เอสซีจี โฮมจับอินไซต์ปั้นโมเดล‘แคร์ ลิฟวิ่ง’เจาะสูงวัยยุคใหม่

‘เอสซีจี โฮม’จับอินไซต์’Young at Heart ปั้นโมเดล‘แคร์ ลิฟวิ่ง’เจาะสูงวัยยุคใหม่ ชูโซลูชันCare Living Solutions ที่ครอบคลุมทั้งการออกแบบ วัสดุ และเทคโนโลยี
เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ การปรับตัวของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “บ้าน” จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน และหนึ่งในองค์กรที่ขยับตัวเชิงกลยุทธ์อย่างน่าสนใจ คือ SCG HOME Experience ประกาศปักหมุดเป้าหมายใหม่ วางตัวเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้สูงวัยภายใต้แนวคิด “Care Living Destination” เปิดเกมรุกตลาดผู้สูงวัยยุคใหม่ ด้วยกลยุทธ์Care Living Ecosystem ผนึกพันธมิตรหลายมิติ ดันนวัตกรรมการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน พร้อมเปลี่ยนมุมมองไทยสู่ บ้านที่ออกแบบเพื่อคุณภาพชีวิต
พร้อมยกระดับร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง สู่การเป็น Life Home Partner ที่เข้าใจผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงชีวิต ไม่ได้เป็นเพียงการรีแบรนด์ แต่คือการสร้างระบบนิเวศการอยู่อาศัย หรือ Care Living Ecosystem ที่เชื่อมต่อผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายวงการ ตั้งแต่การออกแบบ สุขภาพ เทคโนโลยี ไปจนถึงนวัตกรรมที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับความต้องการของผู้สูงวัยกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า “Active Elder” ผู้สูงวัยที่ยังคงมีพลัง มีเป้าหมาย และต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระในบ้านของตนเอง
“เราไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ร้านวัสดุก่อสร้าง แต่ต้องการเป็น Life Home Partner ที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงชีวิต”
ธัญญ์กวิน บุดดีมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด กล่าวว่า จากการศึกษาเชิงลึกของ SCG HOME Experience พบว่า กลุ่มผู้สูงวัยยุคใหม่ไม่ได้ต้องการเพียงการดูแล แต่ต้องการความ มั่นคงทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ บนพื้นฐานของ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในบ้านที่ตนเองคุ้นเคย กลุ่ม “Active Elder” มีแนวคิดแบบ “Young at Heart” พวกเขาไม่มองว่าตนเป็นภาระ แต่ต้องการบ้านที่สามารถรองรับการใช้ชีวิตด้วยตนเองได้นานที่สุด
ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาโซลูชันภายใต้ชื่อ Care Living Solutions ที่ครอบคลุมทั้งการออกแบบ วัสดุ และเทคโนโลยี โดยมีไฮไลต์ เช่น พื้นลดแรงกระแทก ป้องกันอุบัติเหตุจากการหกล้ม อุปกรณ์ห้องน้ำเพื่อความปลอดภัย เช่น ราวจับกันลื่น ระบบ Smart Living อาทิ Sensor แจ้งเตือนการล้ม, ปุ่มฉุกเฉิน SOS, ระบบหมุนเวียนอากาศ Active Airflow ที่สอดคล้องกับสรีระผู้สูงวัย
ผนึกพันธมิตรข้ามสายสร้างอีโคซิสเต็ม
SCG HOME Experience ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงผู้นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการ แต่เป็น “ผู้เชื่อมโยง” เครือข่ายพันธมิตรเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจร โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ได้แก่ BAUEN เชี่ยวชาญด้านการรีโนเวทบ้านและห้องน้ำสำหรับผู้สูงวัย dooDeco ออกแบบภายในที่เหมาะสมกับวิถีชีวิต Active Elder ESARA Living พัฒนา “บ้านสำเร็จรูป” ที่สร้างรวดเร็ว อยู่สบาย และปลอดภัย ชีวิตดี (Chiwitdee) ไลฟ์สไตล์ชอปที่รวมสินค้าสำหรับผู้สูงวัย เน้นสุขภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกในการใช้งาน ความร่วมมือนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการขายสินค้า แต่คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างให้กับสังคมสูงวัยของไทยอย่างแท้จริง
คลินิกหมอบ้าน Co-Creation ร่วมเครือข่าย
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้สูงวัยได้อย่างลึกซึ้ง คือ บริการคลินิก “หมอบ้าน” ซึ่งให้คำปรึกษาเชิงลึกโดยสถาปนิก วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยออกแบบบ้านให้ปลอดภัยและเหมาะสมกับผู้อยู่อาศัยในแต่ละช่วงวัย พร้อมทั้งวางแผนอยู่อาศัยระยะยาว เช่น การประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ การปรับปรุงโครงสร้างให้รองรับอายุที่เพิ่มขึ้น การออกแบบเพื่อรองรับการดูแลในอนาคต
ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ทำงานร่วม (Co-Creation) กับภาคีสังคม เช่น เพจ “มนุษย์ต่างวัย” และกลุ่มชุมชนผู้สูงวัย เพื่อเข้าถึงความต้องการจริงของลูกค้า พร้อมต่อยอดองค์ความรู้สู่สังคมวงกว้าง
เปลี่ยนมุมมองใหม่บ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย
แม้ว่าตลาดผู้สูงวัยจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ SCG HOME Experience มองเห็นอุปสรรคสำคัญคือ “มุมมองของผู้บริโภค” ที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านเพื่ออนาคต บริษัทจึงวางเป้าหมายระยะยาวที่จะ “ให้ความรู้ (Educate) ตลาด” สร้างความเข้าใจใหม่ว่า การออกแบบบ้านให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่คือการลงทุนในคุณภาพชีวิตที่คุ้มค่า และส่งผลดีทั้งต่อเจ้าของบ้านและผู้ดูแลในระยะยาว
ธัญญ์กวิน ระบุว่าเพื่อให้เป้าหมายนี้เป็นรูปธรรมจึงเตรียมแผนพัฒนาองค์ความรู้ของเจ้าหน้าที่ประจำร้าน โดยเฉพาะที่ “ชีวิตดี” ให้สามารถให้คำปรึกษาด้านการออกแบบที่สอดคล้องกับสรีระของผู้สูงวัย พร้อมขยายกิจกรรมสาธารณะ เช่น เวิร์กช็อปความปลอดภัยในบ้าน โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย โดยร่วมมือกับภาคการแพทย์
เป้าหมายของ SCG HOME Experience ไม่ได้หยุดอยู่ที่การขยายส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสูงวัย แต่ต้องการเป็นผู้นำในการผลักดันแนวคิด “การออกแบบเพื่อการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกเจนเนอเรชันสามารถเข้าถึงและเริ่มต้นได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดจากการออกแบบบ้าน ไปสู่การออกแบบระบบนิเวศชีวิต เพราะเชื่อว่ากลยุทธ์แบบองค์รวมที่ผนึกกำลังกับพันธมิตรจะไม่เพียงสร้างโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตของสังคมไทยในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เซ็นทรัลพัฒนา คว้ารางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568”

เซ็นทรัลพัฒนา ย้ำเบอร์ 1 อสังหาฯ ไทยคว้ารางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568” จากเวที Money & Banking Awards 2025
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืนภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office คว้ารางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568” หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากวารสารการเงินธนาคาร ในงาน Money & Banking Awards 2025 นับเป็นการคว้ารางวัลอันโดดเด่นนี้ 2 ปีซ้อน
ตอกย้ำความสำเร็จและความมุ่งมั่นในฐานะองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เบอร์หนึ่งของไทย โดยงานนี้ นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา รับมอบรางวัลจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานในพิธี
การคว้ารางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568” ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความแข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนาในฐานะบริษัทจดทะเบียนชั้นนำของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งมีผลประกอบการโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มอุตสาหกรรม ในปี 2567
เซ็นทรัลพัฒนาสร้างสถิติรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 51,843 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16,729 ล้านบาท สะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์ Retail-Led Mixed-Use Development ที่ผลักดันการเติบโตอย่างรอบด้านของธุรกิจภายใต้แนวคิด “The Ecosystem for All” อย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ เซ็นทรัลพัฒนายังได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การติดอันดับ 2025 Fortune Southeast Asia 500 (ประจำปี 2568) เป็นปีที่ 2 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขึ้นแท่นอันดับ 1 ในกลุ่มบริษัท Real Estate จากประเทศไทยที่ได้รับการคัดเลือก รวมถึงได้รับการจัดอันดับ DJSI Best-in-Class 7 ปีต่อเนื่อง
ตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่มุ่งมั่นสู่เป้าหมาย NET Zero 2050 อย่างชัดเจนและยั่งยืน อีกทั้งล่าสุดยังได้รับการรับรองเป็นองค์กร “Great Place to Work® 2025” จากองค์กรระดับโลกด้านการวิจัยและสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ดีผ่านการสำรวจ Trust Index™ ตอกย้ำองค์กรที่น่าทำงานในระดับโลก และสะท้อนการเป็นองค์กรที่พนักงานภูมิใจและพร้อมเติบโตไปด้วยกัน
ความสำเร็จในวันนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความ “ภูมิใจที่ได้พัฒนา” ตลอด 45 ปีของเซ็นทรัลพัฒนา ด้วยบทบาทของ “นักพัฒนา” ที่สร้างการเติบโตให้กับทุกภาคส่วน ได้แก่
- ด้าน Place Making เดินหน้าพัฒนาเมกะโปรเจกต์ โดยในแผน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2568–2572) วางแผนลงทุนรวมมูลค่า 120,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับเมืองและคุณภาพชีวิตทั่วประเทศ โดยในปี 2568 นี้ เตรียมเปิดตัวโครงการสำคัญ ได้แก่ ‘Central Park’ โครงการมิกซ์ยูสระดับ Masterpiece
ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นแลนด์มาร์กระดับโลกแห่งใหม่ และ ‘Central Krabi’ ศูนย์การค้าต้นแบบด้าน Sustainable & Mindful Travel ที่สะท้อนความกลมกลืนกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมเมกะโปรเจกต์อื่นๆ ทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองศักยภาพ โดยภายในสิ้นปีนี้จะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสรวมทั้งสิ้น 30 โครงการ ใน 44 ทำเลศักยภาพทั่วประเทศ - ด้าน People สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน และเป็น Centre of Life ในทุกแห่งที่ไปพัฒนาทั่วประเทศ อีกทั้งตลอด 45 ปี ได้สนับสนุนสังคมและชุมชนกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานลอย skywalk, Transportation Hub, การมอบพื้นที่เพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น ศูนย์บริจาคโลหิต, ศูนย์ฉีดวัคซีน, ศูนย์ราชการ, พื้นที่ค้าขายชุมชน, การสร้างพื้นที่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น พื้นที่ออกกำลังกาย, สวนสาธารณะ, Green space และการปลูกป่า ไปจนถึงการจัดกิจกรรมเพื่อการสันทนาการและส่งเสริมสุขภาพที่ดี เช่น ส่งเสริมให้เยาวชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ได้มีพื้นที่จัดกิจกรรม และศูนย์ตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ เป็นต้น
- ด้าน Planet ดูแลสิ่งแวดล้อมและเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรยั่งยืน พร้อมปลูกจิตสำนึกให้คนไทยใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ Green Partnership ร่วมกับพันธมิตรแบรนด์กว่า 2,400 ราย เพื่อส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และโครงการ Better Futures Project ที่สร้างแรงบันดาลใจและกิจกรรมให้ประชาชนหันมาใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วมแล้วกว่า 500,000 คน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 29ก.ค. “อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงเผชิญเคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ ลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐและสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงได้หรือไม่
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 29ก.ค.2568 ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณวันที่25ก.ค.ระดับปิด 32.36 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า และวันจันทร์ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.33-32.51 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงหนักสู่ระดับ 1.16 ดอลลาร์ต่อยูโร อีกครั้ง แม้ว่าทางสหภาพยุโรป (EU) จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างกังวลผลกระทบจากข้อตกลงการค้าดังกล่าวกับหลายอุตสาหกรรมของยุโรป สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นยุโรป (ดัชนี STOXX600) ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าใกล้โซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งยังคงเห็นแรงซื้อ Buy on Dip จะผู้เล่นในตลาดบางส่วน และช่วยพยุงราคาทองคำเหนือโซนดังกล่าวได้
สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้โดยรวมเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และมีแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทว่า เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามจังหวะการปรับตัวลงของราคาทองคำ และความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ พร้อมรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด และ BOJ รวมถึง รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ประเด็นสำคัญจะมีอยู่ 4 ประเด็น คือ 1. ผลการประชุม FOMC ของเฟด 2. รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะ ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 3. แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังถึงกำหนด Deadline 1 สิงหาคม ที่ทางการสหรัฐฯ ให้เวลากับบรรดาประเทศคู่ค้าในการเจรจาข้อตกลงการค้า เพื่อลดอัตราภาษีนำเข้าที่จะถูกเรียกเก็บ
และ 4. รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta, Microsoft, Apple และ Amazon โดยในส่วนการประชุม FOMC ของเฟด นั้น เราประเมินว่า คณะกรรมการ FOMC ส่วนใหญ่ อาจมีมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน
ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตลาดแรงงานก็ยังคงสดใสอยู่ ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า อาจมีคณะกรรมการ FOMC บางท่าน อาทิ Christopher Waller และ Michelle Bowman ที่อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยอาจให้เหตุผลว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน ส่วนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่ได้กระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มากนัก
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว
โดย ECB รวมถึงอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซน ในไตรมาสที่ 2 โดยหลังรับรู้การประชุม ECB ล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB โดยประเมินว่า ECB มีโอกาสราว 68% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้ง ในปีนี้ จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า ECB จะลดดอกเบี้ยได้
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เรามองว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2.0% ได้ในระยะกลาง-ยาว
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางความหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและนำไปสู่ข้อตกลงการค้าได้ในที่สุด
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะภาคการผลิตของไทย ผ่านรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในเดือนมิถุนายน
รวมถึง ดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) เดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเป็นอีกข้อมูลที่ช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจอื่นๆ ของไทยได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมถึง การเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ได้ ทั้งนี้ เราหวังว่า การหยุดยิงจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การเจรจายุติความขัดแย้ง เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“When the rich wage war it’s the poor who die.”
By Jean-Paul Sartre, Le Diable et le Bon Dieu
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท แม้เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่เรายอมรับว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด และเงินบาทเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยต้องรอลุ้น
ทั้ง ผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจขึ้นกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงได้หรือไม่) รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน
อนึ่ง เราประเมินว่า หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ซึ่งจะขึ้นกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภาพดังกล่าวก็อาจยังคงกดดันราคาทองคำต่อ ทำให้เงินบาทอาจขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งไปบ้าง
นอกจากนี้ เรามีความกังวลว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก หากสุดท้ายไทยยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และเผชิญอัตราภาษีนำเข้า 36% ซึ่งอาจเป็นไปได้ หากสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงเกิดขึ้น โดยหากอ้างอิงการอ่อนค่าของเงินบาท หลัง Liberation Day
เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงราว 1.2% หรือมีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (หากอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน) ส่วนโซนแนวรับจะยังคงอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูงและจะเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตาม รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จบทัวร์นาเมนต์! FIVB ประกาศอันดับโลกใหม่ 18 ชาติ ที่เข้าแข่งขันศึกเนชันส์ลีก 2025

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 ปิดฉากฤดูกาลอย่างเป็นทางการ หลังจากแข่งขันกันมาอย่างยาวนานร่วม 2 เดือน ที่เมืองลอดซ์ ประเทศโปแลนด์ เป็นเจ้าภาพ
โดย ทีมชาติอิตาลี สามารถสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์สมัยที่ 3 มาครอง หลังเป็นฝ่ายเอาชนะ บราซิล ในรอบชิงฯ ไปได้ 3-1 เซต ป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย แลทำสถิติคว้าชัยรวดในทัวร์นาเมนต์นี้

ล่าสุดหลังจบทัวร์นาเมนต์ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ได้ประกาศอันดับโลกใหม่ของทั้งหมด 18 ชาติ ที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ปรากฎว่า ทีมไทย หล่นไปอยู่ที่ 20 ด้วยการมี 160.42 คะแนน จากก่อนแข่งรั้งอันดับ 13 โลก ถือเป็นชาติที่อันดับโลกหล่นมากที่สุดหล่นไปถึง 7 อันดับ
ขณะที่เบอร์ 1 ของโลกยังคงเป็น อิตาลี ที่สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จเก็บแต้มไปได้มากถึง 474.26 คะแนน ขณะที่อันดับ 2 บราซิล รองแชมป์ มี 426.80 คะแนน และ อันดับ 3 โปแลนด์ 365.17 คะแนน
อันดับโลก วอลเลย์บอลหญิง ล่าสุด ของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB)
อันดับ 1 : อิตาลี 474.26 คะแนน (เท่าเดิม)
อันดับ 2 : บราซิล 426.80 คะแนน (เท่าเดิม)
อันดับ 3 : โปแลนด์ 365.17 คะแนน (ขึ้น 3 อันดับ)
อันดับ 4 : จีน 348.60 คะแนน (ขึ้น 1 อันดับ)
อันดับ 5 : ญี่ปุ่น 348.27 คะแนน (ขึ้น 2 อันดับ)
อันดับ 6 : ตุรกี 337.60 คะแนน (ลง 2 อันดับ)
อันดับ 7 : สหรัฐอเมริกา 332.77 คะแนน (ลง 4 อันดับ)
อันดับ 8 : เนเธอร์แลนด์ 262.75 คะแนน (ขึ้น 1 อันดับ)
อันดับ 9 : เซอร์เบีย 261.84 คะแนน (ขึ้น 1 อันดับ)
อันดับ 10 : เยอรมนี 252.03 คะแนน (ขึ้น 2 อันดับ)
อันดับ 11 : โดมินิกัน 248.35 คะแนน (เท่าเดิม)
อันดับ 12 : แคนาดา 238.63 คะแนน (ลง 4 อันดับ)
อันดับ 13 : สาธารณรัฐเช็ก 205.94 คะแนน (ขึ้น 2 อันดับ)
อันดับ 14 : ฝรั่งเศส 192.72 คะแนน (ขึ้น 5 อันดับ)
อันดับ 18 : เบลเยียม 188.78 คะแนน (ลง 4 อันดับ)
อันดับ 19 : บัลแกเรีย 163.03 คะแนน (ขึ้น 1 อันดับ)
อันดับ 20 : ไทย 160.42 คะแนน (ลง 7 อันดับ)
อันดับ 37 : เกาหลีใต้ 99.53 คะแนน (ลง 2 อันดับ)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 พฤติกรรมลดความเสี่ยงสโตรก ห่างไกลอัมพฤกษ์อัมพาต

สโตรก (Stroke) หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยมากกว่า 50,000 รายต่อปี และเป็นสาเหตุสำคัญของความพิการในระยะยาว แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม
สโตรก (Stroke) คืออะไร
สโตรก (Stroke) เกิดจากการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองหยุดชะงัก หรือแตกในสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและตายลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ
- Ischemic Stroke: หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
- Hemorrhagic Stroke: หลอดเลือดในสมองแตก
10 พฤติกรรมที่ทำให้ห่างไกลสโตรก (Stroke)
1. ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์
ความดันโลหิตสูงคือปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของสโตรกควรหมั่นวัดความดันและควบคุมให้อยู่ไม่เกิน 120/80 mmHg ด้วยการลดเค็ม ออกกำลังกาย และกินยาตามแพทย์สั่ง
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยลดความดัน ควบคุมน้ำหนัก และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ
3. เลิกบุหรี่ทันที
การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของสโตรกถึง 2 เท่า เพราะทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงและเกิดคราบไขมันสะสม
4. ลดการดื่มแอลกอฮอล์
ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจเพิ่มความดันโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวผิดปกติ ควรดื่มไม่เกิน 1-2 แก้วต่อวัน หรือหลีกเลี่ยงทั้งหมด
5. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมีโอกาสเป็นเบาหวานและความดัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของสโตรก การลดน้ำหนักเพียง 5–10% ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้ชัดเจน
6. กินอาหารสุขภาพ
หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เค็มจัด หวานจัด ควรเน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา และไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด
7. ควบคุมเบาหวานให้อยู่ในระดับปลอดภัย
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำลายผนังหลอดเลือด หากคุณเป็นเบาหวาน ควรพบแพทย์สม่ำเสมอ และควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด
8. พักผ่อนให้เพียงพอ
นอนน้อยหรือคุณภาพการนอนไม่ดีทำให้เกิดความเครียดสะสม และอาจเร่งให้เกิดสโตรกได้ ควรนอนวันละ 6–8 ชั่วโมง และนอนให้เป็นเวลา
9. จัดการความเครียดให้ดี
ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นผิดปกติ ลองฝึกหายใจลึกๆ เล่นโยคะ หรือทำสมาธิเพื่อผ่อนคลาย
10. ตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจระดับความดัน ไขมัน น้ำตาลในเลือด หรือคลื่นหัวใจอย่างน้อยปีละครั้ง จะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก และป้องกันสโตรกได้ทัน
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังสโตรกเป็นพิเศษ
- ผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปี
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นสโตรก
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มจัด ไม่ออกกำลังกาย
สัญญาณเตือนก่อนเกิดสโตรกที่ควรรู้
- แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง
- พูดไม่ชัด พูดไม่ออก
- มองเห็นภาพซ้อน
- เวียนศีรษะ ทรงตัวไม่ได้
- ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที ภายใน 3 ชั่วโมงแรกเพื่อลดโอกาสพิการถาวร
การห่างไกลจากสโตรก (Stroke) ไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มต้นจากพฤติกรรมง่ายๆ เช่น กินดี นอนพอ ออกกำลังกาย และไม่สูบบุหรี่ การดูแลสุขภาพในวันนี้คือการลงทุนเพื่อชีวิตที่แข็งแรงและไม่เป็นภาระในวันข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
การ ตอบตกลงภาษาอังกฤษ เรื่องไม่ยาก แต่มีให้เลือกใช้หลายสถานการณ์

ต่อให้คุณคือคนที่เริ่มจาก เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย คุณก็คงรู้ว่า Yes คือการตอบรับ และ No คือการตอบปฏิเสธ จุดเด่นหนึ่งของแทบทุกภาษาก็คือเรื่องเดียวกันสามารถพูดได้หลายแบบ การตอบรับในภาษาอังกฤษก็เช่นกัน มีให้เลือกใช้ทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในแต่ละรูปแบบเองก็มีให้เลือกใช้หลายคำตามสถานการณ์ จบจากบทความนี้ รับรองว่าทุกคนจะ ตอบตกลงภาษาอังกฤษ ได้มากกว่าแค่ Yes อย่างแน่นอน และจะนำเรื่องนี้ไปต่อยอดกับการ เรียนภาษาอังกฤษ ในส่วนอื่นได้อีกด้วย
การตอบตกลงภาษาอังกฤษ แบบไม่เป็นทางการ
หากเรา เรียนภาษาอังกฤษ ในคลาสที่เน้นการสนทนา ก็คงมีบ้างเหมือนกันที่บทสนทนาในคลาสนั้นเน้นการพูดคุยแบบเป็นกันเอง หรือหลายครั้งที่เรามีเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นชาวต่างชาติ เมื่อเขาตอบตกลงหรือตอบรับ เราก็จะได้ยินคำอื่นที่นอกจาก Yes! และต่อไปนี้คือตัวอย่างส่วนหนึ่งของคำตอบที่นำไปใช้ได้
- Yeah / Yup / Yep
คำตอบแบบเป็นกันเองสุด ๆ ใช้ได้ในทุกบริบทที่ไม่เป็นทางการ เช่น
ตัวอย่างที่ 1:
A: Are you coming to the party?
(เธอจะไปงานปาร์ตี้มั้ย)
B: Yep, I’ll be there!
(ไปแน่นอน)
ตัวอย่างที่ 2:
A: Great party, isn’t it?
(ปาร์ตี้สุดยอดเลยใช่มั้ย)
B: Yeah. It’s cool.
(ใช่ เยี่ยมมากเลย)
- Sure / Sure thing
ฟังดูสุภาพแต่ยังคงไม่เป็นทางการ เหมาะกับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน และสถานการณ์ที่ต้องการเน้นย้ำว่าทำได้ตามนั้นจริง ๆ เช่น
A: Can I switch the TV on?
(ผมขอเปิดทีวีได้มั้ย)
B: Sure, go ahead.
(ได้สิ เปิดเลย)
- Of course / Definitely / Absolutely
เน้นความเต็มใจหรือยืนยันชัดเจน เหมาะในสถานการณ์ที่อยากแสดงความเห็นด้วยอย่างชัดเจน เช่น
A: Do you want to join our team for lunch?
(คุณจะไปกินมื้อเที่ยงกับพวกเรามั้ย)
B: Absolutely!
(ไปแน่นอนอยู่แล้ว!)
นอกจากสามแบบนี้แล้ว ก็ยังมีรูปแบบอื่นอีก เช่น
- No problem! / Not a problem! / You got it! เหมาะกับการตอบรับว่าเรายินดีให้ความช่วยเหลือ
- Sounds good! ใช้ตอบรับข้อเสนอ
- Alright / Okay / OK คำเรียบง่ายและมีความเป็นกลาง ใช้ตอบตกลงได้ในหลากหลายสถานการณ์ ซึ่งคำตอบเหล่านี้หากคุณ เรียนภาษาอังกฤษ และได้เห็นการนำไปใช้จริง ก็จะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น
การ ตอบตกลงภาษาอังกฤษ แบบเป็นทางการ
สำหรับคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อธุรกิจหรือการทำงาน ก็อาจมีบางครั้งที่เราจำเป็นต้องนำภาษาอังกฤษที่เรียนไปใช้ในแบบที่เป็นทางการ (เช่น พูดกับหัวหน้าหรือลูกค้า) และต่อไปนี้คือตัวอย่างการตอบรับหรือตอบตกลงในแบบที่เป็นทางการ
- Yes, certainly / Yes, of course
เป็นการตอบตกลงแบบสุภาพ เหมาะสำหรับการสนทนาในเชิงธุรกิจ การประชุม หรือใช้ตอบรับเมื่อมีคนขอความช่วยเหลือเราโดยแสดงออกถึงความเกรงใจ เช่น
ตัวอย่างที่ 1:
A: Could you make me a cup of tea, please?
(รบกวนช่วยชงชาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ)
B: Yes, of course.
(ได้เลยค่ะ)
ตัวอย่างที่ 2:
A: Could you prepare the report by Friday?
(คุณช่วยเตรียมรายงานให้พร้อมภายในวันศุกร์ได้ไหม)
B: Yes, certainly.
(ได้แน่นอนครับ)
- I‘d be happy to / I‘d be glad to
เป็นการตอบรับด้วยความเต็มใจ พร้อมด้วยท่าทีเชิงบวก แสดงให้อีกคนเห็นว่าเรายินดีทำสิ่งนั้นให้จริง ๆ เช่น
A: Can you give the presentation next week?
(อาทิตย์หน้าคุณช่วยเป็นคนนำเสนองานได้หรือเปล่าครับ)
B: I’d be happy to.
(ด้วยความยินดีครับ)
- Absolutely / Definitely
แม้สองคำนี้จะพบในบทสนทนาไม่เป็นทางการด้วย แต่หลายครั้งเรื่องที่คุยกันอยู่ก็จะเป็นตัวกำหนดว่าเราใช้คำนี้ในแบบที่เป็นทางการหรือกึ่งทางการได้เช่นกัน
A: Do you support this strategy?
(คุณเห็นด้วยกับกลยุทธ์นี้หรือเปล่า)
B: Absolutely.
(เห็นด้วยแน่นอนครับ)
สังเกตว่าเรื่องที่คุยกันในตัวอย่างนี้ดูเป็นทางการมากกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ (การไปกินมื้อเที่ยง) แต่ก็สามารถใช้คำตอบเดียวกันได้ โดยโทนเสียงและเรื่องที่คุยจะเป็นตัวบอกว่าคุยแบบเป็นทางการหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
NFC Tag คืออะไร ใช้งานอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

NFC Tag หรือ Near Field Communication Tag คืออุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารระยะใกล้ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือเครื่องอ่าน NFC โดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ เพราะใช้พลังงานจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อถูกแตะ
NFC Tag ใช้งานอย่างไร? ขั้นตอนการใช้งานที่ง่ายและหลากหลาย
การใช้งาน NFC Tag สามารถทำได้โดยการ แตะสมาร์ทโฟนกับแท็ก เพื่อรับหรือส่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น
- แตะจ่ายเงินผ่านมือถือ
- แตะแสดงข้อมูลเว็บไซต์
- แตะเพื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi อัตโนมัติ
- แตะเพื่อเปิดแอปพลิเคชัน หรือสั่งงานระบบสมาร์ทโฮม
วิธีเริ่มใช้งาน NFC Tag กับสมาร์ทโฟน
- ตรวจสอบว่าโทรศัพท์รองรับ NFC หรือไม่ (สามารถเช็คได้ในตั้งค่าของเครื่อง)
- เปิดฟังก์ชัน NFC ในมือถือ
- ใช้แอปพลิเคชันสำหรับอ่าน/เขียน NFC Tag เช่น “NFC Tools”
- แตะมือถือกับ NFC Tag เพื่ออ่านข้อมูล
- หากต้องการใส่ข้อมูลลง NFC Tag ให้เลือกเขียนข้อมูลผ่านแอป และแตะ NFC Tag เพื่อบันทึกข้อมูล
การใส่ข้อมูลลง NFC Tag ทำอย่างไร?
คุณสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ลง NFC Tag ได้ด้วยแอปพลิเคชันบนมือถือ เช่น NFC Tools โดยข้อมูลที่สามารถใส่ได้ เช่น
- ลิงก์เว็บไซต์
- ข้อความ
- หมายเลขโทรศัพท์
- ที่อยู่ Wi-Fi
- การตั้งค่าระบบโทรศัพท์
ข้อควรระวัง: เมื่อบันทึกข้อมูลลง NFC Tag แล้ว ข้อมูลจะถูกเก็บถาวร (บางประเภท) หรือสามารถเขียนทับใหม่ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของ NFC Tag
วิธีเลือก NFC Tag ให้เหมาะสมและคุ้มค่า
- ชนิดของ NFC Tag
- NFC Type 1-5: แต่ละประเภทมีความจุและความเร็วต่างกัน
- NFC Type 1-5: แต่ละประเภทมีความจุและความเร็วต่างกัน
- ความจุของข้อมูล
เลือกตามปริมาณข้อมูลที่จะเขียน เช่น ลิงก์เว็บไซต์ต้องการความจุน้อยกว่าการบันทึกไฟล์ - วัสดุและการใช้งาน
- แบบสติกเกอร์ เหมาะกับติดบนวัตถุทั่วไป
- แบบบัตร หรือพวงกุญแจ เหมาะสำหรับใช้งานแบบพกพา
- แบบกันน้ำ เหมาะกับงานกลางแจ้ง
- แบบสติกเกอร์ เหมาะกับติดบนวัตถุทั่วไป
- ราคาและยี่ห้อ
แนะนำยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและราคาคุ้มค่า เช่น NXP, Sony, หรือ TagMo
NFC Tag USE Case ตัวอย่างการใช้งานจริงที่เพิ่มประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
- แตะจ่าย: ใช้ในระบบจ่ายเงินแบบไม่ต้องสัมผัส (Contactless Payment) เช่น ผ่านแอปธนาคาร หรือ Wallet
- แตะแสดงข้อมูล: ติดไว้ที่สินค้า โบรชัวร์ หรือป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ลูกค้าแตะแล้วเข้าถึงข้อมูลทันที
- เชื่อมต่อ Wi-Fi อัตโนมัติ: แตะเพื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi โดยไม่ต้องกรอกรหัสผ่านเอง
- สั่งงานอุปกรณ์สมาร์ทโฮม: แตะ NFC Tag เพื่อเปิด/ปิดไฟ หรือปรับตั้งค่าอื่น ๆ
- แชร์คอนแทค หรือข้อมูลส่วนตัว: เช่น ใส่ข้อมูลนามบัตรดิจิทัลใน NFC Tag
แนะนำ NFC Tag ที่ราคาคุ้มค่า เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและใช้งานทั่วไป
- NFC Tag NXP NTAG213
- ความจุ 144 ไบต์
- ราคาไม่แพง
- รองรับการเขียนและอ่านหลายครั้ง
- เหมาะกับงานทั่วไป เช่น แชร์ลิงก์, Wi-Fi
- ความจุ 144 ไบต์
- NFC Tag NTAG215
- ความจุ 504 ไบต์
- เหมาะกับงานที่ต้องการบันทึกข้อมูลมากขึ้น เช่น นามบัตรดิจิทัล
- ความจุ 504 ไบต์
- NFC Tag NTAG216
- ความจุ 888 ไบต์
- เหมาะกับงานที่ต้องการข้อมูลเยอะ เช่น รูปแบบการสั่งงานอัตโนมัติ
- ความจุ 888 ไบต์
สรุป
NFC Tag เป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานง่ายและสะดวก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแชร์ข้อมูลและสั่งงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์ไร้สัมผัส ทั้งนี้ การเลือก NFC Tag ที่เหมาะสมกับการใช้งานจะช่วยให้ได้ประโยชน์สูงสุดในราคาที่คุ้มค่า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รู้จัก “โอซุ่น” ประโยชน์ดี ๆ จากผักสีเขียวอ่อนสุดกรุบกรอบ ถูกใจสายหมาล่า

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารจีนรสจัดจ้าน โดยเฉพาะเมนูหมาล่าที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย คงจะคุ้นเคยกับ “โอซุ่น” ผักสีเขียวอ่อนที่มีเนื้อสัมผัสกรุบกรอบเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมักจะถูกนำมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในเมนูสุกี้หมาล่า หรือยำหมาล่า ช่วยเพิ่มความอร่อยและความหลากหลายให้กับจานโปรดของคุณ แต่รู้หรือไม่ว่า โอซุ่น ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายอีกด้วย
โอซุ่นคืออะไร?
โอซุ่น (莴笋) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หน่อไม้ฝรั่งจีน” หรือ “ก้านผักกาดหอม” แท้จริงแล้วคือส่วนลำต้นของผักกาดหอมชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lactuca sativa var. augustana หรือ Lactuca sativa var. asparagiana มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน เป็นพืชที่ปลูกง่ายและเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศหลากหลาย โอซุ่นมีลักษณะเป็นก้านอวบอ้วน สีเขียวอ่อนไปจนถึงเขียวเข้ม ผิวเรียบเนียน เนื้อในมีสีขาวขุ่น มีรสชาติอ่อน ๆ คล้ายถั่ว และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สิ่งที่ทำให้โอซุ่นโดดเด่นคือ ความกรุบกรอบ ที่เป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน ทำให้มันกลายเป็น ผัก ยอดนิยมที่มักถูกนำมาปรุงอาหารหลากหลายเมนู ไม่ใช่แค่เฉพาะอาหารจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหารเอเชียอื่น ๆ ด้วย
ประโยชน์ดี ๆ ของโอซุ่น: มากกว่าแค่ความกรุบกรอบ
นอกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และเนื้อสัมผัสที่ชวนรับประทานแล้ว โอซุ่น ยังจัดว่าเป็น ผัก ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ได้แก่:
- ใยอาหารสูง: โอซุ่นเป็นแหล่งใยอาหารที่ดีเยี่ยม ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- วิตามินและแร่ธาตุ: อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย วิตามินเค ที่สำคัญต่อการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก รวมถึงโพแทสเซียม ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต นอกจากนี้ยังมีโฟเลต เหล็ก และแคลเซียมอีกด้วย
- สารต้านอนุมูลอิสระ: โอซุ่นมีสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ
- แคลอรี่ต่ำ: ด้วยปริมาณแคลอรี่ที่ต่ำมาก ทำให้โอซุ่นเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก สามารถรับประทานได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณแคลอรี่ที่มากเกินไป
- ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด: โพแทสเซียมในโอซุ่นช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายและลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
โอซุ่นในครัว: ไอเดียเมนูอร่อยจากผักกรุบกรอบ
โอซุ่น เป็น ผัก ที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่จำกัดอยู่แค่ในเมนูหมาล่าเท่านั้น ด้วยรสชาติที่อ่อนโยนและเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ ทำให้โอซุ่นเข้ากันได้ดีกับวัตถุดิบอื่น ๆ ลองนำโอซุ่นไปปรุงในเมนูเหล่านี้ดูสิ:
- สุกี้หมาล่า: เมนูยอดนิยมที่ขาดโอซุ่นไม่ได้เลย ความกรุบกรอบของโอซุ่นจะช่วยตัดเลี่ยนและเพิ่มรสสัมผัสที่น่าสนใจให้กับสุกี้หมาล่าของคุณ
- ยำหมาล่า: เพิ่มโอซุ่นลงไปในยำหมาล่า ช่วยเพิ่มความสดชื่นและความกรุบกรอบ อร่อยลงตัว
- ผัดน้ำมันหอย: นำโอซุ่นมาผัดกับน้ำมันหอย กระเทียม และเห็ดหอม เป็นเมนูง่าย ๆ ที่อร่อยและมีประโยชน์
- ซุป: ใส่โอซุ่นลงไปในซุปไก่ ซุปหมู หรือซุปผัก เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสและความหวานตามธรรมชาติ
- สลัด: หั่นโอซุ่นบาง ๆ แล้วนำไปใส่ในสลัดผัก เพื่อเพิ่มความกรุบกรอบและคุณค่าทางโภชนาการ
จะเห็นได้ว่า โอซุ่น ไม่ใช่แค่ ผัก ที่อร่อยและถูกใจสายหมาล่าเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งรวมคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะนำไปปรุงเมนูไหน ก็ล้วนแต่เพิ่มความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการให้กับมื้ออาหารของคุณได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้น ครั้งหน้าเมื่อไปเลือกซื้อ ผัก หรือเข้าร้านหมาล่า อย่าลืมมองหา โอซุ่น และลองลิ้มรสความอร่อยพร้อมคุณประโยชน์ดี ๆ จาก ผัก ชนิดนี้กันดูนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 29/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,900.00 | 51,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,290.00 | 49,876.40 | 51,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,961.00 | 44,888.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,632.00 | 39,901.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,480.50 | 22,444.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,151.50 | 17,456.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,409.33 | 51,685.44 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.45 | 32.45 | 32.95 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.08 | 32.08 | 32.58 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.24 | 30.24 | 30.74 | 30.24 | 30.24 | – | 30.24 | 30.24 | 30.24 | 30.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.59 | 28.59 | – | – | – | – | – | – | – | 28.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.04 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.04 |
เบนซิน 95 | 40.74 | – | – | – | 49.81 | – | 41.24 | 40.89 | – | 40.74 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |