‘ไอบีเอ็ม’ ถอดรหัสลงทุน ‘AI’ กุญแจขับเคลื่อนยุคใหม่ธุรกิจ
- เทคโนโลยีไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ
- ซีอีโอมองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่สร้างพลังเปลี่ยนแปลง โอกาสการพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวกระโดด และรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตธุรกิจในอนาคต
- การนำ Gen AI มาใช้อันเป็นผลพวงจากการถูกประโคมพูดถึงจะตามมาด้วยวิกฤติ trough of disillusionment
- ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรก้าวนำในสมรภูมิ AI มี 4 ด้าน ประกอบด้วย โมเดล AI แบบโอเพนซอร์ส, รากฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้, การสเกลด้วย Governance, และการอินทิเกรททั่วทั้งระบบนิเวศน์ (Ecosystem integrations)
- ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีมีโจทย์ที่ต้องแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนต่อการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจและการบริหารค่าใช้จ่ายเมื่อตัดสินใจลงทุนเทคโนโลยี
ถอดรหัสการลงทุน “AI” เมกะเทรนด์สะเทือนโลกธุรกิจ มาพร้อมคำถามและความท้าทาย ทั้งการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ความคุ้มค่าลงทุน การเลือกใช้เครื่องมือ รวมถึงประเด็นอ่อนไหวการกำกับดูแลและการใช้ข้อมูล
“ไอบีเอ็ม” ร่วมกับ “กรุงเทพธุรกิจ” จัดงาน AI FOR BUSINESS : Accelerate Automation and Optimize Cloud Costs เสวนาแบบเอ็กซ์คลูซีฟ มีผู้บริหารจาก “ไอบีเอ็ม” และ “เอไอเอส” ร่วมเปิดมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนเทคโนโลยี แนวคิดที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจบริหารต้นทุนอย่างคุ้มค่า พร้อมคว้าโอกาสที่มีอยู่มหาศาลในโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ
“อโณทัย เวทยากร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย แสดงวิสัยทัศน์ว่า AI มาพร้อมความสามารถการเพิ่มประสิทธิภาพและขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันอาจเป็นฝันร้ายที่สร้างความเสี่ยงต่อรากฐานที่มีอยู่เดิม
ผลสำรวจระดับโลก ไอบีเอ็ม พบว่า ซีอีโอเกินกว่าครึ่งมองเห็นถึงโอกาสที่มาจากเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ ทว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและความชัดเจนถึงผลตอบแทนที่จะรับได้รับจากการลงทุนทำให้ผู้บริหารหลายรายยังลังเล ไม่กล้าตัดสินใจ
นอกจากนี้ มีความกังวัลเรื่องความเป็นส่วนตัว การกำกับดูแล รวมถึงความท้าทายอีกหลายประการที่มาพร้อมกับการลงทุน AI ไม่แน่ใจในการเลือกใช้เครื่องมือที่จะทำให้เกิดประโยชน์ และเข้ากับบริบทธุรกิจ รวมถึงไม่สามารถระบุได้ชัดเจนถึงประโยชน์ที่จะได้รับว่าจะเข้ามาดิสรัปธุรกิจหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร
อย่างไรก็ดี ซีอีโอกว่า 62% พร้อมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อรักษาความได้เปรียบการแข่งขัน มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่สร้างพลังเปลี่ยนแปลง โอกาสการพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวกระโดด และรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตธุรกิจในอนาคต
สถาบันการศึกษาคุณค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBV) ระบุว่า Gen AI ช่วยให้ ROI ของ AI ทะยานขึ้นจาก 13% ในปี 2565 ไปเป็น 31% ในปี 2566
สตาทิสต้า คาดการณ์ว่า ขนาดตลาด Gen AI ในประเทศไทยจะโตถึง 179.50 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 และจะโตเฉลี่ย 46.48% ต่อปี จนมีขนาด 1,773 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2573
ระวัง !! วิกฤติ ‘ความผิดหวัง’
แม้จะพิสูจน์แล้วว่า AI สร้างประโยชน์ให้องค์กรธุรกิจได้มหาศาล แต่ยังมีความไม่เชื่อมั่นอยู่ ไอบีเอ็ม พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของซีอีโอที่สำรวจระบุว่า กังวลเกี่ยวกับความถูกต้องและอคติของ Gen AI
การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่าการนำ Gen AI มาใช้ อันเป็นผลพวงจากการถูกประโคมพูดถึง (hype-driven adoption) จะตามมาด้วย “วิกฤติต่ำสุดของความผิดหวัง (trough of disillusionment)” ที่องค์กรจะเริ่มถอยห่างจากความซับซ้อนที่ต้องเผชิญในการนำ Gen AI มาใช้ในฟังก์ชันหลักต่างๆ ทางธุรกิจ
ตามรายงานการ์ทเนอร์ในปี 2568 โครงการ Gen AI 30% จะถูกปล่อยทิ้ง หลังได้เริ่มทำ proof of concept ไปแล้ว
ไอบีเอ็ม พบว่า 45% ขององค์กรในอาเซียนยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่พร้อมรองรับ AI อีกทางหนึ่ง 65% ของซีไอโอไทยระบุว่า ความเสี่ยงเชิงเทคนิคและสถาปัตยกรรมไอทีของตน มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่ตนใช้บริการอยู่ เช่น เรื่องเวนเดอร์ล็อกอินของผู้ให้บริการคลาวด์
อีกทั้ง 55% ของผู้บริหารด้านเทคโนโลยีในไทย กล่าวว่า กำลังชะลอลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างน้อยหนึ่งโครงการจนกว่าจะชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรฐานและกฎข้อบังคับต่างๆ
เริ่มต้นจากโมเดลเล็กๆ
เอ็มดี ไอบีเอ็ม กล่าวว่า เพื่อรับมือความซับซ้อนเทคโนโลยี การจัดการข้อมูล และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนซีอีโอต้องสร้างสมดุลระหว่างความกล้าหาญและความระมัดระวัง เตรียมความพร้อมพนักงาน ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดจาก AI พร้อมกำหนดกลไกควบคุมที่เหมาะสม
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรก้าวนำในสมรภูมิ AI มี 4 ด้าน ประกอบด้วย โมเดล AI แบบโอเพนซอร์ส (Open-source AI models), รากฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้ (Trusted data foundation), การสเกลด้วย Governance (Scaling with governance), และการอินทิเกรททั่วทั้งระบบนิเวศน์ (Ecosystem integrations)
ไอบีเอ็ม แนะนำการลงทุนด้วยโมเดลAI “GRANITE 3.0” เล็กกว่าเร็วกว่า และถูกกว่า 97% วันนี้ธุรกิจเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มองว่าโมเดล AI ขนาดใหญ่คือ AI ที่มีความสามารถมากกว่า โดยเริ่มมีความเข้าใจว่าเทคโนโลยี LLM ที่มีขนาดใหญ่ย่อมต้องการใช้พลังงานสูง กลายเป็นเรื่องที่จะเป็นภาระที่ไม่สมเหตุสมผลในระยะยาวขององค์กร
ในความเป็นจริงยิ่งโมเดลมีขนาดใหญ่ ยิ่งต้องการทรัพยากรประมวลผลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ต้นทุนค่าใช้จ่าย การใช้พลังงาน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น
‘คุ้มแค่ไหน?’ คำถามที่ยังรอคำตอบ
ทารุน กุมาร กัลรา รองประธานและหัวหน้าฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Apptio ในเครือไอบีเอ็ม กล่าวว่า หากมองถึงบทบาทและความท้าทาย ซีไอโอ จะพบว่า ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีมีโจทย์ต้องแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนต่อการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจและการบริหารค่าใช้จ่ายเมื่อตัดสินใจลงทุนเทคโนโลยี
การสำรวจพบว่า 73% ของซีไอโอ ไม่มั่นใจในบทบาทที่พวกเขาต้องเพิ่มคุณค่าให้องค์กร ทั้งยังต้องรับมือกับประเด็นความท้าทายการดำเนินงาน การเติบโต และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล แม้งบประมาณจะไม่เพิ่มขึ้นและหลายกรณีจำต้องตัดงบบางส่วนออกไป
มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นกับธุรกิจและผลตอบแทนที่องค์กรจะได้รับจากการลงทุนเป็นโจทย์ที่ท้าทายของทุกธุรกิจเมื่อต้องตัดสินใจลงทุนด้านเทคโนโลยี
ที่ผ่านมา ซีไอโอต้องคอยตอบคำถามจากฝ่ายบริหารถึงประเด็นเหล่านี้ รวมถึงภาพที่ชัดเจนซึ่งธุรกิจจะได้รับกลับคืนมา อีกทางหนึ่งการตัดสินใจลดต้นทุนในบางกิจกรรมที่คิดว่าจำเป็นน้อยกว่ามีโอกาสทำให้เกิดปัญหาซึ่งต้องยอมรับว่าไม่มีใครทราบว่าการตัดสินใจนั้นๆ ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่
ต้องออกจาก ‘กรอบ’ เดิมๆ
เขาเผยว่า เป็นเรื่องปกติที่องค์กรจะพบปัญหาการสูญเปล่าเมื่อลงทุนเทคโนโลยี เช่น ผลสำรวจโดยการ์ทเนอร์ที่เผยว่า 30% ของค่าใช้จ่ายบนคลาวด์มักถูกใช้อย่างสูญเปล่า
ดังนั้น ซีไอโอมีความท้าทายมากที่ต้องจัดการค่าใช้จ่ายบนคลาวด์และการลงทุน AI เรื่องนี้ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ที่สำคัญสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์
เพราะการลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะลงทุนในระบบคลาวด์ที่เปลี่ยนแปลงและซับซ้อนสูง การพึ่งพารายงานรายเดือนเพื่อตัดสินใจถือว่าไม่เพียงพอ และอาจทำให้องค์กรสูญเสียเงินไปโดยไม่จำเป็น
พร้อมกันนี้ องค์กรต้องมีความสามารถปรับตัวให้ทันกับความเร็วของการเปลี่ยนแปลง รวบรวมข้อมูลได้อย่างทันท่วงทีและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ไอบีเอ็มมีเครื่องมือที่ช่วยลดการสูญเปล่าดังกล่าว และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีได้อย่างน้อย 3-5% ทั้งช่วยให้มองเห็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีทั้งระบบคลาวด์และระบบในองค์กร แก้ปัญหาการทำงานแบบไซโล การขาดคุณภาพของข้อมูล และข้อจำกัดด้านงบประมาณ
มุมมอง ‘เอไอเอส’ กับกลยุทธ์ ‘FinOps’
“อราคิน รักษ์จิตตาโภค” หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานขับเคลื่อนนวัตกรรม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองเกี่ยวกับการจัดการงบประมาณและกลยุทธ์การลงทุนเทคโนโลยีว่า เทคโนโลยีไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ
โดยเฉพาะการพัฒนาเครือข่าย 5G และการนำเทคโนโลยีต่างๆ อย่าง AI, Cloud Computing และ Edge Computing มาช่วยขยายโอกาสธุรกิจการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ ที่ไม่จำกัดแค่หน่วยเดียวอีกต่อไป เช่น ระบบชำระเงินผ่านมือถือ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากธุรกิจหลายประเภท ตั้งแต่ค้าส่ง รายย่อย ไปจนถึงดิจิทัล
นอกจากนี้ อราคิน ยังมองว่า AI เป็นเหมือน “มือขวา” ที่คอยจัดการทรัพยากรออนไลน์อย่างชาญฉลาด ทำให้ธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดงบประมาณ
ลองนึกถึงระบบชำระเงินผ่านมือถือ ที่นี่จะมีการทำงานร่วมกันอย่างซับซ้อนระหว่างธุรกิจหลายประเภท ธุรกิจค้าส่งจะออกแบบระบบการเงิน ธุรกิจรายย่อยจะดูแลการติดต่อกับลูกค้า ขณะที่ธุรกิจดิจิทัลจะสร้างแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน AI ไม่ใช่แค่มาช่วยทำงานให้เร็วขึ้น แต่มันยังเหมือนเป็นมือขวาที่คอยจัดการทรัพยากรออนไลน์ให้เราอย่างฉลาด เรียกว่าใช้งบน้อยลง แต่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ราวกับว่ามีผู้จัดการที่คอยวางแผนและคิดคำนวณให้เราตลอดเวลา ทำให้ธุรกิจวิ่งได้เร็วและคล่องตัวขึ้นนั่นเอง
การจัดสรรต้นทุนผ่าน FinOps
สำหรับวิธีจัดการต้นทุนเทคโนโลยีของเอไอเอส คือ บริษัทได้ออกแบบโครงสร้างการทำงานอย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็นสองส่วนหลัก คือ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ซึ่งมุ่งเน้นแก้ปัญหาและพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ และฝ่ายปฏิบัติการ ที่มีทีม FinOps (Financial Operations) คอยควบคุมดูแลค่าใช้จ่าย
โดยการทำงานจะใช้วิธีการแบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง และสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนได้ตามความเหมาะสม เช่น การแบ่งค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานระหว่างธุรกิจต่างๆ เช่น ในสัดส่วน 30-40%
หลักการสำคัญของ FinOps คือ การทำให้องค์กรสามารถเห็นภาพรวมค่าใช้จ่ายทางเทคโนโลยีอย่างโปร่งใสและควบคุมได้ ไม่ใช่แค่การตัดลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการสร้างมูลค่าสูงสุดจากการลงทุนด้านดิจิทัล ทีมงาน FinOps จะทำหน้าที่เสมือนนักวางแผนทางการเงินที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
บริษัทกำลังสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยทีม FinOps ทำหน้าที่สร้างความตระหนักรู้ กำหนดเป้าหมายทางการเงินประจำปี และกระจายความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายไปยังแต่ละหน่วยธุรกิจ สำหรับบริการที่ใช้ร่วมกัน บริษัทยังใช้วิธีการจัดสรรต้นทุนตามสัดส่วนการใช้งาน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คนไทยหัน ‘เช่า’ บ้าน-คอนโด อสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวบูม ภูเก็ตเนื้อหอมสุด
ปี 2567 เป็นอีกปีที่ท้าทายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ กำลังซื้อผู้บริโภคเปราะบาง โดยเฉพาะระดับ “กลาง-ล่าง” ฐานใหญ่ของการซื้อที่อยู่อาศัย หนี้ครัวเรือนสูง ซ้ำแบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ส่วนอัตราดอกเบี้ย ยังอยู่ในระดับที่สูง
ปัจจัยข้างต้นทำให้ “อสังหาริมทรัพย์” ถูกหลายภาคส่วนมองว่าอยู่ในสถานการณ์ “วิกฤติ” มากน้อยแตกต่างกันไป แม้จะมีมรสุมรุมเร้า แต่ที่อยู่อาศัย คือ หนึ่งในปัจจัยสี่ สำคัญต่อการดำรงชีวิต ความฝันสูงสุดของใครหลายคนคือการมี “บ้าน-คอนโดมิเนียม” ครอบครองพักอาศัย ตลอดจน “ลงทุน” สร้างผลตอบแทน
“ลิฟวิ่ง อินไซเดอร์” (Living Insider) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีผู้ซื้อผู้ขาย นายหน้า ผู้บริโภคเข้าไปใช้บริการ โดยแต่ละเดือนมีผู้เข้าเยี่ยมเยือน (Visitor)ราว 5 ล้านรายต่อเดือน
แพลตฟอร์มยังเก็บข้อมูล (Data) ในฝั่งผู้บริโภคค่อนข้างมาก หรือ Demand Data ทำให้รู้ความต้องการเชิงลึก (Insight) ของคนต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เห็นเทรนด์ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ภูวนัย ภัทรโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลิฟวิ่ง อินไซเดอร์ จำกัด เปิดเผยในงาน NEXT 7.0 Conference ว่าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังซื้อของผู้บริโภคระดับกลางและล่างชะลอตัว ทำให้เกิดข้อถกเถียงถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในเวลานี้ จะเลือกเปย์เงินเพื่อ “ซื้อ” หรือ “เช่า” ที่อยู่อาศัย จะบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือ คอนโดมิเนียม
เศรษฐกิจไม่ดีคน“เช่า”ที่อยู่อาศัยมากกว่า“ซื้อ”
ทว่า สถิติข้อมูลหรือ Data จาก Living Insider พบว่า ปี 2567 ผู้บริโภคค้นหาการ “เช่า” ที่อยู่อาศัย 57 ล้านวิว เติบโตขึ้น 13% เทียบปี 2566 ขณะที่การค้นหาเพื่อ “ซื้อ” กลับอยู่ที่ 47 ล้านวิว “ลดลง 20% เทียบปี 2566
“ด้วยเศรษฐกิจและวิธีคิดของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน จะมองหาการเช่าที่อยู่อาศัยมากกว่าซื้อ ทำให้การค้นหาการเช่าเติบโต ขณะเดียวกันหลายคนมองอสังหาวิกฤติ ไม่จำเป็นต้องซื้อ แต่หากโครงการพัฒนาบนทำเลดี ยังปล่อยเช่าได้ดีมาก ถึงขั้นสต๊อกขาดตลาด เพราะยังมีลูกค้าบางส่วนมองอสังหาฯ เป็นการลงทุนที่ดีด้วย”
คอนโดในเมือง ที่อยู่อาศัยในฝัน
สำหรับเทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัยปี 2567 พบว่าผู้บริโภคมองทำเลในเมือง จะหาคอนโดมิเนียมสัดส่วน 74% และบ้านสัดส่วน 26% เมื่อเจาะลึกการเลือกคอนโดในเมือง ยังเทใจให้รูปแบบ 1 ห้องนอนมากสุดสัดส่วน 63% ตามด้วย 2 ห้องนอน 24% และห้องสตูดิโอ 10% ยังเทน้ำหนักให้การเช่า 55% และซื้อ 45%
“การค้นหาคอนโดในเมืองสัดส่วนที่สูงเป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว และคนค้นหาคอนโดรูปแบบ 1 ห้องนอนจริงๆ ที่ไม่ใช่สตูดิโอ หรือมีกระจก บานเลื่อนกั้น คนเริ่มสนใจพื้นที่ใช้สอยส่วนตัวมากขึ้น เว้นมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ จะเลือกห้องสตูดิโอ แม้คนจะสนใจการเช่าคอนโดอยู่ แต่ระหว่างค้นหาเพื่อเช่า ยังอาจเปลี่ยนใจไปสู่การซื้อได้ด้วย”
ขณะที่การค้นหาโครงการแนวราบ “บ้านเดี่ยว” สัดส่วนสูงสุด 62% และทาวน์โฮม 38% เป็นการเช่า 63% และซื้อ 37%
“ปีนี้เทียบกับปีก่อน คนมองหาการเช่ามากกว่าซื้อ ซึ่งสะท้อนบ้านบางเซ็กเมนต์ได้รับผลกระทบ”
กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการซื้อส่วนหนึ่งมาจากแบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย การโดนปฏิเสธสินเชื่อ กู้ไม่ผ่าน หนี้ครัวเรือนสูงด้วย
อย่างไรก็ตาม ราคาซื้อ-ขาย ส่วนใหญ่ที่ผู้บริโภคมองหา หากเป็น “บ้านในเมือง” ราคาอยู่ระดับ 12.3 ล้านบาท นอกเมืองราคา 4.6 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมในเมือง ราคา 6.8 ล้านบาท และคอนโดนอกเมือง ราคา 3.2 ล้านบาท ส่วน “ราคาเช่า” บ้านในเมือง ราคาราว 4.5 หมื่นบาท บ้านนอกเมือง ราคาราว 2.3 หมื่นบาท ด้านคอนโดในเมือง ราคาราว 1.4 หมื่นบาท และคอนโดนอกเมือง ราคาราว 7,400 บาท
“บ้านในเมืองราคาเกิน 10 ล้านบาท เพราะไม่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ส่วนคอนโดไม่มีต่ำกว่า 5 ล้านบาทแล้ว เว้นห้องสตูดิโอ เพราะที่ดินในเมือง ต้นทุนไม่สอดคล้องให้สร้างห้องขนาดเล็ก และคนก็ไม่อยากซื้อ ตอนนี้คอนโดในเมืองราคาอยู่ระดับ 1.5 แสนบาทต่อตารางเมตร”
ทำเล“บางนา”กำลังเจิดจรัส
สำหรับทำเลที่อยู่อาศัยมาแรง คอนโดมิเนียม 5 โลเกชั่นฮอต หนีไม่พ้น อโศก ทองหล่อ เอกมัย 15% ตามด้วยพระราม 9 10% อ่อนนุช-ปุณณวิถี 9% รัชดาภิเษก-ห้วยขวาง 5% และห้าแยกลาดพร้าว 4%
ส่วนทำเลบ้านโดดเด่น ได้แก่ พัฒนาการ ศรีนครินทร์ กรุงเทพกรีฑา 9% ตามด้วย รามอินทรา – วัชรพล สายไหม – หทัยราษฎร์ 8% บางนา กม.7 ม.รามคำแหง 2 เมกา บางนา 7% ปทุมธานี รังสิต ลำลูกกา 6% และนนทบุรี บางใหญ่ บางบัวทอง 5%
“ทำเลคอนโดที่คนมองว่าแพง แต่ไม่ค่อยค้นหา คือ สาทร ไม่เคยติดอันดับ เพราะส่วนใหญ่มองว่าเป็นแหล่งอาคารสำนักงาน คอนโดปล่อยเช่ายาก ส่วน 5 ทำเลทอง ยังไงก็ยังมีคนซื้อ เช่าและขายต่อ รัชดาคนมองว่าที่อยู่อาศัยจำนวนมาก แต่อ่อนนุช คนค้นหามากกว่า ห้าแยกลาดพร้าวมีโครงการคอนโดจำนวนมาก ฮอตทั้งเช่าและขายต่อ เพราะการเดินทางเชื่อมต่อ สะดวก ยังมีห้างค้าปลีกรองรับไลฟ์สไตล์ด้วย ส่วนบ้าน ทำเลบางนามาแรงมาก และคนค้นหามากทั้งเช่า ซื้อ และซื้อต่อ”
ภูเก็ต เนื้อหอมสุดในช่วง 1-2 ปี
ต่างจังหวัด ทำเลที่กำลังมา อันดับแรกคือ ชลบุรี พัทยา ศรีราชา 38% เพราะมีความครบครันของเมือง ตามด้วยเชียงใหม่ 17% ประจวบคีรีขันธ์ หัวหิน 11% ภูเก็ต ป่าตอง 6% และขอนแก่น 5%
“ภูเก็ต ป่าตอง มาแรงมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่ดินแพงมาก บางทำเลราคาพอๆกับย่านทองหล่อ จาก 4-5 ปีก่อนหน้านี้ ภูเก็ตไม่ติดอันดับการค้นหา”
ปิดท้าย 4 เทรนด์ถูกใจคนรุ่นใหม่ ได้แก่ 1.การเช่าระยะสั้น เช่น 1 เดือน 3 เดือน สร้างประกาศเพิ่มขึ้น 66% และค้นหาประกาศเพิ่มขึ้น 14% จากเดิมผู้ปล่อยเช่าบนแพลตฟอร์ม Living Insider จะปล่อยเช่าระยะยาว 1 ปีเท่านั้น 2.ที่อยู่อาศัยอนุญาตให้สัตว์เลี้ยง(Pet Friendly) เพราะอยู่คนเดียวแล้วเหงา การเป็นโสดมากขึ้น จึงขออยู่กับน้องหมาแมว ทำให้สร้างประกาศเพิ่ม 60% และค้นหาประกาศ 25% 3.บ้านหรูแพงแรงไม่แผ่ว โดยคนมองหาบ้านในเมืองราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป 69% ส่วนบ้านนอกเมืองราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป 34% สูงสุด
และ4.แบรนด์มีบทบาทต่อการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยกลุ่มที่มองหา “การเช่า” แบรนด์ เอพีมาที่หนึ่ง ตามด้วยสนสิริ และอนันดา คือ 3 อันดับแรก ส่วนมองหา “ซื้อ” อันดับ 1 คือ แสนสิริ ตามด้วยเอพี และอนันดาฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 29พ.ย. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์
ค่างินบาทอาจมีโซนแนวรับถัดไปแถว 34.20 บาทต่อดอลลาร์อาจแข็งค่าค่อยเป็นค่อยไป เหตุยังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนรวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำและน้ำมันดิบ มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.25-34.45 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 29พ.ย. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai Global Market ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามีความมั่นใจต่อ Call USDTHB Short-term Peak แถว 35 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน มากขึ้น หลังเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 34.40 บาทต่อดอลลาร์
ทำให้ในเชิงกลยุทธ์ Trend-Following นั้นหากใช้สัญญาณจาก SuperTrend (KivancOzbilgic) จะสะท้อนว่า เงินบาทมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ โดยเงินบาทอาจมีโซนแนวรับถัดไปแถว 34.20 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไปได้ เนื่องจากเรายังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากผู้เล่นในตลาด รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบในช่วงนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไปได้ เนื่องจากเรายังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากผู้เล่นในตลาด รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบในช่วงนี้
ทั้งนี้ เรามองว่า ในเชิงกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงนั้น หากเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ฝั่งผู้ส่งออกที่มีความจำเป็นในระยะสั้น อาจพิจารณารอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงบ้างในการทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือ ปิดความเสี่ยง (Sell USD on Rally) เนื่องจากเราประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น และอาจแกว่งตัวในโซน 34 บาทต่อดอลลาร์
หรือแข็งค่าขึ้นมากกว่านั้นได้บ้าง ในช่วงเดือนธันวาคม จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ เมื่อตลาดเริ่มกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งหากการประเมินของเรานั้นถูกต้อง
อีกทั้งเงินบาทก็เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับสัญญาณ SuperTrend เรามองว่า ฝั่งผู้นำเข้าก็อาจรอจังหวะปิดความเสี่ยงได้ โดยอาจจับตาการเคลื่อนไหวของเงินบาทในโซนแนวรับ เช่น โซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ โซนแนวรับถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นต้น
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.25-34.45 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ใกล้โซนแนวรับ 34.40 บาทต่อดอลลาร์ (กรอบการเคลื่อนไหว 34.37-34.47 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้น หลุดโซนแนวรับ 34.40 บาทต่อดอลลาร์ เพียงไม่นาน ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเราประเมินว่า เป็นไปตามการทยอยปิดสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดเนื่องจากในช่วงเป็นช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ในฝั่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ที่ได้อานิสงส์จากการพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดหุ้นยุโรป ทั้งนี้ เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดช่วงปลายเดือน อีกทั้งเรายังคงเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบได้ทยอยปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ในช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นหลุดโซน 151 เยนต่อดอลลาร์ โดยส่วนหนึ่งมาจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาทิ ข้อมูลการจ้างงาน (Jobs/Applications ratio) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของกรุงโตเกียว ที่ออกมาดีกว่าคาด
รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) ซึ่งขยายตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทำให้ผู้เล่นในยังคงคาดหวังว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ได้
และอาจเป็นผลของการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดช่วงนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่นดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนเงินบาทในช่วงเช้านี้เช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Thanksgiving ก่อนที่จะกลับมาเปิดทำการเพียงครึ่งวันในวันศุกร์นี้ โดยสัญญาณจากตลาดฟิวเจอร์สสะท้อนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นต่อได้ ซึ่งล่าสุดสัญญาฟิวเจอร์สดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +0.24%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.46% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ ASML +2.4% หลังผู้เล่นในตลาดมองว่า การควบคุมการส่งออกชิปของสหรัฐฯ ไปจีนนั้นอาจรุนแรงน้อยกว่าที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า
นอกจากนี้ หุ้นที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการทหารและการบินก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่ อาทิ Airbus +4.1%, Rolls Royce +1.1% หลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงดำเนินต่อไป โดยล่าสุดทางการสหรัฐฯ ได้เตรียมส่งมอบอาวุธให้กับยูเครนเพิ่มเติม ก่อนที่รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะหมดวาระลงในเดือนมกราคมปีหน้า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down กดดันโดยการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ของสหรัฐฯ รวมถึงการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก
อาทิ เงินยูโร (EUR) ที่ได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 106.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.1-106.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าการซื้อขายโดยรวมจะเบาบางลงบ้าง ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุด Thanksgiving ของสหรัฐฯ อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็ย่อตัวลงบ้าง
แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ก็ยังถูกกดดันจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คลายกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ทำให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 2,660 ดอลลาร์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดคงมุมมองเดิมว่า ECB มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 4-5 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีหน้า
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ด้วยเช่นกัน ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE รวมถึง รายงานเสถียรภาพการเงิน (Financial Stability Report) ของ BOE
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของจีน ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะรายงานในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน นี้ โดยหากรายงานดัชนี PMI ของจีน สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดการเงินจีน โดยเฉพาะเงินหยวนจีน (CNY) ในระยะสั้นได้
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง ทองคำ ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.28-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.27 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อ สอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค นำโดย เงินเยน ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังคงขาดปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ ปิดทำการวานนี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.25-34.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนต.ค. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ของยูโรโซน รวมถึงสัญญาณที่เกี่ยวกับมาตรการและแนวโน้มนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทย ได้สิทธิ์ เจ้าภาพจัดศึกแบดมินตันเวิลด์ซีเนียร์ 2025 ที่พัทยา
สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ประกาศประเทศไทย ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันแบดมินตันอาวุโส ชิงแชมป์โลก ในปี 2025 ที่พัทยา จ.ชลบุรี
เมื่อช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ย.67 สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ได้มีการประกาศเจ้าภาพในการแข่งขันระดับ BWF Major Event ในระหว่างปี 2025 และ 2026
โดยในการแข่งขันแบดมินตันอาวุโส ชิงแชมป์โลก (BWF World Senior Championship 2025ฉ ประเทศไทย ได้รับสิทธิ์ในการแข่งขันในครั้งนี้ โดยจะแข่งขันระหว่างวันที่ 7-14 ก.ย.68 ที่ศูนย์กีฬานานาชาติภาคตะวันออก พัทยา จ.ชลบุรี
ส่วนการแข่งขันแบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์โลก 2025 (BWF World Junior Championship) อินเดีย จะได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพในการแข่งขันครั้งนี้ จะแข่งขันในระหว่างวันที่ 6-19 ต.ค.68 นี้ ในเมืองกูวาฮาติ
นอกจากนี้การแข่งขันแบดมินตันรายการ บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ หรือ ศึกชิงแชมป์โลก 2025 จะกลับไปจัดการแข่งขันในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสอีกครั้ง ที่สนามอาดิดาส อารีน่า (Adidas Arena) สังเวียนที่ใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 เมื่อเดือนสิงหาคม และนับเป็นครั้งที่สอง 2 ฝรั่งเศสได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในศึกชิงแชมป์โลกในรอล 15 ปีหลังจากเคยเป็ยเจ้าภาพมาแล้วในปี 2010
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ถ้าหากว่า เรา “ไม่อาบน้ำ”
ใครไม่ชอบอาบน้ำ ต้องอ่านเรื่องนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ถ้าหากว่า เรา “ไม่อาบน้ำ”
ใครบ้างที่เป็นโรคขี้เกียจอาบน้ำ ไม่ชอบอาบน้ำ หรือใครบ้างที่ชอบลีลาท่าทีเยอะเมื่อถึงเวลาที่ต้องอาบน้ำ ชอบบอกเดี๋ยวก่อน เลื่อนเวลาแล้วเลื่อนเวลาอีก จนบางทีก็เผลอหลับไปก่อนทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ กว่าตัวจะโดนน้ำอีกทีก็ตอนเช้าหรือไม่ก็ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น การไม่อาบน้ำอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ในประเทศที่มีอากาศหนาว แต่สำหรับอากาศปกติในบ้านเรานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัวเลยล่ะหากคุณไม่อาบน้ำ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ทั้งร้อนทั้งชื้น รวมถึงการที่ร่างกายของเราต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรกมากมายในชีวิตประจำวัน ทั้งฝุ่น ควัน เชื้อโรคต่าง ๆ หากเราไม่อาบน้ำ สิ่งเหล่านี้ก็จะเกาะติดอยู่บนผิวหนังและหมักหมมจนสร้างปัญหาใหญ่ได้เลยทีเดียว
เพราะการไม่อาบน้ำเป็นเวลานานจะส่งผลต่อร่างกายและสุขภาพในหลายด้าน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ไม่ได้อาบน้ำ สภาพแวดล้อม และสุขภาพของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ความขี้เกียจหรือนิสัยผัดวันประกันพรุ่งเข้าครอบงำ ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ ซึ่งนี่ถือเป็นวิธีที่ง่ายและสำคัญในการรักษาสุขอนามัยและสุขภาพร่างกายโดยรวม ลองมาดูกันว่าหากคุณไม่อาบน้ำ จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับคุณบ้าง
ผลเสียในระยะสั้น (ไม่อาบน้ำเกินกว่า 2-3 วัน ช่วงไม่เกิน 1 สัปดาห์)
1. การสะสมของเหงื่อและสิ่งสกปรก
- เหงื่อ น้ำมันตามธรรมชาติ และเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะสะสมบนผิวหนัง จากนั้นแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังจะทำการย่อยสลายส่วนประกอบในเหงื่อ ทำให้เกิดสารประกอบที่มีกลิ่น เช่น กรดไขมัน และแอมโมเนีย และทำให้เกิดกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของรูขุมขนและการเกิดสิว เชื้อราบนผิวหนัง เนื่องจากความสกปรกและอับชื้น
2. การสะสมของแบคทีเรียและเชื้อรา
- แบคทีเรียและเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่ชื้นและสกปรก เช่น บริเวณรักแร้ ขาหนีบ และฝ่าเท้า
ผลเสียในระยะกลาง (ไม่อาบน้ำในช่วง 1-2 สัปดาห์)
1. ปัญหาผิวหนัง
- อาจเกิดผื่นผิวหนังอักเสบ ซึ่งเป็นการสะสมของสิ่งสกปรกและไขมันจนเกิดคราบสีคล้ำบนผิว
- ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น โรคเชื้อราหรือผิวหนังอักเสบ ผิวหนังจะมีมีลักษณะแห้ง มีผื่น มีอาการคัน ที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังอาจเป็นกลากเกลื้อน และผิวหนังที่เป็นแผลอาจทำให้ติดเชื้อได้อีกด้วย
2. กลิ่นตัวรุนแรงขึ้น
- แบคทีเรียบางชนิด เช่น Corynebacterium จะผลิตสารเคมีที่มีกลิ่นแรงยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับคราบเหงื่อไคลและเซลล์ผิวหนังตายแล้วที่หมักหมมอยู่บนผิวหนัง จะทำให้มีกลิ่นตัวรุนแรงขึ้น
3. ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความมั่นใจ
- การไม่อาบน้ำในช่วงเวลาที่นานถึง 1-2 สัปดาห์ มีผลโดยตรงกับความสะอาดของร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนอื่น ๆ เมื่อต้องเข้าสังคม
ผลเสียในระยะยาว (ไม่อาบน้ำนานหลายสัปดาห์หรือมากกว่านั้น)
1. เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง
- จากการสะสมของสิ่งสกปรก คราบเหงื่อไคลที่หมักหมมเป็นเวลานาน ทำให้เกิดรอยแผลหรือการติดเชื้อ เช่น โรคพุพอง หรือฝี
2. โรคจากปรสิต
- ความสกปรกเป็นสาเหตุของการเกิดเหา โลน หรือโรคเรื้อน
3. ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- การติดเชื้อบนผิวหนังที่ไม่ได้รับการดูแล อาจค่อย ๆ ลุกลามเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม
4. สุขภาพจิตแย่ลง
- การใช้ชีวิตในสภาพที่ไม่สะอาด หรือการเป็นที่รังเกียจของสังคม อาจนำไปสู่ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
จุฬาฯ ผนึก Google Cloud เปิดตัว ‘ChulaGENIE’ ระบบ AI เพื่อการศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อการศึกษา ด้วยการจับมือ Google Cloud เปิดตัว ‘ChulaGENIE’ Generative AI อัจฉริยะเพื่อการศึกษามุ่งยกระดับการเรียนการสอนและการวิจัยในระดับอุดมศึกษา พร้อมให้บริการแก่ประชาคมจุฬาฯ ต้นปี 68
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า “เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้าน AI ของประเทศไทย วันนี้จุฬาฯ ได้จับมือกับ Google Cloud พันธมิตรระดับโลกเพื่อเร่งรัดการพัฒนา Responsible AI เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยในระยะยาว
โดยการใช้แพลตฟอร์ม Vertex AI ของ Google Cloud ซึ่งรวมเอาความสามารถที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวไว้ในที่เดียว รวมถึงความยืดหยุ่นในการเลือกโมเดลผ่าน Model Garden และความสามารถในการปรับแต่งโมเดลพื้นฐานที่ทรงพลังให้เหมาะกับความต้องการที่หลากหลายและการตอบสนองได้แม่นยำ
ด้วยความสามารถเหล่านี้ ทำให้จุฬาฯ สามารถพัฒนา ChulaGENIE (Chula’s Generative AI Environment for Nurturing Intelligence and Education) ได้ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน
ระบบ AI อัจฉริยะเพื่อการศึกษา
ChulaGENIE ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม Vertex AI ของ Google Cloud โดยในระยะแรกจะรองรับการใช้งานโมเดล Gemini 1.5 Flash และ Gemini 1.5 Pro ของ Google และมีแผนที่จะเพิ่มโมเดล Claude จาก Anthropic และ Llama จาก Meta ในอนาคตอันใกล้
ระบบนี้โดดเด่นด้วยความสามารถในการรองรับหลายภาษา (multilinguality) ทำให้สามารถอธิบายหัวข้อที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย รวมถึงสร้างเนื้อหาในภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำ นอกจากนี้ ด้วยความสามารถในการรองรับข้อมูลหลายประเภท (multimodality) และขอบเขตการประมวลผลช่วงบริบทที่ยาว ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดเอกสารที่มีความยาวถึง 1.4 ล้านคำ พร้อมตาราง แผนภูมิ และภาพประกอบ ซึ่งระบบสามารถประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดการให้บริการและแผนพัฒนา
ตามแผนการดำเนินงาน ChulaGENIE จะเริ่มให้บริการแก่คณาจารย์และบุคลากร จุฬาฯ ในเดือนมกราคม 2568 และจะขยายการให้บริการครอบคลุมนิสิตของจุฬาฯ ทุกคนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
จุฬาฯ มีแผนเพิ่มฟังก์ชันใหม่บน ChulaGENIE โดยประชาคมจุฬาฯ จะสามารถสร้างตัวช่วยเฉพาะทางที่ปรับแต่งได้สำหรับงานเฉพาะด้าน ประกอบด้วย:
ตัวช่วยด้านการวิจัย: ปรับแต่งสำหรับประเด็นเฉพาะ เช่น ประสิทธิภาพของเทคนิคการกักเก็บคาร์บอนในวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม หรือการปรับปรุงการจราจรในเขตเมืองในด้านวิศวกรรมโยธา ช่วยให้อาจารย์และนิสิตสามารถเชื่อมโยงงานวิจัย และเสนอคำถามหรือสมมติฐานใหม่ ๆ
ตัวช่วยด้านการศึกษา: พัฒนาจากตำราและฐานข้อมูลด้านการศึกษาและอาชีพ พร้อมข้อมูลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและข้อพิจารณาด้านจริยธรรม เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมและเป็นรายบุคคลในการเลือกหลักสูตรและวางแผนเส้นทางอาชีพ
ตัวช่วยด้านการบริหารและธุรการ: ให้บริการตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ เช่น การสมัครเรียน การลงทะเบียน ทุนการศึกษา การจัดการอาคารสถานที่ และการสนับสนุนด้าน IT
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับสูง
จุฬาฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ โดยได้นำระบบกรองเนื้อหาของ Vertex AI และนโยบาย AI ของจุฬาฯ มาใช้ในการออกแบบ ChulaGENIE เพื่อป้องกันการตอบหรือสร้างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย นอกจากนี้ ยังเตรียมเพิ่มความแม่นยำในการตอบคำถามด้วยการเปิดใช้งานการ Grounding ด้วย Google Search
ระบบยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมการเข้าถึงระดับองค์กรของ Google Cloud เพื่อรับประกันความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยคำสั่งหรือข้อมูลที่ผู้ใช้งานป้อนรวมถึงคำตอบของ AI จะไม่ถูกผู้พัฒนาโมเดลภายนอกจุฬาฯ นำไปใช้ในการฝึกโมเดล พร้อมทั้งมีระบบป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลงานวิจัยที่เป็นความลับหรือทรัพย์สินทางปัญญา
การพัฒนาบุคลากรและอนาคต
ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบ จุฬาฯ ได้จัดการอบรมหลักสูตร Google AI Essentials ให้กับบุคลากร คณาจารย์ และนักศึกษา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้โครงการ Samart Skills ของ Google ซึ่งปัจจุบันมีผู้สำเร็จหลักสูตรแล้วกว่า 800 คน โดยกำลังปรับหลักสูตรให้เรียบง่ายขึ้นสำหรับผู้เรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
นายอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ Google Cloud เราเชื่อมั่นว่าประโยชน์ของ AI ขึ้นอยู่กับความแม่นยำและการนำไปใช้อย่างรับผิดชอบ แพลตฟอร์ม Vertex AI ของเราช่วยให้องค์กรต่าง ๆ อย่างเช่น จุฬาฯ สามารถนำ Responsible AI ไปใช้ได้จริงผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Grounding บริการประเมินโมเดล และเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์มาตรฐานที่เข้มงวดในด้านการกำกับดูแลข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา”
ในอนาคต จุฬาฯ มีแผนขยายความร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่แบบโอเพ่นซอร์สที่เน้นเฉพาะด้านสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ปรับให้เหมาะกับความเร็วและรูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตแต่ละคน รวมถึงสนับสนุนการวิเคราะห์และปรับปรุงหลักสูตรโดยอ้างอิงจากงานวิจัยและแนวโน้มด้านการศึกษาล่าสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
British English vs American English แตกต่างกันอย่างไร
British English vs American English มีความแตกต่างกันในหลายด้าน บทความนี้จะบอกถึงความแตกต่าง พร้อมตัวอย่างคำศัพท์ที่คล้ายและแตกต่างกันของ British English vs American English
รู้จักความแตกต่างระหว่าง British English vs American English
British English (BrE) และ American English (AmE) มีความแตกต่างกันหลายด้าน ทั้งในด้านการสะกดคำ การออกเสียง คำศัพท์ ไวยากรณ์ การใช้คำบุพบท ความแตกต่างหลัก ๆ มีดังนี้
การสะกดคำ
- British English: ใช้ -re ในคำบางคำ เช่น centre และ metre
- American English: ใช้ -er แทน เช่น center และ meter
- British English: ใช้ -our ในคำบางคำ เช่น colour, favour
- American English: ใช้ -or แทน เช่น color, favor
- British English: ใช้ -ise ในคำกริยาบางคำ เช่น realise, organise
- American English: ใช้ -ize แทน เช่น realize, organize
การออกเสียง
- British English: มักจะออกเสียง r เฉพาะเมื่ออยู่หน้าสระ เช่นในคำว่า car จะไม่ออกเสียง r
- American English: มักจะออกเสียง r ชัดเจนในทุกตำแหน่งของคำ
- British English: มีการออกเสียง t ชัดเจนกว่า เช่น ในคำว่า water (วอ-เทอะ)
- American English: มักจะออกเสียง t เป็นเสียง d ที่นุ่มลง เช่น water (วอ-เดอะร์)
คำศัพท์
- British English: ใช้คำ lift สำหรับลิฟต์, flat สำหรับอพาร์ทเมนต์, biscuit สำหรับคุกกี้
- American English: ใช้คำ elevator สำหรับลิฟต์, apartment สำหรับอพาร์ทเมนต์, cookie สำหรับคุกกี้
ไวยากรณ์
- British English: ใช้ have got สำหรับการบอกความเป็นเจ้าของ เช่น I have got a car.
- American English: มักใช้ have แทน เช่น I have a car.
การใช้คำบุพบท
- British English: I will come back at the weekend.
- American English: I will come back on the weekend.
- British English: I am studying at Thammasat university.
- American English: I am studying in Thammasat university.
คำศัพท์ British English vs American English ที่เขียนต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน
คำศัพท์เหล่านี้จะเขียนแตกต่างกันไปเลยแต่มีความหมายที่เหมือนกัน ทั้งสองแบบถูกต้องทั้งหมด อยู่ที่ว่ารู้จักศัพท์คำไหนก่อน หรือใช้คำไหนมากกว่ากันในชีวิตประจำวัน
- Aeroplane (BrE) vs Airplane (AmE) = เครื่องบิน
- Lorry (BrE) vs Truck (AmE) = รถบรรทุก
- Lift (BrE) vs Elevator (AmE) = ลิฟต์
- Boot (BrE) vs Trunk (AmE) = ฝากระโปรงท้ายรถ
- Bonnet (BrE) vs Hood (AmE) = ฝากระโปรงหน้ารถ
- Car park (BrE) vs Parking lot (AmE) = ที่จอดรถ
- Flat (BrE) vs Apartment (AmE) = แฟลต / อพาร์ทเม้นท์
- Biscuit (BrE) vs Cookie (AmE) = คุ้กกี้
- Holiday (BrE) vs Vacation (AmE) = วันหยุด
- Post (BrE) vs Mail (AmE) = จดหมาย
- Sweets (BrE) vs Candy (AmE) = ลูกอม
- Rubbish (BrE) vs Garbage (AmE) = ขยะ
- Tap (BrE) vs Faucet (AmE) = ก๊อกน้ำ
- Wardrobe (BrE) vs Closet (AmE) = ตู้เสื้อผ้า
- Nappy (BrE) vs Diaper (AmE) = ผ้าอ้อม
- Autumn (BrE) vs Fall (AmE) = ฤดูใบไม้ร่วง
- Film (BrE) vs Movie (AmE) = ภาพยนตร์
- Football (BrE) vs Soccer (AmE) = ฟุตบอล
- Trousers (BrE) vs Pants (AmE) = กางเกงขายาว
- Zebra crossing (BrE) vs Crosswalk (AmE) = ทางม้าลาย / ทางสำหรับข้ามถนน
คำศัพท์ British English vs American English ที่ความหมายเหมือนกันแต่สะกดไม่เหมือนกัน
คำศัพท์เหล่านี้มีความหมายเหมือนกัน การสะกดคำมีความคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน บางคนไม่รู้อาจจะคิดว่าสะกดผิดหรือไม่ แต่ความเป็นจริงคือ เกิดจากความแตกต่างในการสะกดคำของคำศัพท์ British English vs American English
- Analyse (BrE) vs Analyze (AmE) = วิเคราะห์
- Cancelled (BrE) vs Canceled (AmE) = ยกเลิก
- Catalogue (BrE) vs Catalog (AmE) = บัญชีรายชื่อ
- Centre (BrE) vs Center (AmE) = ศูนย์กลาง
- Colour (BrE) vs Color (AmE) = สี
- Defence (BrE) vs Defense (AmE) = การป้องกัน
- Dialogue (BrE) vs Dialog (AmE) = บทสนทนา
- Flavour (BrE) vs Flavor (AmE) = โปรดปราน
- Honour (BrE) vs Honor (AmE) = เกียรติยศ
- Jewellery (BrE) vs Jewelry (AmE) = เครื่องประดับ
- Licence (BrE) vs License (AmE) (สำหรับคำนาม) = ใบอนุญาต
- Metre (BrE) vs Meter (AmE) (สำหรับหน่วยวัด) = เมตร
- Neighbour (BrE) vs Neighbor (AmE) = เพื่อนบ้าน
- Offence (BrE) vs Offense (AmE) = ความผิด
- Organise (BrE) vs Organize (AmE) = จัดระเบียบ
- Paralyse (BrE) vs Paralyze (AmE) = อัมพาต
- Pretence (BrE) vs Pretense (AmE) = มารยา
- Realise (BrE) vs Realize (AmE) = ตระหนัก
- Theatre (BrE) vs Theater (AmE) = โรงภาพยนตร์
- Travelling (BrE) vs Traveling (AmE) = การเดินทาง
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
กลิ่นตัวแรงต้องจัด 7 อาหารลดกลิ่นตัว ปรับกลิ่นกายให้สดชื่นได้ตลอดวัน
การดูแลกลิ่นกายให้หอมสดชื่นทั้งวัน ย่อมช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน สาว ๆ หลายคนอาจคิดถึงการใช้โรลออนหรือสเปรย์ระงับกลิ่นกาย แต่รู้ไหมคะว่าการทานอาหารบางชนิดก็มีส่วนช่วยลดกลิ่นตัวได้ดี เพราะสารอาหารจะช่วยเสริมสร้างการขับสารพิษ และการทำงานของระบบย่อยอาหารให้สมดุล วันนี้เราจึงขอแนะนำ 7 อาหารที่ช่วยลดกลิ่นตัว เพิ่มความสดชื่นให้กลิ่นกายของคุณสาว ๆ ได้ตลอดทั้งวันมาฝากกัน มีอะไรบ้างไปดูกัน
7 อาหารที่ช่วยลดกลิ่นตัว
1.โยเกิร์ต
โยเกิร์ตมีแบคทีเรียชนิดดีที่เรียกว่าโปรไบโอติก ซึ่งช่วยปรับสมดุลในระบบทางเดินอาหาร ลดการเกิดก๊าซและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในร่างกาย การทานโยเกิร์ตเป็นประจำช่วยให้ร่างกายขับถ่ายดีขึ้น ลดการสะสมของสารเสียที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และช่วยลดปัญหากลิ่นปากที่อาจมาพร้อมกับกลิ่นกายอีกด้วย การเลือกทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติจึงช่วยลดกลิ่นกายได้ดีมากค่ะ
2.ขิง
ขิงมีสารต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ที่มีผลต่อการขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและช่วยล้างสารพิษ ทำให้กลิ่นตัวหอมสดชื่นมากขึ้น ลองดื่มน้ำขิงหรือนำขิงมาใส่ในอาหาร เช่น ในซุปหรือเมนูผัดต่าง ๆ เพื่อช่วยลดกลิ่นตัวได้ดีที่สุด
3.มะนาว
มะนาวมีวิตามินซีและกรดซิตริกที่ช่วยขับสารพิษในร่างกาย ลดการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นตัว นอกจากนี้ มะนาวยังช่วยปรับความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย ทำให้กลิ่นตัวลดลงและกลิ่นเหงื่อเบาลงได้ การดื่มน้ำมะนาวคั้นสด หรือดื่มเป็นน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นในตอนเช้า จะช่วยให้กลิ่นกายหอมสดชื่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติด้วยค่ะ
4.ใบสะระแหน่
ใบสะระแหน่ แม้บางคนจองว่ากลิ่นแรง แต่ภายในใบมีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ ที่ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว โดยกลิ่นสดชื่นของใบสะระแหน่ยังช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา การทานใบสะระแหน่สด ๆ ในสลัด ดื่มเป็นชาสะระแหน่ หรือนำไปผสมในน้ำดื่ม ก็ช่วยให้กลิ่นตัวหอมสดชื่นตลอดวันได้ค่ะ
5.ผลไม้ตระกูลซิตรัส
ผลไม้ตระกูลซิตรัส เช่น ส้ม เกรปฟรุต และเลมอน เต็มไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยขับสารพิษและต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งผลไม้เหล่านี้ยังมีกรดซิตริกที่ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น การทานผลไม้ตระกูลซิตรัสเป็นประจำ จึงช่วยให้กลิ่นตัวหอมสดชื่น และลดความเสี่ยงในการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
6.แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดการสะสมของสารพิษในระบบย่อยอาหาร ทำให้กลิ่นกายหอมเป็นธรรมชาติ พร้อมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดกลิ่นตัว ดังนั้นการทานแอปเปิ้ลทุกวันนอกจากช่วยให้ผิวพรรณสดใสแล้ว ยังช่วยให้กลิ่นตัวหอมสดชื่นอีกด้วย
7.สมุนไพรไทย
สมุนไพรไทยอย่างตะไคร้และใบเตย เป็นอีกตัวช่วยในการลดกลิ่นตัว เพราะตะไคร้มีสารต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยขับล้างสารพิษ ในขณะที่ใบเตยมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากธรรมชาติ สามารถนำตะไคร้หรือใบเตยมาต้มน้ำดื่ม เพื่อให้กลิ่นกายหอมแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำหอม หรือจะนำไปผสมในอาหารก็ช่วยลดกลิ่นตัวได้ดีเช่นกัน
นอกจากการทานอาหารที่ช่วยลดกลิ่นตัวแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้วก็สำคัญมาก เพราะน้ำจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย และลดการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่น นอกจากนี้การเลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี และการรักษาความสะอาดของร่างกายเสมอ ก็มีส่วนช่วยให้กลิ่นตัวหอมสดชื่นตลอดวัน การเลือกทานอาหารที่มีคุณสมบัติในการลดกลิ่นตัวและบำรุงร่างกายจากภายใน จะเป็นทางเลือกที่ช่วยเสริมสุขภาพและเพิ่มความมั่นใจได้อย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 29/11/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 43,050.00 | 43,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,789.00 | 42,281.24 | 43,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,510.10 | 38,053.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,231.20 | 33,824.99 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,255.00 | 19,025.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 976.00 | 14,796.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,890.00 | 43,812.40 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/11/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 36.95 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.98 | 35.98 | 36.58 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 34.84 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.99 | 33.99 | – | – | – | – | – | – | – | 33.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 44.64 | – | – | – | 49.81 | – | 45.14 | 44.79 | – | 44.64 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |