ส่อง4เทรนด์‘สำนักงาน-โรงแรม’JLLชี้ดีมานด์ต่างชาติแห่มาไทยหนุนโตร้อนแรง
JLLชี้ดีมานด์ต่างชาติแห่มาไทยหนุน‘สำนักงาน-โรงแรม’โตร้อนแรง! ชี้4เทรนด์จุดเปลี่ยนต่อตลาดอสังหาฯไทย เมกะโปรเจกต์-อาคารที่มีอายุเก่าแก่-แนวคิด ESG-การลงทุนจากต่างประเทศ
แรงหนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ภาคการผลิตที่กำลังเติบโต รวมถึงความนิยมในการแสวงหาพื้นที่เช่าในโครงการคุณภาพสูง (Flight-to-Quality) โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้ (Flight-to-Green) ที่ชัดเจนขึ้นส่งผลให้ตลาดสำนักงาน และโรงแรมของไทยกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง
สถิติในปี 2566 ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งเติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 66% เทียบปีต่อปีในด้านปริมาณการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 152% จากปีที่ผ่านมา เกินกว่าเป้าหมายของรัฐบาล ส่งสัญญาณการฟื้นตัวด้านอุปสงค์ในภาคธุรกิจบริการที่เข้มแข็ง
นอกจากนี้ ความต้องการพื้นที่สำนักงานคุณภาพสูงในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (Central Business Area : CBA) ของกรุงเทพฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (Multinational Corporations : MNCs)
ไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด หรือ JLL กล่าวว่า แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ประเทศไทยก็ได้แสดงถึงศักยภาพที่โดดเด่น โดยความมุ่งมั่นของผู้กำหนดนโยบายในการยกระดับกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ ให้มีคุณภาพสูง จะกลายเป็นแรงผลักดันสู่การเติบโตที่สำคัญ และยังเป็นสิ่งที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจระดับมหภาค ต้นทุนที่สูง และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ
4 เทรนด์หนุนอสังหาฯ โต
ในปี 2567 เจแอลแอล คาดการณ์ว่าปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ประกอบด้วย 4 เทรนด์ เริ่มจาก เทรนด์แรก “ยุคแห่งเมกะโปรเจกต์” ในปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับอิทธิพลจากการปรับปรุงเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพของอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ มากขึ้น
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่จากการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสระดับโลกมากถึง 10 โครงการ”
โครงการเหล่านี้จะเพิ่มพื้นที่สำนักงานเกรด A มากกว่า 900,000 ตารางเมตร ศูนย์การค้า มากกว่า 300,000 ตารางเมตร คอนโดมิเนียมระดับหรู 5,400 ยูนิต และโรงแรมหรู 5,900 ห้อง ในศูนย์กลางธุรกิจ ภายในปี 2571
การเกิดขึ้นของโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเหล่านี้ จะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน บริษัทข้ามชาติ (MNCs) และแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ
เทรนด์ที่สอง มี “อาคารที่มีอายุเก่าแก่” จำนวนมาก!! จากการสำรวจพบว่ามีพื้นที่สำนักงานกว่า 60% ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีอายุมากกว่า 20 ปี อุปทานระดับพรีเมียมที่กำลังจะเข้าสู่ตลาด
“นับเป็นความท้าทายต่อความสามารถในการแข่งขันของอาคารเก่าเหล่านี้ การวางแผนปรับปรุงอาคารเชิงกลยุทธ์จึงจะกลายเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้เช่า รวมถึงช่วยรักษาระดับอัตราเช่า”
แนวโน้มดังกล่าว ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตลาดสำนักงานเท่านั้น เนื่องจากกระแส Flight-to-quality และ Flight-to-green เริ่มปรากฏให้เห็นในตลาดศูนย์การค้าและคลังสินค้าโลจิสติกส์มากขึ้น โดยมีศักยภาพในการขยายไปสู่ภาคธุรกิจโรงแรมและที่อยู่อาศัยต่อไป
เทรนด์ที่สาม “แนวคิด ESG” เป็นสิ่งจำเป็นในตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ โดยนักพัฒนาโครงการและนักลงทุนต่างมุ่งมั่นปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานผ่านการรับรองต่างๆ เช่น LEED และ WELL สำหรับบริษัทข้ามชาติซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์ที่สำคัญของพื้นที่สำนักงานและพื้นที่โลจิสติกส์ มักถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะพื้นที่สำนักงานที่ได้รับการรับรองด้าน ESG
“การเช่าพื้นที่สำนักงานใหม่กว่า 90% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นในอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถเรียกค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงกว่าอาคารระดับเดียวกันถึง 14% จึงก่อให้เกิดแรงกดดันมากยิ่งขึ้นต่ออาคารเก่าที่ยังไม่ได้รับรองตามมาตรฐาน ESG”
สำหรับ เทรนด์ที่สี่ “การลงทุนจากต่างประเทศ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนจากต่างประเทศมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินทุนที่หลั่งไหลเข้าไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2566 พื้นที่สำนักงานกว่า 65% เป็นการเช่าโดยบริษัทข้ามชาติ นอกจากนี้ชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมที่มีการซื้อขายในกรุงเทพฯ
ขณะที่ประเทศไทยกำลังพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เจแอลแอล เชื่อว่ายังมีโอกาสเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อีกผ่านการใช้มาตรการทางเลือกอื่นๆ เช่น การขยายระยะเวลาสัญญาเช่าที่ดินและสิ่งจูงใจในการลงทุน สำหรับสินทรัพย์บางประเภทที่กำหนดไว้ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ ทำให้ 12 เดือนข้างหน้า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังจะเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“การมุ่งเน้นด้าน ESG การฟื้นฟูอาคารเก่าให้มีสภาพดีขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่า การกำหนดแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งในท้ายที่สุดจะก่อให้เกิดเงื่อนไขที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมา กรุงเทพฯ ยังสามารถดึงอุปทานคุณภาพทั้งสำนักงาน ที่อยู่อาศัย โรงแรม เข้ามามากขึ้น ผนวกกับโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าเทียบเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย”
ดีมานด์ต่างชาติหนุนตลาดโต
รัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ ด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การซื้อขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่ดินเปล่า มากกว่า 47% มาจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดึงดูดการลงทุนที่แข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและพื้นฐานอันแข็งแกร่งต่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
โดยหากรูปแบบการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในเมืองไทยมีการพัฒนามากขึ้น จะยิ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและบริการมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันตลาดโรงแรมฟื้นตัวสูงกว่าก่อนโควิดแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีทักษะสูงที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นเป็นฐานในการทำงานและท่องเที่ยวมากขึ้น”
อนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา เจแอลแอล กล่าวเสริมว่า ตลาดอาคารสำนักงานเมืองไทย ปัจจุบันสัดส่วน 60% มาจากบริษัทข้ามาชาติ สะท้อนว่า ตลาดอาคารสำนักงานพึ่งพาดีมานด์จากต่างชาติ และประมาณ 80% มาจาก 5 ประเทศหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สหรัฐ สิงคโปร์ และอังกฤษ คิดเป็นจำนวน 260,000 ตารางเมตร
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่เพียงแค่ยังรักษาเสถียรภาพได้เท่านั้น ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ยังพร้อมพัฒนาต่อยอดในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ตลาดแนวราบระอุ!รับหน้าร้อนเอสซี แอสเสทผุด15โครงการมูลค่า2.5หมื่นล้าน
ระอุ!รับหน้าร้อน เอสซี แอสเสทประกาศแผนรุกตลาดแนวราบลุย 15 โครงการใหม่มูลค่า2.5 หมื่นล้านนำร่องเปิดโครงการ แบรนด์ “แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด” และ “บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์” พร้อมแบรนด์บ้านใหม่ “คอนนาเซอร์”บ้านระดับอัลตร้าลักชัวรีราคาเริ่มต้น 80 ล้าน
นายมงกุฎ เตโชฬาร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยว่าในปี 2567 มีแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นแผนธุรกิจที่สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution สร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตบนความหลากหลาย ภายในไตรมาส 1 จะเปิดโครงการ 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด” และ “บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์” ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำบ้านหรู นอกจากนี้ยังมีแบรนด์บ้านใหม่ Connoisseur (คอนนาเซอร์) บ้านระดับอัลตร้าลักชัวรีราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท
สำหรับแบบบ้านที่ตอบกลุ่มไลฟ์สไตล์เฉพาะภายใต้แนวคิด #OneSizeDoesNotFitAll เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเอสซี โดยในปีนี้พร้อมเปิดตัว #SCบ้านIntrovert และ #SCบ้านExtrovert ต่อยอดความสำเร็จจาก บ้านคนโสด และ บ้านเกมเมอร์ ในปีที่ผ่านมา
ในไตรมาสที่ 1/2567 นำร่องเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,750 ล้านบาท ดังนี้
1.โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-กม.15 มูลค่า2,900 ล้านบาท เป็นคฤหาสน์หรู 2 ชั้น 3 แบบบ้าน New Series ที่ถ่ายทอดความยิ่งใหญ่และสง่างามของสถาปัตยกรรม ‘โกธิค’ พระราชวังของกษัตริย์และอัศวินอันทรงเกียรติแห่งเกาะโรดส์ PALACE OF THE GRAND MASTER, GREECE สู่คฤหาสน์หรูที่จะสะท้อนรสนิยมของผู้อยู่อาศัยได้จริง
● บนเนื้อที่กว่า 35 ไร่
● 73 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 432-584 ตารางเมตร
● ราคาเริ่มต้น 30-50 ล้านบาท
● บนทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่บางนา-ตราดเข้าออกโครงการสะดวก เข้าสู่กลางเมืองด้วย ทางพิเศษบูรพาวิถี ที่เชื่อมต่อไปยังทางพิเศษเฉลิมมหานคร และใกล้วงแหวนกาญจนาเชื่อมต่อเส้นทางได้หลากหลาย รายล้อมด้วยการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว, MRT สายสีเหลือง และในอนาคตจากโครงการรถไฟฟ้า Light Rail บางนา-สุวรรณภูมิ อีกทั้งยังแวดล้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สถานศึกษา
2. โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ บางแค มูลค่า 1,850 ล้านบาท
บ้านหรูซีรีส์ใหม่ MODERN COLONNADE STYLE ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘พิพิธภัณฑ์
การเดินเรืออัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์’ มาสร้างสรรค์การพักผ่อนอันเหนือระดับในบ้าน
ของคุณเอง โดดเด่นตั้งแต่หน้าโครงการด้วย LUXURY CLUBHOUSE ดีไซน์หรูสะดุดตา พรั่งพร้อมด้วย FACILITY ครบครันพร้อม “LIVING SOLUTIONS” นวัตกรรมใหม่ ที่รู้ใจผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น
● เนื้อที่โครงการกว่า 32 ไร่
● 61 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 391-516 ตารางเมตร
● ราคาเริ่ม 23 – 35 ล้านบาท บ้านเดี่ยวหรู 2 ชั้น ขนาดที่ดิน 87.3-214.9 ตารางวา
● เปิดจองครั้งแรก 16-17 มี.ค.
นายมงกุฎ ระบุว่า ปัจจุบันตลาดบ้านหรูระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้ามาพัฒนามากขึ้นในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น แต่ด้วยประสบการณ์ของ บริษัทในการพัฒนาบ้านในตลาดบ้านหรูมานานจึงมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี ประกอบกับมีการทำวิจัยกลุ่มลูกค้าต่อเนื่องเพื่อนำข้อมูลเทรนด์การอยู่อาศัยรวมถึงนวัตกรรมใหม่มาพัฒนาสินค้าให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้ยอดขายของโครงการที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้า รวมถึงโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ดแจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ที่ได้เปิดตัวปลายปี 2566 สร้างปรากฎการณ์ Sold Out เฟสแรกด้วยการคว้ายอดขายถึง 660 ล้านบาทจากมูลค่าโครงการ 27,000 ล้านบาท
ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ทุกโครงการของเอสซี แอสเสทจะมาพร้อมนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัย เช่น เทคโนโลยีติดตามดูแลความปลอดภัยด้วยระบบ Command Centre และ เทคโนโลยีอัจฉริยะ ผ่าน RueJai Intelligence พร้อมเทคโนโลยี Standard อื่น ๆ อาทิ จุดรองรับ EV Charger, ระบบ Active Air Quality, Smoke Heat Detector เป็นต้น เพื่อสะท้อนความเป็นตัวตนอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเอสซี แอสเสท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 29ก.พ. “แข็งค่า”ที่ระดับ 35.97 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยน มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.75-36.20 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 29ก.พ. 2567 ที่ระดับ 35.97 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.06 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงทะลุระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ ไปบ้างในวันก่อนหน้า
ซึ่งเรามองว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง GDP ในไตรมาสที่ 4
ขณะเดียวกัน เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ ในช่วงปลายเดือน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น หลังเงินเยนได้อ่อนค่าลงพอสมควรในช่วงนี้
แต่โดยรวมเรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวลักษณะ sideways down เนื่องจากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ลดลงไปบ้าง แต่ทว่า เงินบาทก็ยังขาดปัจจัยหนุนการแข็งค่าขึ้นที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ในคืนนี้ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ซึ่งหากออกมาสูงกว่าคาด
อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot หรือ จังหวะการลดดอกเบี้ย (Timing) อาจมีการเลื่อนออกไปอีกจากการประชุมเดือนมิถุนายน
แต่โดยรวมเฟดอาจสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ โดยในกรณีดังกล่าว เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยิ่งกดดันให้ผู้เล่นในตลาดขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ กดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจยิ่งกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลงแรง ส่งผลให้โดยรวมเงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าเร็วและแรงทดสอบโซนแนวต้าน 36.15-36.20 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
ในทางกลับกัน หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ชะลอตัวลงตามคาด หรือ ชะลอลงมากกว่าคาดเล็กน้อย เราคาดว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับตัวลดลงไปมากนัก
ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง โดยในกรณีนี้ อาจเห็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง ทดสอบโซนแนวรับ 35.75-35.80 บาทต่อดอลลาร์
เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.75–36.20 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 35.95-36.06 บาทต่อดอลลาร์) ตามการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ครั้งที่ 2 ออกมา +3.2% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบกับเป็นรายปี ซึ่งน้อยกว่าประมาณการครั้งแรกและคาดการณ์ของตลาดที่ +3.3%
นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ คืนวันพฤหัสฯ นี้ และดัชนี ISM ภาคการผลิต ในคืนวันศุกร์ ทำให้การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังเป็นไปอย่างจำกัด
อนึ่ง การย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ระยะสั้นของราคาทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE และดัชนี ISM ภาคการผลิต ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ออกมาก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว อาทิ Alphabet -1.8%, Nvidia -1.3% กดดันให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.55% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.17%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.35% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ เช่น SAP -1.5%, ASML -1.1%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็เริ่มเผชิญแรงกดดันจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ที่ออกมาแย่กว่าคาด สวนทางกับช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่รายงานผลกำไรจะออกมาดีกว่าคาด
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.30% ไปได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.26% ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด แต่การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้น อาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังมุมมองของผู้เล่นในตลาดนั้นเหมือนกับสิ่งที่เฟดประเมินไว้ใน Dot Plot
ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.50% ได้นั้น อาจต้องอาศัยมุมมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 3 ครั้ง หรือ ไม่ลดดอกเบี้ยลงเลย ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวมีน้อยมากในปัจจุบัน
ดังนั้น Risk-Reward ของการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวก็ยังคุ้มค่าอยู่ ทำให้เราคงมองว่า นักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาย่อตัวลงตามทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์จะยังไม่อ่อนค่าลงชัดเจน และมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 103.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.9-104.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) รีบาวด์ขึ้นราว +10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
และแกว่งตัวเหนือระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้เฟดยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้งได้ ตามที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด
นอกจากนี้ รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) จะเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไปของเฟด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.96-35.98 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทกลับมาแกว่งตัวในกรอบแคบ (หลังอ่อนค่าทะลุ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานนี้) ขณะที่แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงอีกครั้งตามบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ย่อตัวลง หลังตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/66 ของสหรัฐฯ ถูกปรับทบทวนลงเล็กน้อยมาเติบโตที่ 3.2% ต่อปี (จากที่ประกาศครั้งแรกที่ 3.3%) นอกจากนี้ ตลาดน่าจะกลับมารอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีราคา PCE/Core PCE Price Indices เดือนม.ค.ของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยออกมาในคืนนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ เบื้องต้นคาดไว้ที่ 35.90–36.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเดือนม.ค. และทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนม.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เด็กไทยสุดเจ๋งกวาด 3 แชมป์ขนไก่เยาวชนอิตาเลียนทัวร์
ทัพนักตบดาวรุ่งของไทย โชว์ผลงานในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นานาชาติระดับเยาวชน รายการ อิตาเลียน ทัวร์ 2024 ที่อิตาลี ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อคว้า 3 แชมป์ จากทั้ง 3 รายการที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ โดยทัพนักตบไทย คว้าทั้งแชมป์ในประเภทคู่ผสม, หญิงคู่ และชายคู่
การแข่งขันแบดมินตันเยาวชนนานาชาติ ระดับจูเนียร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ชาเลนจ์ รายการ อิตาเลียน ทัวร์ 2024 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยรายการนี้มีนักกีฬาเยาวชนไทยเข้าร่วมชิงชัยด้วย ซึ่งเมื่อคืนวันอาทิตย์ ที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ นักตบดาวรุ่งของไทย ทำผลงานเยี่ยม ผ่านเข้าถึงรอบชิง 3 ประเภท ก่อนจะสร้างผลงานสุดยอด ด้วย
การเหมาแชมป์ได้ทั้ง 3 ประเภท
ประเภทคู่ผสม นักกีฬาไทยผ่านเข้ามาชิงกันเอง ซึ่งปรากฏว่า ปัณณวัฒน์ แจ่มทับทิม กับ นภชนก อุตสานนท์ คู่มือวาง 6 ของรายการ คว้าแชมป์ไปครอง หลังเอาชนะ อรรถวุฒิ ศรีแผ้ว กับ สาบริน่า โสภิตา เวดเลอร์ ที่เป็นมือวาง 2 ของรายการไป 2-0 เกม 21-15, 21-13
จากนั้นในประเภทหญิงคู่ ณภชนก อุตสานนท์ กับ สาบริน่า โสภิตา เวดเลอร์ คู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ ผนึกกำลังกันคว้าแชมป์ไปครองตามคาด หลังเอาชนะ เกล ฟุกซ์ กับ อานิค เมตซ์เกอร์ คู่จากสวิตเซอร์แลนด์ ขาดลอย 2-0 เกม 21-7, 21-10 คว้าแชมป์ประเภทที่สองให้กับทีมขนไก่เยาวชนจากเมืองไทย
ก่อนที่ในประเภทชายคู่ สิทธิศักดิ์ นาดี และ ชยพัทธ์ พิบูลย์ จะมาคว้าแชมป์ปิดท้าย หลังเอาชนะ มาร์โก ดานติ กับ ซิโมเน ปิคซินิน คู่นักกีฬาเจ้าถิ่นที่เป็นมือวาง 7 ของรายการ 2-0 เกม 21-10, 24-22 คว้าแชมป์ที่ 3 ให้ทีมแบดมินตันเยาวชนไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
4 โรคอันตราย ที่มาพร้อมแดด และอากาศร้อนอบอ้าว
ถึงแม้ชาวไทยจะคุ้นแคยกับ 3 ฤดูในบ้านเรากันเป็นอย่างดีแล้ว (ฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนสุดๆ) แต่ยังไงเราก็ยังคงต้องระวังรักษาตัวเองจากแดดแรงๆ นี่กันอยู่ดี จะปล่อยให้ตัวเองถูกแดดเผา จนเป็นลมเป็นแล้ง หรือเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ หรือต้องพบแพทย์ก็คงไม่ดี
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนระวัง 4 โรคที่มาพร้อมกับแดดแรงๆ อากาศร้อนอบอ้าว ช่วงนี้กันค่ะ
4 โรคอันตราย ที่มาพร้อมแดด และอากาศร้อน
1. ลมแดด (ฮีทสโตรก)
หลายคนเริ่มคุ้นหูกับคำว่าฮีทสโตรกมากขึ้นกันแล้วใช่ไหมคะ ฮีทสโตรกเป็นชื่อภาษาอังกฤษของโรคลมแดด หรืออาการที่เป็นลมจากอากาศร้อนจัด ร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน ร่างกายอุณหภูมิสูงขึ้น บวกกับอาการขาดน้ำที่จะมาช่วยหล่อเลี้ยงร่างกาย และช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ นอกจากนี้เป็นเพราะเราสูญเสียน้ำจากร่างกายออกไปทางเหงื่อจำนวนมาก แล้วไม่ได้ดื่มน้ำเข้าสู่ร่างกายเพื่อทดแทนเหงื่อที่เสียไป ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายช็อคจากการขาดน้ำได้เหมือนกัน
2. เพลียแดด
เพลียแดดมีอาการคล้ายลมแดด แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นมีอาการชัก หรือเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไรอาการเพลียแดดก็อันตรายไม่แพ้ลมแดดเท่าไรหรอกค่ะ เพราะอาการเพลียแดด สามารถเป็นได้ตั้งแต่ปวดศีรษะ มึนหัว บานหมุน หน้ามืด อ่อนเพลีย หมดแรง คลื่นไส้ ถึงจะยังไม่หมดสติ แต่การขาดสติสัมปชัญญะไปบางส่วน อาจเกิดอันตรายระหว่างทำงาน หรือทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอยู่ได้ เช่น เพลียแดดระหว่างทำงานกับเครื่องจักรกล หรือเพลียแดดระหว่างขับรถ น่ากลัวใช่ไหมล่ะ
3. ตะคริวแดด
ใครที่เป็นนักวิ่ง หรือชอบวิ่งออกกำลังกาย ไม่ว่าจะวิ่งตอนเช้า กลางวัน หรือเย็น ช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนจัดแบบนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องวิ่งกลางแดดอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นคุณอาจกำลังเสี่ยงต่ออาการ “ตะคริวแดด” ได้ค่ะ ซึ่งลักษณะอาการก็เหมือนกับตะคริวธรรมดาๆ กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง และรู้สึกปวด เจ็บในบริเวณที่เป็นตะคริวเป็นอย่างมากจนวิ่งต่อไปไม่ไหว อาการตะคริวที่พบมักเป็นช่วงขา แขน และหลัง หากมีอาการตะคริวแดดให้รีบหยุดวิ่ง อยู่นิ่งๆ แล้วค่อยๆ ดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำผลไม้ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย และชดเชยน้ำ และเกลือแร่ที่เสียไป หากอาการตะคริวไม่ดีขึ้นภายใน 30 นาที- 2 ชั่วโมง ควรหยุดวิ่งไปเลย 1-2 วันค่ะ
4. ผิวหนังไหม้เกรียมแดด
สาวๆ คงไม่ปล่อยให้ตัวเองผิวหนังไหม้เกรียมง่ายๆ หรอก แต่ก็ไม่แน่ใจหากสาวๆ มีแพลนจะไปลัลล้าที่ชายทะเล บางครั้งความสวยของทะเล ความสนุกของกิจกรรมต่างๆ ที่ทะเล อาจทำให้เราลืมดูแลผิว หรือลืมไปว่ากลัวผิวคล้ำดำเสีย จนไม่ได้ทาครีมกันแดด ซึ่งต่อมาก็จะเป็นสาเหตุของผิวหนังไหม้เกรียมแดด ตอนผิวลอกบางคนก็แสบ บางคนก็ไม่แสบ แต่หากใครผิวแสบก็จะโชคร้ายหน่อย เพราะนอกจากผิวจะแดดจัด ผิวบางลงจากผิวลอกแล้ว ยังต้องวุ่นวายกับการหาครีมแก้ผิวไหม้มาทากันอีก ใครที่มีผิวแสบไหม้จากแดด นอกจากเจลเย็นๆ แก้ผิวไหม้ที่มีขายตามร้านต่างๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ช่วยทำให้ผิวดีขึ้นได้นะคะ ยิ่งว่านหางจระเข้แช่เย็นด้วย ยิ่งฟินเลยขอบอก
ความรุนแรงของอาการลมแดด
- หากรู้สึกเพลีย แต่ยังมีสติ ให้รีบเข้าที่ร่ม นั่งพักในที่ๆ อากาศถ่ายเท หรือในห้องปรับอากาศ ดื่มน้ำเย็น และเช็ดตัว อาการจะดีขึ้น
- หากมีอาการตัวร้อนจัด เหงื่อไม่ออก คลื่นไ้ส อาเจียน ปวดศีรษะ เป็ลมหมดสติ อาจเป็นอาการช็อคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
การปฐมพยาบาลผู้เป็นลมแดด
- นำตัวเข้าที่ร่ม นอนราบ ยกเท้าสูง ถอดเสื้อผ้าตัวนอกออก
- เทน้ำเย็นราดลงบนตัว เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด
- ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือน้ำแข็งประคบตามซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ
- ไม่ควรใช้ผ้าเปียกคลุมตัว เพราะจะขัดขวางการระเหยออกของอุณหภูมิร้อนจากร่างกาย
- รีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
วิธีป้องกันโรคต่างๆ ที่มากับหน้าร้อน
- ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี โปร่งสบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าหนาๆ หรือสีเข้ม
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดนานๆ
- ปกป้องร่างกายจากแดดด้วยการใส่หมวก กางร่ม สวมแว่นกันแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่ต่ำกว่า 15 สามารถทาทับเพิ่มเติมได้หากเหงื่อออก หรือว่ายน้ำ
- อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ดื่มน่ำให้มากๆ ดื่มเรื่อยๆ เมื่อกระหายน้ำ
- อย่าอยู่บริเวณที่มีอากาศร้อนอบอ้าว และอากาศไม่ถ่ายเทเป็นเวลานาน เช่น ตามบ้านไม้มุงหลังคาสังกะสี ในรถที่ตากแดดนานๆ
- อย่าอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ใช้เวลาสัมผัสแสงแดดให้น้อยที่สุด หรือหากต้องทำงานกลางแสงแดดร้องเปรี้ยงจริงๆ ควรพักเข้ามาหลบอยู่ในที่ร่มบ้าง หรือทุกๆ ชั่วโมง
- หากมีอาการร้อนในร่างกาย เหงื่อไม่ออก คลื่นไส้ เวียนศีรษะ มีอาการงง พูดช้าลง เลอะเลือน เคลื่อนไหวช้า ควรรีบส่งแพทย์โดยด่วน
ร้อนนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องทำงานกลางแจ้ง หรือใครที่วางแผนอยากไปเที่ยวทะเล เที่ยวภูเขา หรือสถานที่ต่างๆ อย่าลืมดูแลตัวเอง และคนรอบข้างให้ดีๆด้วยนะคะ สิ่งสำคัญมีแค่ 2 อย่าง คือระบายความร้อนจากร่างกายให้เร็วที่สุด และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เท่านี้จะร้อนแค่ไหน เราก็รอดปลอดภัยแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
รวมคำศัพท์ “ฤดูฝน” ภาษาอังกฤษ รู้ไว้ใช้ได้ทุกสถานการณ์
ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ฤดูฝน ของไทยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่มีลมมรสุมตะวันตำเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลมร้อนชื้น พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย ปกคลุมประเทศไทยร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านบริเวณใต้ของประเทศไทย จะเลื่อนมาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุกชื้น เดือนที่มีฝนตกมากที่สุดคือ เดือนสิงหาคม
ช่วงหน้าฝนแบบนี้เลยอยากจะชวนทุกคนมารู้จักคำศัพท์ภาษาอังกฤษของตระกูล “ฝน” กันค่ะ
Rainy – wet season ฤดูฝน
Showery : ฝนตกโปรยปราย
Rainy : ฝนตก
Drizzly : ปรอยๆ
Rain shadow : เขตเงาฝน,มีฝนตกน้อย
Rainbow : สายรุ้ง
Rainy season : ฤดูฝน
Thunder : ฟ้าร้อง
Thunderstorm : พายุฝนฟ้าคะนอง
Dew : น้ำค้าง
Downpour : ฝนตกหนักมาก
Flood : น้ำท่วม
Humid : ชื้น
Isolated rain : ฝนตกบางพื้นที่
Light rain : น้ำฝนเล็กน้อย
Thunderbolt : ฟ้าผ่า
Moderate rain : น้ำฝนปานกลาง
Widely scattered rain : ฝนตกกระจาย
Widespread rain : ฝนตกทั่วไป
Damp : ฝนจางๆ ที่ทำให้เปียกเล็กน้อย
Shower : ฝนตกเป็นระยะๆ
Rain : ฝนตก
Downpour : ฝนที่ตกอย่างหนัก
Pour : ฝนตกหนัก
Torrential rain : ฝนตกหนักมาก
Flood : น้ำท่วม
Idiom สำนวน เกี่ยวกับฝน)
It is spitting. : (ฝนปรอย เม็ดเล็ก ๆ)
It is drizzling. : (ฝนปรอย)
It is bucketing down. : (ฝนตกหนัก)
It is pouring down/rain. : (ฝนตกหนัก)
It is lashing. : (ฝนตกหนัก)
It is raining on and off. : (ฝนตกเป็นพัก ๆ เดี๋ยวตก เดี๋ยวหยุด)
It’s raining cats and dogs. : เป็นสำนวนหมายถึง ฝนตกหนักมาก เหมือนฟ้ารั่ว
คำศัพท์พยากรณ์อากาศ
temperature : อุณหภูมิ
Degrees Fahrenheit : องศาฟาเรนไฮต์
Degrees Celsius : องศาเซลเซียส
Degrees Centigrade : องศาเซนติเกรด
Hot : ร้อน
Warm : อบอุ่น
Cool : เย็น
Chilly : เยือกเย็น
Cold : หนาว
Freezing : จุดเยือกแข็ง
Below freezing : ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
Five (degree) below (zero) : -5 องศาฟาเรนไฮต์
Minus twenty (degrees) : -20 องศาเซนเซียส
ขอบคุณข้อมูลจาก pptvhd36.com
รมว.ประเสริฐ เผยศูนย์ AOC 1441 ระงับบัญชียึดเงินทันเกือบ 2 พันล้าน
รมว. ประเสริฐ เผยเดือนมกราคม 2567 ศูนย์ AOC 1441 สามารถระงับบัญชีเฉลี่ย 9 นาที ช่วยยึดเงินให้ผู้เสียหายทัน 56% คิดเป็นเงิน 1,934 ล้านบาท
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยถึงผลการทำงานของ AOC 1441 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC )
- ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 31 มกราคม 2567 ประชาชนติดต่อ 307,515 สาย
- และ AOC 1441 ช่วยระงับ/อายัด บัญชีแล้ว 39,918 บัญชี
- โดยในเดือน มกราคม 2567 ใช้เวลาเฉลี่ย 9 นาที ต่อการระงับบัญชี
นอกจากนี้ จากข้อมูลของ ตำรวบไซเบอร์ ในเดือน มกราคม 2567 จำนวนเงินที่ประชาชนขอระงับ/อายัด 3,408 ล้านบาท อายัดได้ 1,934 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 56.7 เทียบกับเดิม ก่อนมีศูนย์ 1441 สถิติ ระงับ/อายัดได้เพียง ร้อยละ 11 (1 มี.ค. 2565 – 30 ก.ย. 2566 ขอระงับ/อายัด 11,252 ล้านบาท อายัดได้ 1,316 ล้านบาท)
สำหรับ TOP 5 การระงับ/อายัดบัญชีแยกตามประเภทคดีออนไลน์ และร้อยละ ของจำนวนบัญชีที่ระงับ/อายัดทั้งหมด (1 พ.ย. 66 – 31 ม.ค. 67)
1.หลอกลวงซื้อขายสินค้า ระงับ 17,954 บัญชี คิดเป็น 44.9 % ของจำนวนบัญชีที่ระงับ/อายัดทั้งหมด
2.หลอกลวงรายได้พิเศษ ระงับ 5,340 บัญชี คิดเป็น 13.3 %
3.หลอกลวงลงทุน ระงับ 3,733 บัญชี คิดเป็น 9.3%
4.หลอกลวงให้กู้เงิน ระงับ 3,353 บัญชี คิดเป็น 8.4%
5.หลอกลวง ข่มขู่ให้โอนเงิน ระงับ 2,462 บัญชี คิดเป็น 6.2%
ภาพรวมการดำเนินงานศูนย์ 1441 น่าพอใจ สามารถช่วยประชาชนได้เป็นจำนวนมาก การทำงานร่วมกับ ตำรวจ สมาคมธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการมือถือ สามารถระงับ/อายัดบัญชีได้รวดเร็ว และทำการขยายผลจับกุมดีขึ้น อย่างไรก็ตามในระยะต่อไปตำรวจ ต้องเร่งขยายผลจับกุมดำเนินคดี จากข้อมูล บัญชีม้า (บัญชีที่คนร้ายใช้สำหรับการรับโอนเงิน) และเส้นทางการเงิน หมายเลขโทรศัพท์ที่เชื่อมโยงกับบัญชี เป็นต้น
“นายกฯ เศรษฐา มีความห่วงใย ต่อผู้เสียหายจากโจรออนไลน์ ได้สั่งการให้ ดีอี ทำงานเชิงรุก ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ได้จัดตั้ง ศูนย์ AOC 1441 ขึ้น ในวันที่ 1 พ.ย. 2566 ซึ่งในภาพรวม มีการทำงานดีขึ้นมาก โดยในเดือน มกราคม 2567 ใช้เวลาในการอายัดบัญชีลดลงเหลือ เฉลี่ย 9 นาที และทำการอายัด ได้ถึง 500 บัญชีต่อวัน ช่วยให้อายัดเงินทันถึง ร้อยละ 56.7 จากก่อนมีจัดตั้งศูนย์ 1441 ที่อายัดทันเฉลี่ย ร้อยละ 11 ผม (รมว. ดีอี) มั่นใจว่า 1441 ช่วยแก้ปัญหาภัยออนไลน์ให้ประชาชนได้ ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้บังคับใช้กฎหมาย สามารถดำเนินคดี หาตัวผู้กระทำความผิดได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น”
ด้าน นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี กล่าวเสริมว่า เป้าหมายของศูนย์ AOC 1441 คือ
1.อายัดบัญชีของคนร้าย ให้ผู้เสียหายทันที
2.ติดตามสถานะ การแก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหาย
3.เร่งการคืนเงินให้ผู้เสียหาย
4.เพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม ดำเนินคดีและการขยายผลคดี โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยงานบูรณาการข้อมูล และร่วมทำงานทันทีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย
สำหรับศูนย์ AOC 1441 โทร.ปรึกษาได้ตลอด 24 ชม. จัดตั้งขึ้นเพื่อให้มีการบูรณาการในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ให้บริการ one stop service แก่ประชาชน ช่วยดำเนินการ ระงับ/อายัดบัญชี ได้ทันที รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับภัยออนไลน์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิธีชะลอเวลาน้ำแข็งละลาย เก็บความเย็นได้นาน แม้อากาศร้อนอบอ้าว
อากาศร้อนอบอ้าวทีไร ถ้าได้เครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วก็ช่วยให้ชื่นใจ ดับกระหายได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือซื้อน้ำแข็งใส่กระติกเก็บไว้ที่บ้าน เวลาผ่านไปไม่นานน้ำแข็งก็ละลาย เปิดฝากระติกอีกทีจากน้ำแข็งก้อนกลายเป็นน้ำแล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้น้ำแข็งคงความเย็น คงสภาพความเป็นน้ำแข็งไม่ละลายไปเสียก่อน เรามีวิธีทำให้น้ำแข็งละลายช้ามาแนะนำ
5 วิธีทำให้น้ำแข็งละลายช้า
- เหลือน้ำก้นกระติกไว้
ปกติเมื่อเรานำน้ำแข็งใส่ในกระติก แล้วน้ำแข็งเริ่มละลายกลายเป็นน้ำ เราก็จะเทน้ำในกระติกทิ้งจนเกลี้ยงและเหลือไว้แต่น้ำแข็ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แนะนำให้เหลือน้ำทิ้งไว้ที่ก้นกระติก เพื่อรักษาความเย็นให้ภาชนะและทำให้น้ำแข็งละลายช้าลง - แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์
แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์นั้นถือเป็นของใช้มากประโยชน์ ซึ่งปัญหาน้ำแข็งละลายเร็วนั้นสามารถแก้ได้ด้วยการนำแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ปูรองไว้ในภาชนะที่ใส่หรือห่อน้ำแข็ง
- เลี่ยงแช่ของไม่เย็น
ทราบหรือไม่ว่าหากนำของไม่เย็นไปแช่ อุณหภูมิปกติของพื้นผิวภาชนะเครื่องดื่มเหล่านั้นนอกจากจะทำให้เครื่องดื่มนั้นเย็นช้าลงแล้ว ยังส่งผลทำให้น้ำแข็งนั้นละลายเร็วขึ้นอีกด้วย - เกลือ
หากต้องการให้น้ำแข็งละลายช้าลง เพียงโรยเกลือลงในน้ำแข็งที่ต้องการแช่ ด้วยคุณสมบัติของเกลือจะช่วยลดอุณหภูมิของน้ำแข็งให้นานขึ้น - กล่องโฟม
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแช่เย็นอาหาร เครื่องดื่มต่างๆ อยู่แล้ว เพราะเนื้อโฟมช่วยรักษาความเย็นได้ แต่ก็ได้แค่ในระดับหนึ่ง หากต้องการให้น้ำแข็งละลายช้าลงอาจลองก้นโฟมด้วยกระดาษฟอยล์ก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 29/02/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 34,550.00 | 34,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,238.00 | 33,928.08 | 35,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,014.20 | 30,535.27 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,790.40 | 27,142.46 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,007.00 | 15,266.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 783.00 | 11,870.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,319.00 | 35,156.04 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/02/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.45 | 38.45 | 38.95 | 38.45 | 38.45 | 38.45 | 38.45 | 38.45 | 38.45 | 38.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.68 | 36.68 | 37.18 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.34 | 36.34 | 36.88 | 36.34 | 36.34 | – | 36.34 | 36.34 | 36.34 | 36.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.09 | 36.09 | – | – | – | – | – | – | – | 36.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.84 | 49.44 | 49.44 | 49.44 | – | – | – | – | – | 45.84 |
เบนซิน 95 | 46.34 | – | – | – | 47.51 | – | 46.84 | 46.49 | – | 46.34 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.84 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |