” บ้านล้านหลัง เฟส 2″ เสนาคิทท์ขน 10 โครงการ ปลุกดีมานด์
โครงการบ้านล้านหลัง เฟส 2 สินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ค่ายใหญ่คอนโดฯต่ำล้าน เสนาฯ ขน 10 โครงการ เสนาคิทท์ร่วม ราคาเริ่มไม่ถึง 8 แสนบาท ผ่อนต่ำ 3,700 บาทต่อเดือน
หลังจากมติครม. อนุมัติโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 (เฟส 2) เพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้จำกัด และกลุ่มเปราะบางให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง นับว่าเป็นโอกาส และจังหวะที่ดีสำหรับคนที่ต้องการซื้อที่อยู่ในอาศัยในช่วงนี้
ล่าสุด นางสาว เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า ทางเสนา ยังคงย้ำเป้าหมายหลักตามแผนธุรกิจต้นปี 2564 มุ่งมั่นพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำล้าน ภายใต้แบรนด์คอนเซ็ปต์ “เสนาคิทท์ (SENA KITH) คอนโดของคนช่างคิด … ดีกว่าที่คิด” ถือเป็น Strong Brand Product หนึ่งในแบรนด์เรือธงของเสนาที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่มีรายได้จำกัด และต้องการ ที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ยังเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่มีกำลังซื้อ และต้องการที่อยู่อาศัยที่ดีต่อเนื่อง
ปัจจุบันทางเสนามีการเปิดขายคอนโด แบรนด์ “เสนาคิทท์” 2 โครงการ ประกอบ เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง และ เสนาคิทท์ ฉลองกรุง – ลาดกระบัง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีทุกโครงการ โดยในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ (ต.ค. – ธ.ค. 64) เตรียมทยอยเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการ รวมมูลค่า 2,600 กว่าล้านบาท
ล่าสุด ทางเสนานำคอนโดมิเนียม 10 โครงการคุณภาพทั้งโครงการใหม่และพร้อมเข้าอยู่ หลากหลายทำเลศักยภาพใกล้แหล่งงาน ราคาเริ่มเพียง 799,000 บาท เข้าร่วมแคมเปญ “บ้านล้านหลัง (เฟส 2)” กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมรับเงื่อนไขสุดพิเศษ อัตราดอกเบี้ย 1.99% คงที่ 4 ปีแรก ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี ผ่อนเริ่มต้น 3,700 บาท/เดือน คงที่ 84 งวดแรก โดยผู้กู้มีรายได้สุทธิ 10,000 บาทขึ้นไป สามารถยื่นกู้ได้ กำหนดเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำนิติกรรมได้ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2566
นางสาวเกษรา ยังระบุว่า สำหรับใครที่มีความพร้อม และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำซึ่งอาจจะไม่ได้มีให้เห็นไปตลอด จึงเป็นโอกาสที่น่าสนใจของผู้ที่มีความพร้อม ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ https://bit.ly/3ztnUbV
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
โควิด กดดันคนอยากมีบ้าน อาเซียน 4 ประเทศ เผชิญปัญหาการเงินหนัก!
“เศรษฐกิจซบเซา – กำลังซื้อยังไม่ฟื้น” อุปสรรคสำคัญของคนอาเซียนที่อยากมีบ้าน ขณะดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เผย สัญญาณน่าห่วงตลาดอสังหาฯไทย หลัง กลุ่มมิลเลนเนียลมากกว่าครึ่ง ไม่มีแผนแยกครอบครัว – ซื้อบ้านใหม่ รับหนี้ครัวเรือนพุ่ง 93%
ทุกประเทศในอาเซียนเจ็บป่วยจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่นอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อด้านสาธารณสุขแล้วยังฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้จะมีการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร พร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวเร็วที่สุดก็ตาม เห็นได้จากรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด (World Economic Outlook) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของ 5 ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย และเวียดนาม) ว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4.3% ลดลง 0.6% จากการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
นอกจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคแล้ว ภาคอสังหาฯ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน แม้มีความต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยแต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทย ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในไทย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ฉบับล่าสุด และผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคในอาเซียน (สิงคโปร์, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) พบคะแนนความพึงพอใจต่อบรรยากาศตลาดที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในอาเซียนส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 อันเป็นผลมาจากโควิด-19 กลายพันธุ์ที่กระจายเร็วและส่งผลรุนแรง
โดยคะแนนความพึงพอใจในรอบล่าสุดของชาวอินโดนีเซียลดลงจาก 73% มาอยู่ที่ 69% ส่วนชาวสิงคโปร์ลดลงจาก 48% เหลือเพียง 41% ด้านชาวไทยลดลงจาก 48% เหลือ 43% มีเพียงชาวมาเลเซียที่ให้คะแนนความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจาก 43% เป็น 46% อันเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการมากมายเพื่อควบคุมการเก็งกำไรและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาดอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ มีเพียงผู้บริโภคในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปัจจุบันมีความเหมาะสม (41% และ 45% ตามลำดับ) ในขณะที่ชาวอินโดนีเซีย (44%) และชาวไทย (39%) มองว่าการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยมีอัตราดอกเบี้ยสูง โดยแค่ 19% ของผู้บริโภคไทยคิดว่าอัตราดอกเบี้ยสมเหตุสมผลแล้ว ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้บริโภคในประเทศอื่นในอาเซียน
” สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่คนอยากมีบ้านต้องเผชิญซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ จากภาครัฐ ที่จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ให้กลับมาดังเดิม”
จับตากำลังซื้อชาวมิลเลนเนียล หันลงทุนสร้างความมั่นคงก่อนมีบ้าน
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เจาะลึกมุมมองความต้องการที่อยู่อาศัยและการวางแผนการเงินของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลหรือ Gen Y ในแถบอาเซียนที่อยู่ในช่วงวัยทำงานและเริ่มซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางความท้าทายและอุปสรรครอบด้าน ทั้งจากโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้
” หนี้ครัวเรือนฉุดชาวไทยไม่พร้อมย้ายออก สวนทางเพื่อนบ้าน ผลสำรวจพบว่า ชาวมิลเลนเนียลอาเซียนส่วนใหญ่มีความพร้อมและวางแผนที่จะย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ โดยชาวอินโดนีเซียมีความพร้อมมากที่สุด กว่า 4 ใน 5 (84%) ตั้งใจย้ายออกเพื่อไปหาที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในขณะที่กว่า 3 ใน 4 ของชาวมาเลเซียและชาวสิงคโปร์ต่างมีแนวโน้มจะย้ายออกจากบ้านเช่นกัน (79% และ 77% ตามลำดับ) ”
สวนทางกับกลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทยที่มากกว่าครึ่ง (58%) เผยว่ายังไม่มีแผนจะย้ายออกในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สาเหตุมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น สอดคล้องกับศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ที่คาดการณ์ว่าระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอาจเพิ่มขึ้นไปถึง 93% ในสิ้นปี 2564 โดยพบว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 1 ของปี 2564 ใช้เพื่อซื้ออสังหาฯ สูงที่สุดถึง 34%
นอกจากนี้ ลูกหนี้ที่เข้าโครงการรับการช่วยเหลือในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ยังมาจากหนี้ที่อยู่อาศัยเป็นหลัก มียอดขอความช่วยเหลือรวมสูงถึง 4.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เทียบกับยอดหนี้เสีย (Non-Performing Loan: NPL) ที่ 0.6% ของ GDP
” ปัญหาการเงิน-ไม่ได้แต่งงาน อุปสรรคใหญ่เมื่อคิดมีบ้าน กลุ่มมิลเลนเนียลชาวอาเซียนที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่เผยว่าสภาพคล่องทางการเงินและการครองตัวเป็นโสดเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยังไม่ย้ายออก รวมทั้งมีปัจจัยอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ปัญหาหลักที่ทำให้ชาวมาเลเซียไม่ย้ายออกไปซื้อบ้านของตัวเอง โดย 62% ของชาวมาเลเซียที่ทำแบบสอบถามฯ เผยว่ามีเงินเก็บไม่เพียงพอที่จะซื้อหรือเช่าบ้าน ตามมาด้วยไม่ย้ายออกเนื่องจากยังไม่ได้แต่งงาน (48%) และมองว่าราคาอสังหาฯ ยังมีราคาแพงเกินไป จึงขอเก็บเงินไว้ดีกว่าจะนำไปซื้อบ้าน (31%) “
ขณะที่ชาวอินโดนีเซียมีมุมมองคล้ายกับชาวมาเลเซีย คือมีเงินไม่พอที่จะซื้อหรือเช่าที่อยู่ใหม่ของตัวเองทำให้ไม่ตัดสินใจย้ายออก (55%) ตามมาด้วยยังไม่ได้แต่งงาน (45%) ในขณะที่อันดับสามเผยว่าอยากอยู่ดูแลพ่อแม่ (31%)
แตกต่างจากชาวสิงคโปร์และชาวไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่มองว่าการที่ยังไม่แต่งงานและโครงการที่อยู่อาศัยแบบ BTO (Build-to-Order) มีความล่าช้าเป็นอุปสรรคใหญ่ในสัดส่วนเท่ากันที่ 41% ตามมาด้วยปัญหาการเงิน (24%)
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวไทยไม่ย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ เกือบครึ่ง (49%) เผยว่าต้องการอยู่กับครอบครัวและคอยดูแลพ่อแม่ ตามมาด้วยไม่มีเงินเพียงพอในการหาที่อยู่อาศัยใหม่ (43%) และตั้งใจที่จะรับช่วงต่อบ้านจากพ่อแม่อยู่แล้ว (22%) สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตแบบครอบครัวขยายที่หล่อหลอมความผูกพันและคุ้นเคยกับการอยู่ร่วมบ้านเป็นครอบครัวใหญ่มากกว่า
ความมั่นคงคือคำตอบ ดันเทรนด์เงินฉุกเฉินมาแรง เมื่อพูดถึงการวางแผนการใช้จ่ายใน 1 ปีข้างหน้าของกลุ่มมิลเลนเนียลในอาเซียน พบว่าเทรนด์เงินสำรองฉุกเฉิน ซึ่งเป็นอีกทางเลือกการออมเงินในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงหรือกองทุนมาแรงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นว่าชาวมิลเลนเนียลได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ต้องเผชิญการแพร่ระบาดฯ ทำให้หันมาสนใจวางแผนการเงินเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินในอนาคตมากขึ้น กว่า 3 ใน 4 ของชาวสิงคโปร์ 76% วางแผนเก็บเงินไว้เป็นเงินสำรองฉุกเฉิน
ตามมาด้วยเก็บเงินไว้ชำระหนี้ (39%) และนำไปใช้เพื่อท่องเที่ยวในวันหยุด (35%) ด้านชาวมาเลเซีย 65% ให้ความสนใจในการเก็บเงินเพื่อสร้างกองทุนฉุกเฉินมาเป็นอันดับแรกเช่นกัน อย่างไรก็ดี ครึ่งหนึ่ง (50%) เผยว่าจะนำเงินไปซื้อที่อยู่อาศัย และ 40% ต้องการนำเงินไปใช้หนี้ที่ค้างอยู่ ในขณะที่แผนการใช้จ่ายของชาวไทยยังคงให้ความสนใจไปที่การบริหารจัดการเงินให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดผ่านการสร้างกองทุนฉุกเฉิน 61%
ตามมาด้วยนำเงินไปใช้จ่ายภายในครอบครัวในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 60% และเลือกเก็บเงินไว้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ 54% สะท้อนให้เห็นภาระหน้าที่ของผู้บริโภคในช่วงวัยนี้ที่มีบทบาทในการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินของครอบครัวและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนอื่นมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 33.65 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า
เงินบาท เปิดตลาด 33.65 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าตามทิศทางภูมิภาค ให้กรอบวันนี้ 33.55-33.70บาทต่อดอลลาร์
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 33.65 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจาก ปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 33.53 บาท/ดอลลาร์ หลังดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ เนื่องจากบอลด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จากแนวโน้มที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
“บาทเปิดตลาดอ่อนค่าจากเย็นวานนี้ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาคและตลาดโลก ระหว่างวันเงินคาดว่าบาทมีแนวโน้ม อ่อนค่าตลอดทั้งวัน” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 33.55 – 33.70 บาท/ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะแถลงต่อสภาครองเกรส และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จาก Conference Board ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ลุยเต็มตัว! ไทย ยื่นเรื่องเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดศึก AFF Suzuki Cup
สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน หรือ เอเอฟเอฟ (AFF) ได้เชิญประเทศที่ผ่านการพิจารณาขั้นตอน การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน AFF Suzuki Cup 2020 นำเสนอข้อมูลด้านการจัดการแข่งขัน รวมไปถึงมาตรการจัดการแข่งขันภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยมี นายพาทิศ ศุภะพงษ์ เลขาธิการสมาคมฯ เป็นผู้นำเสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการบริหารสหพันธ์ฯ (AFF) รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ของ สมาคมฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด ร่วมกันจัดเตรียมข้อมูล เรียบเรียง และนำเสนออย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณา
สำหรับการจัดการแข่งขันในปีนี้ ทาง AFF ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการจัดการแข่งขันสนามกลาง ซึ่งประเทศไทยเป็น 1 ในหลายประเทศ ที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ โดยผ่านการพิจารณาขั้นต้น ดังนี้
1. ได้รับการสนับสนุนการจัดการแข่งขันจากหน่วยงานภาครัฐ
2. การจัดการเรื่องความปลอดภัย และสุขภาพ
3. การบริหารจัดการความเสี่ยงภายในสถานการ์โควิด
4. สถานที่จัดการแข่งขัน และสิ่งอำนวยความสะดวก
5. ประสบการณ์ในการจัดการแข่งขันภายใต้สถานการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ ผลการพิจารณาประเทศเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 โรคอันตรายที่มากับ “น้ำท่วม” กันไว้ดีกว่าแก้
ใครที่เผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมบ่อยๆ จะเข้าใจว่าทุกข์แรกที่น้องน้ำจะพามาคือความเสียหาย แต่รู้หรือเปล่าว่าทุกข์ที่สองที่ตามมาติดๆ คือปัญหาสุขภาพนี่แหละ และในตอนนี้ที่กำลังเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ในหลายๆ จังหวัด สวดมนต์อย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะนอกจากปัญหาปากท้องแล้ว ปัญหาสุขภาพก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน วันนี้เราเลยมาชวนทำความรู้จัก 6 โรคอันตรายที่มากับน้ำไว้ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา
6 โรคอันตรายที่มากับน้ำท่วม กันไว้ดีกว่าแก้
- โรคฉี่หนู
โรคยอดฮิตสำหรับฤดูฝนและเหตุการณ์น้ำท่วมที่มีน้ำขัง สาเหตุมาจากฉี่ของสัตว์ โดยเฉพาะหนูปะปนมากับน้ำและเข้าร่างกายเราผ่านแผลหรือรอยถลอกของเรา ทำให้ปวดหัวและเป็นไข้หนักได้เลย
วิธีป้องกัน: ไม่ลงไปย่ำในแหล่งน้ำ ถ้าจำเป็นต้องล้างเท้าทำความสะอาดทุกครั้งหลังขึ้นมา
- ท้องร่วง
รู้กันดีว่าปัญหาน้ำท่วมทำให้การเดินทางลำบากมากขึ้น ยิ่งปัญหาเกิดนานขึ้น ปัญหาเรื่องอาหารการกินก็จะตามมา ซึ่งรวมถึงความสะอาดและคุณภาพอาหารเช่นกัน โรคนี้จึงมักพบบ่อยในเหตุการณ์นี้ เนื่องจากการอุปโภคบริโภคน้ำที่ไม่สะอาด
วิธีป้องกัน: ดื่มน้ำสะอาดในขวดที่บรรจุมิดชิด ถ้าไม่มีจริงๆ ก็ต้องต้มฆ่าเชื้อก่อนทุกครั้ง
- น้ำกัดเท้า
โรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต เป็นอันตรายอีกอย่างที่จะมาพร้อมกับความชื้นของน้ำที่ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี เท้าที่ไม่สะอาดของเราจะเป็นที่อยู่สุดเพอร์เฟกต์สำหรับเชื้อราและเกิดการหมักหมมในที่สุด
วิธีป้องกัน: หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ หากจำเป็นต้องเช็ดให้แห้งรวมถึงรักษาความสะอาดอยู่ตลอดเวลา
- ไข้เลือดออก
เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วม น้ำที่ขังอยู่รอบๆ บริเวณที่พักเราจะเป็นแหล่งฟักชั้นดีของลูกน้ำยุงลาย ทำให้มียุงเกิดขึ้นจำนวนมากซึ่งจะรวมถึงโอกาสการเกิดโรคไข้เลือดออกเช่นเดียวกัน
วิธีป้องกัน: แก้ต้นเหตุคงยาก เพราะฉะนั้นต้องทายากันยุงทุกครั้ง อย่าพยายามให้ยุงกัดได้ตลอดเวลา รวมถึงเวลานอนก็ควรกางมุ้งเพื่อป้องกันภัยร้ายที่เข้ามาฝากโรคโดยไม่รู้ตัว
- โรคเครียด
เมื่อเกิดความเสียหายใครจะไม่เครียดบ้าง แต่ละคนอาจจะเครียดมากเครียดน้อยไม่เท่ากันแล้วแต่ปัจจัย รวมถึงความท้อแท้ เหนื่อยหน่ายกับการต่อสู้วิกฤตที่เกิดขึ้นจนอารมณ์ของเราค่อยๆ ก่อตัวเป็นโรคทางจิตใจได้เหมือนกัน
วิธีป้องกัน: ต้องทำใจ ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้มีสติ เรียงลำดับความสำคัญที่จะแก้ไขในอนาคต รวมถึงคนรอบข้างก็ต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะหากจะผ่านไปให้ได้ก็ต้องช่วยเหลือให้กลับมามีความหวังด้วยกันเสมอ
- โควิด-19
ทุกคนต่างรู้ดีถึงความน่ากลัวโรคติดต่อนี้ ด้วยภาวะน้ำท่วมทำให้การเว้นระยะห่างลดลง เกิดการติดต่อง่ายกว่าเก่า และในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าใครมีเชื้อดังกล่าว รวมถึงหน่วยงานยังไม่มีการคัดกรองที่ชัดเจน ก็ต้องเว้นระยะห่างเท่าที่ทำได้และเฝ้าระวังต่อไป
วิธีป้องกัน: หากต้องอยู่กับที่เราไม่มั่นใจควรเว้นระยะห่างให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยก็ตามระยะเวลา 14 วันเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และอย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเวลาพบปะกับคนอื่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
20 ประโยคทักทายภาษาอังกฤษ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
ประโยคทักทายที่คิดว่าใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นประโยคพื้นฐานที่เราสามารถใช้พูดได้กันทุกคน มีดู 20 ประโยคทักทายภาษาอังกฤษ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวันกันเถอะ
20 ประโยคทักทายภาษาอังกฤษ
1. Hello. (เฮลโล) : สวัสดีครับ/ค่ะ
เป็นการทักทายที่มีความสุขภาพอยู่ในตัว สามารถใช้พูดได้กับทุกคน ทุกช่วงเวลา
ตัวอย่าง : Hello. Malee (สวัสดีครับ มาลี)
2. Hi./Hey. (ไฮ/เฮ) : หวัดดี/ไง
ใช้ทักทายเป็นกันเองมากๆ ส่วนมากมักจะทักทายกับเพื่อนซี้ เพื่อนสนิท และยังใช้ในการเรียกคนได้ด้วย
ตัวอย่าง : Hi. Jessica (ไง เจสสิก้า) / : Hey. I’m here. (เฮ้ ฉันอยู่นี่)
3. Good morning. (กูด มอร์นิง) : อรุณสวัสดิ์
การทักทายตามช่วงเวลา บางครั้งมักพูดย่อสั้นๆ แค่ Morning (มอร์นิง) เป็นการทักทายยามเช้า
4. Good night. (กูด ไนท) : ราตรีสวัสดิ์
มักใช้พูดกันเวลาแยกย้ายกันเข้านอน หรือส่งเข้านอน
5. Sleep tight. (สลีพ ไทท) : หลับฝันดีนะ
เราสามารถใช้แทนประโยค Good night. ก็ได้ เป็นการส่งเข้านอนได้เช่นกัน บางครั้งก็ใช้คู่กัน เช่น Good night. Sleep tight. (นอนหลับฝันดีนะ)
6. How are you? (ฮาว อาร์ ยู) : เป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อต่อจากการกล่าวสวัสดี ก็มักจะถามสารทุกข์สุกดิบต่อ ถือว่าเป็นประโยคยอดนิยม
7. How do you do? (ฮาว ดู ยู ดู) : เป็นอย่างไรบ้าง
แม้จะมีความหมายเหมือน How are you? แต่จริงๆ แล้วใช้ทักทายเมื่อเจอกันครั้งแรก หรือเพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก
8. What’s up? (วอทซ อัพ) : หวัดดี, ว่าไง ,เป็นไง
อีกประโยคทักทายที่มักนิยมใช้กันบ่อย เอาไว้ถามไถ่ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง เป็นภาษาพูดแบบกันเองๆ เอาไว้พูดกันคนที่สนิท
9. What brings you here? (วอท บริงซ ยู เฮียร์) : มาที่นี่ได้ไงเนี่ย
เป็นการทักทายกันในสถานที่ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกัน หรืออาจเป็นคนรู้จักที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วมางานเดียวกัน
10. How’s life? (ฮาวซ ไลฟ) : ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง
มีความหมายตรงตัวเลยว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง แล้วยังมีประโยค How are things? เป็นประโยคซึ่งมีความหมายว่า สิ่งต่างๆรอบตัวเราเป็นอย่างไร ไว้ใช้ทักทายแทนได้เช่นกัน
11. How have you been? (ฮาว แฮฟว ยู บีน) : ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
มักใช้ประโยคนี้กับคนที่รู้จักกันดีแล้ว เช่น เพื่อน ญาติพี่น้อง แล้วไม่ได้เจอกันสักพัก พอมาถามไถ่กัน มักใช้ประโยคนี้ถามว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
12. I’m fine. (ไอม ไฟน) : สบายดี
เป็นประโยคสุดฮิตที่มักใช้ตอบเมื่อโดนถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง? เป็นการตอบเพื่อให้เขาสบายใจ และยังสามารถใช้ประโยค I’m good. แทนได้เช่นกัน
13. So far so good. (โซ ฟาร โซ กูด) : ก็ดีนะ
มักใช้ตอบเวลาที่ชีวิตเราอยู่แบบเรื่อยๆ ไม่ได้หวือหวา แต่ก็ไม่ได้แย่จนน้ำตาตก
14. It’s going well. (อิทซ โกอิง เวล) : ก็ไปได้สวยนะ
มักใช้ประโยคนี้หากชีวิตกำลังไปได้สวย
15. Couldn’t be better. (คูดดึนท บี เบทเทอ) : ชีวิตดีสุดๆ
แปลตรงตัวเลยว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว คือชีวิตตอนนี้ดีสุดๆ นั่นเอง
16. And You? (แอน ยู) : แล้วคุณล่ะ
มักใช้ตอบกลับประโยคที่มีคนถามข่าวคราวความเป็นไปหรือความเป็นอยู่ นอกจากบอกว่าสบายดีแล้ว เรามักจะต่อด้วยคำนี้เสมอ เช่น I’m fine. And you?
17. Talk to you later. (ทอลค ทู ยู เลเทอร) : แล้วค่อยคุยกัน
เราสามารถบอกลาอีกฝ่ายด้วยประโยคนี้ก็ได้
18. See you. (ซี ยู) : แล้วเจอกัน
มักใช้แทนคำบอกลาได้เช่นกัน มักใช้กับคนรู้จักที่คาดว่าจะเจอกันอีก เช่น See you tomorrow. (เจอกันพรุ่งนี้นะ)
19. I should get going. (ไอ ชูด เกท โกอิง) : ต้องไปแล้วล่ะ
นับว่าเป็นประโยคหากินเลยก็ว่าได้ หากเราคุยกับใครแล้วอยากจะจบบทสนทนา สามารถพูดประโยคนี้ด้วยท่าทีรีบเร่ง อีกฝ่ายก็จะหยุดพูดตามมารยาทนั่นเอง
20. Goodbye. (กูดบาย) : ลาก่อน
ถึงเวลาบอกลากันดีกว่า สามารถย่อเหลือแค่ Bye. หรือใช้คำว่า Bye-bye. ให้ฟังดูเป็นมิตรขึ้นก็ได้ เช่น I have to go. Goodbye. (ผมต้องไปแล้ว ลาก่อนนะครับ)
ขอบคุณข้อมูลจาก engenjoy.blogspot.com
‘กูเกิล’ พัฒนาระบบสั่งการสมาร์ทโฟนด้วยสีหน้าเพื่อคนพิการ
กูเกิล (Google) ระบุในวันพฤหัสบดี (23 กันยายน) ว่าผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการพูด จะสามารถใช้สมาร์ทโฟน ที่มีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้แบบไร้การสัมผัส ผ่านการใช้สีหน้าท่าทางต่างๆได้ ตามรายงานของเอเอฟพี
กูเกิล เปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า ทุกวัน ผู้คนใช้ระบบการสั่งการด้วยเสียงอย่าง ‘Hey Google’ หรือใช้มือควบคุมสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางการเคลื่อนไหวและการพูด ซึ่งการสร้างระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ให้ทุกคนสามารถใช้งานได้นั้น กูเกิลจะพัฒนาเครื่องมือใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมสมาร์ทโฟนและการสื่อสารผ่านการแสดงสีหน้าต่างๆบนสมาร์ทโฟน และตอนนี้ทุกคนสามารถใช้การเคลื่อนไหวของดวงตาและใบหน้าเพื่อควบคุมสมาร์ทโฟนได้ นอกเหนือจากการใช้มือและเสียงแล้ว
ด้วยระบบการสั่งการเพื่อคนพิการนี้ กูเกิล ได้ใช้ระบบ machine learning และการทำงานของกล้องหน้าของสมาร์ทโฟน เพื่อตรวจจับการแสดงมีหน้าและการเคลื่อนไหวของดวงตาผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถสแดนหน้าจอสมาร์ทโฟน และเลือกโหมดคำสั่งต่างๆได้ ด้วยการยิ้ม เลิกคิ้ว อ้าปาก หรือจะใช้การมองไปทางซ้าย ทางขวา หรือมองขึ้นก็ได้
โดยฟีเจอร์ใหม่เพื่อคนพิการอันแรก เรียกว่า Camera Switches ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้แสดงสีหน้าแทนการใช้นิ้วกดหรือเลื่อนไปบนหน้าจอ เพื่อเลือกโหมดต่างๆของสมาร์ทโฟน ส่วนอีกฟีเจอร์ คือ Activate เป็นแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ ที่ให้ผู้ใช้แสดงท่าทางเพื่อออกคำสั่งกับสมาร์ทโฟนได้ เช่น ส่งข้อความ หรือโทรออก
ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน Activate สามารถใช้งานได้ในออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา และสหรัฐฯ ได้แล้ว
ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ หรือ CDC ประเมินว่า มีผู้คนในวัยผู้ใหญ่ 61 ล้านคนในสหรัฐฯ ที่มีภาวะบกพร่องทางการเคลื่อนไหวและการพูด ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้กูเกิล และบริษัทคู่แข่งอย่างแอปเปิล (Apple) และไมโครซอฟต์ (Microsoft) ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยให้คนพิการ หรือคนสูงอายุสามารถเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้มากขึ้น
ที่ผ่านมา ไมโครซอฟต์ ที่ระบุว่าการเข้าถึงอุปกรณ์ของผู้พิการเป็นสิ่งจำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับทุกคนด้วยเครื่องมือเทคโนโลยี และตั้งเป้าออกแบบระบบที่รองรับองค์กร ห้องเรียน และในครัวเรือน
ส่วนกูเกิล ระบบผู้ช่วยดิจิทัลแบบสั่งการด้วยเสียงที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฟน สามารถช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นหรือเคลื่อนไหวได้ โปรแกรมที่ช่วยระบุและช่วยอ่านออกเสียงข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือเว็บไซต์ รวมถึงระบบคำบรรยายอัตโนมัติตามคลิปวิดีโอต่างๆ
ฝั่งแอปเปิล ได้พัฒนา AssistiveTouch ในสมาร์ทโฟนและนาฬิกา Apple Watch ที่ทำให้ควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้ด้วยนิ้วหรือกำมือได้ และยังทำงานด้วยระบบ VoiceOver เพื่อให้ใช้ Apple Watch ด้วยมือเดียว ในระหว่างที่กำลังเดินด้วยไม้เท้า หรือมีสุนัขช่วยเหลือลากจูงอยู่ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Future is here! 10 นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างแห่งอนาคต
ปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การก่อสร้าง ได้แก่ โดรน VR BIM ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2021 มากมาย ทว่าการวิจัยเพื่อค้นหาวัสดุการก่อสร้างก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของภาคส่วนอุตสาหกรรมการก่อสร้างเช่นกัน
ในวันนี้จึงพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 10 วัสดุก่อสร้างแห่งอนาคตที่นอกจากจะไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากมายแล้ว วัสดุแห่งอนาคตที่ว่านั้นก็เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่ง่าย ประหยัดต้นทุน และที่สำคัญคือเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนนั่นเอง
1. ไม้โปร่งแสง (Translucent wood)
ตอนนี้พวกเรามีไม้โปร่งแสงเพื่อใช้ในการพัฒนาหน้าต่างและแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งได้มาจากเยื่อบุในแผ่นไม้อัดและนำไปผ่านกระบวนการระดับนาโน (Nanoscale Tailoring) หลังจากนั้นจะได้ไม้โปร่งแสงซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลายในอุตสาหกรรมก่อสร้าง
โดยนวัตกรรมนี้เกิดขึ้นจากการคิดค้นของสถาบันเทคโนโลยี KTH Royal ของสต็อกโฮล์ม โดยศาตราจารย์ Lars Berglund ซึ่งกล่าวว่าไม้โปร่งแสงนี้เป็นวัสดุที่มีต้นทุนต่ำ เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรที่ยั่งยืนอีกด้วย
2. อิฐเย็น (Cooling system in bricks)
สถาบันสถาปัตยกรรมเชิงก้าวหน้าแห่งคาตาโลเนีย (Institute of Advanced Architecture of Catalonia) ได้สร้างวัสดุใหม่ที่สามารถสร้างความเย็นให้แก่การตกแต่งภายในตึกด้วยการผสมผสานของอิฐดินเหนียวและไฮโดรเจล โดยไฮโดรเซรามิกนั้นสามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในได้ถึง 6 องศาเซลเซียส
โดยการสร้างความเย็นนี้มาจากสารไฮโดรเจลซึ่งสามารถดูดซับน้ำได้มากถึง 500 เท่าของน้ำหนัก และน้ำที่ถูกดูดซับเข้าไปจะถูกปล่อยออกมาเพื่อลดอุณหภูมิระหว่างวันที่ร้อนอบอ้าว และการใช้อิฐเย็นเป็นส่วนประกอบในการก่อสร้างทำให้ไฮโดรเซรามิกส์กลายเป็นวัสดุก่อสร้างที่ช่วยสร้างความเย็นซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการก่อสร้างเลยก็ว่าได้
3. อิฐจากก้นบุหรี่ (Cigarette butts to make bricks)
จากข้อมูลประจำปีพบว่าบุหรี่ 6 ล้านตัวถูกผลิตขึ้นมาและมันสร้างขยะที่เกิดจากก้นบุหรี่ถึง 1.2 ล้านตัน ซึ่งเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก นอกจากนี้ส่วนประกอบในบุหรี่อย่างสารหนู โครเมียม นิกเกิล และแคดเมียมยังเป็นอันตรายต่อดินและธรรมชาติอีกด้วย
และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากก้นบุหรี่ นักวิจัยจาก RMIT ได้พัฒนาอิฐที่มีน้ำหนักเบาทว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งสร้างจากก้นบุหรี่ โดย ดร. Abbas Mohajerani หัวหน้าโปรเจกต์และทีมของเขาได้สร้างอิฐจากการผสมก้นบุหรี่ 1% ลงไปในอิฐดินเผาเพื่อลดมลภาวะในสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี ซึ่งนอกจากจะช่วยลดขยะแล้ว ยังทำให้อิฐมีความเบามากขึ้น จึงใช้พลังงานในการผลิตอิฐนั้นน้อยลงอีกด้วย
4. คอนกรีตดาวอังคาร (Martian concrete)
ในที่สุดเราก็สามารถสร้างคอนกรีตจากวัสดุบนดาวอังคารได้สำเร็จ โดยการคิดค้นของทีมวิจัยมหาวิทยาลัย Northwestern ที่เป็นหนึ่งในโครงการประกวดการสร้างที่อยู่อาศัยบนดาวอังคารของ NASA โดยการผสมคอนกรีตนี้ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเป็นส่วนประกอบเลย
คอนกรีตนี้ผลิตโดยใช้ซัลเฟอร์ที่ถูกละลายเป็นของเหลวที่อุณหภูมิ 240 องศาเซลเซียสนำไปผสมกับดินบนดาวอังคาร และเมื่อเย็นตัวลงจะกลายเป็นคอนกรีตจากดาวอังคาร! โดยสัดส่วนของซัลเฟอร์และดินดาวอังคารต้องเป็น 1:1
5. ซีเมนต์เรืองแสง (Light-generating cement)
ดร. José Carlos Rubio Ávalos จาก UMSNH ใน Morelia ได้คิดค้นซีเมนต์เรืองแสงที่สามารถดูดซึมและสะท้อนแสงออกมา ซึ่งจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้าง
โดยเทรนด์ที่สำคัญคือการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้นซีเมนต์เรืองแสงนี้จึงทำหน้าที่คล้าย “หลอดไฟ” ซึ่งสามารถใช้งานในสระว่ายน้ำ ลานจอดรถ สัญญาณเตือนบนท้องถนน ฯลฯ ได้
6. เส้นใย CABKOMA (The CABKOMA strand rod)
ห้องแล็ปศึกษาเกี่ยวกับใยผ้า Komatsu Seiten ในญี่ปุ่นได้ผลิตวัสดุใหม่ที่เรียกว่าใยผ้า CABKOMA ซึ่งเป็นคอมโพสิตคาร์บอนไฟเบอร์เทอร์โมพลาสติกซึ่งทนต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
เส้นใยนี้เป็นวัสดุเสริมโครงสร้างอาคารที่เบา และมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งเส้นใยนี้ขนาด 160 เมตรจะมีน้ำหนักเพียงแค่ 12 กิโลกรัมซึ่งเบากว่าเหล็กเส้นประมาณ 5 เท่า
7. เฟอร์นิเจอร์ชีวภาพ (Biologically produced furniture)
นวัตกรรมนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Terreform One และ Genspace ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุที่เรียกว่า Mycoform ผลิตจากการรวบรวมเศษไม้ ยิปซัม รำข้าวโอ๊ตเข้ากับเชื้อราจากเห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) โดยเชื้อราชนิดนี้ถูกเพิ่มเข้าเพื่อย่อยสลายของเสียและทำให้โครงสร้างวัสดุแข็งแรง
การผลิตเฟอร์นิเจอร์ชีวภาพดังกล่าวจะใช้พลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการผลิตเฟอร์นิเจอร์จากพลาสติก นอกจากนี้ยังไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีมากมายในการผลิตอีกด้วย ซึ่งตอนนี้มีเฟอร์นิเจอร์สองชิ้นที่สร้างขึ้นจากวัสดุชนิดนี้ คือ เก้าอี้ยาวและเก้าอี้ขนาดเล็กสำหรับเด็ก
8. ท่าเรือลอยน้ำ (Floating piers)
ระบบท่าเรือลอยน้ำนี้ใช้ก้อนโพลีเอทิลีนที่มีความหนาแน่นสูง 220,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นทางเดินยาว 3 กิโลเมตรที่คลุมด้วยผ้าสีเหลืองขนาด 100,000 ตารางเมตร
ก้อนโพลีเอทิลีนเหล่านี้จะกระเพื่อมไปตามแรงคลื่นของทะเลสาบ โดยผลงานชิ้นเอกนี้ยื่นออกมาจากถนนคนเดิน Sulzano และเชื่อมต่อกับเกาะ San Paolo และ Monte Isola
9. อิฐดูดซับมลพิษ (Pollution absorbing bricks)
อิฐชนิดนี้คิดค้นโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ Carmen Trudell ใน Cal Poly วิทยาลัยสถาปัตยกรรมและการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยอิฐสามารถดูดซับมลภาวะในอากาศและปล่อยออกมาผ่านตัวกรองเพื่อสร้างอากาศที่บริสุทธิ์
นวัตกรรมของวัสดุนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของระบบการระบายอากาศมาตรฐานของตึก ซึ่งมีฟาซาด 2 ชั้นโดยเป็นอิฐดูดซับมลพิษอยู่ภายนอก และฉนวนกันความร้อนมาตรฐานภายในอาคาร
10. คอนกรีตมีชีวิต (Self-healing concrete)
ดร. Schlangen วิศวกรโยธาชาวดัทช์ที่มหาวิทยาลัย Delft ได้คิดค้นคอนกรีตมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งเขาได้ทำการแบ่งครึ่งคอนกรีตนี้เป็นสองส่วน นำมาวางไว้ด้วยกัน ก่อนจะนำคอนกรีตเข้าไปอบในเตาไมโครเวฟ และเมื่อคอนกรีตเย็นตัวลง มันกลับสามารถรวมเป็นส่วนเดียวกันได้อีกครั้ง
คำถามคือหากวัสดุชนิดนี้โดนความร้อนเพื่อสร้างถนน มันจะถูกทำให้ร้อนขึ้นได้อย่างไร? และเพื่อแก้ปัญหานี้ดร. Schlagen และทีมจึงสร้างยานพาหนะชนิดพิเศษที่วิ่งผ่านขดลวดเหนี่ยวนำไฟฟ้าบนถนนเพื่อสร้างความร้อน โดยเขามองว่าควรต้องใช้ยานพาหนะนั้นทุก ๆ 4 ปีซึ่งจะสามารถประหยัดงบประมาณในการก่อสร้างถนนได้ถึง 90 ล้านดอลลาร์ต่อปี
จะเห็นได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างนั้นมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะส่วนของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดตราบเท่าที่พวกเราสามารถผสมผสานวัสดุก่อสร้างดั้งเดิมกับวิธีการสมัยใหม่เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง รวมไปถึงช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน และเราคงจะได้เห็นนวัตกรรมอีกมากมายในอนาคตที่จะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก!
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/09/2564
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,800.00 | 27,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,801.00 | 27,303.16 | 28,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,620.90 | 24,572.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,440.80 | 21,842.53 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 810.00 | 12,279.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 630.00 | 9,550.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,866.00 | 28,288.56 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/09/2564
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.75 | 30.75 | 30.95 | 30.75 | 30.75 | 30.75 | 30.75 | 30.75 | 30.75 | 30.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 30.48 | 30.48 | 30.68 | 30.48 | 30.48 | 30.48 | 30.48 | 30.48 | 30.48 | 30.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.24 | 29.24 | 29.44 | 29.24 | 29.24 | – | 29.24 | 29.24 | 29.24 | 29.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 23.24 | 23.24 | – | – | – | – | – | – | – | 23.24 |
เบนซิน 95 | 38.16 | – | – | – | 38.61 | – | 38.66 | 38.16 | – | 38.16 |
ดีเซล B7 | 30.69 | 30.69 | 30.89 | 30.69 | 30.69 | 30.69 | 30.69 | 30.69 | 30.69 | 30.69 |
ดีเซล | 27.69 | 27.69 | 27.89 | 27.69 | 27.69 | 27.69 | 27.69 | 27.69 | 27.69 | 27.69 |
ดีเซล B20 | 27.44 | 27.44 | 27.84 | – | 27.44 | – | 27.44 | 27.44 | – | 27.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.46 | 35.46 | 37.34 | 36.86 | – | – | – | – | – | 35.46 |
แก๊ส NGV | 15.48 | 15.48 | – | – | – | – | – | – | – | 15.48 |