สาระน่ารู้ประจำวันที่ 28 ธันวาคม 2565

4 สมาคมอสังหาฯ จ่อชงรัฐบาล ขอผ่อนปรน LTV ต่อ – ยืดค่าโอนบ้าน 5 ลบ.

4 สมาคมอสังหา เผย จ่อเข้าหารือรองนายก ‘สุพัฒนพงษ์’ ต้นเดือน ธ.ค. ชงขอผ่อนปรนมาตรการ LTV ต่อ พร้อม ขอยืดเพดานลดค่าธรรมเนียม โอนบ้าน ถึง 5 ล้านบาท

27 พ.ย.2565 – นายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ทาง 4 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้เตรียมขอเข้าพบ นาย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์  รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ในต้นเดือนธันวาคมนี้ 

โดย 2 มาตรการ ที่อยากให้พิจารณา ทบทวน  ได้แก่ 

  1. ขยายเวลาผ่อนปรนมาตรการ LTV ออกไปอีก 1 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังที่สองได้เต็มวงเงินกู้ 100%  
  2. ขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ 0.01% จะสิ้นสุดในสิ้นปี 2565 ขยายระเวลาออกไปอีก  และขยายเพดานราคาจากครอบคลุมบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท

ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าว ยังสอดคล้องกับ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) หลังให้มุมมองว่า แนวโน้มตลาดอส่งหาริมทรัพย์ในส่วนของที่อยู่อาศัยปี 2566 จะมีแรงกดดันอีกครั้ง จากการไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการเงินดาวน์ขั้นต่ำในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือ LTV อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่


ด้านอุปสงค์คาดว่าจะทีการโอนกรรมส์ทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2566 อยู่ที่ 320,227 หน่วย มูลค่า 9.53 แสนล้านบาท ลดลง 14.2% และลดลง 4.4% ตามลำดับ ทำให้คาดว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เป็นสินเชื่อปล่อยใหม่ในปี 66 จะลดลง 4% จากปี 65 หรือมาอยู่ที่ 6.14 แสนล้านบาท

สำหรับข้อเสนอแนะนั้น REIC เห็นว่า  หากรัฐไม่สามารถ เปลี่ยนแปลง LTV ได้แล้วนั้น แต่อยากเสนอให้รัฐบาลพิจารณา ยืดมาตรการกระตุ้นตลาดที่สำคัญ อย่าง การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ 0.01% ที่จะหมด 31 ธ.ค.2565 ออกไปอีก 1 ปี เพื่อเป็นการบรรเทา จูงใจการซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทยในช่วงปี 2566 และ ขอให้ขยายเพดานราคา จากครอบคลุมไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท ทั้งบ้านใหม่ และ บ้านมือสอง เพื่อลดผลกระทบของทิศทางตลาดในปี 2566 เพราะไม่เช่นนั้น อาจได้เห็นตลาด หดตัวมากกว่า 20% 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


HBA ลุยตลาด ‘รับสร้างบ้าน’ แสนล. ดันปี 66 โตก้าวกระโดด

HBA โชว์ผลงานปี 2565 เติบโตแบบก้าวกระโดด ทุบสถิติยอดจองสร้างบ้านทั่วประเทศกว่า 8 พันล้าน เปิดแผนปี 66 ลุยขยายตลาดรับสร้างบ้านทั่วไทยแสนล้าน ดันเติบโตก้าวกระโดด เผย บ้านสร้างเองระดับ 100 ล้านมาแรง!

27 พ.ย.2565 = นายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดเผยว่า แม้ปีนี้นับเป็นการทำงานท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ได้แก่ การระบาดของโควิด-19 ต้นทุนจากวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูง ต้นทุนค่าแรง รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวม แต่ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดใด สมาคมฯ สามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากกลยุทธ์การทำงานของสมาคมฯ เอง และการผนึกกำลังกับพันธมิตรในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ 

ส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านรวมปี 2565 เฉพาะสมาชิกของ HBA  มีมูลค่า 12,500 ล้านบาท จากการทำกิจกรรมทางการตลาดที่ช่วยสร้างยอดขาย 2 งาน ได้แก่  งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Focus 2022 มียอดจอง 4,000 ล้านบาท   งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2022 สร้าง-เปลี่ยน-โลก ยอดจอง 4,800 ล้านบาทขณะที่อีกปัจจัยหนึ่งมาจากการขยายตัวจากกลุ่มเรียลดีมานด์บ้านระดับ 100-200 ล้านบาทขึ้นไป หันมาสร้างบ้านกันมากขึ้น
 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า สำหรับปี 2566  HBA วางแผนเชิงรุกขยายจำนวนสมาชิกสมาคมฯ ในต่างจังหวัดมากขึ้น ทั่วประเทศ  โดยเฉพาะภาคเหนือที่ยังไม่มีสมาชิก จากปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 135 บริษัท แบ่งออกเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน 72 บริษัท และวัสดุก่อสร้าง 63 บริษัท

” ตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัดมีความน่าสนใจ ด้วยมูลค่าที่สูงกว่า 1 แสนล้านบาท มีขนาดใหญ่มากกว่าตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพ 1 เท่าตัว ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทอประกอบกับในจังหวัดใหญ่ ๆ มีประชากรกำลังซื้อสูงอยู่จำนวนมาก จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก”

ส่วนแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านปี 2566 แม้มีปัจจัยลบดอกเบี้ยขาขึ้น ค่าเงินบาทอ่อน ค่าพลังงานสูง ดันวัสดุก่อสร้างแพง แต่โชคดีที่การท่องเที่ยวในไทยฟื้นตัว น่าจะเป็นแรงส่งทางเศรษฐกิจที่ดี ขณะที่กลุ่มเรียลดีมานด์คาดว่ายังคงมีอยู่ จึงน่าจะทำให้ตลาดรับสร้างบ้านยังไปต่อได้ในปีหน้า

 “โจทย์ใหญ่ตลาดรับสร้างบ้าน ปี 2566 คือ การเผชิญปัจจัยลบรอบด้าน ตั้งแต่เศรษฐกิจหลายประเทศถดถอย เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในไทยปีหน้าคาดขยับตัวตามโลก ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้านระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท”

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบริษัทสร้างบ้านร่วมเป็นสมาชิกสมาคมฯ รวม 135 บริษัท แบ่งออกเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน 72 บริษัท และวัสดุก่อสร้าง 63 บริษัท ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด และปริมณฑล 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 35.95 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทมีโอกาสผันผวนฝั่งอ่อนค่าตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ผู้เล่นในตลาดเลือกถือดอลลาร์เป็นSafe Haven เงินหยวนเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาท

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  35.95 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.80 บาทต่อดอลลาร์  

นายพูน     พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดโดยรวมจะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่สถานการณ์ COVID-19 ในจีนที่น่ากังวล ได้เริ่มกลับมากดดันสินทรัพย์ฝั่งเอเชียมากขึ้น

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด และรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด (เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ถึงระดับใด)
 
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
 
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
 

▪       ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ISM Manufacturing PMI) ในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดคาดว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตจะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.8 จุด (ดัชนี น้อยกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตที่ซบเซาลง ท่ามกลางแรงกดดันจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังคงเป็นภาคส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

ตลาดประเมินว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยรวมอาจชะลอลง สะท้อนผ่านยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนพฤศจิกายนที่จะเพิ่มขึ้น 2 แสนตำแหน่ง ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีการจ้างงาน +2.6 แสนตำแหน่ง

นอกจากนี้ ค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) อาจโตชะลอลงเหลือ +0.3%m/m หรือ +4.6%y/y ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันต่อสถานการณ์เงินเฟ้อหรือลดความเสี่ยงของ Wage-Price Spiral ที่เฟดกังวล 


ทั้งนี้ อีกไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell หลังเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ในอัตราการขึ้นดอกเบี้ยที่ชะลอลงจากช่วงก่อนหน้า

ดังนั้น ตลาดจะรอลุ้นว่า ประธานเฟดจะมีมุมมองอย่างไร โดยต้องระวังหากประธานเฟดส่งสัญญาณย้ำว่า เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกมาก เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ตลาดก็อาจกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้ไม่ยาก
 

  ฝั่งยุโรป – ตลาดประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของยูโรโซนในเดือนพฤศจิกายนอาจชะลอลงสู่ระดับ 10.4% หลังแรงกดดันจากราคาสินค้าพลังงานและค่าไฟฟ้าเริ่มลดลง อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ยังอยู่ในระดับสูงถึง 5.0% ทำให้ตลาดยังคงมองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ โดย อัตราดอกเบี้ยนโยบาย Deposit Facility Rate อาจปรับขึ้นใกล้ระดับ 3.00% ได้ในปีหน้า จากระดับล่าสุด 1.50%  
 
▪ ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศล่าสุด ซึ่งจะหนุนให้ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนตุลาคม ขยายตัว +1.0% จากเดือนก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจะกดดันให้ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม หดตัวกว่า -1.8% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มดัชนี PMI ภาคการผลิตของญี่ปุ่นที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง


 ส่วนในฝั่งจีน บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากมาตรการ Zero COVID ท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนหดตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤศจิกายน ที่จะลดลงสู่ระดับ 49.2 จุด และ 48 จุด ตามลำดับ


 
▪  ฝั่งไทย – ตลาดคาดว่า การค้าระหว่างประเทศของไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจโตเพียง 5.5%y/y ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ยังโตกว่า +10%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) ในเดือนตุลาคมอาจกลับมาขาดดุลถึง -1.4 พันล้านดอลลาร์


นอกจากนี้ แรงกดดันจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาจะส่งผลให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยก็อาจขยายตัวในอัตราชะลอลง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนพฤศจิกายน อาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 51 จุด อนึ่ง เรามองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป


 ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ไม่ได้รุนแรงมากเช่นในฝั่งสหรัฐฯ หรือ ยุโรป จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 1.25% ทั้งนี้ เรามองว่า ควรติดตามคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีหน้า รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่ กนง. กังวล เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของไทย (ล่าสุด เรามองว่า กนง. จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ถึงระดับ 2.00% ในกลางปีหน้า)  
 
 
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนฝั่งอ่อนค่าตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และควรระวัง สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดสถานะการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและสกุลเงินฝั่งเอเชียในระยะสั้น (เงินหยวนเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทถึง 79%) และเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์สามารถแข็งค่าขึ้นได้ ในกรณีที่ตลาดการเงินพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) หากประธานเฟดย้ำจุดยืนเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดควรชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดไปมาก ก็อาจยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้
 

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.50-36.30 บาท/ดอลลาร์
 

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.80-36.05 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่ากลับมาทดสอบแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าจันทร์ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 35.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียอ่อนค่าตามทิศทางเงินหยวนที่เผชิญแรงกดดันจากเหตุประท้วงนโยบาย Zero Covid ในจีน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยลบที่กดดันเงินหยวนต่อเนื่องจากที่ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้สถานการณ์ในจีนยังไม่นิ่งและยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อตลาดตลอดสัปดาห์นี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.85-36.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ในจีน ข้อมูลการส่งออกของไทยเดือนต.ค. ทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินอื่นๆ เอเชีย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“จาย” คว้าอันดับที่ 6 ศึกจักรยานลู่นานาชาติ “แชมเปี้ยนส์ ลีก” มีลุ้นไปโอลิมปิก

“เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้ส่ง “ทีเจ” จาย อังค์สุธาสาวิทย์ นักปั่นประเภทลู่ทีมชาติไทยเจ้าของเหรียญทองรายการคีริน กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่อินโดนีเซีย ไปเก็บตัวฝึกซ้อมระยะยาวที่ศูนย์ฝึกจักรยานโลก (WCC) ในเมืองเอเกิ้ล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ล่าสุด จาย ได้เข้าร่วมแข่งขันจักรยานประเภทลู่นานาชาติ “ยูซีไอ แทร็ค แชมเปี้ยนส์ ลีก” (UCI Track Champions League) สนามที่ 3 ที่เวโลโดรมแห่งชาติ ในเมืองแซงต์ เควนติน ออง อีเวอลีน ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

รายการนี้มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากมีการสะสมคะแนนเพื่อไปชิงแชมป์โลกและไปโอลิมปิกเกมส์ 2024 ซึ่งผลปรากฏว่า จาย คว้าอันดับ 6 มาครอง ทำให้มีคะแนนสะสมขึ้นมาอยู่อันดับ 7 จากนักกีฬาทั้งหมด 18 คนในประเภทเจ้าความเร็ว คือรายการ คีริน และสปรินท์

นอกจากนั้น ยังทำให้ จาย มีโอกาสเข้ารอบสุดท้ายในการชิงแชมป์โลกและกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส เพิ่มสูงมากขึ้น โดยยังมีแข่งขันต่ออีก 2 สนาม คือสนามที่ 4 และสนามที่ 5 ที่ประเทศอังกฤษ ทั้ง 2 สนาม ในวันที่ 3 และ 4 ธันวาคมนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“เกล็ดเลือดต่ำ” ภาวะอันตราย แต่รับมือได้ด้วยวิธีเพิ่มเกล็ดเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ

เกล็ดเลือดช่วยให้เลือดหยุดไหลเมื่อเราเป็นแผล หากใครมีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำจะเลือดออกง่าย เรามีวิธีเพิ่มเกล็ดเลือดอย่างเป็นธรรมชาติมาฝาก

เกล็ดเลือด ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเลือด มีส่วนช่วยในการทำให้เลือดหยุดไหลในเวลาที่เราโดนมีดบาด หรือเป็นแผล ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างลิ่มเลือดด้วย การรักษาจำนวนของเกล็ดเลือดให้อยู่ในระดับปกติจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากคุณมีเกล็ดเลือดต่ำเมื่อไหร่ ร่างกายของคุณก็จะเกิดปัญหาในการห้ามเลือด หรืออาจมีเลือดไหลง่ายกว่าปกติ ฉะนั้น หากคุณไม่อยากประสบปัญหาเหล่านี้ Hello คุณหมอ ก็มี วิธีเพิ่มเกล็ดเลือด ที่ทำได้ง่ายๆ มาแนะนำ รับรองเลยว่าเกล็ดเลือดของคุณจะเพิ่มขึ้น แถมยังสุขภาพดีขึ้นด้วย


เกล็ดเลือดและจำนวนเกล็ดเลือดสำคัญอย่างไร?

เกล็ดเลือด (Platelets) หรือ ทรอมโบไซท์ (Thrombocytes) เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดไม่มีสี มีหน้าที่ช่วยในการทำให้เลือดแข็งตัว และลดการสูญเสียเลือดจากร่างกายเวลาเกิดแผล กล่าวคือ เมื่อหลอดเลือดถูกทำลาย หลอดเลือดจะส่งสัญญาณไปยังเกล็ดเลือด แล้วเกล็ดเลือดก็จะหลั่งเอนไซม์ที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวออกมา พร้อมกับยึดเกาะกันเป็นก้อนเลือดเพื่อหยุดการไหลของเลือด จากนั้นเมื่อปากแผลถูกอุด และเลือดหยุดไหลแล้ว เกล็ดเลือดก็จะลดขนาดของลิ่มเลือดที่อุดปากแผลอยู่ให้เล็กลง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือด

เกล็ดเลือดถูกสร้างขึ้นในไขกระดูกพร้อมกับเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดแต่ละชุดจะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 8-10 วัน โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณเกล็ดเลือดปกติของคนเราจะอยู่ที่ 150,000-450,000 ต่อไมโครลิตร แต่หากจำนวนเกล็ดเลือดลดลง หรือมีน้อยกว่า 150,000 ต่อไมโครลิตร ก็จะเข้าสู่ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เกิดเลือดออกง่าย หรือร่างกายมีปัญหาในการทำให้เลือดหยุดไหล ยิ่งหากมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่า 50,000 ต่อไมโครลิตร ก็ยิ่งเสี่ยงเกิดปัญหาเลือดออกผิดปกติขั้นรุนแรง จนอาจเป็นอันตรายได้


สัญญาณและอาการของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) อาจเป็นผลมาจากโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิต้านตัวเอง ภาวะเลือดมีแบคทีเรีย การติดเชื้อเอชไอวี หรืออาจเกิดจากคุณดื่มแอลกอฮอล์หนักมากมานาน คุณใช้ยาละลายลิ่มเลือด ใช้ยากันชัก และหากคุณกำลังรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด หรือ รังสีรักษา ก็ทำให้มีเกล็ดเลือดต่ำได้เช่นกัน

โดยคุณสามารถสังเกตอาการของภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ ดังนี้

  • เป็นรอยช้ำ หรือเกิดห้อเลือด (Purpura) ง่ายกว่าปกติ หรือรุนแรงกว่าปกติ
  • มีเลือดออกใต้ผิวหนังตื้นๆ เป็นจุดเล็กๆ เหมือนรอยเข็มจิ้ม สีแดงปนม่วง หรือที่เรียกว่า จุดเลือดออก (Petechiae) โดยเฉพาะที่บริเวณขาช่วงล่าง
  • เวลาเป็นแผล หรือโดนของมีคมบาด มักมีเลือดออกนาน และเลือดไม่หยุดไหลเอง
  • มักมีเลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดกำเดาไหล
  • มีเลือดไหลออกจากทวารหนัก มีเลือดปนในปัสสาวะ หรืออุจจาระ
  • ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
  • เหนื่อยง่าย
  • ม้ามโต
  • ดีซ่าน (เช่น ผิวเหลือง ตาเหลือง)

ยิ่งหากคุณมีเลือดปนในปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นประจำ ร่วมกับอาเจียนเป็นเลือด ก็ควรรีบไปพบคุณหมอ เพราะอาจเป็นสัญญาณว่ามีภาวะเลือดตกใน (Internal bleeding)


วิธีเพิ่มเกล็ดเลือด อย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มโฟเลตให้กับร่างกาย

โฟเลต (Folate) หรือวิตามินบี 9 เป็นวิตามินบีชนิดสำคัญที่ช่วยบำรุงเลือด ทำให้เลือดมีสุขภาพดี โดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา (The National Institutes of Health หรือ NIH) แนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรได้รับโฟเลตอย่างน้อยวันละ 400 ไมโครกรัม และหากเป็นหญิงตั้งครรภ์ก็ควรได้รับโฟเลตวันละ 600 ไมโครกรัม โดยคุณสามารถหาโฟเลตได้จากผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง หน่อไม้ฝรั่ง รวมถึงพืชตระกูลถั่ว ธัญพืช ส้ม ข้าว ยีสต์ ตับวัว

  • กินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12

วิตามินบี 12 มีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง หากร่างกายของคุณได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ ก็จะทำให้คุณมีเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คนที่อายุเกิน 14 ปี ควรได้รับวิตามมินบี 12 มากกว่า 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน หากตั้งครรภ์ ควรเพิ่มเป็น 2.8 ไมโครกรัมต่อวัน โดยอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 เช่น เนื้อวัว ตับวัว ไข่ หอย ปลา (เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า) แต่หากคุณกินมังสวิรัติ หรือเป็นวีแกน ก็อาจเพิ่มวิตามินบี 12 ได้ด้วยการกินอาหารเสริมวิตามินบี 12 นมถั่วเหลืองหรือนมอัลมอนด์เสริมวิตามินบี 12

  • เพิ่มธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กช่วยให้เกล็ดเลือดและเซลล์เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์แข็งแรง ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งในกลุ่มเด็กทารกและวัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก พบว่า ธาตุเหล็กอาจช่วยเพิ่มจำนวนเกล็ดเลือดในผู้ที่มีภาวะนี้ได้ ซึ่งคุณสามารถเพิ่มธาตุเหล็กได้จากการกินดาร์กช็อกโกแลต หอยนางรม ตับวัว เต้าหู้ ถั่วแดง ถั่วขาว โดยผู้ที่อายุเกิน 50 ปี ควรได้รับธาตุเหล็กวันละ 8 มิลลิกรัม ผู้หญิงอายุ 19-50 ปี ควรได้รับ 15 มิลลิกรัม และหากตั้งครรภ์ ควรได้รับธาตุเหล็ก 27 มิลลิกรัมต่อวัน

หากคุณอยากเพิ่มเกล็ดเลือดด้วยการกินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก คุณก็ต้องระวังให้ดี อย่ากินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ชีส โยเกิร์ต ปลาซาร์ดีน เวย์โปรตีน นมวัว หรืออาหารเสริมแคลเซียมในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กได้

  • กินวิตามินซี

วิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยให้เกล็ดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างเกล็ดเลือดได้เป็นอย่างดี โดยคุณสามารถหาวิตามินซีได้จากบร็อคโคลี่ มะม่วง ฝรั่ง ส้ม เกรปฟรุต สัปปะรด พริกหยวก มะเขือเทศ กีวี สตรอว์เบอร์รี เป็นต้น และถ้าจะให้ดี คุณควรกินผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเหล่านี้แบบสดๆ เพราะการนำไปปรุงสุกหรือผ่านความร้อน อาจทำให้วิตามินซีถูกทำลายได้

  • กินวิตามินเค

วิตามินเคมีส่วนสำคัญในการสร้างลิ่มเลือด ช่วยบำรุงกระดูก และยังมีผลการวิจัยที่ชี้ว่า วิตามินเคช่วยเพิ่มเกล็ดเลือด และบรรเทาอาการเลือดออกผิดปกติได้ โดยคุณสามารถหาวิตามินเคได้จากผักใบเขียว เช่น คะน้า ปวยเล้ง บร็อคโคลี่ ถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง ฟักทอง และถั่วเหลืองหมักดอง เช่น นัตโตะ

วิธีเพิ่มเกล็ดเลือด นอกจากจะกินอาหารบำรุงเกล็ดเลือดที่เราแนะนำข้างต้นให้มากขึ้นแล้ว คุณก็ควรงดหรือลดอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด ที่อาจทำให้เกล็ดเลือดของคุณต่ำลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำแครนเบอร์รี แอสปาร์แตมหรือน้ำตาลเทียม (Aspartame)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด

วอลล์สตรีทอิงลิช ได้สังเกตกระบวนการและเทคนิคการจำคำศัพท์ของนักเรียนแต่ละคน แต่ละวิธีก็ได้ผลที่ไม่เหมือนกัน โดยขึ้นอยู่กับผู้เรียนแต่ละคน เราได้สรุปเทคนิคที่นักเรียนของเราใช้เพื่อจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆ ซึ่งมีอยู่สองทางด้วยกัน นั่นคือ การเปิดหาความหมายของคำศัพท์ที่เราไม่รู้ และ การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ผ่านการใช้งานจริง เราได้เห็นว่าสิ่งหลังที่กล่าวถึงจะทำให้คุณจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้มาก และรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงเทคนิคที่เราจะนำมาเสนอดังต่อไปนี้ ที่จะมาช่วยให้คุณเชี่ยวชาญด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษมากขึ้นครับ

  1. เปิดหาความหมายของคำศัพท์ใหม่ทุกคำ

อยากเพิ่มความสามารถในการจำคำศัพท์ ทางเดียวที่ได้ผลดีที่สุดคือ เมื่อคุณเจอศัพท์ใหม่ๆ ก็ต้องเปิดอ่านความหมายของคำเหล่านั้นทุกครั้ง อย่าย้อท้อ และอย่าคิดว่าคุณรู้ความหมาย หรือ สามารถเดาความหมายได้ หากคุณไม่ว่าง ให้จดศัพท์คำนั้นและเปิดหาความหมายในเวลาที่คุณว่าง ปัจจุบันเครื่องมือสื่อสารทำให้เราหาความหมายของศัพท์ที่เราไม่รู้ได้อย่างง่ายดาย

ผมขอเน้นย้ำนิดนึงครับว่า คำแนะนำข้อนี้อาจฟังดูธรรมดา และเป็นของตายสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆ แต่ทว่าน้อยคนนักที่ลงมือค้นหาความหมายของศัพท์ที่ตัวเองไม่รู้อย่างจริงๆจังๆ หากคุณเพิ่งเริ่มเรียนหรือเริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ คุณจะพบว่ามีศัพท์มากมายที่คุณไม่รู้ความหมาย ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี และอาจถอดใจได้กลางคัน การค้นหาความหมายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด

เครื่องมือที่แนะนำ แอปพลิเคชัน Play Books คุณสามารถซื้อและดาวน์โหลดตัวอย่างหนังสือมาทดลองอ่านได้อย่างง่ายดาย แถมคุณยังสามารถค้นหาความหมายของคำศัพท์ที่คุณไม่รู้ผ่าน Google Translate ได้โดยตรง โดยไม่ต้องสลับแอปไปมาให้ปวดหัวอีกด้วยครับ

  1. ถามเพื่อนของคุณ

ที่วอลล์สตรีทอิงลิช คุณจะได้พบเพื่อนผู้เรียนมากมาย ที่มีระดับภาษาที่ต่างกัน เราเป็นโรงเรียนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพูดภาษาอังกฤษเมื่อเข้ามาเรียนกับสถาบัน ดังนั้นหากคุณได้ยินเพื่อน หรือ อาจารย์เจ้าของภาษา ที่ใช้คำศัพท์ที่คุณไม่เข้าใจ คุณสามารถถามความหมายอย่างสุภาพ และเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้ทันที

วิธีการแรกที่เรานำเสนอไปคือการจำคำศัพท์ที่คุณไม่รู้ความหมาย แต่วิธีนี้จะเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์การใช้งานจริง ลองจินตนาการถึงตอนที่คุณอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก คุณจะต้องสื่อสารในชีวิตประจำวัน และคุณจะเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว และจดจำผ่าน social interaction ซึ่งดีกว่าการท่องจำคำศัพท์เป็นไหนๆ

  1. มีหนังสือภาษาอังกฤษติดมือ และอ่านทุกวัน

อาจฟังดูง่าย ชัดเจน เป็นคำแนะนำที่คุณคงได้ยินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นั้นเป็นเพราะวิธีนี้ทำแล้วได้ผลครับ อ่านภาษาอังกฤษทุกวัน แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม คำนวนง่ายๆ หากคุณอ่านหนังสือวันละ 20 นาที ในหนึ่งปี คุณก็จะอ่านหนังสือไปกว่า 120 ชั่วโมง และแน่นอนว่าความรู้ที่คุณได้รับจากสิ่งที่คุณอ่าน จะช่วยให้คุณต่อยอดในเรื่องการงาน การเข้าสังคม ได้อีกด้วย

  1. การเรียนรู้ทุกอย่างใช้เวลา ดังนั้นคุณต้องใจเย็นๆ

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงอยากเก่งภาษาอังกฤษเร็วๆ แต่ทักษะบางอย่างคุณต้องปล่อยให้พัฒนาไปอย่างช้าๆ ให้เวลากับตัวคุณเพื่อทำความคุ้นเคยกับศัพท์ใหม่ๆ ที่คุณได้เรียนรู้ ก่อนที่คุณจะนำคำศัพท์ใหม่ๆ ไปใช้งานจริง เพื่อคุณจะได้ไม่เสียหน้าเมื่อนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสม ดังนั้นมันจะดีกว่าหากคุณได้เห็นคำศัพท์นั้นๆ ผ่านตา หลายๆครั้งก่อนที่คุณจะนำไปพูดหรือใช้ในที่สาธารณะจริงๆ

  1. ฟังภาษาอังกฤษผ่าน Podcasts และ Audiobooks

แทนที่คุณจะฟังเพลง หรือ เล่นเกมในตอนที่คุณเดินทางบนรถไฟฟ้า หรือโดยสารรถประจำทาง ลองเปลี่ยนมาฟัง podcasts สนุกๆ ที่จะทำให้คุณมีความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ รวมถึงฝึกฟังสำเนียงได้อีกด้วย

  1. การสร้างรหัสช่วยจำ Mnemonic Device

อย่าเพิ่งงงกันนะครับ Mnemonic Device คือ การใช้รหัสช่วยจำ ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี ในตอนที่ร้องเพลงเพื่อช่วยจำสิ่งต่างๆ หรือ สิ่งที่เราเรียกกันว่า วิชามาร ซึ่งหากคุณสร้างวิธีการจำของคุณขึ้นมาจะช่วยให้คุณเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการจำความหมายของคำว่า dogmatic ซึ่งความหมายคือ หัวรั้น ให้ลองนึกถึงคำว่า dog ที่อยู่ในคำๆ นี้ และ สุนัขตัวนี้ถึงล่ามโซ่อยู่ แต่มันพยายามหนีอยู่ตลอดเวลา คุณก็จะนึกความหมายของคำๆ นี้ได้โดยอัตโนมัติเมื่อคุณอ่านเจออีกเป็นครั้งที่สอง

  1. เขียนศัพท์ใหม่ลงบนกระดาษ

เมื่อคุณไม่สามารถสร้างรหัสช่วยจำได้ อีกวิธีหนึ่งคือเขียนลงบน post it และนำมันไปแปะไว้กับสถานที่ๆ เกี่ยวข้องกับความหมายของคำนั้นๆ เช่น คำว่า toast ติดไว้ข้างเครื่องปิ้งขนมปัง การที่คุณจดคำศัพท์ที่คุณต้องการจำเอาไว้และทบทวนทุกๆ เช้า จะช่วยให้คุณจำได้ดีขึ้น ซึ่งผมจะอธิบายในข้อถัดไปว่าเพราะเหตุใด

  1. ทุกศัพท์ใหม่ที่คุณอ่าน คือการเพิ่มความจำให้กับเซลล์ประสาท

สมองของเราใช้เซลล์ประสาทเพื่อการจำสิ่งต่างๆ เมื่อคุณเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ สัญญาณประสาทจะเดินทางไปยังสมองส่วนเก็บความจำ หากสัญญาณประสาทไม่เคยเดินผ่านเส่นประสาทใหม่มาก่อน ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นการส่งสัญญาณประสาทไปยังเส้นประสาทนี้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้สมองของคุณสามารถดึงความหมาย หรือระลึกเหตุการณ์ออกมาได้ง่ายขึ้น

เมื่อคุณมีความเข้ากระบวนการจำที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงานของสมองแล้ว คุณก็จะมองเห็นความสำคัญของการทบทวนคำศัพท์ภาษาอังกฤษและความรู้ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้คุณสามารถเพิ่มคำศัพท์ในคลังสมองของคุณได้มากยิ่งขึ้น

  1. พยายามจำความหมายสั้นๆ อย่าจำแบบน้ำท่วมทุ่ง

แน่นอนว่ามันย่อมดีกว่าหากคุณใช้คำศัพท์อย่างง่ายได้อย่างถูกต้องดีกว่าใช้คำศัพท์สูงๆแบบผิดๆ เมื่อคุณเลือกใช้คำศัพท์ยากๆ แทนที่จะใช้ศัพท์อย่างง่าย คุณต้องแม่นรายละเอียดในสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อเสียก่อน เพราะเมื่อเราต้องการสื่อสารแบบสั้นๆ กระชับ และได้ใจความที่สุด การใช้ศัพท์เชิง advanced จะช่วยให้คุณสื่อสารได้กระชับขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องระวังให้มากเมื่อเราเลือกใช้คำศัพท์ หากสารที่คุณต้องการจะสื่อนั้นสามารถใช้คำศัพท์อย่างง่ายได้โดยไม่จำเป็นต้องเลือกศัพท์ advanced ก็จะมีประสิทธิภาพ และเข้าใจได้ง่ายกว่าครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


เปิดตัว “สมาร์ทสวิฟท์” (SMARTSWIFT) เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการโอนเงินข้ามประเทศทันที

เปิดประสบการณ์ใหม่ในการโอนเงินข้ามประเทศกับแพลตฟอร์ม “สมาร์ทสวิฟท์” (SMARTSWIFT) ที่ทำให้การรับ-ส่งเงินไม่ยุ่งยากเหมือนเดิมอีกต่อไป ช่วยให้ทุกคนในไทยเข้าถึงบริการนี้ได้สะดวกและทั่วถึงมากขึ้น โดยที่แพลตฟอร์มสมาร์ทสวิฟท์ถูกออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย ลดความวุ่นวายในทุกขั้นตอนของการโอนเงินออกนอกประเทศ เพื่อให้ลูกค้าในประเทศไทยสามารถโอนเงินไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้กว่า 60 ประเทศ

การโอนเงินออกนอกประเทศนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ธนาคารต่างๆ มักจะคิดค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนที่แพง ต้องใช้เอกสารประกอบมากมาย ทุกๆ ขั้นตอนเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับลูกค้า แต่ตอนนี้ “สมาร์ทสวิฟท์” จะเข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าที่ต่างต้องการตัวเลือกที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องความสะดวกสบายและสามารถใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา

ธีรธร พันธุ์ยิ้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 33 รีมิตแตนซ์ จำกัด กล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายในการโอนเงินไปต่างประเทศแต่ละครั้งนั้นสูงมาก ขั้นตอนก็ใช้เวลานาน บางครั้งไม่ปลอดภัย และยังต้องกรอกหรือยื่นเอกสารจำนวนมาก เราจึงสร้าง ‘สมาร์ทสวิฟท์’ ขึ้นเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ หรือโมเดิร์น แบงค์กิ้ง ที่ทุกคนสามารถโอนเงินจากประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกจากบนมือถือเสร็จสิ้นภายในอึดใจเดียว เราให้ความสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าทั้งเรื่องความเร็ว ไม่มีความยุ่งยาก แต่ก็ยังปลอดภัย อุ่นใจได้ว่าเงินไปถึงปลายทางอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ลูกค้าทุกคนจะได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา”

บริการโอนเงินข้ามประเทศนั้น จะต้องปลอดภัยและลูกค้าต้องเชื่อใจได้ “สมาร์ทสวิฟท์” จึงได้นำ Application Program Interface หรือ API เข้ามาใช้เชื่อมต่อแพลตฟอร์ม ทำให้กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่แพลตฟอร์มที่สามารถให้บริการ “โอนเงินข้ามประเทศทันที” ได้ โดยผู้รับจะได้รับเงินหลังจากที่ธุรกรรมฝั่งต้นทางเสร็จได้แบบทันใจ และที่สำคัญขั้นตอนการโอนก็เสร็จสิ้นจากการลงทะเบียนเปิดใช้งานเพียงครั้งเดียว

ลูกค้าของสมาร์ทสวิฟท์สามารถโอนเงินไปสู่ประเทศต่างๆ ได้ทั้ง สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ประเทศต่างๆ ในยุโรป แคนาดา มาเลเซีย จีน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ อีกมากมาย กว่า 60 ประเทศทั่วโลก *

“เรามีใบอนุญาตทั้งการประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และการเป็นตัวแทนโอนเงินต่างประเทศ จากธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง แพลตฟอร์มสมาร์ทสวิฟท์นั้นก็ได้รับการรับรองผ่านมาตรฐานความปลอดภัย PCI-DSS ระดับ 1 ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ทีมงานของเราเป็นทีมผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของไทยที่สร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้การโอนเงินไปต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนไทย แรงงานและชาวต่างชาติ ธุรกิจและผู้ประกอบการต่างๆ รวมถึงประชากรที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในภูมิภาคอาเซียน” ธีรธร กล่าวต่อ

ตามรายงานของเว็บไซต์ Trading Economics มูลค่าการโอนเงินข้ามประเทศของไทยทำสถิติสูงสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีมูลค่ามากถึง 21,027 พันล้านบาท ** และช่วงเวลาที่มีการโอนเงินข้ามประเทศมากที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

“ในปี 2566 เราคาดการณ์ว่าการโอนเงินข้ามประเทศจากประเทศไทยจะเติบโตมากขึ้นอีก 30% ซึ่งเราตั้งเป้าเอาไว้ว่าสมาร์ทสวิฟท์จะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่คนไทย และชาวต่างชาติที่พำนักหรือทำงานในเมืองไทย นิยมใช้บริการโอนเงินข้ามประเทศมากที่สุด 1 ใน 3 อันดับแรกภายในครึ่งปีแรกของปีหน้านี้” ธีรธร กล่าวเสริม

“สมาร์ทสวิฟท์จะช่วยทำให้คนไทย และชาวต่างชาติที่พำนักหรือทำงานในเมืองไทย สามารถโอนเงินข้ามประเทศได้ทันทีโดยค่าธรรมเนียมที่ดีที่สุดในปัจจุบันที่มีในตลาด และไม่ว่าผู้รับจะอยู่ที่ส่วนไหนของโลกก็จะได้รับเงินได้ภายในไม่กี่อึดใจ” ธีรธร กล่าวสรุป

ตั้งแต่วันนี้ ถึงสิ้นมกราคมปี 2566 ผู้ใช้บริการสมาร์ทสวิฟท์รายใหม่ และผู้ใช้บริการปัจจุบัน สามารถใช้บริการโอนเงินข้ามประเทศได้โดยปลอดค่าธรรมเนียม โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อโอนเงินได้แล้วในวันนี้ทั้งบน iOS และแอนดรอยด์ https://bit.ly/3OqUunP

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


QATAR WORLD CUP MEMORIAL 2022 สถาปัตยกรรมแห่งความสูญเสียในบอลโลก 2022

สถาปัตยกรรมของงานบอลโลกใช่ว่าจะมีแต่ความยิ่งใหญ่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเบื้องหลังความอลังการของสเตเดียมมากมายคือหลายชีวิตที่เสียไปในไซต์ก่อสร้าง ดีไซเนอร์อย่าง WEEK architecture จึงออกแบบสถาปัตยกรรมแห่งการรำลึก เพื่อแสดงให้เห็น “ขนาด” ของความสูญเสีย

ภาพจาก WEEK architecture
ภาพจาก WEEK architecture

จากข้อมูลรายงานเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในการก่อสร้างตั้งแต่เมื่อปี 2014 มาสู่โมดูลคอนกรีตก่อกันเข้าเป็นอนุสรณ์รำลึกทรงตึกแปดเหลี่ยม QATAR WORLD CUP MEMORIAL 2022  โดยแต่ละบล็อกสื่อถึงแต่ละคนทำงานผู้เสียชีวิต ซ้อนกันขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนที่เพิ่มขึ้น จาก 2,500 ชีวิตกับอนุสรณ์ที่สูง 1.6 กม. ในปี 2014 ล่าสุดในปี 2020 อนุสรณ์นี้จะมีความสูงถึง 4.4 กม. หรือกว่า 5 เท่าของ Burj Khalifa ตึกที่สูงที่สุดในโลก (ที่ก็ตั้งอยู่ในดูไบ) กับจำนวนผู้เสียชีวิตถึง 6,751 คน

ภาพจาก WEEK architecture

ทำไมต้องตึก? เพราะมันเป็นรูปลักษณ์ที่สร้างความสะเทือนใจด้วยความสูงสุด ๆ ของมัน นอกจากนี้ยังทำให้ดีไซน์นี้สะท้อนความสูญเสียที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการเติมความสูงไปเรื่อย ๆ ได้ด้วย WEEK architecture เล่าในบทสัมภาษณ์กับ dezeen

ภาพจาก WEEK architecture

แล้วทำไมต้องบล็อกคอนกรีต? เพราะคอนกรีตสามารถขึ้นรูปเป็นบล็อกสูง 2.5 เมตรได้จำนวนมาก นอกจากนี้ “ตัวตน” ของคอนกรีตยังดูเคร่งขรึม เหมาะกับเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อ

ความสูงทะลุโลกเช่นนี้อาจดูไม่สมเหตุสมผลทำให้หลายคนคิดว่าไม่น่าและไม่ควรเกิดขึ้นได้ แต่แน่นอนว่านั่นแสดงให้เห็นถึงบทบาทของสถาปนิกที่สามารถตั้งคำถามและชวนสังคมมาคุยกันเรื่องความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมได้

Source:

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/11/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,600.0029,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,917.0029,061.7230,200.00
ทองรูปพรรณ 90%1,725.3026,155.55n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,533.6023,249.38n/a
ทองรูปพรรณ 50%863.0013,083.08n/a
ทองรูปพรรณ 40%671.0010,172.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,987.0030,122.92n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/11/2565


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.1535.1535.4535.4535.4535.1535.1535.1535.4535.15
แก๊สโซฮอล์ 9134.8834.8835.1835.1835.1834.8834.8834.8835.1834.88
แก๊สโซฮอล์ E2033.6433.6433.9433.9433.9433.6433.6433.9433.64
แก๊สโซฮอล์ E8532.8432.8432.84
เบนซิน 9542.5643.3143.0643.0142.56
ดีเซล B734.9434.9435.2435.2435.2434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล34.9434.9435.2435.2435.2434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.2435.2434.9434.9433.9434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6643.9643.4643.4634.94
แก๊ส NGV16.5916.5916.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า