลาย และมาตรฐานบริการระดับโลกความน่าสนใจของโครงการไม่ใช่แค่ตัวอาคารหรือสิ่งอำนวยความสะดวก แต่คือแนวคิดเบื้องหลังที่เชื่อมโยงความเป็นญี่ปุ่นกับบริการแบบไทย ผ่านเลนส์ของดุสิตธานี ที่จะเข้ามาบริหารจัดการทั้งหมด

“เรานำเอาความละเมียดละไมแบบญี่ปุ่นมาหลอมรวมกับ ‘Dusit Graciousness’ เพื่อส่งมอบประสบการณ์พักผ่อนที่ไม่เหมือนใคร” ศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO ดุสิตธานี

ศรีราชาจากเมืองโรงงาน สู่ฮับแห่งการพักผ่อน

ตั้งอยู่ติด “เจ-พาร์ค” คอมมูนิตี้มอลล์แนวญี่ปุ่นที่สหพัฒน์พัฒนาไว้ก่อนหน้า โครงการใหม่นี้จึงได้เปรียบทั้งด้านทำเลและฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่มีความผูกพันกับพื้นที่มายาวนาน ขณะเดียวกันยังล้อมรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรม และอยู่ในพื้นที่ส่งเสริมการลงทุน EEC ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังเร่งผลักดันเต็มที่การลงทุนครั้งนี้จึงไม่ได้มองแค่ตลาดวันนี้ แต่คือการวางหมากระยะยาว เพื่อปักธง “ศรีราชา” ให้เป็นมากกว่าเมืองอุตสาหกรรม

การจับมือของสองกลุ่มทุนในโครงการ “ดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชา” จึงไม่ใช่แค่การเปิดโรงแรมใหม่ แต่เป็นการ “ยกระดับเมือง” ปั้นเมืองอุตสาหกรรมให้กลายเป็น “ฮับท่องเที่ยว–ธุรกิจระดับโลก” สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเมืองรองไทยในยุค EECโครงการนี้สะท้อนแนวคิด ‘จากท้องถิ่น สู่เวทีโลก’ ของดุสิต ได้อย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ศุภาลัย–IWGเปิด Regusกลางสาทรรับ Hybrid Work เต็มรูปแบบ

ศุภาลัย จับมือยักษ์ใหญ่ออฟฟิศโลก IWG เปิดตัว “Regus” พื้นที่สำนักงานยืดหยุ่น ใจกลางย่านธุรกิจ รองรับเทรนด์การทำงานยุคใหม่

เมื่อเทรนด์การทำงานเปลี่ยน สำนักงานยุคเก่าจึงต้องปรับตัวการทำงานแบบ Hybrid Work ได้กลายเป็นความปกติใหม่ของหลายองค์กรทั่วโลก และในประเทศไทยเอง แนวโน้มนี้ก็เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน หลังโควิด-19 ที่ทำให้ทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ประกอบการรายย่อย ต่างมองหาพื้นที่ทำงานที่ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น ทั้งในแง่เวลา พื้นที่ และค่าใช้จ่าย

เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ศุภาลัย จึงเดินเกมรุก ผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลกอย่าง International Workplace Group (IWG) เปิดตัว “Regus” พื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบครบวงจร บนชั้น 3 ของ อาคารสำนักงานศุภาลัย ไอคอน สาทร ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ

บุศรินทร์ รุ่งรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขายอาคารสูง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พฤติกรรมการทำงานของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เราเชื่อว่าพื้นที่ทำงานที่ดีในวันนี้ ต้องมีความยืดหยุ่น และตอบโจทย์ได้หลายมิติ Regus ในโครงการนี้ ถูกวางตำแหน่งให้เป็นศูนย์รวมของการทำงานแบบไฮบริดที่ครบวงจร

ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานส่วนตัว โคเวิร์กกิ้งสเปซ หรือห้องประชุม ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามขนาดองค์กร และความต้องการเฉพาะทาง ตั้งแต่ SMEs, สตาร์ทอัพ, ฟรีแลนซ์ ไปจนถึงองค์กรข้ามชาติ

ทำเล + ดีไซน์ ปัจจัยเร่งการเติบโตของธุรกิจ

นอกจากรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นแล้ว ทำเลของโครงการก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” ตั้งอยู่บนถนนสาทรเหนือ เชื่อมต่อระบบคมนาคมหลัก ทั้ง MRT ลุมพินี, BTS ช่องนนทรี และศาลาแดง รวมถึงใกล้ทางด่วนสายหลัก รองรับการเดินทางที่คล่องตัวในทุกทิศทาง

นอกจากนี้อาคารยังได้รับมาตรฐาน LEED Green Building สะท้อนถึงการออกแบบที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ หรือพื้นที่จอดรถ รองรับทั้งไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิตอย่างสมดุล

ธิติวัฒน์ ธนาพรนิธินันท์  ผู้จัดการประจำประเทศไทย IWG ระบุว่า Regus แห่งนี้จะเชื่อมโยงกับเครือข่ายกว่า 50 แห่งในไทย และอีก 5,000 แห่งทั่วโลก สมาชิกของเราสามารถเคลื่อนย้ายการทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา

แม้ตลาดสำนักงานให้เช่ายังเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน แต่โครงการนี้สะท้อนทิศทางใหม่ของการพัฒนาอสังหาฯ ที่มุ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้งานมากกว่าการแข่งขันด้านพื้นที่เพียงอย่างเดียว“Regus @ Supalai Icon Sathorn” ไม่เพียงเติมเต็มฟังก์ชันของอาคารสำนักงานในเชิงกายภาพ แต่ยังเป็นหมุดหมายใหม่ของแนวคิดการทำงานแบบยืดหยุ่น ที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเติบโตได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27มิ.ย. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “

ค่าเงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ไฮไลท์สำคัญใน24ชม.ตลาดรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐและถ้อยแถลงของเฟด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้27มิ.ย. 2568ที่ระดับ  32.53 บาทต่อดอลลาร์
“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงก่อนหน้า อาจชะลอลงบ้าง สอดคล้องกับการชะลออ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับของราคาทองคำ

ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นผลมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 (ขายทำกำไรสถานะ Short USD ที่เรียกได้ว่า ทำผลตอบแทนได้ดีในปีนี้PlayNextMute

เช่นเดียวกัน กับการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long ทองคำ ซึ่งทำผลงานได้โดดเด่นในปีนี้) ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น ตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนกรกฎาคม ซึ่งเรามองว่า อาจต้องเห็นข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน (จับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า)

ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นในช่วงนี้ อาจสะท้อนว่า หากไม่มีปัจจัยกดดันราคาทองคำเพิ่มเติม ราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง ซึ่งเรามองว่า หากไม่มีปัจจัยหนุนที่ชัดเจน การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจเป็นไปอย่างจำกัดและทำให้ผู้เล่นในตลาดจะรอทยอยขายทำกำไร หรือใช้กลยุทธ์ Range-Bound Trading ซึ่งทำให้ เมื่อราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น ทดสอบโซนแนวต้าน ก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทบ้าง

โดยเราคงมองว่า เงินบาทยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำในระดับสูง และมีความอ่อนไหวหรือ Sensitivity ต่อการปรับตัวของราคาทองคำ ราว 0.3-0.5

แม้ว่า เงินบาทอาจยังไม่มีการเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่ชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่เรากังวล คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์หน้าที่ ตลาดการเงินไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ใกล้โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.44-32.54 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่เผชิญแรงกดดันจากมุมมองของผู้เล่นในตลาด ซึ่งต่างเชื่อว่า เฟดมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ออกมาแย่กว่าคาด

อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ ก็หดตัวราว -0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.974 ล้านราย สะท้อนถึงความยากลำบากในการหางานที่มากขึ้น อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด และเงินดอลลาร์ก็สามารถพลิกกลับมารีบาวด์สูงขึ้นได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการทยอยทำกำไรสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาด หลังเงินดอลลาร์ได้อ่อนค่าลงมาต่อเนื่องในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็มีส่วนหนุนเงินดอลลาร์ผ่านแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัย

ทั้งเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และทองคำ ซึ่งการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้างเช่นกัน

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ส่งผลดีต่อบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตลด์ Growth อาทิ Meta +2.5% และ Amazon +2.4% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.97% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.80% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย +0.09% แม้จะถูกกดดันบ้าง จากแรงขายบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH -1.6% แต่ตลาดหุ้นยุโรปก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน อาทิ Rheinmetall +7.3%

และ Airbus +2.7% หลังบรรดาประเทศสมาชิก NATO ต่างเห็นชอบในการเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร ตามคำเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาดเป็นส่วนใหญ่และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน ซึ่งออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ย ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.25%

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ดูจะจำกัดลง และต้องรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ชัดเจน โดยเราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%)

ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงมาบ้าง ทว่า เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์ขึ้น ตามการทยอยลดสถานะถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาด อย่าง เงินเยนญี่ปุ่นและทองคำ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุนบ้าง จากการทยอยขายทำกำไรสถานะ Short USD ในช่วงสิ้นไตรมาส ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.0-97.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ทยอยย่อตัวลงสู่โซนแนวรับแถว 3,320-3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจเห็นแรงซื้อ Buy on Dip จากผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด ที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 55% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ 

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง   

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ทำไมบางคนถึงกลัวความสุข? เจาะลึก Cherophobia ภาวะทางจิตที่คุณอาจเป็นโดยไม่รู้ตัว

Cherophobia หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคกลัวความสุข เป็นภาวะทางจิตวิทยาที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคกลัวเฉพาะเจาะจง (Specific Phobia) ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีความกลัวอย่างรุนแรงหรือไม่สมเหตุสมผลต่อความสุข หรือการมีความสุข พวกเขาอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความสุข เพราะเชื่อว่าหลังจากความสุขแล้วจะต้องมีสิ่งร้าย ๆ เกิดขึ้นตามมา หรือรู้สึกว่าความสุขเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรกับตัวเอง ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วย

สาเหตุของ Cherophobia: ทำไมบางคนถึงกลัวการมีความสุข?

สาเหตุของ Cherophobia นั้นซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล มักเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในอดีตหรือรูปแบบการคิดที่ฝังลึก:

1. ประสบการณ์เชิงลบที่ตามมาด้วยความสุข

  • ความเชื่อเรื่องกรรมหรือโชคร้าย: บางคนอาจเชื่อว่าการมีความสุขมากเกินไปจะนำมาซึ่งเคราะห์กรรมหรือสิ่งเลวร้ายในภายหลัง คล้ายกับคำกล่าวที่ว่า “สุขสุด ๆ เดี๋ยวก็มีทุกข์ตามมา”
  • ประสบการณ์ที่ถูกลงโทษหลังจากมีความสุข: หากในอดีตเคยมีประสบการณ์ที่ได้รับความสุข แล้วหลังจากนั้นกลับถูกลงโทษ หรือเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน อาจทำให้จิตใต้สำนึกเชื่อมโยงความสุขกับผลลัพธ์เชิงลบ
  • ความไม่ไว้วางใจในความสุข: บางรายอาจมองว่าความสุขเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและไม่ยั่งยืน และการยึดติดกับความสุขจะนำไปสู่ความผิดหวังเมื่อความสุขนั้นหมดไป

2. ความรู้สึกไม่คู่ควรหรือไม่เหมาะสม

  • ความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ (Low Self-Esteem): ผู้ที่มีความนับถือตัวเองต่ำ อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความสุข หรือไม่สมควรที่จะได้รับความรู้สึกดี ๆ
  • ความรู้สึกผิด (Guilt): อาจรู้สึกผิดหากตนเองมีความสุขในขณะที่ผู้อื่นกำลังทุกข์ทรมาน หรือรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ในอดีตที่ยังไม่ได้แก้ไข

3. ความเชื่อที่ว่าความสุขคือการไม่รับผิดชอบ

  • ความเชื่อว่าความสุขเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย: บางคนอาจถูกปลูกฝังมาให้เชื่อว่าการมุ่งเน้นไปที่ความสุขเป็นเรื่องที่ไร้สาระ หรือเป็นความไม่รับผิดชอบ แทนที่จะมุ่งมั่นทำงานหรือเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
  • การเชื่อมโยงความสุขกับการสูญเสียการควบคุม: ผู้ป่วยบางรายอาจกลัวว่าการมีความสุขมากเกินไปจะทำให้สูญเสียการควบคุมอารมณ์หรือการกระทำของตนเอง

สัญญาณและอาการของ Cherophobia ที่ควรสังเกต

ผู้ที่มี Cherophobia อาจแสดงอาการทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ควรจะมีความสุข หรือเมื่อนึกถึงความสุข:

1. อาการทางร่างกาย

  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
  • เหงื่อออกมากผิดปกติ
  • หายใจลำบาก หรือรู้สึกสำลัก
  • คลื่นไส้ ปวดท้อง
  • รู้สึกประหม่า หรือตัวสั่น

2. อาการทางจิตใจและพฤติกรรม

  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุข: เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์ งานเฉลิมฉลอง หรือการพักผ่อนหย่อนใจ
  • ปฏิเสธโอกาสที่จะได้รับความสุข: เช่น ปฏิเสธคำเชิญไปเที่ยว หรือปฏิเสธของขวัญ
  • รู้สึกวิตกกังวลหรือตื่นตระหนก: เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะมีความสุข
  • มีความเชื่อเชิงลบเกี่ยวกับความสุข: เช่น “ความสุขไม่จีรัง”, “ความสุขจะนำมาซึ่งความทุกข์”
  • ชอบอยู่คนเดียว: หรือเก็บตัว เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความสุข
  • ไม่สามารถเพลิดเพลินกับความสุขได้เต็มที่: แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะมีความสุข

การรักษา Cherophobia: ก้าวข้ามความกลัวเพื่อโอบรับความสุข

Cherophobia สามารถรักษาได้ และการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และเพลิดเพลินกับความสุขได้อีกครั้ง:

1. การบำบัดพฤติกรรมและความคิด (Cognitive Behavioral Therapy – CBT)

CBT เป็นแนวทางการบำบัดที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคกลัวและภาวะวิตกกังวล นักบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วย:

  • ระบุและท้าทายความคิดเชิงลบ: ที่เกี่ยวข้องกับความสุข และปรับเปลี่ยนมุมมองให้เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น
  • เรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลาย: เพื่อจัดการกับความวิตกกังวลและอาการแพนิกเมื่อต้องเผชิญกับความสุข
  • ค่อย ๆ สร้างพฤติกรรมใหม่: ที่ช่วยให้สามารถเปิดรับและเพลิดเพลินกับความสุขได้

2. การบำบัดด้วยการเปิดรับสิ่งกระตุ้น (Exposure Therapy)

วิธีนี้จะค่อย ๆ ให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความสุขอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เพื่อช่วยให้สมองเรียนรู้ว่าความสุขไม่ได้เป็นอันตราย:

  • เริ่มต้นด้วยสิ่งเล็ก ๆ: เช่น การดูวิดีโอตลก ๆ หรือการฟังเพลงที่ชอบ
  • ค่อย ๆ เพิ่มระดับ: ไปสู่การเข้าร่วมกิจกรรมสั้น ๆ ที่สนุกสนาน หรือการใช้เวลากับคนที่ทำให้มีความสุข
  • เป้าหมาย: คือการลดระดับความกลัวลงจนสามารถเพลิดเพลินกับความสุขได้อย่างเป็นธรรมชาติ

3. การทำความเข้าใจและจัดการกับบาดแผลในอดีต

หาก Cherophobia มีสาเหตุมาจากประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจในอดีต การบำบัดที่เน้นการประมวลผลบาดแผลทางใจ (เช่น EMDR – Eye Movement Desensitization and Reprocessing) อาจเป็นประโยชน์ในการช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับความรู้สึกและผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้น

4. การใช้ยา

ในบางกรณี หากอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้ารุนแรง แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาเพื่อช่วยลดอาการ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมักใช้ควบคู่ไปกับการบำบัดทางจิตวิทยา

5. การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และทัศนคติ

  • ฝึกการมีสติ (Mindfulness): การฝึกสติช่วยให้ผู้ป่วยอยู่กับปัจจุบัน และรับรู้ถึงความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต
  • การสร้างเครือข่ายสนับสนุน: การมีเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มสนับสนุนที่เข้าใจและให้กำลังใจ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะเปิดใจรับความสุขมากขึ้น
  • การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ที่เป็นบวก: เช่น การลองทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่น่าสนุก หรือการใช้เวลากับคนที่ทำให้รู้สึกดี

หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักแสดงอาการของ Cherophobia หรือ โรคกลัวความสุข การปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาสามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถก้าวข้ามความกลัวนี้และกลับมาเพลิดเพลินกับความสุขในชีวิตได้อย่างเต็มที่

หมายเหตุ: Cherophobia ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นความผิดปกติอย่างเป็นทางการในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) ของ American Psychiatric Association แต่เป็นที่ยอมรับและมีการศึกษาในวงกว้างในฐานะภาวะหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลและรูปแบบความคิด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“พิ้งค์ พิชฌามลณ์” ตบกระจุย “ไตเติ้ล-เจน” ฟอร์มเทพ ทะลุรอบสองแบดมินตัน ยูเอส โอเพ่น

“พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โชว์ฟอร์มสุดคม ไล่ต้อนคู่แข่งไต้หวันขาดลอย ขณะที่คู่ผสมตัวเต็งอย่าง “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค และ “เจน” เฌอย์ณิชา ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เดินหน้าปราบคู่แข่งจากอินโดนีเซียอย่างเหนือชั้น ต่างกอดคอผ่านเข้าสู่รอบสองแบดมินตัน ยูเอส โอเพ่น 2025 ไปปอย่างสวยงาม

การแข่งขันแบดมินตันรายการ ยูเอส โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,920,000 บาท ที่เมืองเคาน์ซิลบลัฟส์ รัฐไอโอว่า สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 26 มิ.ย.68 โดยเป็นการแข่งขันในรอบแรก

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก  “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มืออันดับ 58 ของโลก พบกับ หวง ชิงปิง มืออันดับ 67 ของโลกจากไต้หวัน เกมนี้  “พิงค์” พิชฌามลณ์ ออกสตาร์ตได้อย่างมั่นใจในกมแรก  เล่นได้หลากหลายและแม่นยำ ทำให้หวง ชิงปิง ตามไม่ทันหลายจังหวะ พิงค์สามารถควบคุมเกมได้ตลอด และปิดเกมแรกไปด้วยสกอร์ 21-17

ในเกมที่สอง  “พิงค์” พิชฌามลณ์ ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ตีได้ดุดันและเน้นจังหวะบุกมากขึ้น ทำให้คู่แข่งจากไต้หวันไม่สามารถต้านทานได้ ปิดแมตช์เอาชนะไปอีกที่ 21-8 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด  “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ แทนวี่ ชาร์มา มืออันดับ 66 ของโลกจากอินเดีย 

ด้านประเภทคู่ผสม รอบแรก “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 18 ของโลก พบกับ กาเบรียล คริสโตเฟอร์ วินตัน วิจายา กับ เซเรน่า คานิ คู่จากอินโดนีเซีย 

เกมนี้  คู่ไตเติ้ล กับ เจน โชว์ฟอร์มได้อย่างเหนือชั้น ตั้งแต่ต้นเกม คุมเกมบุกได้เป็นอย่างดี ทำให้คู่จากอินโดนีเซียไม่สามารถต้านทานได้ ไตเติ้ล กับ เจนปิดเกมแรกไปได้อย่างง่ายดายด้วยสกอร์ 21-10 ในเกมสอง รูปเกมยังคงเป็นของคู่ไตเติ้ล กับ เจน อย่างต่อเนื่อง และเล่นเกมบุกที่หลากหลาย ก่อนที่ ไตเติ้ล กับ เจน จะปิดแมตช์เอาชนะไปที่ 21-14 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ ซี่ เว่ยเหอ กับ หยาน เฟยเฉิน  คู่มืออันดับ 188 ของโลกจากไต้หวัน 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ฝึกพูดอังกฤษ อย่างไรให้เข้าใจ โดยไม่ต้องแปลเป็นไทยให้เสียเวลา

การ ฝึกพูดอังกฤษ ให้เข้าใจและพูดคล่องโดยไม่ต้องแปลเป็นไทยในหัวก่อน เป็นเป้าหมายสำคัญของหลายคน เพราะเราคนไทยโดยคนส่วนมากจะใช้ภาษาไทยตลอด จึงมีความเคยชินกับการใช้ภาษาไทยจนเกิดความสับสนในการพูดและ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ได้ แต่คุณจะปลดล็อกสกิลนี้ได้แน่นอน หากใช้วิธีที่ถูกต้อง ฝึกฝนและนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอ

แกรมม่าฝึกได้ แต่อย่าเน้นจนเกินไป

ตามที่เราได้ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ มานั้น หลักสูตรการศึกษาในไทยจะเน้นการใช้ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการเรียนทักษะต่าง ๆ โดยเน้นการใช้แกรมม่าเป็นพิเศษ แต่ถ้าเราเน้นไวยากรณ์มากเกินไปและการจำโดยไม่มีความเข้าใจ แกรมม่าที่เราเรียนนั้นก็จะสูญเปล่า เพราะหากเรากลัวข้อผิดพลาดในการใช้มากเกินไป อาจทำให้เกิด Distraction หรือเกิดการขัดขวางในการสื่อสารมากกว่านำไปใช้จริง ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือการเรียนรู้จากบทสนทนาประจำวันง่าย ๆ และการเรียนรู้จากหนัง เกมและเพลงต่าง ๆ เพื่อความเพลิดเพลินในการเรียนรู้ สร้างแรงจูงใจให้ เรียนภาษาอังกฤษ ได้สนุกจากสิ่งที่ชอบมากยิ่งขึ้น

เรียน ฝึกพูดอังกฤษ จากบทสนทนาประจำวัน

การ เรียนภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาประจำวัน (Daily Conversations) เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการ ฝึกพูดอังกฤษ และฟัง (Speaking and Listening) ให้เข้าใจ โดยไม่ต้องแปลเป็นไทยก่อนทุกคำ เพราะคุณจะเรียนรู้จาก “สถานการณ์จริง” ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเราสามารถฝึกการพูดนี้กับเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ชาวต่างชาติ หรือแม้แต่โปรแกรมที่มี AI เพื่อช่วยพัฒนาและฝึกสำเนียงการพูด ซึ่งเราแนะนำให้เริ่มจากประโยคง่าย ๆ ก่อน ยกตัวอย่างเช่น

  1. การทักทาย

A: Hi! How are you?

B: I’m good, thanks. And you?

A: Not bad. Just a bit tired from work.

B: I know the feeling. Long day, huh?

=  A: หวัดดี! สบายดีไหม

B: สบายดี ขอบคุณ แล้วเธอล่ะ

A: ก็ไม่แย่นะ แค่เหนื่อยจากการทำงานนิดหน่อย

B: เข้าใจเลย คงจะเป็นวันที่ยาวนานเลยสินะ

  1. ที่ร้านกาแฟ

A: Can I get an iced latte please?

B: Sure. Anything else?

A: No, that’s all. Thank you.

= ขอลาเต้เย็นที่หนึ่ง

รับอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกไหม

ไม่แล้วล่ะ ขอบคุณ

  1. ที่ทำงาน

A: Would you mind sending me the report before noon?

B: Of course, I’ll handle it right away.

= ช่วยส่งรายงานให้ก่อนเที่ยงได้ไหม

ได้เลย เดี๋ยวผมจะจัดการให้ทันที

  1. การถามทาง

A: Excuse me, where’s the nearest grocery?

B: It’s around the corner, next to the restaurant.

= ขอโทษค่ะ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน

อยู่ตรงหัวมุม ข้างร้านอาหารเลย

เรียนรู้จากหนัง เกมและเพลงต่าง ๆ

การ เรียนภาษาอังกฤษ จากหนัง เกมและเพลงต่าง ๆ เป็นวิธีที่สนุกและได้ผลดีมาก ได้เรียน สำเนียงจริง (อเมริกัน/อังกฤษ)เข้าใจ คำสแลงและภาษาพูดอย่างเป็นธรรมชาติจาก Native Speaker หรือ เจ้าของสำเนียงได้โดยตรง นอกจากนี้ยังรวมถึงอารมณ์ สีหน้าและน้ำเสียง โดยมีประโยชน์จากเรียนผ่านช่องทางอื่น ๆ นอกจากห้องเรียนดังนี้

  • จดจำคำศัพท์และวลี ได้โดยไม่ต้องท่อง
  • ฝึกฟังเสียงเจ้าของภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ
  • เข้าใจบริบทและการใช้ภาษาในชีวิตจริง
  • เพลิดเพลิน ไม่เครียด ไม่เบื่อเหมือนการเรียนด้วยวิธีแบบเดิม ๆ

โดยเราแนะนำให้คุณลิสต์ชื่อหนัง/เพลง/เกมแนะนำตามระดับภาษาตามความเข้าใจ หรือ ในระดับที่สามารถเข้าใจได้ก่อน นอกจากนี้ยังสามารถตามอ่านวลีเด็ดจากหนังหรือเพลง หนังและเกมที่คุณชอบเป็นพิเศษ บอกเลยว่า วิธีนี้ได้ผล ช่วยให้เราสามารถแปล หรือ พูดภาษาอังกฤษได้ผ่านการเรียนซ้ำ ๆ และความเคยชินจนไม่ต้องเสียเวลาแปลเป็นไทยให้เสียเวลา

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


จับตา 10 เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกปี 2025 ผสาน AI พลังงาน-สุขภาพไร้รอยต่อ

ธุรกิจห้ามพลาดเวทีเศรษฐกิจโลกเผย 10 เทคโนโลยีมาแรงปี 2025 จากแบตฯ โครงสร้างถึงการตรวจจับสารชีวภาพอัตโนมัติ พร้อมแนวโน้มใหม่ของโลกที่ผสาน AI กับพลังงาน-สุขภาพอย่างไร้รอยต่อ

เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) เปิดรายงาน 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่แห่งปี 2025 ที่กำลังข้ามจุดเปลี่ยนจากห้องวิจัยสู่การเปลี่ยนโลกจริง โดยเน้นเทคโนโลยีที่พร้อมส่งผลกระทบในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ทั้งด้านพลังงาน สุขภาพ ความยั่งยืน และความเชื่อมั่นในโลกดิจิทัล โดยรายงานนี้เผยแพร่ในงานประชุม Annual Meeting of the New Champions หรือ “Summer Davos” ที่จีนเมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมชี้ 4 แนวโน้มใหญ่ที่ต้องจับตาในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

รายงานระบุว่า เทคโนโลยีปี 2025 ถูกคัดเลือกจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความแปลกใหม่ พัฒนาการของเทคโนโลยี และศักยภาพในการสร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม โดย 4 เทรนด์หลักที่ครอบคลุมเทคโนโลยีทั้ง 10 รายการ ได้แก่ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในโลกที่เชื่อมต่อกัน เทคโนโลยีชีวภาพยุคใหม่เพื่อสุขภาพ การออกแบบระบบอุตสาหกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืน และการบูรณาการพลังงานกับวัสดุ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนแนวโน้มใหญ่ของ “การบรรจบกันของเทคโนโลยี” เช่น การผสาน AI กับระบบชีวภาพ หรือวัสดุนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนพลังงานสะอาด

เทคโนโลยีแรกที่น่าจับตาคือ “แบตเตอรี่โครงสร้าง” (Structural Battery Composites) ซึ่งเป็นวัสดุที่ทั้งรับน้ำหนักและเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ในตัว เช่น คาร์บอนไฟเบอร์หรือเรซิน หากใช้งานได้จริง จะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องบินมีน้ำหนักเบาลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ยังต้องผ่านด่านความปลอดภัยก่อนใช้งานจริงในวงกว้าง

ถัดมาคือ “ระบบผลิตไฟฟ้าจากแรงดันออสโมซิส” (Osmotic Power Systems) ที่ใช้หลักต่างระดับความเค็มของน้ำ 2 แหล่งเพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียนแบบไร้คาร์บอน แม้แนวคิดมีมาตั้งแต่ปี 1975 แต่เทคโนโลยีวัสดุใหม่ทำให้เข้าใกล้การใช้งานจริงยิ่งขึ้น โดยมี 2 แนวทางหลัก ได้แก่ Pressure Retarded Osmosis และ Reverse Electrodialysis ที่ต่างใช้เยื่อบางควบคุมการเคลื่อนที่ของน้ำหรือไอออนเพื่อสร้างพลังงาน

เทคโนโลยีนิวเคลียร์ก็กำลังกลับมาอย่างน่าสนใจ รายงานพูดถึง “เทคโนโลยีนิวเคลียร์ยุคใหม่” (Advanced Nuclear Technologies) ที่มีเป้าหมายลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัย ทั้งการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMRs) และการมุ่งสู่ปฏิกิริยาฟิวชัน ซึ่งหากทำได้จริง จะเปลี่ยนสมการพลังงานโลกอย่างสิ้นเชิง

ในมิติสุขภาพ “เทคโนโลยีชีวภาพรักษาโรคจากภายใน” (Engineered Living Therapeutics) เปิดมุมใหม่ของการใช้จุลินทรีย์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมให้ผลิตยาในร่างกายมนุษย์โดยตรง เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ ระบบนี้จะช่วยผลิตอินซูลินเองอย่างต่อเนื่อง ลดต้นทุนการผลิตยาได้ถึง 70% และลดความถี่ในการรักษา

ขณะเดียวกัน “ยารุ่นใหม่ GLP-1” (GLP-1s for Neurodegenerative Disease) ซึ่งเคยใช้รักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน กำลังถูกศึกษาว่าสามารถช่วยโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสันได้ เพราะช่วยลดการอักเสบและขจัดโปรตีนพิษในสมอง หากพัฒนาได้จริงจะสร้างผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากทั่วโลกมีผู้ป่วยสมองเสื่อมกว่า 55 ล้านคน

อีกเทคโนโลยีที่มาแรงคือ “อุปกรณ์ตรวจจับชีวเคมีอัตโนมัติ” (Autonomous Biochemical Sensing) ที่สามารถตรวจวัดสารชีวภาพได้แบบเรียลไทม์ เช่น มลพิษในน้ำ หรือระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยไม่ต้องพึ่งห้องแล็บ ตัวอย่างที่เริ่มใช้งานแล้วคืออุปกรณ์ตรวจน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และมีแนวโน้มขยายสู่ด้านอื่น เช่น ความปลอดภัยอาหารหรือการดูแลวัยทอง

ในภาคเกษตรกรรม รายงานชู “การตรึงไนโตรเจนแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (Green Nitrogen Fixation) ที่พัฒนาวิธีผลิตปุ๋ยโดยใช้แสงอาทิตย์หรือพลังงานสะอาด แทนกระบวนการเดิมที่ใช้พลังงานโลกถึง 2% เพื่อผลิตแอมโมเนีย รองรับความต้องการอาหารของประชากรโลกถึงครึ่งหนึ่ง

อีกหนึ่งนวัตกรรมคือ “นาโนไซม์” (Nanozymes) วัสดุนาโนที่เลียนแบบเอนไซม์แต่ผลิตง่าย ทนทาน และต้นทุนต่ำกว่า สามารถนำไปใช้ในการบำบัดน้ำเสีย ความปลอดภัยด้านอาหาร และแม้กระทั่งการรักษามะเร็งหรือโรคสมองเสื่อม โดยอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก แม้ยังมีข้อกังวลเชิงจริยธรรมและเทคนิคบางประการ

เทคโนโลยี “การรับรู้ร่วมกัน” (Collaborative Sensing) ก็เปิดโลกใหม่ให้กับการจัดการข้อมูลแบบเครือข่าย เช่น การเชื่อมต่อกล้องจราจรกับเซนเซอร์สภาพอากาศเพื่อควบคุมสัญญาณไฟจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดมลพิษ และแก้รถติด นอกจากนี้ยังใช้ในเหมือง การพยากรณ์พายุ และการวางแผนผังเมืองได้

ปิดท้ายด้วย “ระบบฝังลายน้ำในคอนเทนต์ AI” (Generative Watermarking) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีฝังรหัสที่มองไม่เห็นในภาพหรือวิดีโอที่ผลิตโดย AI เพื่อป้องกันการปลอมแปลงและช่วยให้ผู้ใช้แยกแยะว่าอะไรคือของจริงหรือของปลอม แม้ยังมีข้อท้าทาย เช่น การพยายามลบลายน้ำหรือการตีตราผิดพลาด แต่หลายบริษัทเทคโนโลยีเริ่มนำไปใช้มากขึ้น

ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของเทคโนโลยีที่กำลังจะมีบทบาทต่อชีวิตจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะในฐานะเครื่องมือเปลี่ยนโลกธุรกิจใหม่ หรือเป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนให้สังคมโลกเดินหน้าอย่างมีความหวังในยุคที่ความท้าทายใหญ่ไม่สามารถแก้ไขด้วยเครื่องมือเก่าๆ ได้อีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แจกสูตรน้ำฟักทอง กินตอนไหนได้ประโยชน์สูงสุด

น้ำฟักทอง คือเครื่องดื่มสุขภาพที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งเบตาแคโรทีน วิตามินเอ และไฟเบอร์ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักสูตรทำน้ำฟักทองอย่างง่าย พร้อมแนะนำเวลาที่ควรกินเพื่อให้ร่างกายดูดซึมประโยชน์ได้สูงสุด

ประโยชน์ของน้ำฟักทองที่คุณควรรู้

  • ช่วยบำรุงสายตา เพราะมีเบตาแคโรทีนซึ่งเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ
  • เสริมภูมิคุ้มกันด้วยวิตามินซี
  • ช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น เพราะมีไฟเบอร์สูง
  • ควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี จึงเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง

วัตถุดิบในการทำน้ำฟักทอง

  • ฟักทองนึ่ง 1 ถ้วย (ประมาณ 150-200 กรัม)
  • น้ำเปล่า 1 แก้ว (ประมาณ 250 มล.)
  • น้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย (ตามชอบ)
  • เกลือปลายช้อน (เพิ่มรสชาติ)
  • นมสดหรือนมถั่วเหลือง (ถ้าต้องการความหอมมัน)

วิธีทำน้ำฟักทองแบบง่ายๆ ในบ้าน

  1. นึ่งฟักทองจนสุกนิ่ม (ประมาณ 15–20 นาที)
  2. ปล่อยให้เย็นเล็กน้อย แล้วปั่นรวมกับน้ำเปล่า
  3. เติมน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวาน
  4. ถ้าชอบแบบมัน ให้เติมนมสดหรือนมถั่วเหลือง
  5. กรองด้วยผ้าขาวบาง (ถ้าต้องการเนื้อเนียน)
  6. ดื่มขณะอุ่นๆ หรือแช่เย็นก่อนดื่มก็ได้

เคล็ดลับในการทำน้ำฟักทอง

  • หากต้องการคงคุณค่าทางอาหาร ไม่ควรต้มฟักทองในน้ำโดยตรง เพราะสารอาหารบางส่วนอาจละลายออกไปกับน้ำ 
  • ปอกเปลือกฟักทองหรือไม่ก็ได้ แต่เปลือกฟักทองควรล้างให้สะอาดมากๆ และเปลือกฟักทองมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น ไฟเบอร์ เบตาแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี & วิตามินอี 

กินน้ำฟักทองตอนไหนดีที่สุด?

  • ตอนเช้า หลังตื่นนอน: ช่วยเพิ่มพลังงาน แทนกาแฟได้ในบางวัน
  • ก่อนอาหารกลางวัน 30 นาที: ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย
  • ช่วงบ่าย: ช่วยลดความอยากขนมหวาน เพิ่มความอิ่มแบบดีต่อสุขภาพ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มหลังอาหารมื้อหนัก เพราะจะทำให้รู้สึกแน่นท้อง

ข้อควรระวังในการดื่มน้ำฟักทอง

  • ไม่ควรดื่มมากเกินไปในวันเดียว (1 แก้ว/วันกำลังดี)
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยควรเริ่มดื่มในปริมาณน้อย
  • เลือกฟักทองที่สดใหม่ และไม่ใส่น้ำตาลเยอะเกินไป

น้ำฟักทอง คือเครื่องดื่มสุขภาพที่ทำง่าย ดื่มอร่อย และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลาย ถ้าเลือกเวลาดื่มให้เหมาะสม เช่น ตอนเช้า หรือช่วงก่อนอาหารกลางวัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเต็มที่ พร้อมช่วยควบคุมน้ำหนักและบำรุงสุขภาพในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/06/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a50,700.0050,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,277.0049,679.3251,600.00
ทองรูปพรรณ 90%2,949.3044,711.39n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,621.6039,743.46n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,474.6522,355.69n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,146.9517,387.76n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,395.8551,481.09n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9533.1533.1533.6533.1533.1533.1533.1533.1533.1533.15
แก๊สโซฮอล์ 9132.7832.7833.2832.7832.7832.7832.7832.7832.7832.78
แก๊สโซฮอล์ E2030.9430.9431.4430.9430.9430.9430.9430.9430.94
แก๊สโซฮอล์ E8529.2929.2929.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.7449.8449.8449.8441.74
เบนซิน 9541.4449.8141.9441.5941.44
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า